ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทัวร์ติ๊งต๊อง...ท่องอเวจี (Welcome To Helliday Tour)

    ลำดับตอนที่ #2 : ไกด์สาวมือใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 55





     

    "พะ...ผี"  

                   ผมละลักละล่ำตะโกนออกไปจนสุดเสียงในห้วงความคิด ทว่าในความเป็นจริง เสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากนั้นกลับเป็นเพียงเสียงกระซิบสั่น เบาหวิวและไร้พลังโดยสิ้นเชิง ลืมสิ้นว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ผมเพิ่งกล่าวคำปฏิญาณเด็กสายวิทย์ว่าผี ไม่มีในโลก

     

    "ไม่ใช่ผีค่ะ.." เธอนิ่วหน้า ท่าทางดูไม่สบอารมณ์เล็กๆเหมือนโดนหยามกันซึ่งหน้า

     

    "ฉันเป็นยมทูตตะหาก" ไม่ว่าเปล่า ยังมีการล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมซ้ายขวา หยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์หน้าตาคล้ายiPh*oneขึ้น มาจิ้มๆสองสามที ก่อนยื่นส่งให้ผมดู แต่ผมกล้ายื่นมือไปรับหรอก เอ๊ะ!ไม่สิ ไม่ใช่ว่าผมไม่กล้า แต่เผอิญมือผมไม่ว่างตะหาก ก็ใช้เกาะกำแพงตาข่ายอยู่อย่างเหนียวแน่นนี่นา

     

    สิ่งที่ปรากฎอยู่ในจอภาพมีลักษณะเหมือนบัตรประจำตัว มีรูปถ่ายพร้อมชื่อยมทูตสาวเสร็จสรรพ(เรนา เลอาร์วิอัส รหัสยมทูตA5201680617) เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าภูตผีปีศาจไม่มีในโลก จะมีก็แค่ยมทูตเท่านั้นเอง ว่าแต่ เฮ้ย!นี่ผมยังไม่ตายนะ แล้วอยู่ดีๆผมเกิดดวงตาเห็นธรรม..เห็นยมทูตได้ไงล่ะเนี่ย

     

    "นี่ คุณ!ผมยังไม่ตายนะ เงินไม่พอหรือไงถึงต้องมาทำงานล่วงเวลาหาโอทีใช้" เสียงของผมเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากที่รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ผี อย่างน้อยคุยกับคน..ยมทูตที่มีเลือดมีเนื้อปรากฎอยู่ตรงหน้าก็ยังหลอนน้อย กว่าคุยกับธาตุอากาศเปล่าๆเยอะ  แถมในเมื่อเป็นถึงยมทูตไม่ใช่คน ดังนั้นผมจึงสามารถพูดกับเธอแบบที่ตามปกติผมไม่สามารถใช้พูดกับคนได้

     

    "เปล่า นะ ฉันไม่ได้มาเก็บวิญญาณคุณนะคะ ฉันก็แค่มา...มา..." คำสุดท้ายกลายละครใบ้ทำปากพะงาบๆชนิดมีเสียงลอดออกมาไม่ถึงหนึ่งเดซิเบล ใบหน้าซีดขาวเริ่มมีสีแดงขึ้นเรื่อ มองๆไปก็ดูน่ารักดีนะ อยากรู้จริงว่าถ้าจับไปอาบแดดให้ผิวมีเลือดฝาดซักนิด แล้วจับถอดเสื้อคลุมอึมครึมนั่นเปลี่ยนมาเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นจากดีไซเนอร์ ชื่อดังซักหน่อย ยัยเรนานี่คงสวยสู้นางงามระดับขึ้นปกนิตยสารระดับโลกได้สบาย

     

    อะไรน่ะ...นิตยสารจีโอกราฟฟี่หรอ เสียมารยาทน่า!!!

     

    "มา...มาอะไรหรอครับ?"คราว นี้ตาผมนิ่วหน้าบ้างเพราะฟังไม่ได้ยิน เธอทำท่าคล้ายถอนหายใจ หน้าที่แดงเรื่ออยู่แล้วยิ่งขึ้นสีจนดูคล้ายเลือดทั้งตัวจะมาร่วมกันร้อง เพลงสามัคคีชุมนุมอยู่บนใบหน้า

     

    "มา...มาชวนคุณไปเที่ยวนรกค่ะ" เธอหลับหูหลับตาพูดออกมารวดเดียวจนจบ ในขณะที่ผมฟังแล้วได้แต่เปล่งเสียงอุทานโง่ๆบื้อๆออกมาคำเดียว

     

    "หา?!"

     

    นี่ ถ้ามีรายการทีวีมาถ่ายทำ...ตอนนี้ก็จะเป็นช่วงเวลาที่คนซ่อนกล้องจะกระโดด ปรากฎตัวออกจากที่ไหนซักแห่ง พร้อมกับตะโกนว่า" เซอร์ไพร์ส!" แต่ที่แน่ๆ ผมคงไม่ขำด้วย

     

    "คุณ..คุณ ว่ายังไงนะ" หลังจากหาเสียงของตัวเองเจอ ผมก็รีบตอบปฎิเสธทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ขืนตอบตกลงก็บ้าสิครับ...มาชวนไปลงนรกนะ ไม่ได้ขึ้นสวรรค์

     

    ยมทูต สาวยิ้มเอียงอายเล็กน้อย ท่าทีนั้นดูปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังลำบากใจ เหมือน...เหมือน อ้อใช่!เหมือนเซลล์แมนฝึกงานที่เพิ่งเคยเสนอขายสินค้าเป็นครั้งแรกนี่เอง

     

    "สะ..สนใจ ไปเที่ยวนรกไหมคะ รับรองว่าคุณจะต้องได้พบกะ..กับประสบการณ์แสนประทับใจที่ไม่สามารถหาชม ได้ที่ไหนอีก แถมทางเรายังรับประกันเรื่องความสะดวกสบาย คะ..คุ้มมากๆเลยนะคะ" เธอหลับหูหลับตาพูดเป็นครั้งที่สอง สั่นตะกุกตะกักราวกับกำลังเล่าเรื่องน่าอับอาย คราวนี้รูปประโยคฟ้องกันโต้งๆว่าท่องมาเห็นๆ..เซลล์แมนมือใหม่จริงๆด้วย

     

    ว่าแต่ เมื่อครู่เหมือนคุณเธอตกประโยคที่ว่า 'รับประกันความปลอดภัย' ไปหรือเปล่านะ?

     

    คิดในอีกแง่นึง การกระโดดตึกตายมันคงไม่อันตรายน้อยไปกว่าการไปเที่ยวกับยมทูตเท่าไหร่หรอก

     

    "เท่าไหร่ล่ะ?" ผมถาม พอเห็นสีหน้ากึ่งประหลาดใจกึ่งดีใจของเธอ ผมจึงถามซ้ำอีกครั้ง

     

    "ค่าไปทัวร์นรกนี่เท่าไหร่ล่ะคุณ?"

     

    เร นายิ้ม...ตอนแรกก็เป็นยิ้มไม่มั่นใจนัก แต่เมื่อได้ยินผมถามซ้ำอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นจึงค่อยๆแย้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ดูสดใสจนไม่เข้ากับเสื้อคลุมยมทูตสีดำสนิทนั่นเลยสักนิด ดูไปดูมาชักคล้ายๆกับคนตกปลาที่เห็นเหยื่อมากินเบ็ดที่ล่อไว้ยังไงๆชอบกล

     

    และด้วยรอยยิ้มยินดีอันแสนงดงามนั้นเอง เธอตอบผมมาพร้อมแววตาใสๆว่า...

     

    "ขอแค่ครึ่งนึงของชีวิตคุณที่เหลือค่ะ!"

     

     

         ...?!?!?!...  

     

     

     

     

    เรื่องราวทั้งหมด...มันเป็นแบบนี้

     

    มี หมอหนุ่มผู้เพียบพร้อมคนหนึ่ง นอกจากจะหล่อแล้ว ยังเป็นศัลยแพทย์หัวใจมือวางอันดับต้นๆของโลกอีกด้วย แต่เมื่อพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก หมอหนุ่มดันเกิดเป็นโรคหัวใจเสียเอง ส่งผลให้อนาคตที่กำลังตั้งท่าจะรุ่งโรจน์ต้องดับวูบไปภายในพริบตายิ่งกว่า หลุมดำกลืนอุกกาบาต แถมร้ายไปกว่านั้น ผลการตรวจจากหมอหัวใจ (คนอื่น) ออกมาว่า เขาจะมีชีวิตเหลืออยู่อีกแค่ไม่กี่เดือน ทำให้หมอหนุ่มหมดอาลัยตายอยากในชีวิตยิ่งนัก จึงตั้งใจจะฆ่าตัวตาย แต่ที่น่าชีช้ำกะหล่ำปลีดองสุดๆก็คือ นอกจากพระเจ้าจะไม่รักเขาแล้ว ยังจงเกลียดจงชังขนาดหนัก ถึงขนาดส่งยมทูตตัวเป็นๆมาเชิญให้เขาไปท่องนรกตั้งแต่ยังไม่ทันได้ฆ่าตัวตาย ให้สมอยากอีกด้วย!

     

     

    สุดท้าย...ผม ก็แบกเป้สภาพเหมือนแบ็กแพ็กเกอร์กระเป๋าแห้งหมดสภาพคุณหมอหนุ่มรูปงาม มายืนเซ่ออยู่ที่หน้าโบสถ์ชื่อพิลึกกลางกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงแห่งนครกรีกโบราณ จนได้ พร้อมกับตั้งคำถามถามตัวเองในใจว่าอาจจะถึงเวลาที่ผมอาจจะต้องแวะเวียนไป เยี่ยมเยียนเพื่อนสนิท (ที่เป็นไอ้หมอโรคจิต เอ๊ย!จิตแพทย์) ได้แล้ว

     

    เบื้อง หน้าผมคือวิหารหินอ่อนขนาดใหญ่ แม้จะไม่สูงเท่าตึกเอ็มไพน์สเตรททื่ผมเคยไปเที่ยวมาเมื่องสองปีก่อน ทว่ากลับมีอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกกดดันน่าเกรงขาม ราวกับลวดลายสลักอ่อนช้อยที่เป็นเอกลักษณ์ของช่างฝีมือชั้นยอดนั้นคือดวงตา ของก้อนศิลาที่เฝ้ามองมนุษย์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ครั้งเมื่อมองลึกลงไป ใต้เส้นโค้งที่ดูลวงราวกับพริ้วไหวนั้นยากที่จะเชื่อว่าสลักขึ้นจากหินแกร่ง

     เพียง พริบตาที่ผมเห็นภาพประวัติศาสตร์เมื่อหลายพันปีก่อนซ้อนทับมา ทั้งความศรัทธาและเข้มแข็งผสมกลมกลืนกันจนเป็นหนึ่งเดียว หลายอารมณ์หลากเข้ามาในความรู้สึก ซึมลึกเข้าไปเกือบถึงแก่นของวิญญาณ หัวใจผมเต้นระรัวแรงเพราะความปิติที่เกิดขึ้นจากการได้มาพบกับหนึ่งในสิ่ง มหัศจรรย์ของฝีมือมนุษย์

     

    วินาทีนั้น...ผมนึกขอบคุณยมทูตเรนาที่พาผมมาพบกับโบสถ์แห่งพระเจ้าซึ่งแสนสง่างามเช่นนี้

     

    แต่พอชื่อเรนาแว่บเข้ามาในหัว ผมก็อดนึกถึงประโยคสนทนาของสองเราเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนไม่ได้...

     

     

     

    "เท่าไหร่ล่ะ?" ผมถาม พอเห็นสีหน้ากึ่งประหลาดใจกึ่งดีใจของเธอ ผมจึงถามซ้ำอีกครั้ง

     

    "ค่าไปทัวร์นรกนี่เท่าไหร่ล่ะคุณ?"

     

    เร นายิ้ม...ตอนแรกก็เป็นยิ้มไม่มั่นใจนัก แต่เมื่อได้ยินผมถามซ้ำอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นจึงค่อยๆแย้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ดูสดใสจนไม่เข้ากับเสื้อคลุมยมทูตสีดำสนิทนั่นเลยสักนิด ดูไปดูมาชักคล้ายๆกับคนตกปลาที่เห็นเหยื่อมากินเบ็ดที่ล่อไว้ยังไงๆชอบกล

     

    และด้วยรอยยิ้มยินดีอันแสนงดงามนั้นเอง เธอตอบผมมาพร้อมแววตาใสๆว่า...

     

    "ขอแค่ครึ่งนึงของชีวิตคุณที่เหลือค่ะ!"

     

    "จะ บ้าเร๊อะคุณ!ตั้งครึ่งชีวิตเชียวนะ" ผมตะโกนแหกปากโวยวายขึ้นทันที ภาพคุณหมอหนุ่มรูปหล่อในชุดเสื้อกาวน์แพทย์ขาวสะอาดกำลังใช้สองมือเกาะลวด ตาข่ายร้องเอะอะเสียงดังลั่นอยู่คนเดียวบนดาดฟ้าตึกตอนกลางวันแสกๆนี่คงออก มาน่าสมเพชสิ้นดี

    และ ต่อให้ผมอธิบายจนปากฉีกถึงหู หรือใช้ปริญญากี่สิบใบค้ำประกันว่าผมแค่คุยกับยมทูตอยู่ ไม่ได้บ้า ก็คงไม่มีใครเชื่อ ดีไม่ดีมีหวังผมจะต้องทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ในอาคารหลังคาแดงๆอีกตะ หาก

     

    "แต่เมื่อครู่ฉันเห็นคุณกำลังจะทิ้งทั้งชีวิตนี่คะ?" สาวน้อยมืดมนตรงหน้าย้อน กระแทกได้จี้ใจดำจริงๆ

     

    "เห็นแล้วยังคิดจะมาขัดขวางอีกนะ" ผมทำหน้ามุ่ย เริ่มตีลูกรวน  

     

    "ถ้า ยังอยากจะฆ่าตัวตายอยู่ จะกระโดดลงไปตอนนี้ก็เชิญตามสบายค่ะ" เธอยิ้มพลางผายมือไปยังเวิ้งอากาศเบื้องหน้า สาบานได้ว่าผมเห็นรอยขบขันอยู่ในนัยน์ตาสีดำขลับหลังแว่นเลนส์ไร้กรอบ ทางนรกไม่ได้อบรมมาหรือไงนะว่าเป็นเซลล์แมนต้องอย่าพูดให้ลูกค้าลำบากใจสิ

     

    "คะ..คิด อีกที ไปเที่ยวนรกก่อนตายก็ไม่เลวเหมือนกัน" ผมกัดฟันพูด มองใบหน้าที่กำลังฉายรัศมีออร่าของเซลล์แมนที่เพิ่งขายสินค้าสำเร็จด้วย สายตาคับแค้นใจ ยมทูตอะไรไม่น่ารักเอาเสียเลย!

     

    อะไร น่ะ...จะบอกว่าผมไม่แน่จริงงั้นหรอ อย่าพูดอย่างนั้นสิ ยังไงผมก็เป็นลูกผู้ชายคนนึงนะ ถ้าไม่ติดว่ามือที่กำลังเกาะลวดตาข่ายถูกเหน็บกินจนขยับไม่ได้ล่ะก็ โดนท้าแบบนี้จะกระโดดลงไปให้ดูเป็นขวัญตา ถ้าไม่จริงขอให้ฟ้าผ่าหัวไอ้ดำหมาหน้าโรงบาลสิเอ้า!

     

     

     

    และ นั่นก็คือสาเหตุ...ที่ทำให้ผมต้องยื่นใบลาพักร้อนในเดือนที่ร้อนที่สุดของปี จัดกระเป๋าหอบผ้าหอบผ่อนเดินทางโซซัดโซเซมายังมหานครเอเธนส์แห่งนี้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×