ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : มาตรา2360 แห่งประมวลกฎหมายเดลฟี
หลังจากนั้น นักค้าข่าวก็ถูกเกเบรียล ควอทซ์ด่าเอาเสียชุดใหญ่ หลังจากนั้นอีกจึงค่อยถูกซักขอให้อธิบายละเอียดขึ้น ถกเถียงกันอยู่นานทีเดียว และ บ่ายนั้นทั้งวันชายหนุ่มนักค้าข่าวก็ยุ่งจนหัวปั่น เขาถูกนายวาณิชใหญ่ลากตัวไปไหนต่อไหน หลายที่หลายแห่งนัก พบคนมากมาย ล้วนแต่เป็นพ่อค้าร่ำรวยเพื่อนฝูงบริวารของนายวาณิชทั้งสิ้น เหนื่อยเสียจนสายตัวแทบขาด กระทั่งจิ้งจอกทองจอมยโสก็คอพับคออ่อนอยู่ในอ้อมแขน ไม่มีแรงแขวะก่นด่าเหมือนเคย จวบจนมืดค่ำก็ยังมิได้กลับรังนอนของตน เพราะพ่อค้าอัญมณีเริ่มทำตัวเป็นเผด็จการ บังคับให้เขาอยู่ร่วมงานสังสรรค์ที่ร้านเหล้าสมาคม บอกว่าหากชายหนุ่มคิดจะทำการใหญ่ ก็ต้องรู้จักคนไว้มาก ตัวคนเดียวทำอะไรไม่ได้ ต้องหาคนช่วยสนับสนุน ถึงขุนนางจะมีอำนาจ แต่สมาคมการค้ามีทองคำ ฟังๆแล้วเซนาสก็รู้สึกว่าท่านเกเบรียลกำลังหาผู้สืบทอดกิจการอย่างไรชอบกล
และในเวลานี้ ดึกดื่นเกือบค่อนคืนแล้ว คนพเนจรจึงได้แต่นั่งคลึงแก้วไวน์ในมือ ดวงหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆประดับเช่นเคย ฟังเหล่านายวาณิชพูดคุยถกเถียงเรื่องมีสาระทั้งหลายซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการค้าทั้งสิ้น เขาเป็นผู้ฟังที่ดี หากเป็นคู่สนทนาที่ไม่ใคร่จะดีเท่าใดนัก เพราะชายหนุ่มนิยมฟังอยู่เงียบๆเพียงฝ่ายเดียวตามวิสัยนักค้าข้อมูลที่ชอบเก็บมากกว่าเผย นานๆทีเมื่อมีคนถามจึงจะแสดงความคิดเห็นของตนขึ้นบ้าง แต่ความเห็นนั้นหรือก็แสนจะเป็นกลางราวกับคำไกล่เกลี่ย น่าเบื่อหน่ายยิ่ง ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น เซนาสวางตัวดี แม้แวดล้อมด้วยเศรษฐีนายวาณิชก็ไม่เค่อะเขิน และเมื่อมีเกเบรียลเป็นผู้พาเข้างานด้วยตนเอง ชายหนุ่มก็ดูราวกับแขกสำคัญคนหนึ่ง
ทว่ากว่างานเลี้ยงดังกล่าวจะเลิกราลง...รัตติกาลอันเงียบงันก็ใกล้จะสิ้นสุดเสียแล้ว และอาจจะพร้อมสัญญาที่เคยให้ไว้กับใครคนหนึ่งด้วย
ท้องฟ้าสีดำพร่างพรายไปด้วยประกายระยิบระยับของหมู่ดาว จันทร์เพ็ญสาดแสงส่องทอนวลเผยให้เห็นร่างเงาตะคุ่มของหญิงสาว งดงามเช่นนางไม้ที่แวดล้อมด้วยหมู่มวลพฤกษา หากใครเลยจะล่วงรู้ ในใจของนางไม้นั้นกำลังร่ำไห้โศกาเพียงใด...
เมธโทรมารอนานนัก ตั้งแต่ฟ้ายังมิทันมืดดี ทว่าจวบจนรุ่งอโรทัยใกล้จะฉายแสงส่องสว่าง คนพเนจรก็ยังไม่ปรากฎตัว
เขาลืม...ลืมเสียแล้วหรือว่าเคยให้สัญญาอะไรไว้กับนักทำนายขาเสียคนนี้
หญิงสาวยิ้มเศร้าให้กับตนเอง ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเฝ้ารอต่อไปแล้วมิใช่หรือ เซนาส เนราเวล มิใช่คนพเนจรอีก ทว่าเป็นพ่อค้าข่าวมีชื่อเสียงยิ่งนัก เหตุใดจึงยังต้องมาคบค้าสมาคมกับคนดูไพ่ต่ำต้อยเล่า แต่แม้จะคิดเช่นนั้น เธอก็มิอาจตัดใจกลับที่พักของตนได้ สุดท้าย เมื่อสุดทนที่จะอยู่เฉยได้อีกต่อไป เมธโทรจึงลุกขึ้นเดิน ลากขาข้างที่เสียกระย่องกระแย่งเดินวนไปเวียนมา หวังให้ความสงบรื่นของพฤษารอบกายช่วยปลอบประโลม
หนทางนั้นใช่ดีนัก เป็นผืนหญ้าปนกรวดดินสีน้ำตาลแดง บางแห่งก็เป็นเนินลาดชัน ซ้ำแสงจันทร์ยังมิกระจ่างพอจะเผยให้เห็น หญิงสาวต้องอาศัยความคุ้นเคยเป็นเครื่องนำทางในความมืดมิดเช่นนี้
เธอกำลังรออะไรกัน...รอเขา หรือว่ารอตำแหน่งเดลฟีนาที่เขาจะมอบให้กันแน่
"โอ๊ย!"
ห้วงความคิดพลันสะดุดลงทันที เมื่อขาข้างเสียไถลลื่นไปขัดกับแง่งไม้ นักทำนายอุทานด้วยความตกใจ เสียหลักรวดเร็วเกินกว่าจะทรงตัวได้ทัน วินาทีถัดมาร่างบางก็ลอยคว้าง เอนละลิ่วไปด้านหลังราวกับถูกกระชากล้มด้วยมือยักษ์ที่มองไม่เห็น
นัยน์เนตรสีเขียวอ่อนหลับตาปี๋ ตัวแข็งทื่อ เตรียมพร้อมรับแรงกระแทกที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า ทว่าแม้จะรอเท่าไร แรงกระแทกที่ควรมี ความเจ็บปวดที่ควรรู้สึกกลับไม่ปรากฎเสียที เนิ่นนานในความรู้สึก เสี้ยววินาทีในความเป็นจริง เมื่อเมธโทรลืมตาขึ้นมา สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นคือนัยน์ตาอีกคู่สีดำสนิทราวรัตติกาล...และรอยยิ้มของบุรุษที่เธอเฝ้าคิดถึงเหลือเกิน
นักทำนายไพ่ขยับปากจะกล่าว หากยังมิทันเอ่ยคำพูดใด ดวงหน้าขาวก็ขึ้นริ้วสีแดงฉ่า เมื่อพบว่าตนนั้นกำลังถูกรวบอยู่ในวงแขนของอีกฝ่าย เนื้อต่อเนื้อแนบชิดกันผ่านอาภรณ์ ใกล้เสียจนหญิงสาวได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นระรัวแรง ใกล้เสียจนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผะผ่าวของกันและกัน
นานเท่านาน...ราวกับโลกทั้งใบถูกแช่แข็ง หยุดเวลาไว้มิให้เคลื่อยคล้อย สองหนุ่มสาวยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
"เกือบไปแล้วไหมเล่า" เซนาสเอ่ยยิ้มๆ เป็นฝ่ายทำลายความเงียบงันลงเสีย มองดวงหน้าตื่นตกใจของร่างบางในอ้อมกอดด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะเป็นฝ่ายผละออก ปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระ
"เซนาส เนราเวล เจ้า...เจ้ามาช้านัก" เมธโทรเสเปลี่ยนเรื่อง กลบเกลื่อนสีชมพูเรื่อบนแก้มตน เพียงแค่เห็นเขา น้ำใสๆก็เอ่อคลออยู่ในนัยน์ตาสีเขียวคู่งามโดยไม่รู้ตัว เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก ทั้งสุขสมและทุกข์ตรมในเวลาเดียวกัน ราวกับเด็กเห็นยาฉาบน้ำตาล แม้รู้ว่าท้ายสุดแล้วจะเหลือเพียงความขมปร่า หากก็ยังยินดีที่จะลิ้มรสเพื่อรับเอาความหวานแต่แรกกินไว้
ทว่าชายหนุ่มไม่เข้าใจ เมื่อเขาเห็นหยาดน้ำเกาะพราวอยู่ในดวงตาคู่ของหญิงสาว เขาก็คิดว่าสิ่งนั้นเป็นความผิดของตน มือใหญ่เอื้อมไปปาดหยาดน้ำร้อนผ่าวอย่างแผ่วเบา และเมื่อเอ่ยปากพูด น้ำเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความขอลุแก่โทษ กลั่นออกมาจากใจจริง
"ข้าขอโทษเจ้า ข้าปล่อยให้เจ้ารอนานนัก หากเจ้าจะโกรธข้าก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว แต่เมธโทร อย่าร้องไห้เลย ข้าไม่อยาก..." คนค้าข่าวกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอได้ทันก่อนที่จะกล่าวมันออกมา
ข้าไม่อยาก...เป็นต้นเหตุให้คนสำคัญต้องหลั่งน้ำตาอีกแล้ว ได้โปรด
"เจ้าไม่อยากอะไร..." นักทำนายที่พอโดนปลอบแทนที่จะหยุดร้องกลับยิ่งสะอื้นไห้มากขึ้น และน้ำใสๆที่เคยปริ่มนัยน์ตาก็ล้นทะลักออกมาเป็นสาย ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มทั้งน้ำตาแกล้งทำเสียงเขียวคาดคั้นชายหนุ่มได้
"ข้าก็ไม่อยากเห็นพรุ่งนี้เจ้าต้องไปทำนายทั้งที่ตาช้ำแดงราวกับโดนแมลงต่อยน่ะสิ" เซนาสเฉไฉ กลบเกลื่อนได้แนบเนียนนัก ไม่ต้องการจะเอ่ยความที่แท้จริงในใจออกมา สีหน้ากลับมาแย้มยิ้มแจ่มใสเป็นคนอารมณ์ดีตามเดิม ราวกับสีหน้าของเขานั้นเป็นหน้ากากที่ถอดเปลี่ยนได้ง่ายดายนัก และเพื่อไม่ให้หญิงสาวทันจะซักไซร้หรือเอ่ยค้านอะไร คนพเนจรจึงรีบเปลี่ยนประเด็นอย่างรวดเร็ว
"จริงสิ เมธโทร ข้ามีคนอยากแนะนำให้เจ้ารู้จัก" พร้อมกันนั้น เขาก็ผายมือไปด้านหลัง ยามราตรีนั้นมืดนัก หากชายหนุ่มไม่ชี้บอก หญิงสาวก็คงไม่ทันได้สังเกตเห็นเงาร่างตะคุ่มที่ยืนห่างออกไปไม่เกินครึ่งเมตรนั้นเด็ดขาด
ราวกับรู้ว่าถูกแนะนำตัว เงาร่างนั้นจึงขยับเดินเข้ามาใกล้ และหากสังเกตดีๆ ด้านหน้าของร่างเงาดังกล่าวก็ปรากฎอีกเงาหนึ่งรูปพรรณสันฐานคล้ายสุนัขจิ้งจอกขนฟูเดินนำมาด้วย
"นี่คือ ทริส ต่อจากนี้เขาจะคอยมาดูแลเจ้า " นักทำนายฟังประโยคหลังไม่ทันนัก เพียงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะความสนใจทั้งหมดพุ่งไปยังร่างเงาที่เมื่อปรากฎต่อแสงไฟตะเกียงเช่นนี้แล้ว ก็กลับกลายเป็นหนุ่มร่างสันทัดคนหนึ่ง แต่งกายไม่ได้ดีไปกว่าชายพเนจรเท่าใดนัก เขามีเรือนผมสีฟ้าอ่อน ตาปรือ ท่าทางราวกับง่วงนอนอยู่เสมอ ทว่าเหนืออื่นใดคือผิวสีขาวที่ซีดจนน่ากลัว
"ข้าเมธโทร นักทำนายไพ่ ยินดีที่ได้รู้จักท่าน" หญิงสาวทักทายขึ้นก่อนตามมารยาท เสียงนั้นประหม่านัก หากคนถูกทักกลับไม่รับไมตรีจิต ชายแปลกหน้าเพียงยืนหลบอยู่หลังนักค้าข่าว ไม่พูดอะไร และดูไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น จิ้งจอกทองเสียอีกที่เดินเข้ามาใกล้ เอาขนหางนุ่มฟูมาปัดกับขาเธอเบาๆ
"ทริสไม่พูดหรอก เขาเป็นคนที่เกเบรียล ควอทซ์ส่งมาให้คอยดูแลเจ้า" เซนาสต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากตอบแทนคนปากหนัก ซึ่งแม้จะได้ยินชื่อของตน หนุ่มผมฟ้าก็ทำท่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่นั่นเอง จนนักค้าข่าวต้องเป็นฝ่ายดึงแขนเขาให้มาหยุดยืนเผชิญหน้ากับคนดูไพ่ ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมที่สบประสานกับสายตาคู่สีเขียวนั้นช่างดูไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง ราวกับเครื่องจักรที่ทำตามคำสั่งโดยไร้ซึ่งชีวิตจิตใจใดๆ
"อีกหน่อยเจ้าก็จะชินไปเอง" คนพเนจรรีบปลอบเมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้าเหยเกคล้ายถูกบังคับให้ฉีกไพ่ของตนทิ้ง จะมีใครในโลกบ้างเล่าที่จะชอบใจเมื่อถูกยัดเยียดบุรุษแปลกหน้าให้มาอยู่ร่วมชายคาด้วย ซ้ำร้ายบุรุษดังกล่าวยังเหมือนตุ๊กตากลที่ไม่พูดอะไร ไม่แสดงสีหน้าใด และไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอื่นใดนอกจากความเย็นเยียบเฉยชา
ทว่าอาจเป็นวินาทีนั้นกระมังที่เมธโทรเพิ่งตระหนักถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้...
"เหตุใดพ่อค้าอัญมณีต้องส่งคนมาดูแลข้า?" นักดูไพ่เร่งถามเสียงตระหนก ความสงสัยระคนแปลกใจฉายชัดในน้ำเสียงนั้น
"หมายความว่า ต่อจากนี้ ทริสจะมาอยู่รับใช้คุณหนูเมทโธร คาลินจ์ ตลอดเวลาไงขอรับ" เซนาสหลิ่วตาล้อเลียน แกล้งตอบไม่ตรงคำถามเสียเฉยๆ ส่วนหญิงสาวขาพิการนั้นพูดอะไรไม่ออกเสียแล้ว ได้แต่เบิกตากว้าง มองชายหนุ่มทั้งสองสลับกันไปมา คำถามมากมายไหลหลากอยู่ในดวงตาสีเขียวคู่งาม
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เมธโทร คาลินจ์ นักดูไพ่ขาพิการแห่งเดลฟีคุ้นเคยกับการที่ตนเองเป็นคนไม่สลักสำคัญอะไร โลกของเธอนั้นแปลกแยกแตกต่าง ไม่มีผู้ใดอยากเกี่ยวข้องและแม้อยากไปข้องเกี่ยวกับใครก็ไม่สามารถกระทำได้ พ่อค้า เศรษฐกิจ ขุนนาง การเมือง หรือแม้แต่งานเลี้ยงสวยงามล้วนอยู่คนละโลกกับเธอทั้งสิ้น แม้อยากใส่ใจก็ไม่มีค่าพอให้เสียเวลาคิด เป็นดั่งโลกแห่งความฝันซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากนัก
ทว่าชายผู้นี้กำลังทำอะไรหรือ...นำโลกแห่งความฝันเข้ามาซ้อนทับชีวิตจริงของเมธโทร คาลินจ์ หรืออย่างไร เขาเอ่ยชื่อเกเบรียล ควอทซ์ออกมา มีผู้ใดบ้างในเดลฟีที่ไม่รู้จักอาณาจักรธุรกิจและความมั่งคั่งของพ่อค้าอัญมณี บุคคลผู้นั้นร่ำรวยนัก มีทั้งชื่อเสียงและบารมี เหตุใดชื่อของเขาและชื่อของเธอจึงถูกนำมากล่าวรวมอยู่ในประโยคเดียวกันเล่า ซ้ำเหตุใดเขาต้องส่งคนมาดูแลนักทำนายขาเสียคนหนึ่งซึ่งไม่มีค่าพอจะเทียบแม้แหวนสักวงของเขาได้เลย
เมธโทรคิดว่าตนรู้แน่ชัดแล้วว่า...คำตอบนั้นอยู่เบื้องหน้าเธอนี่เอง
"เซนาส นี่เจ้า..เจ้าคงไม่ได้ถือเป็นจริงจังใช่ไหม...คำสัญญาในวันนั้น" เสียงของคนดูไพ่ตะกุกตะกัก นัยน์เนตรสีเขียวเงยขึ้นมองบุรุษผมดำราวกับไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลยในชีวิต
เรื่องแค่นี้...ด้วยเรื่องแค่นี้เองหรือ ชายคนนี้ลงมือทำอะไรตั้งมากมาย หลายสิ่งหลายอย่างสลักสำคัญหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าคำร้องขอเอาแต่ใจของนักทำนายขาพิการคนหนึ่งนัก เพียงเพื่ออะไรกัน ยอมลำบากขนาดนี้เพื่ออะไรกัน...เพื่อรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับหญิงไร้ค่า...คำสัญญาที่เธอไม่เคยคิดถือจริงจังเลยน่ะหรือ
"เมธโทร ข้าให้คำสัญญาไว้ เหตุใดข้าจึงไม่ถือจริงจังเล่า" ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ย่อตัวก้มลงอุ้มจิ้งจอกของตนมาไว้อยู่ในอ้อมแขน
"แค่ทำให้เจ้าเป็นเดลฟีนา ไม่ได้ยากลำบากเกินความสามารถของข้าหรอก เจ้าอย่าได้กังวลเลย" สายตาสองคู่จึงจ้องมาที่เธอ คู่สีดำนั้นแสดงถึงความเข้าอกเข้าใจแกมขบขัน ส่วนคู่สีทองนั้นฉายชัดว่าเบื่อหน่ายเกือบเป็นรำคาญ
"แต่..แต่..." คำพูดเหตุผลมากมายวิ่งวนอยู่ในหัว ทว่าท้ายสุดแล้ว หญิงสาวก็ไม่อาจกล่าวออกไปสักคำเดียว เซนาสเห็นดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆอย่างที่ชอบทำ มือข้างหนึ่งอุ้มจิ้งจอกทองไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งเอื้อมมาลูบแก้มเธออย่างอ่อนโยน
"เมธโทร คาลินจ์ เจ้าจะได้เป็นเดลฟีนา ข้าสัญญา"
เดลฟีนา...เดลฟีนา...
ตอนนี้เธอยังต้องการมันอยู่หรอกหรือ...เธอยังคงปราถนาจะเป็นอีกหรอกหรือ
ความสุขของเธอ...คือการได้เป็นเดลฟีนาแห่งเดลฟีแน่หรือ...
"เซนาส ข้าขอร้องเจ้า อย่าได้ทำเพื่อข้า อย่าได้ไปต่อกรกับตระกูลชารีญาเพื่อข้าเลย" เมื่อหมดหนทางที่จะเอาชนะ นักทำนายจึงเปลี่ยนมาเป็นอ้อนวอน ตระกูลเซรีญาเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ มีอำนาจมากนัก แม้นักค้าข่าวจะมีตระกูลควอทซ์และนายวาณิชคอยหนุนหลัง ทว่าก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะปลอดภัย
หากเขาต้องเป็นอะไรไปเพราะคำร้องขอโง่ๆของเธอ...หญิงสาวคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต
"เหตุใดเจ้าจึงว่าข้าทำไม่ได้ ซาร์ลรัน ชารีญา เป็นเจ้าของสิทธิขาดในอำนาจเดลฟีนาหรอกหรือ" ชายหนุ่มย้อนพลางหัวเราะน้อยๆ ไม่นึกเห็นว่าความกังวลของหญิงสาวเป็นเรื่องสลักสำคัญ
เจ้าบ้านตระกูลชารีญามีบุตรชายห้าคนและธิดาสี่คน ซาร์ลรัน ชารีญา เป็นบุตรคนที่สี่ เขาเป็นคนมีสติปัญญาดี เมื่อเด็กใครๆที่ได้รู้จักต่างกล่าวว่าภายภาคหน้าเขาจะได้เป็นใหญ่เป็นโตตามบิดา ครั้งพอโตขึ้น เขาก็เข้ารับราชการเช่นเดียวกับสายตระกูล ทว่าซาร์ลรันมีพรสวรรค์ด้านการทำนาย สามารถใช้ลูกแก้วบอกอนาคตได้ถูกต้องแม่นยำนัก ดังนั้นเมื่อถึงคราวคัดเลือกเดลฟีนาแห่งเดลฟี เหล่าขุนนางจึงสนับสนุนเขา บอกให้ชายหนุ่มทิ้งงานราชการแล้วขึ้นเป็นเดลฟีนาเสีย ตำแหน่งนักทำนายนั้นดี สร้างชื่อให้แก่วงศ์ตระกูลยิ่ง กระทั่งบิดาพี่น้องของเขาเองก็ยังเห็นตามนั้น ท้ายสุดแล้ว ซาร์ลรันจึงกลายเป็นเดลฟีนาคนปัจจุบัน หรือที่ถูกเหล่านายวาณิชเรียกลับหลังว่าขุนนางเดลฟี
"แม้มิใช่สิทธิขาด ทว่าขุนนางซาร์ลรันก็ได้สิทธินั้นมาโดยชอบธรรม" หญิงสาวพิการยังคงยืนยันความคิดของตน ฟังดูประหนึ่งว่าเธอกำลังเข้าข้างขุนนางและมิใช่ผู้ที่เขาจะนำประโยชน์มามอบให้
"กฎแต่โบราณมีว่าอย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ เมธโทร?" แม้ยามเอ่ยประโยคนี้ รอยยิ้มก็ยังคงละไมอยู่บนดวงหน้าขาวของชายพเนจร มือใหญ่ลากจากแก้มนวลขึ้นมาลูบหัวเธอเบาๆอย่างอ่อนโยน นักทำนายไพ่ไม่ปฎิเสธการกระทำนั้น ซ้ำยังซุกตัวเข้ากับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย เบียดอยู่กับจิ้งจอกทอง
"ข้ารู้...แต่ข้า..ข้า...ข้าทำไม่ได้หรอก" เธอกระซิบอู้อี้ แนบหน้าลงบนตำแหน่งหัวใจของเขาราวกับจะร้องขอคำปลอบโยน
ราชสำนักมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง...ขนาดของมันหนากว้างกว่าฝ่ามือ ซ้ำยังหนักเสียจนต้องใช้ชายฉกรรจ์ถึงสองคนในการเปิด ว่ากันว่าปกของมันทำจากทองคำบริสุทธิ์ประดับประดาด้วยเพชรด้วยพลอย หน้ากระดาษนั้นเล่าก็เป็นแผ่นเหล็กรีดจนบางจารตัวอักษรไว้ด้วยโลหะเหลวล้ำค่า เนื้อหาของมันว่าด้วยกฎหมายทั้งมวลแห่งเดลฟี เป็นประมวลอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้แม้กระทั่งเจ้าเมืองเอง
ในบทที่สามสิบหกของหนังสือเล่มนั้น อักษรสีเงินสลักไว้ชัดนักถึงกฎเกณท์ของผู้เป็นเดลฟีนา และในย่อหน้าที่สิบแปดได้กล่าวไว้ดังนี้...
'มาตราที่2360 บุคคลใดประสงค์จะขึ้นดำรงตำแหน่งเดลฟีนาก่อนครบกำหนดเวลาของเดลฟีนาคนปัจจุบัน บุคคลนั้นต้องแสดงความสามารถให้ประจักษ์ว่าฝีมือตนเหนือกว่า และเดลฟีนาคนปัจจุบันย่อมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธคำร้องนั้น โดยต้องจัดให้มีการประลองขึ้นทั้งหมดสามครั้ง หากบุคคลดังกล่าวสามารถผ่านการทดสอบครบทั้งสามครั้งได้ บุคคลนั้นย่อมได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเดลฟีนาสืบไป และเริ่มนับระยะเวลาใหม่จนกระทั่งครบสิบปีนับแต่วันขึ้นรับตำแหน่ง
อนึ่งหากบุคคลดังกล่าวพ่ายแพ้ต่อเดลฟีนาคนปัจจุบัน ย่อมต้องได้รับโทษดังนี้ หากพ่ายแพ้การทดสอบครั้งที่หนึ่งสูญสิ้นชื่อเสียง พ่ายแพ้ครั้งที่สองสูญสิ้นทรัพย์สิน และพ่ายแพ้ครั้งที่สามสูญสิ้นชีวิต
เดลฟีนาที่แพ้นั้นย่อมถูกริบตำแหน่ง รวมทั้งแบ่งทรัพย์สินกึ่งหนึ่งให้กับฝ่ายที่ชนะและจะเสียสิทธิ์ในการเป็นนักทำนายเป็นเวลาสิบปี ทั้งนี้ หากมีการตกลงกันเป็นอย่างอื่นย่อมสามารถเอาแม้กระทั่งชีวิตได้ด้วย '
"เจ้าอาจทำไม่ได้ แต่ข้าจะทำให้เจ้าทำได้เอง ลืมวันแรกที่เราพบกันแล้วหรือ.." เซนาสกระซิบข้างหูหญิงสาวผู้กำลังตื่นกลัว น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ คล้ายสิงห์โตหนุ่มผยองยามออกล่าเหยื่อ
"ไม่ใช่คนพเนจร ไม่ใช่นักค้าข่าว แต่เป็นนักมายากล เซนาส เนราเวล" มือที่โอบร่างเธออยู่พลันคลายออก ปรากฎขึ้นเป็นนกไฟบินพุ่งออกจากมือนั้น เริ่มจากจงอยปากสีทองงดงาม ต่อด้วยปีกใหญ่ที่ราวกับเปลวเพลิงลุกไหม้ นกไฟนั้นสวยสง่านักดั่งหลุดออกจากเทพนิยาย ขนหางยาวสลวยละไล้แก้มนวลแผ่วเบายามมันบินผ่านหน้าเธอ พุ่งขึ้นไปยังรัตติกาลเบื้องบนก่อนกลืนหายไปกับหมู่ดาว
แม้จะเคยเห็นชายหนุ่มแสดง'มายากล'เสกนกไฟเช่นนี้มาก่อน ทว่าหญิงสาวก็ยังคงตื่นเต้นประทับใจอยู่นั่นเอง
"ท่าน...ท่าน..." คนที่เพิ่งเห็นนกไฟครั้งแรกในชีวิตกระซิบเสียงสั่น กึ่งชื่นชมกึ่งหวาดกลัว ไฟของนกสวรรค์นั้นละลายได้แม้แต่หน้ากากน้ำแข็งเย็นชาของชายผมฟ้าไร้อารมณ์ และแสดงให้เห็นว่าเขาก็พูดได้เช่นเดียวกับมนุษย์ปกติธรรมดา
"เมธโทร ทำนายให้ข้าที ตอนนี้อากาศเป็นเช่นไร" ชายหนุ่มไม่สนใจทริส หันมากล่าวกับนักทำนาย
หญิงสาวนิ่วหน้านิดหนึ่งให้กับคำร้องขอแปลกประหลาดนั้น จะให้เธอพยากรณ์อากาศทำไมในเมื่อแค่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็ทราบแล้วมิใช่หรือ ทว่าท้ายสุดเธอก็หยิบไพ่ขึ้นจากกระเป๋าเสื้อคลุม สลับกรีดอย่างชำนิชำนาญ ครั้งเรียบร้อยดีแล้วจึงแผ่กางออกเป็นใบพัด หลับตาพึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเลือกหยิบมาหนึ่งใบ
"อากาศ เอ่อ..." นักทำนายนิ่วหน้า มองไพ่ในมือสลับกับท้องฟ้าไปมา ก่อนจะตอบอ้อมแอ้ม ไม่ยอมสบตาใคร ซ้ำยังรีบเอาไพ่นั้นซ่อนกลับเข้าไปในกองอีกด้วย
"ข้า...ข้าคิดว่าก็คงอากาศดีกระมัง"
"เอ...ไม่ใช่ว่า 'ฝนตกหนัก'หรอกหรือ?" เซนาสกระเซ้ายิ้มๆ อะไรบางอย่างในนัยน์ตาสีดำรัตติกาลชวนให้ไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อย ส่วนหญิงพิการนั้นนิ่งอึ้งไปคล้ายถูกจี้ใจดำ
ฉับพลันโดยไม่มีมีแม้ลางบอกเหตุ เมฆใหญ่ครึ้มก็เคลื่อนคล้อยเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าใสกระจ่าง บดบังแสงจันทร์และเหล่าดวงดารา กลืนรัตติกาลให้มืดสนิท ครั้งเมื่อทั่วทั้งผืนฟ้ากลายเป็นสีเทาทึบ ปฏิกิริยาควบแน่นก็กลั่นเมฆาร่วงหล่นลงมาเป็นหยดน้ำ พร่างพรมรวดเร็วและรุนแรง กระหน่ำพัดราวกับพายุร้ายพื้นดินแห้งระแหงไปจนถึงต้นไม้ใบหญ้า ทุกสิ่งทุกอย่างต่างโดนสายฝนซัดชุ่มโชก ภาพค่ำคืนอันแสนสงบสุขถูกฉีกกระชากทำลายในพริบตา
"นะ..นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน" ทริสครางเสียงแผ่ว มองภาพตรงหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาของตน ทั้งๆที่ทุกสิ่งรอบกายต่างถูกพายุฝนพัดกระหน่ำจนเปียกโชกไปตามๆกันแท้ๆ ทว่าเพียงนักค้าข่าวผมดำยกมือข้างหนึ่งขึ้นฟ้า รอบตัวพวกเขาก็แห้งสนิทราวกับมีปราการที่มองไม่เห็นคอยกั้นพระพิรุณไว้
"ก็แค่มายากลพื้นๆเท่านั้นเอง ทริส" คนพเนจรพูดราวกับเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่ใครๆก็ทำได้ ไม่เห็นน่าตื่นเต้นตกใจตรงไหน แต่พอเขาพูดอย่างนี้แล้ว ก็คงมีเพียงเนธานละมังที่เห็นด้วย เพราะดวงตาสองคู่ที่มองมานั้นยังคงทำราวกับเห็นเรื่องที่น่าพิศวงที่สุดในชีวิต
"เจ้า..เจ้าทำให้คำทำนายของข้าเป็นจริง หรือคำทำนายของข้าบอกสิ่งที่เจ้าทำกัน!" เสียงของเมธโทรสั่นตะกุกตะกัก เธอไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ชายหนุ่มมีอำนาจเสกสายฝนหรือกั้นพายุเลยสักนิด สิ่งที่อยู่ในหัวหญิงสาวผมทองทีเพียงเรื่องคำทำนาย...เรื่องไพ่ใบนั้น...ไพ่ที่ตนจับขึ้นมาและคิดว่าทำนายผิดพลาด จึงบอกชายหนุ่มไปว่าอากาศนั้นสดใสดี ทั้งยังเร่งซ่อนไพ่ดังกล่าวกลับเข้ากองแต่โดยไวเพื่อไม่ให้มีพิรุธ
แต่นี่มันอะไรกัน...นักมายากลนั่นเล่นกลให้ฝนตกเพื่อเอาใจเธอ หรือว่าแท้จริงแล้วเธอสามารถทำนายได้ว่าเขาจะเล่นกลนี้กันแน่?
"จะต่างกันอย่างไรเล่า คราวนี้ เจ้าเชื่อหรือยังว่าตัวเจ้ามีความสามารถพอที่จะต่อกรกับขุนนางซาร์ลรันได้" เซนาสยิ้มให้เมธโทร ก่อนจะทำท่าเหมือนเพิ่งนึกถึงเรื่องสำคัญอะไรขึ้นได้
"อ้อ ทริส ข้าหวังว่าเจ้าเองจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามบอกใครแม้แต่ท่านเกเบรียลเอง เข้าใจหรือไม่" ท่าทีเอื่อยเฉื่อยของนักค้าข่าวฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายกรรโชกแบบเดียวกับครั้งแรกที่เมธโทรเจอเขา ดาบยาวเล่มงามที่ไม่มีเคยถูกชักออกจากฝักบัดนี้คมของมันวางทาบบนลำคอขาวซีดของบุรุษผมฟ้าที่ได้แต่นิ่งมองอย่างตกตะลึง
ดวงตาคู่สีรัตติกาลข่มขู่เอาจริงเอาจังจนเชลยในมือต้องรีบพยักหน้ารับเร็วๆ นั่นแหละคนพเนจรจึงพอใจ ถอนดาบออกเก็บเข้าฝักและกลับกลายเป็นชายหนุ่มอารมณ์ดีตามเดิม
"เอาล่ะ ถ้าเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เมธโทร ต่อไปเจ้าไม่ต้องออกไปทำนายหาเงินอีก ข้าจะส่งคนมาสอนมารยาทเจ้า จะเรียกเสียงสนับสนุนจากผู้คนต้องกระทำตนให้น่าเชื่อถือเข้าไว้ ส่วนเจ้า ทริส เจ้ามีหน้าที่ดูแลเธอตามที่เกเบรียลสั่ง" เซนาสตบไหล่หนุ่มผมฟ้าเบาๆเชิงสัพยอก ทำราวกับเมื่อครู่ไม่มีเรื่องบาดหมางเกิดขึ้น ก่อนชายหนุ่มจะหันไปส่งยิ้มให้นักทำนายขาพิการ
"จากนั้นในงานเทศกาลที่ใกล้จะถึงนี้ เมธโทร เจ้าจะต้องไปร่วมงานดังกล่าว...ไปท้าขุนนางเดลฟีชิงตำแหน่งเดลฟีนา!"
หญิงสาวเชื่อว่า...นั่นไม่ใช่ประโยคขอร้อง แต่เป็นประโยคคำสั่ง ซ้ำยังเป็นประโยคที่แสดงว่าผู้พูดนั้นคุ้นเคยกับการออกคำสั่งดีเพียงใดอีกด้วย...
...........................................................................................................................................................
มาคราวนี้ ข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วว่าอะไรจะเป็นก็ปล่อยให้มันเป็นไปเถิด เพราะมันคงไม่สามารถยัดให้เป็นเรื่องสั้นแปดตอนจบได้ จริงอยู่ที่มันทำได้ ทว่าแต่ละตอนคงจะยาวเหยียดราวกับเอาสามสี่ตอนมาต่อรวมกัน ซึ่งก็ดูแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยนอกจากจะทำเพื่อให้มันได้ชื่อว่าแปดตอนจบเท่านั้น
ดังนี้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจปล่อยให้มันกลายเป็นเรื่องยาวไป อาจจะซักสิบกว่าตอนจบ คงจะไม่มากำหนดตายตัวแน่นอนแล้วว่า ต้องกี่ตอนจบๆ ข้าพเจ้ายังมีเรื่องที่อยากจะเขียนอีกมาก และต่อจากนี้ไปเนื้อเรื่องก็จะค่อยๆเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำและกำลังใจนะคะ :)
ตอบคุณ Eclair&Xandria : ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณเป็นอย่างสูง โพสเป็นคนแรกเลย 555+ ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ >[]<
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น