คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : มหาวิหารแห่งเทพเจ้า
และนั่นก็คือสาเหตุ...ที่ทำให้ผมต้องยื่นใบลาพักร้อนในเดือนที่ร้อนที่สุดของปี จัดกระเป๋าหอบผ้าหอบผ่อนเดินทางโซซัดโซเซมายังมหานครเอเธนส์แห่งนี้
"ขะ..ขอโทษที่ให้รอนะคะ พอดีฉันเพิ่งทำเรื่องขอเปิดประตูเสร็จ" เลยเวลานัดมาเกือบสิบนาทีแล้ว กว่าแม่ยมทูตสาวจะวิ่งกระหืดกระหอบมายืนโค้งปลกๆอยู่ตรงหน้าผม ไม่ใช่เจแปนิสซักหน่อย อยากจะบอกใจจะขาดว่าผมเป็นหนุ่มอังกฤษที่โตในเมืองไทย ถ้าจะขอโทษต้องยกนิ้วทั้งสิบขึ้นพนมไหว้ตะหาก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกรันทดเศร้าอกเศร้าใจขึ้นมากระทันหันเกินกว่าที่จะกล่าวเช่นนั้น
อ้าว..ลืมไปแล้วหรือครับว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ถ้ายมทูตยังวิ่งทั่กๆเข้ามาในวิหารเทพเจ้าชนิดหน้าตาเฉย แล้วไฉนเลยหลวงพ่อรุ่นกูโกยก่อนโยมซีรี่ย์สามสิบหกที่คล้องคอผมอยู่จะช่วยปัดเป่าให้ผมแคล้วคลาดจากภูตผีปีศาจมารร้ายต่างๆทั้งมวล(โดยเฉพาะยมทูต)ได้!
อุตส่าห์อดหลับอดนอนไปประมูลมาจากเว็บบิทชื่อดังแห่งหนึ่ง เสียทั้งเงิน เวลาและค่าเน็ทจริงๆ....
"ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะคะ นายแพทย์สตีเว่น เนอร์วานา"
หลังจากโค้งคำนับสี่สิบห้าองศาอยู่เกือบนาที เธอจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมพร้อมคำทักทายเต็มยศ วันนี้ยมทูตสาวไม่ได้มาในชุดเสื้อคลุมสีดำหม่นหมอง ทว่าแต่งตัวแบบเด็กสาวธรรมดาด้วยเสื้อยืดแขนยาวสีเทาใส่คู่กับกางเกงยีนส์เนื้อหนา แถมยังมีสร้อยเครื่องประดับสีเงินและหมวกฟางปีกกว้างครบชุด ผมสีดำสนิทปล่อยยาวทิ้งลงจนถึงกลางหลัง ถ้าไม่ติดว่าผิวคุณเธอยังคงขาวซีดราวกับเพิ่งกลับมาจากขั้วโลกเหนือล่ะก็ มีหวังหนุ่มอิตาลีที่ยืนก้อร่อก้อติกอยู่แถวนั้นจะต้องเข้ามาขอเบอร์แน่ๆ
"เช่นกันครับ คุณยมทูตเรนา เล..." เลอะไรหว่า เห็นว่าแปลงโฉมเสียสวยเลยอุตส่าห์ดัดเสียงให้ทุ้มนุ่มเป็นสุถาพบุรุษแล้วเชียว จะสารภาพว่าผมลืมไปแล้วก็ใช่ที ก็เลยแกล้งทำเป็นยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ เปลี่ยนเรื่องสนทนาโดยพลัน
"แล้วนี่ ผมต้องจ่ายค่าทัวร์เลยหรือเปล่าคุณ?" ยัยยมทูตใส่แว่นส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบ ทว่าสายตาคู่ยังคงจ้องผมอย่างคาดหวัง
"เลร์อะไรหรือคะ?" เธอถาม ทำอมยิ้มน่ารัก แต่ในใจคงกำลังคิดเตรียมเคียวฉุดกระชากคร่าวิญญาณไว้สับผมอยู่แน่หากผมบอกนามสกุลเธอผิด โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้า...มียมทูตสาวโหดกำลังรังแกมนุษย์ตาฟ้าๆอยู่ในบ้านท่าน ยังไม่รีบมาจัดการอีกหรือ
"เลร์..เลร์ อ๋อ..เลโอนาโด ดาร์วินซี ปั้นรูปพวกนี้ได้สวยงามมากเลยนะครับ" ไม่ว่าเปล่า ผมยังเอามือไปตบไหล่รูปปูนปั้นนักบุญที่นั่งคุกเข่าประสานมือทำท่าสวดภาวนาอย่างถือสนิท พลางฉีกยิ้มสัตย์ซื่อสาบานต่อจรรยาบรรณแพทย์ ไม่สนใจป้าย do not touch กับสายตาตำหนิของคุณยามเลยสักนิด ตอนนี้ขอแค่หัวยังตั้งอยู่บนบ่า เอ๊ย!วิญญาณยังอยู่ในร่างก็พอแล้ว
หือ...ดาวินซีไม่ได้ปั้นรูปพวกนี้หรอ เรื่องแค่นั้นช่างหัวมันประไร ไม่มียมทูตที่ไหนเขาจะรู้เรื่องแบบนี้กันหรอกน่า
"คิกๆ โบสถ์นี้สร้างขึ้นหลายร้อยปีก่อนคุณเลโอนาโด ดาร์วินซีเกิดอีกค่ะ"
อ้าว...รู้ด้วยเร๊อะ?! ถ้าตอนนี้มีคนมาบอกว่าพวกยมทูตเป็นแค่คนบาปโง่งม ผมคนนึงล่ะที่จะขอเถียงสุดใจขาดดิ้น
"เลอาร์วิอัสค่ะ เรนา เลอาร์วิอัส ในฐานะหัวหน้าทัวร์ คงต้องขอความกรุณาให้ช่วยจำชื่อฉันให้แม่นๆด้วยนะคะ นายแพทย์สตีเว่น เนอร์วานา"
เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มสว่างไสว แต่หางเสียงชักเย็นๆชอบกล งานนี้ไม่ต้องบอกผมก็ผยักหน้าหงึกๆ ประทับชื่อและนามสกุลดังกล่าวให้ฝังลึกลงไปในรอยหยักสมองชนิดที่ว่าต่อให้อีกสิบปีผมก็ไม่มีทางลืม...ถ้าไม่เป็นมะเร็งตายหรืออัลไซเมอร์ไปเสียก่อนนะ
พอเห็นผมตกลงแต่โดยดี สีหน้าของเธอจึงปรากฎเค้าความพอใจ นี่ตกลงผมเป็นลูกทัวร์หรือว่านักโทษกันแน่เนี่ย ทว่าเมื่อเธอก้มมองนาฬิกาลาย เอ่อ...คิตตี้สีชมพูหวาน ความพึงพอใจนั้นก็เปลี่ยนเป็นความตระหนก เกือบจะเรียกได้ว่าลนลาน
"จะสายแล้ว รีบไปกันเถอะค่ะ "
ไม่รอให้ผมตอบตกลง ยมทูตสาวก็ออกเดินลิ่วนำไปทันที ส่วนผมหลังจากยืนงงอยู่สามวินาทีก็ได้แต่ตะเกียกตะกายวิ่งตามไป ลากกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ส่งเสียงดังครืดคราดไปด้วย
"แล้วนี่ เรากำลังจะไปไหนกันครับ คุณเรนา เลอาร์วิอัส "
ผมถาม ไม่ลืมเน้นชื่อพร้อมนามสกุลเต็มยศ ขาทั้งสองก้าวฉับๆตามยมทูตสาวที่เดินนำไปข้างหน้า ทั้งๆที่เธอตัวเล็กกว่าผมแท้ๆ ทั้งฝีเท้าก็ผ่อนลงมามากแล้ว แต่ผมกลับต้องเดินสาวเท้าเร็วๆถึงจะตามเธอทัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอเดินเร็ว หรือร่างกายผมอ่อนแอจนเดินช้าเองกันแน่
"ไปจุดนัดพบค่ะ ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวประตูจะปิดเสียก่อน" เธอตอบพลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นไปอีก ท่าทางร้อนอกร้อนใจอยู่ไม่น้อย ยมทูตเรนาพาผมตะลุยไปทั่ว เดี๋ยวก็เลี้ยวซ้าย เดี๋ยวก็เลี้ยวขวา ผ่านโถงใหญ่ ทะลุเข้าโถงย่อย ลอดซุ้มประตูโค้ง เบียดฝูงนักท่องเที่ยว มุดหลบใต้พุ่มไม้ เดินลัดสนาม แอบเข้าในเขตห้ามเข้า ดูเหมือนเธอจะคุ้นเคยกับเส้นทางในวิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี ไม่ต่างอะไรไปจากมัคคุเทศน์ผู้ช่ำชอง เรียกได้ว่าต่อให้จ้างไกด์ท้องถิ่นประจำวิหารมานำทางยังเที่ยวไม่ได้ทั่วขนาดนี้เลย
วิหารแห่งนี้ดูภายนอกก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรสักเท่าไหร่ ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยซอกเล็กซอกน้อยมากมาย วกวนราวกับเขาวงกต ซ้ำยังเล่นระดับชั้นได้แปลกประหลาด (ถ้าจะลงไปห้องใต้ดินต้องไปใช้บรรไดที่ดาดฟ้า หรือถ้าจะขึ้นไปชั้นสามก็ต้องอาศัยอุโมงค์ลับที่ซ่อนอยู่ตรงชั้นหนึ่ง)หากมาคนเดียงคงได้หลงทางเป็นแน่ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงงดงาม มีผู้คนเดินทางมาเยือนมากมาย เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กจอแจ ถ้าตัววิหารที่เคยได้ยินแต่เสียงสวดอันแห้งแล้งเฝ้าภาวนาขอชีวิตชีวาอันรื่นเริง เวลานี้มันคงได้สมปราถนาแล้ว
สองข้างฝั่งทางเดินเต็มไปด้วยรูปปูนปั้น ก้ำกึ่งระหว่างตำนายเทพกรีกโบราณกับศาสนจักรแห่งโรมัน งานปั้นนั้นงามล้ำซึ่งตอนนี้กะเทาะซีดเสื่อมไปตามกาล หากกลับเพิ่มมนต์ขลังให้มีเสน่ห์ยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์มาชมรูปปั้นหรอกนะ ก็เพราะ...
"กะ..ใกล้ถึงรึยังครับ" กว่าเธอะชะลอฝีเท้าลง ผมก็หอบหนักเกือบตาย ถามแทบไม่เป็นภาษา เหงื่อซกไปทั้งตัว เพราะคุณเธอเล่นพาเดินตะลุยโดยไม่สนเลยว่าลูกทัวร์จะเกิดอาการโรคหัวใจกำเริบจนหัวใจวายตายคาวิหารหรือไม่ ยิ่งไม่ค่อยมั่นใจอยู่ด้วยว่าถ้าเกิดผมตายไปตอนนี้เหล่าเทวดาจะจัดทัพเป่าแตรเดินสวนสนามมารับดวงวิญญาณผมไปสวรรค์หรือเปล่า แต่ถ้ายมทูตจะพาไปลงนรกล่ะก็ อันนี้มีมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย
"เกือบถึงแล้วค่ะ น่าจะทันเวลาHale Gateเปิดพอดี" เธอเอ่ยพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือลายคิตตี้คิกขุผิดนามยมทูต สีหน้าเร่งร้อนเมื่อครู่ดูผ่อนคลายลง ตรงข้ามกับผมที่พอได้ยินชื่อประตู สีหน้าจากที่ซีดอยู่แล้วก็ยิ่งซีดลงเรื่อยๆ บางทีอาจจะซีดกว่าผิวขาวๆของเธอด้วยซ้ำ
ประตูบ้าอะไร ชื่อเป็นมงคลสิ้นดี แต่ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่าเรื่องชื่อก็คือ...
"คุณ..คุณอย่าบอกนะว่า ไอ้ประตูนั่นมันตั้งอยู่ในโบสถ์นี่?!"
นัยน์ตาสีดำขลับหลังเลนส์แว่นที่หันขวับมามองผมฉายแววประหลาดใจ
"ค่ะ ถ้าไม่ตั้งอยู่ที่นี่ ฉันจะนัดคุณมาทำไมล่ะคะ"
โอ้...พระเจ้า ก่อนจะไปสอดส่องดูแลมนุษย์โลกทั้งหลาย ช่วยสอดส่องดูแลวิหารของตัวเองก่อนเถอะ!!
หลังจากเดินไปตามทางเดินมืดๆแคบๆเต็มไปด้วยหยากไย่ ซึ่งตรงทางเข้ามีป้ายแปะไว้ตัวเบ้อเริ่มว่า'ขออภัย กำลังซ่อมบำรุง'แถมยังมีเทปสีเหลืองสลับดำแปะกั้นไม่ให้คนเข้าระบุเขตหวงห้ามอย่างชัดเจนอีกด้วย (โชคดีที่แถวนั้นร้างคน เลยหลบเข้ามาได้สบายๆ แต่ถึงจะมีคนอยู่ เรนาก็คงมีวิธีทำให้ร้างคนเองแหละ) ถึงตอนนี้ หัวใจผมเต้นราวกับจะกระโดดออกมาอยู่นอกอก หมดแรงเดินจนแทบจะคลานไปกับพื้น ที่ยังโซซัดโซเซตามหลังไกด์สาวไปได้ก็เพราะทิฐิในใจที่แสนจะสมเพชสภาพของตนเอง ถ้าเมื่อสิบปีก่อน..ไม่สิ ไม่ต้องถึงสิบปีหรอก แค่ซักสี่ปีก่อนก็พอ หากมีใครมาบอกผมว่าผมจะต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ผมคงหัวเราะเยาะสวนเข้าให้
บางครั้ง ผมก็นึกสาปแช่งโชคชะตา...มีคนนับหมื่นนับแสนล้านบนโลกเบี้ยวๆใบนี้ แต่ทำไมต้องเป็นผมที่ตกเป็นเหยื่อของโรคบ้าๆ โรคที่ทำให้ชีวิตผมทั้งชีวิตพังพินาศ เป็นเพราะบุญกรรม หรือเป็นเพราะความอยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้ากันแน่?
"ถึงแล้วค่ะ"
ยมทูตสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง เดินนำผมเข้าไปในห้องโถงใหญ่ประดับกระจกสีวิจิตร สิ่งที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาสีฟ้าของผมคือความอลังการจนมิอาจบรรยายออกมาเป็นตัวอักษร เป็นเศษเสี้ยวแห่งอดีตที่ยืนหยัดต้านกระแสเวลาเพื่อแสดงความเฟื่องฟูให้ชนรุ่นหลังได้ประจักษ์ หากมองย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน สถานที่แห่งนี้คงเคยเป็นโถงใหญ่สำหรับใช้สวดภาวนาซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของเหล่าผู้ศรัทธานับพันนับหมื่น แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงเศษปูนหักพัง ทว่าความงดงามนั้นยังคงเปล่งประกายยิ่งใหญ่
การที่ตัวแทนจากนรกสามารถล่วงเข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ได้...ต้องนับว่าเป็นความมัวหมองของศาสนจักรโดยแท้!
เบื้องหน้าผมนั้นคือรูปปูนปั้นสูงจรดเพดานที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่านายช่างคงบรรจงทำสุดฝีมือ ทั้งรอยยับของเสื้อผ้า ความพริ้วไหวของเส้นผม สีหน้าอ่อนโยน หรือแม้แต่ประกายอบอุ่นในนัยน์ตาก็ดูชัดเจนราวกับของจริง ถึงผมจะเป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง แต่ภาพเบื้องหน้ามีพลังยิ่งใหญ่นัก ข่มมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างผมจนอ่อนด้อย ความศรัทธาพุ่งพล่านขึ้นมาในอก พร้อมจะก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์เพื่อแสดงถึงการศิโรราบ
ทว่าก่อนที่ผมจะทันได้ทำดังที่ใจคิด แม่ยมทูตสาวก็มาขัดขวางด้วยการโบกมือเรียกหย็อยๆเสียก่อน คงเป็นธรรมเนียมที่พระเจ้ากับยมทูตจะต้องไม่ถูกกันคล้ายๆกับทอมแอนด์เจอร์รี่ แม้จะรู้สึกเคารพพระเจ้าขนาดไหน แต่ความเกรงใจยมทูตมีมากกว่า ผมจึงจำต้องเดินตามเธอไปอย่างช่วยไม่ได้
หากพอเดินมาได้สักครึ่งทาง ผมก็นึกสะกิดใจอะไรขึ้นมา...
"เอ่อ..คุณเรนาครับ ประตูที่ว่า..คงไม่ได้ตั้งอยู่ในห้องโถงนี้ใช่ไหม?"
จริงๆผมคิดว่าผมรู้คำตอบของคำถามนี้แล้ว ที่ถามออกไปก็เหมือนกับคำภาวนาลมๆแล้งๆ
ผมหวังอะไรอยู่หรือ...ทั้งศาสนาและพระเจ้าซึ่งเคยคิดว่าเป็นเรื่องงมงายของคนไร้แก่นสาร แต่เมื่อเห็นว่ากำลังโดนดูถูกอยู่แบบนี้แล้วทำไมความโกรธเกรี้ยวถึงได้ปะทุขึ้นในอก ไม่สมกับเป็นผมเลยสักนิด
"ทำไมจะไม่ล่ะคะ" คำตอบพร้อมรอยยิ้มของเธอทำลายความหวังในใจผมแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
หากชะรอยเรนาคงสังเกตเห็นสีหน้าซีดเผือดชนิดรับไม่ได้ของผมเข้า จึงรีบเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถึงอย่างไรฉันก็เป็นยมทูต ไม่ทำอะไรต่อหน้าพระเจ้าหรอก"
ถ้าไอ้ที่ทำมาจนถึงป่านนี้ไม่เรียกว่าทำต่อหน้าพระเจ้า...ผมก็ไม่มีคำพูดใดจะกล่าวแล้วล่ะ
โถงใหญ่ดังกล่าวนอกจากจะโอ่อ่างดงามสมเป็นห้องสวดภาวนาแล้ว ยังถูกออกแบบมาอย่างดีจนไม่น่าเชื่อว่าสถาปัตยกรรมนี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน เพราะไม่ว่าคุณจะนั่งอยู่ที่ใดหรือซุกอยู่มุมไหนของห้อง คุณก็จะต้องตกอยู่ภายใต้สายตาที่สอดส่องดูแลมาอย่างอ่อนโยนของพระผู้เป็นเจ้าเสมอ...แต่สงสัยตอนนี้พระเจ้าคงสายตาสั้น เพราะขนาดยมทูตชุดดำเดินมาให้เห็นโท่งๆตรงหน้าก็ยังไม่เห็นทูตสวรรค์โผล่มาปราบสักตน!
"ทำไมถึงต้องหยามกันขนาดนี้ด้วยล่ะคุณ " ผมเอ่ยเบาๆอย่างสิ้นความอดทน ทางนรกคงสะใจมากสินะที่สามารถหลู่เกียรติของพระผู้เป็นเจ้าที่มนุษย์แสนจะศรัทธาได้ ส่วนที่ต้องเบาๆนั้นเพราะตอนนี้ผมอยู่ในเขตห้ามเข้า ขืนโวยวายเสียงดังเดี๋ยวได้ถูกยามหุ่นล่ำบึ้กมาลากตัวออกไปประไร ต่อให้สาบานว่าตามยมทูตเข้ามาคุณยามก็คงไม่เชื่อ พูดตรงๆนะ ถ้าเชื่อก็ควรเลิกเป็นยามและย้ายไปอยู่ศรีธัญญาได้แล้ว
"เพราะคุณเป็นมนุษย์ถึงได้ว่ามันอยุติธรรม แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งแล้ว สวรรค์เองก็ใช้ชื่อของนรกในการเรียกแรงศรัทธาเหมือนกันนี่คะ"
ยมทูตสาว เรนา เลอาร์วิอัส หยุดเดิน หันมาประสานสายตากับผม และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นครั้งแรก แม้จะเห็นด้วยในเหตุผลอยู่บ้าง แต่มันก็ยังคงทำใจยากอยู่ดีที่จะเห็นชอบกับความคิดที่เป็นปฎิปักษ์กับความนับถือซึ่งฝังหัวมานาน
"มนุษย์นี่ก็แปลกนะคะ จะยอมรับเฉพาะความจริงที่ไม่ขัดกับความเชื่อของตนเท่านั้น " เธอเอ่ยราวกับอ่านใจผมได้ หวังว่าคงแค่บังเอิญ...ไม่อย่างนั้นเธอจะรู้ความลับที่ผมซ่อนไว้ นั่นคือกระเช้าสตอเบอร์รี่ที่ผมซื้อให้คุณเพ็ญนภาเป็นของขวัญก่อนเดินทางมาเอเธนส์นั้น จริงๆแล้วเป็นกระเช้าลดราคาจากห้างชื่อดังที่ใกล้จะหมดอายุในอีกสามวันข้างหน้า ถ้าคุณเพ็ญนภารู้เข้าต้องโกรธจัดแน่ๆ
อย่าหาว่าผมกลัวเลขาเลยนะ...แต่คุณเพ็ญนภาเวลาโมโหนี่ยิ่งกว่าร็อตไวเลอร์ผสมพิทบลูเสียอีก ถึงรู้ว่าผมอยู่นรก เธอก็คงหาวิถีทางตามมาเล่นงานจนถึงนี่ได้แน่ คิดๆแล้วยังเสียวสันหลังอยู่ไม่หายเลย...
"มาเถอะค่ะ อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย"
ยมทูตสาวตัดบท เดินนำผมข้ามห้องโถงใหญ่ เลี้ยวอ้อมไปทางด้านหลังรูปปั้นพระผู้เป็นเจ้า พอมองจากทางด้านกลังแบบนี้แล้ว แผ่นหลังของพระผู้เป็นเจ้าที่แบกรับคำสวดภาวนามานับหลายร้อยปีช่างยิ่งใหญ่...ยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ส่วนที่กำแพงหลังองค์พระนั้นเป็นกำแพงปูนสีขาว...ลอกร่อน มีริ้วรอยด่างดำแตกลายงามากมาย สมแล้วที่ต้องแขวนป้ายไว้ว่ากำลังปรับปรุงอยู่ เพราะดูจากสภาพก็สมควรปรับปรุงได้แล้วจริงๆ มีอย่างทีไหนกัน ปล่อยให้กำแพงเลอะเป็นปื้นขนาดสูงท่วมหัว แถมยังตรงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป๊ะ นี่ถ้าไม่มาดูใกล้ๆ ผมคงไม่นึกว่าเป็นรอยเปื้อน คงนึกว่าเป็นเงาสะท้อนของประตู...ประตูงั้นหรอ?!
ผมหันขวับไปหาคนนำทางทันที และก็พบกับประกายขบขันที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
...อย่างงี้นี่เอง ไม่ได้ทำ'ต่อหน้า'พระเจ้าจริงๆด้วย...
"เรามาถึงก่อนเวลาหนึ่งนาทีค่ะ ตอนนี้ถ้าเข้าไปจับก็เป็นแค่ผนังปูนธรรมดา" ไกด์สาวเรนาอธิบายโดยที่ผมไม่ได้ร้องขอ ก่อนจะถามยิ้มๆเมื่อเห็นผมกำลังจะเอื้อมมือไปสัมผัสรอยเปื้อนบนกำแพง
"จะให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไหมคะ"
ในมือเธอปรากฎกล้องคอมแพ็คสีส้มเจ็บที่ไม่รู้ว่าโผล่ขึ้นมาตอนไหน คิดในแง่ดี ยมทูตก็ชอบกล้องของโลกมนุษย์เหมือนกัน ส่วนคิดในแง่ร้าย ในนรกก็คงมีกล้อง แต่เป็นกล้องอาถรรพ์ถ่ายติดวิญญาณแบบที่เคยดูในภาพยนต์สยองขวัญชนิดที่เอาไปถ่ายใคร คนนั้นจะถึงแก่ความตายภายในสามวัน
"ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ" ผมส่ายหน้า ยืนยันคำปฏิเสธให้มีน้ำหนักแน่นหนายิ่งขึ้น ในเวลาแบบนี้คงต้องขอมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน เพราะชีวิตผมหมดโปรโมชั่นฆ่าตัวตายแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงยื่นมืออกไปแตะรอยเปื้อนซึ่งเธอบอกว่าเป็นประตูไปนรกอยู่ดี ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัวหรอกนะ ถ้าจะโทษ...ก็คงต้องโทษวิญญาณเด็กสายวิทย์ที่ฝังแน่นราวกับปลิงเกาะติดอยู่ในสันดานของผม เมื่อเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาอยู่ตรงหน้าก็อยากจะพิสูจน์เสียร่ำไป สัมผัสที่ปลายนิ้วบอกผมว่ามันเย็น...เย็นจริงๆ ทั้งๆที่อากาศที่กรุงเอเธนส์ในหน้าร้อนไม่ต่างอะไรไปจากกรุงเทพมหานครที่ผมเพิ่งจากมาแท้ๆ ผมแนบฝ่ามือลงไป อดใจไม่ไหวราวกับเด็กที่เห็นขนมหวานอยู่ตรงหน้า ทาบทับลงบนเนื้อปูนนั้น ไม่ได้เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง แต่เป็นความเย็นที่รู้สึกสงบ ราวกับจะช่วยคลายความร้อนรุ่ม เป็นความรู้สึกที่ดี
ผมหลับตาลง น่าแปลกที่ความเหนื่อยล้าทั้งหลายดูเหมือนจะจางหายไปโดยสิ้นเชิง นี่อาจจะเป็นคำอวยพรจากพระเจ้า...เป็นคำเตือน หรือจะเป็นอะไรก็ช่าง เรนาเคยบอกว่ามนุษย์ไม่ยุติธรรม แต่ในโลกนี้มีอะไรบ้างล่ะที่ยุติธรรม ขนาดชีวิตของผมเองยังไม่ยุติธรรมต่อผมเลย เรียนมาลำบากแทบตาย กว่าจะจบหมอมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของศัลยแพทย์โรคหัวใจก็แทบจะขายวิญญาณให้ซาตานแลกมา
แต่สุดท้าย..ทุกอย่างก็จบ จบแบบทุเรศเสียด้วย ความพยายามทั้งหลายที่ลำบากสู้มันมาสิ้นความหมายไปโดยสิ้นเชิง เคว้งคว้าง ไม่มีจุดหมาย ไร้ค่า..ใช่ ไร้ค่า ก็แค่หมอคนนึงตายไป โลกก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
"ก็ชีวิตมันบัดซบขนาดนี้ จะอยู่ไปให้ได้อะไรขึ้นมา..." ผมพึมพำ น้ำเสียงแหบแห้งเต็มไปด้วยความสิ้นหวังจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ
"มนุษย์ก็เป็นซะอย่างนี้ ถ้าอยู่บนโลกไม่ได้ ก็มาอยู่ในนรกซะเลยสิ"
ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเรนา แต่ไม่ใช่ เสียงนั้นเป็นเสียงกร้าวของผู้ชาย ดุดันกรรโชกโฮกฮากราวกับนายทหาร
ขณะที่ผมกำลังตกอยู่ในสภาวะงุนงงนั้นเอง รอยเปื้อนสีดำบนกำแพงก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง จากสีเทาของเงาเปลี่ยเป็นสีดำสนิทราวกับมีคนเอาสีมาป้ายทับ ทาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่เหลือสีอื่นใด ความมืดนั้นเข้มข้นจนมองไม่เห็นก้นบึ่ง จากมุมเล็กๆค่อยๆขยายเพิ่มเหมือนวงน้ำกระเพื่อม จนในที่สุด รอยปื้นรูปเงาประตูบนกำแพงก็กลายเป็นประตูขึ้นมาจริงๆ หรือไม่ก็กลายเป็นเงา...เงาสีดำลึกล้ำน่าหวาดหวั่นบนกำแพงสีขาวบริสุทธิ์ ประตูสู่นรกในวิหารของพระเจ้า
ครั้นแล้ว ก่อนที่ผมจะทันตั้งตัว มือหนึ่งยื่นออกมาจากสีดำอนธกาลนั้น จับแขนผมไว้ บีบแน่นราวกับคีม ฉุดพรวดเดียวก็กระชากร่างผมให้ปลิวไปตามแรง ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือยมทูตสาวและแผ่นหลังขององค์พระ ก่อนร่างทั้งร่างจะถูกดึงหายเข้าเข้าไปในประตูสู่นรก ทิ้งไว้เพียงเสียงกรีดร้องชนิดไม่หลงเหลือความอับอายใดๆอีก
"ม่ายยยยยยยยยยย!!!!"
..................................................................................
ฮ่า อัพมาสองตอนไม่มีคนเม้นท์เลย ไรท์เตอร์ขอเสียงหน่อยยย ยังมีใครอ่านอยู่บ้าง >[]<
P.S. คุณ- re - ขอบคุณมากๆสำหรับเม้นท์นะคะ เป็นกำลังใจให้ได้มากเลย จัดให้ตามคำขอเลยค่ะ :)
ความคิดเห็น