ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทัวร์ติ๊งต๊อง...ท่องอเวจี (Welcome To Helliday Tour)

    ลำดับตอนที่ #1 : เมื่อความซวยมาเยือน...

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 55






    หนังสือพิมพ์ที่ผมยอมสั่งซื้อมาเพื่อตัดรำคาญจากลูกตื๊อของพนักงานขายนอนแหมะหราอยู่บนโต๊ะทำงานของผมเหมือนเช่นทุกวัน แค่เหลือบตามองพาดหัวข่าวซ้ำๆเดิมๆไม่มีอะไรน่าสนใจก็ทำให้ผมรู้สึกเบื่อ ก่อนที่จะทันได้หยิบมันเปิดอ่านเสียอีก ทั้งยังรู้สึกมืดมนลงด้วยซ้ำเมื่อเห็นภาพชายหนุ่มในชุดฟอร์มนักศึกษา  นอน   เลือดท่วมอยู่ที่พื้น อักษรสีดำตัวโตคาดทับรูปด้วยถ้อยคำดึงดูดจำพวกพยายามทำให้เว่อร์เกินจริงเข้าไว้

     

    ผมผลักหนังสือพิมพ์ไปกองๆไว้ข้างๆโต๊ะ ถึงมันจะไปเบียดกับเอกสารวิชาการตั้งเบ้อเร้อที่ผมยังคงทำค้างอยู่ก็ช่างมันประไร ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่สำคัญกว่าซึ่งต้องจัดการก่อนที่ผมจะตายตอนบ่ายสองนี่

     

    เปล่าหรอก...ไม่มีหมอดูที่ไหนมาทำนายทายทักเวลาตายของผม แต่ผมนี่แหละที่ไปหาหมอดูเพื่อขอฤกษ์ขอยามหาเวลาตายของตัวเอง!

     

    ผมนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งได้แค่อึดใจเดียวก็ตัดสินใจลุก มันเป็นเก้าอี้ล้อเลื่อนสีดำใหญ่ท่าทางภูมิฐานซึ่งสงวนไว้สำหรับคนระดับผู้บริหารเท่านั้น สัมผัสอันอ่อนนุ่มของมันเทียบชั้นได้กับโซฟาชั้นยอด แม้ว่ามันจะเป็นเก้าอี้สำหรับทำงานก็ตาม ทว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอะไรกับผมอีกแล้วล่ะ ที่ผมต้องการคือกาแฟเข้มๆ ซักแก้วตะหาก

     

    "คุณเพ็ญ เดี๋ยวช่วยเอาเอ็กเพรสโซร้อนเข้ามาให้ผมแก้วนึงด้วย" ผมเปิดประตูออกไปแจ้งความประสงค์แก่เลขานุการสาวหน้าห้อง จริงๆแล้วเพ็ญนภาเป็นคนสวย เสียแต่ว่าขี้จุกจิกไปนิด

     

    "ไม่ได้ค่ะ คุณหมอก็ทราบดีนี่คะว่าห้ามทานกาแฟ" เสียงเย็นๆตอบกลับมาก่อนที่เธอจะหันไปเร่งจัดการกองเอกสารที่คั่งค้างโดยไม่สนใจผมอีก นั่นไง บางทีผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านาย  ผมถูกจำกัดกาแฟอย่างเด็ดขาดมาเกือบสามเดือนแล้ว จะขอกินซักแก้วให้ชื่นใจก่อนตายไม่ได้หรือไง ทว่าก็โทษคุณเพ็ญไม่ได้หรอก เพราะเธอยังไม่รู้นี่นาว่าผมจะลาโลกตอนบ่ายนี้แล้ว

     

    หลังจากยืนบื้ออยู่ตรงนั้นซักครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นธาตุอากาศว่างเปล่าที่แม้แต่เลขาตัวเองยังแม้แต่จะชายตามอง ผมก็ตัดสินใจเดินออกจากห้องทำงานด้วยความรู้สึกน้อยใจนิดๆ ตั้งใจจะไปลาบรรดาคนไข้ทั้งหลายในความรับผิดชอบของผมที่วอร์ดเป็นหนสุดท้าย แต่ท้ายสุดแล้ว ผมก็เปลี่ยนใจ ยังไงๆวันนี้ก็ขอให้ได้ดื่มกาแฟซักแก้วก่อนเริ่มงานเถอะ

     

    พนักงาน ประจำเคาท์เตอร์ร้านกาแฟชื่อดังส่งยิ้มหวานให้ผมชนิดที่เรียกว่าตรงข้ามกับ คุณเพ็ญนภาโดยสิ้นเชิง ผมไล่ดูเมนูโดยไม่สนใจราคา ถึงอย่างไรผมก็ใกล้จะตายแล้ว เงินสดหลายล้านที่นอนอยู่ในธนาคารถึงจะอยากเอาติดตัวไปใช้โลกหน้าแค่ไหนก็คง เป็นไปไม่ได้อยู่ดี แต่ยิ่งผมใช้เวลาเลือกมากเท่าไร รอยยิ้มของพนักงานขายก็เริ่มจะเลือนหายเข้าไปทุกทีเหมือนดอกไม้ที่ใครๆต่าง ลืมรดน้ำ การตัดสินใจเลือกกาแที่จะมาเป็น"แก้วสุดท้าย" ของชีวิต นี่มันยากจริงๆ ยากยิ่งกว่าตอนที่ผมตัดสินใจผ่าตัดหัวใจทำบายพาสเร่งด่วนให้คนไข้ฉุกเฉิน เสียอีก

     

    "เอาม็อคค่าเย็นหนึ่งแก้ว คาปูชิโน่ร้อน กับเอ็กเพรสโซ่อีกหนึ่งช็อต ไม่สิ ดับเบิลช็อตเลย แล้วเอาบลูแบร์รีชีสเค้กมาชิ้นนึงด้วย"

    รอยยิ้มแห้งเหี่ยวของพนักงานขายสาวสวยกลับมาสดใจอีกครั้งเหมือนดอกไม้ที่เพิ่งมีคนใจดีรดน้ำลงไปให้เมื่อเห็นผมสั่งเป็นรายการยาวเหยียด บิลที่ออกมาก็คงเหยียดยาวเช่นเดียวกับของที่สั่งแน่ แต่ยังไงก็ช่างเถอะ ผมบอกไปแล้วนี่นาว่าผมไม่สน 

     

    ผมเริ่มด้วยการละเลียดคาปูชิโน่ร้อนกับบลูแบร์รีชีสเค้ก ความหอมหวานของกาแฟรสบางเบาเข้ากันได้ดีกับเนื้อครีมแน่นหนักที่ให้รสอม เปรี้ยวนิดๆ เมื่อคาปูชิโน่หมดถ้วยแล้ว แต่ชีสเค้กยังเหลืออยู่เกือบครึ่งชิ้น ผมจึงเริ่มบรรเลงเพลงบทใหม่ด้วยถ้วยทำนองเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจังหวะให้เร่งเร้ายิ่งขึ้นด้วยการเอาม็อคค่าเย็นเข้ามา แทนที่ รสขมของช็อกโกแลตที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กลิ่นหอมตัดกับความหวานของบลูแบร์รี่ได้ อย่างดีเยี่ยม

    ตบท้ายมื้อสุดท้ายของผมด้วยเอ็กเพรสโซดับเบิลช็อตเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนานนับเดือน ทันทีที่ล่วงเข้าลิ้นก็ปรากฎรสขมปร่าจนต้องเบ้หน้า ทว่าเมื่อล่วงผ่านลำคอลงไปแล้วกลับทิ้งกลิ่นหอมอบอวลอยู่ในปาก เป็นความรู้สึกล้ำลึกที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรจริงๆ

     

    กว่า ผมจะทำใจลุกออกจากร้านกาแฟอันแสนสบายได้นาฬิกาข้อมือราคาแพงบอกเวลาใกล้แปดโมงแล้ว น่าสมเพชตัวเองจริงๆ...กระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตก็ยังใช้อย่างทิ้งๆขว้างๆ ด้วยการนั่งเอ้อระเหยในร้านกาแฟ ที่จริงผมควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปนั่งจัดการงานเอกสารทั้งหมดให้เรียบร้อย เพื่อที่ว่าเวลาตายไปคงไม่ต้องโดนคนที่มารับตำแหน่งต่อก่นด่ามากนัก

     

    พอคิดได้แบบนี้ ผมก็เลยรีบเร่งฝีเท้ากลับเข้าไปในตึกโรงพยาบาล แต่ไหนๆก็ต้องผ่านวอร์ดคนไข้แล้ว เลยแวะเข้าไปเยี่ยมเยียนซักหน่อย ถึงจะพูดอย่างนั้น ตั้งแต่สามเดือนก่อนคนไข้ในความดูแลของผมก็ลดลงฮวบฮาบจนเหลือเพียงไม่กี่คน ชนิดที่ใช้มือข้างเดียวก็นับได้

     

    เหตุผลหรือ ง่ายมาก...ใครจะไปไว้ใจให้หมอโรคหัวใจที่ดันเป็นโรคหัวใจเสียเองรักษาโรคหัวใจของตนเองกัน!

     

    เข้าใจง่ายดีใช่ไหมล่ะ ไม่มีอะไรซับซ้อน ชีวิตผมมันจบสิ้นไปแล้วตั้งแต่สามเดือนก่อนตอนที่ตรวจพบว่าหัวใจผมเป็นโรค ที่ไม่สามารถรักษาได้

     

    ทว่าถึงอย่างไรก็คงต้องขอขอบคุณคนไข้ที่เหลือเพียงหยิบมืออย่างสุดซึ้งที่ยังคง ไว้ใจให้ผมทำการดูแลรักษาพวกเขาต่อไป แม้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของสองในสามนั้นจะเป็นเพราะยังหาหมอประจำคนใหม่ไม่ได้ก็ตามที แต่นั่นก็เป็นโอกาสให้ผมยังคงรู้สีกว่าตัวเองมีงานทำอยู่ นอกเหนือไปจากการนั่งเขียนบทความวิชาการไปวันๆ

     

    คนไข้แต่ละคนทักทายผมดีแม้ใบหน้าจะดูเซียวๆก็ตาม คนเป็นโรคหัวใจก็อย่างนี้แหละ ต่อไป ก็ไม่นานหรอก อีกซักสี่ห้าเดือน ผมก็คงต้องนอนอยู่บนเตียง มีสายห้อยระโยงระยาง ตกอยู่ในสภาพแบบนี้เหมือนกัน อ๊ะ!ไม่สิ ก็ผมจะตายตอนบ่ายสองนี้แล้วนี่ นึกแบบนี้แล้วก็ค่อยโล่งใจหน่อย

     

    ตอนผมเดินกลับเข้าห้องทำงาน ยัยเพ็ญนภาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองผมด้วยซ้ำ บางทีเธอคงรู้ว่าต่อให้ทำดีกับผมไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ในความคิดเธอ อีกสี่ห้าเดือนผมก็จะซี้ม่องเท่งแล้ว คนกำลังจะตายไม่มีเวลาทำหนังสือขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่งให้เธอหรอก นั่นก็จริงแหละ แต่ผมไม่รู้สึกผิดหรอกนะ

     

    สรุปแล้ว ผมเลยใช้เวลาตลอดช่วงเช้านั่งเพียรเฝ้าสะสางงานให้เสร็จ ส่วนหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้...วันศุกร์ที่13 ถูกผมโยนไปใส่ตะกร้าขยะมุมห้องทั้งๆที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน ยังไงๆข่าวสารบ้านเมืองก็ไม่มีประโยชน์กับผมอีก หลังจากจรดปากกาเซ็นต์เอกสารไปไม่รู้กี่หน้าต่อกี่หน้า โหมทำชนิดที่ว่าเกือบลืมไปเลยว่าตัวเองต้องไปฆ่าตัวตายตอนบ่ายสองนี้ แล้วยังไงต่อน่ะหรือ รู้สึกตัวอีกทีเข็มสั้นของนาฬิการาคาเรือนแสนก็ชี้ไปที่เลขหนึ่ง ส่วนเข็มยาวเดินเร็วกว่าไปจอดอยู่ที่เลขห้า

     

    หมดกัน...ร้านอาหารฝรั่งเศสสุดหรูที่ผมตั้งใจจะไปทานเป็นมื้อสุดท้าย  มื้อกลางวันมื้อสุดท้าย The Last Lunch...ฟังดูดีกว่า The Last Supper ตั้งเยอะใช่ไหมล่ะ

     

    เอาเถอะ ถึงยังไงตอนเช้าก็ดื่มกาแฟไปเยอะขนาดนั้น ตอนนี้ผมก็เลยยังไม่หิวหรอก แต่ถึงจะหิวแค่ไหน มื้อสุดท้ายของชีวิตทั้งทีผมคงไม่คิดฝากท้องไว้กับอาหารของโรงพยาบาลเป็นแน่

     

    ไม่ได้โม้นะ!แต่สาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้คนไข้พยายามหนีออกจากโรงบาลก็คืออาหารเนี่ยแหละ

     

    ใ เมื่อไม่มีอะไรทำที่ดีกว่านี้ ผมจึงตั้งใจจะไปดาดฟ้าเร็วกว่าเวลาเสียหน่อย ถือโอกาศสำรวจไปด้วยเลยว่าต้องกระโดดลงไปจากมุมไหนถึงจะตายเร็วที่สุด หมดความรู้สึกเร็วที่สุด และอุจาดตาน้อยที่สุด ทีนี้ล่ะ หนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันเสาร์ที่14คงต้องพาดหัวข่าวตัวเบ้อเริ่มว่า "สลดใจ หมอหนุ่มกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ณ โรงพยาหรูใจกลางกรุง" พร้อมกับแปะรูปผมที่กำลังนอนอยู่บนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดลงไปด้วย

    แต่ไม่ต้องห่วงไปว่าจะมีใครจำหน้าผมได้ เมื่อเช้าก่อนทิ้งหนังสือพิมพ์ลงในถังขยะผมแอบเพ่งสำรวจดูแล้ว ใบหน้าของนักศึกษาคนนั้น...เละ!

     

    ผมส่งยิ้มเจื่อนไปให้พนักงานประจำลิฟท์ที่ทำหน้าพิกลหลังจากที่ผมบอกตัวเลขชั้นสูงสุดของตึก แต่เขาคงคิดไม่ถึงหรอกว่าหมอหนุ่มอนาคตไกลจะไปกระโดดตึกฆ่าตัวตาย อย่างมากก็คงคิดแค่ว่าผมทำงานหนักเกินไปจนเพี้ยนๆไปบ้างเท่านั้นเอง แต่จะแปลกอะไรล่ะ พวกหมอก็ต้องมีเวลาหลุดๆแบบนี้มั่งแหละ

     

    อากาศบนดาดฟ้าดีกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีกทั้งๆที่อยู่ใจกลางกรุง มองลงไปเห็นควันท่อไอเสียดำโขมงพ่นพรวดๆออกมาจากท้ายรถเมล์ โห...ขนาดจากบนบนตึกชั้นสามสิบสามนะเนี่ย สงสารบรรพบุรุษของคนขับรถเมล์จริงๆ ป่านนี้คงโดนผู้โดยสารรถสองแถวที่ต่อคิวอยู่ข้างหลังด่าจนนอนตายตาไม่หลับแล้วมั้งนั่น  นู่นๆ มองเลยไปอีกหน่อยเห็นคนในชุดเครื่องแบบ (ลืมบอกไป ผมหยิบกล้องส่องทางไกลติดมือมาด้วย ตั้งใจจะเอามาส่องดูหอพักพยาบาลฝั่งตรงข้ามเป็นหนสุดท้าย) กำลังวิ่งไล่ชายคนหนึ่งที่ถือกระเป๋าสีชมพูแปร๋นไม่เข้ากับหน้าวิ่งหนีอย่าง ไม่คิดชีวิต เข้าข่ายลักทรัพย์มาตรา334ตามประมวลกฎหมายอาญาชัดๆ

     

    เอ๋...จะให้ผมลงไปช่วยงั้นหรือ อย่าลืมสิ นี่มันชั้นสามสิบสามนะคุณ ขืนกระโดดลงไปผมก็ซี้ม่องเท่งกันพอดี!

     

    เฮ้ย...ผม ไม่ได้กลัวตายนะ มองนาฬิกาสิ นี่เพิ่งบ่ายหนึ่งห้าสิบห้าเอง ขืนผมตายก่อนเวลาฤกษ์ยามงามดี ชาติหน้าต้องไปเกิดเป็นจิ้งจกเกาะกำแพงให้สาวๆกรี๊ดเล่นแล้วใครจะรับผิดชอบ?!

     

    แต่ก็เอาเถอะ ใกล้ได้เวลาแล้ว ผมคิดว่าผมควรจะปีนข้ามลูกกรงเหล็กที่กั้นอยู่ไปนั่งห้อยขาทำใจซักหน่อย โรงพยาบาลนี่ก็แย่จริง ติดที่ลูกกรงเหล็กไว้เสียสูง แถมยังล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ทำอย่างกับกลัวใครจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตายงั้นแหละ มีหมอมากระโดดฆ่าตัวตายไม่ดีตรงไหนกัน เผลอๆชื่อเสียงโรงบาลพุ่งกระฉูด เพราะคนไข้ไม่ต้องกลัวว่าตายแล้วจะไม่มีใครมารักษาอาการป่วยของตนต่อ มีวิญญาณศัลยแพทย์หัวใจมือหนึ่งสิงสถิตอยู่ทั้งคน โก้จะตาย

     

    การปีนข้ามลูกกรงเหล็กนั้นไม่ง่ายอย่างที่ผมคิด คงเป็นเพราะช่วงสามเดือนที่ผ่านมาร่างกายผมค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ เพียงแค่ออกแรงเหนี่ยวตัวขึ้นไปโหนเกาะบนตาข่ายลวดหัวใจผมก็เริ่มเต้นผิดจังหวะ กระตุกด้วยความเจ็บแปลบเสียแล้ว แต่เรื่องพรรคนี้มันหยุดความมุ่งมั่นของผมไม่ได้หรอก ผมกัดฟันยืดมือขึ้นไปเหวี่ยงตัวเองให้สูงขึ้น คืบคลานขึ้นไปทีละมิลลิเมตรพร้อมๆกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายท่วมดวงหน้า กว่าจะผ่านพ้นมาได้หัวใจผมก็แทบจะวายตายคาทั้งๆที่ยังเกาะลวดตาข่ายอยู่ ทั้งเนื้อทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเปียกซก สมเพชตัวเองจริงๆ...ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยเป็นถึงนักกีฬาเทนนิสระดับมหาวิทยาลัยแท้ๆ

     

    ทว่าความพยายามก็ได้ผลลัพท์คุ้มค่าจริงๆ ลมเย็นระรื่นโชยพริ้วผ่านอย่างแผ่วเบาขณะที่ผมนั่งแกว่งขาเล่นไปมา บนดาดฟ้าชั้นสามสิบสามสูงขนาดที่ว่ามองลงไปข้างลงไปข้างล้างแล้วเห็นคนตัว เท่ามด ดังนั้นคนข้างล่างถึงคนข้างล่างจะมองขึ้นมาก็ช่าง เพราะพวกเขาก็คงเห็นผมตัวเป็นเพียงจุดเล้กๆเหมือนกัน ไม่มีใครคิดหรอกน่าว่าจะมีคนไข้(หรือหมอ)มากระโดดตึกฆ่าตัวตายตอนกลางวัน แสกๆ แถมยังไม่ได้ร้องแรกแหกกระเซิงทำตัวให้ตกเป็นข่าวดังอีกด้วย

     

    เจ้าโรเล็กซ์เรือนทองคู่ยากบอกเวลาบ่ายโมงห้าสิบเก้านาทีสามสิบสอง ไม่สิ..สามสิบสามวินาทีแล้ว ผมค่อยๆทรงตัวลุกขึ้นยืน เตรียมพร้อมสำหรับการกระโดดตึกครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ให้ตายเถอะ...ไอ้ลมบ้าที่เมื่อกี้ยังพัดอ่อนๆอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงได้พัดแรงขนาดนี้นะ เล่นเอาขาผมสั่นหมด

     

    ท่านหมอดูบอกว่า ก่อนกระโดดลงไปให้นึกถึงแต่เรื่องดีๆเท่านั้น อืม..เรื่องดีๆ เรื่องดีๆ ผมกำพร้าพ่อตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกด้วยเหตุผลเดียวกับอีกหลายๆ ครอบครัว คือพ่อผมทิ้งผมและแม่ไปสร้างครอบครัวใหม่ ส่วนแม่ที่เลี้ยงดูผมในฐานะซิงเกิลมัมก็มาด่วนจากไปตอนผมอยู่ปีหนึ่ง แต่แม่ก็ได้ทิ้งมรดกไว้ให้ผมมากพอดู อย่างน้อยก็พอที่จะทำให้ผมใช้ชีวิตอย่างสมถะไปได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องทำงาน ดังนั้น เรื่องดีๆเรื่องแรก ถึงผมตายไปก็ไม่มีครอบครัวหรือญาติที่ไหนต้องมาร้องไห้เสียใจให้ ถ้าผมตายตอนแก่สิ อาจมีลูกมีหลานซักโขยงที่จะต้องมาเสียน้ำตาเป็นลิตรๆให้ บาปกรรมจะตาย

     

    เรื่องดีๆอีกเรื่องที่ผมนึกได้ คือการตายของผมอาจจะทำให้นักข่าวไส้แห้งที่ไหนซักคนมาทำข่าวเอาเงินกลับไป เลี้ยงดูครอบครัวที่กำลังอดอยาก หรืออาจจะทำให้นักหนังสือพิมพ์จนๆพอมีเรื่องไว้ขายกินบ้าง นักศึกษาคิดสั้นฆ่าตัวตายน่ะมันเกร่อแล้ว หมอหนุ่มฝีมือเทพเจ้ากระโดดตึกฟังดูแนวกว่าเป็นไหนๆ คิดแล้วก็ช่างน่าปลื้มใจเสียจริงๆ

     

    ผมรู้ดีว่าผมไม่ได้ปลื้มใจกับเรื่องดีๆที่พยายามคิดเข้าข้างตัวเองจริงๆหรอก แต่ถึงยังไง ผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

     

    "คุณนี่แปลกจังนะคะ จะฆ่าตัวตายแต่กลับยังหัวเราะได้อีก" เสียงหวานของหญิงสาวดังกระซิบขึ้นข้างๆหู ผมตกใจจนสะดุ้งสุดตัวเกือบตกตึกตายไปแล้วจริงๆถ้าไม่มือไวคว้าราวลูกกรงไว้ ทันหัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวตาย เออเน๊อะ ก็เราจะฆ่าตัวตายนี่หวา แต่เลยฤกษ์บ่ายสองไปแล้วนี่ งั้นช่างหัวมัน

     

    "คะ...ใคร น่ะ ผมเป็นโรคหัวใจนะ ถ้าคุณทำให้ผมตกใจจนหัวใจวายตายขึ้นมา คุณได้เข้าไปนอนดูดโอเลี้ยงในซังเตแน่" อารามตกใจทำให้ผมลืมวางมาดคุณหมอหนุ่มผู้ทรงภูมิชั่วคราว แต่ไอ้คำว่าไปนอนดูดโอเลี้ยงในซังเตนี่หลุดออกมาจากปากผมได้ยังไงนะ สงสัยเป็นเพราะในช่วงสามเดือนมานี่ เจ้าพวกเพื่อนปากหมาสมัยชั้นมัธยมปลายมาเยี่ยมไข้ เอ๊ย!เยี่ยมเยียนกันบ่อยเกินไป มาทีไรก็เอาแต่กระเช้านมสดมาเยี่ยม อ้างหน้าตายว่าผมเป็นโรคหัวใจกระเดือกเหล้าไม่ได้ พวกมันคงไม่รู้หรอกว่าการที่พวกมันเอาเหล้าเป็นลังๆเข้ามายกกระดกซัดโฮกๆ นั้นเป็นอันตรายต่อหัวใจผมยิ่งกว่าเป็นไหนๆ การที่ได้แต่นั่งดูคนอื่นกินของชอบนี่มันทรมานใจจริงๆ

     

    "อ้าว...ก็ไม่ใช่ว่า คุณตั้งใจจะตายอยู่ตั้งแต่แรกแล้วหรือคะ?"  เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง โชคดีที่คราวนี้มือผมเกาะลวดตาข่ายไว้แน่นชนิดที่ว่าต่อให้เอาอะไรมาง้างก็ ไม่ปล่อย ดังนั้นถึงผมจะทั้งตกใจทั้งกลัวจนหัวใจแทบวายตายไปขนาดไหน แต่ก็รับรองได้ว่าผมจะไม่หล่นไปนอนดับอนาจท่ามกลางสายตาประชาชีข้างล่างแน่นอน โดดลงไปเองกับตกลงไปนี่มันต่างกันนะ ไอ้อันหลังนอกจากจะทำศพผมไม่งามแล้ว พาดหัวข่าวกลางหนังสือพิมพ์ก็คงไม่งามอีกด้วย

     

    คิดดูสิ ถ้ารุ่งเช้ามีพาดหัวข่าวอารมณ์ประมาณว่า "ศัลยแพทย์สุดซวย ปีนที่กั้นออกไปชมวิว พลาดตกตึกดับอนาจกลางกรุงกลางวันแสกๆ"  ขึ้น มาจริงๆ ผมคงยอมแก่ตายให้ลูกให้หลานมาเสียน้ำตาและเสียเวลาไหว้เช็งเม้งให้ทุกปี ดีกว่าจะทำบุญด้วยการให้คนอ่านนับล้านคนทั่วประเทศหัวเราะก๊ากจนสำลักกาแฟพรวดๆหลังอ่านข่าวของผมจบ

     

    "ตายน่ะตายแน่ แต่ต้องตายเองอย่างเท่ๆไม่ใช่ให้ใครที่ไหนไม่รู้มาทำให้หัวใจวายตายอย่างนี้"  ผมตอบกับมวลอากาศว่างเปล่ารอบกายด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พอพูดออกไปแล้วก็รู้สึกเหมือนมีความกล้าเพิ่มขึ้นอีกราวๆหนึ่งเม็ดเลือดแดง นี่คงไม่ใช่โจ๊กประเภทแอบซ่อนกล้องไว้ถ่ายออกรายการจำพวกตลกเฮฮายามบ่ายหรอก นะแต่ถึงขนาดตามมาเล่นมุกถึงบนดาดฟ้าได้ก็นับว่าเป็นทีมงานที่มุ่งมั่นจริงๆ

     

    เอาเถอะ จะเป็นทีมงานถ่ายโจ๊กตลกจริงๆหรือไม่ ผมก็ขอเชื่อว่าให้เป็นจริงไว้ก่อนล่ะ อย่าลืมสิว่าผมจบหมอก็ต้องเรียนสายวิทยาศาสตร์มานะ พวกภูตผีวิญญาณทั้งหลายไม่มีในโลกหรอก เดี๋ยวต้องมีคนโผล่ออกมาจะเอ๋ พร้อมตะโกนลั่นว่า "คุณกำลังออกทีวีนะคร๊าบบ!!!" แน่ๆ

     

    "อืม..ทำไมคุณถึงอยากตายหรือคะ?" นั่น มันมาอีกแล้ว เสียงหวานๆที่ผมฟังแล้วไม่รู้สึกรื่นหูเลยสักนิด แถมยังรู้สึกเสียวสันหลันวาบๆแทนยังไงชอบกลอีกด้วย

     

    "ผมจะตาย ละ..แล้วมันเกี่ยวกับคุณตรงไหน ผะ..ผมไม่ได้รู้จักคุณซะหน่อย"  เอาวะ ในเมื่อเชื่อว่าเป็นรายการทีวีแล้วก็ต้องเชื่อให้มันถึงที่สุด เล่นกับเขาหน่อยเป็นไง เผื่อฆ่าตัวตายคราวนี้นอกจากจะได้ลงหนังสือพิมพ์แล้วยังจะได้ออกทีวีอีกด้วย นับเป็นโชคสองชั้นจริงๆ แบบนี้สินะที่เค้าเรียกว่าของดีๆมักจะมาท้ายๆเสมอ

     

    "นั่นสินะคะ คุณไม่รู้จักฉัน แต่ฉันรู้จักคุณดีค่ะ นายแพทย์สตีเว่น เนอร์วานา  "

     

    สิ้นคำ ความตกใจที่เธอรู้จักชื่อผมก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า!!!

     

    หญิงสาว...หญิงสาวร่างบาง ผิวขาวซีดคล้ายคนที่ขลุกอยู่แต่ในบ้าน ผมสีดำสนิทมัดไว้รวบๆเหมือนเจ้าตัวไม่ใส่ใจนัก นัยน์ตาสีเดียวกันใต้แว่นเลนส์ไร้กรอบมีประกายขบขันนิดๆ เธออยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิทเหมือนผมและดวงตา มือข้างขวาติดอุปกรณ์แปลกประหลาดคล้ายถุงมือที่มีกล่องพิลึกๆติดอยู่

    แต่ที่สำคัญ...เธอปรากฎตัวขึ้นจากกลางความว่างเปล่า และถึงตอนนี้ก็ยังคงลอยอยู่เหนือพื้นดินด้วยความสูงเท่ากับตึกสามสิบสามชั้น

     

    หรือกล่าวคือ...สายตาคู่สีดำของเธอกำลังสบกับแววตาตื่นกลัวสุดขีดของผมพอดิบพอดี!!



    ..................................................................

    สาส์นจากไรเตอร์

    นี่เป็นเรื่องที่เขียนบ้าๆบอๆไว้ตอนช่วงอ่านหนังสือสอบค่ะ (ขนาดสอบยังมีอารมณ์แต่งนิยาย ฮ่า) 

    อ่านแล้ว คอมเม้นวิจารณ์กันได้เลยค่ะว่าสนุกหรือมีตรงไหนต้องแก้ ไรท์เตอร์จะได้เอาไปพัฒนาฝีมือเขียนของตัวเองต่อไป

    ฝากอีตาหมอขี้บ่นไว้ด้วยนะคะ :) 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×