ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วัวกินหญ้า หรือ หญ้ากินวัว? BL

    ลำดับตอนที่ #23 : บทที่23

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 967
      131
      11 ก.ย. 64

    “นายรู้ไหมว่าตอนที่ป้อมถูกพวกผู้ล่าตีแตกแต่ละครั้ง...มีคนตายกี่คน?”

    กู่หนิวอยากจะรู้ว่าตอนที่ไป๋หยางตัดสินใจทำเรื่องพวกนั้นลงไป อีกฝ่ายรับรู้ถึงผลลัพธ์ของมันรึเปล่า? เข้าใจจริง รึเปล่าว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมันส่งผลกระทบต่อผู้คนมากมายแค่ไหน?

    แต่แล้วคำตอบที่เขาได้รับกลับเป็น...

    “มีคนตายกี่คน? เรื่องนั้นมันสำคัญด้วยเหรอฮะ?”

    ไป๋หยางถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา แววตางุนงงคล้ายกับว่าเจ้าตัวจะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่ถูกถามไปมีความสำคัญยังไง ส่วนกู่หนิวตะลึงงันด้วยไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งได้ยิน แต่ขณะอ้าปากเตรียมจะพูดจาเสียงของไห่หลางก็ดังขัดขึ้น

    “ถึงแล้ว”

    เพราะโดนขัดจังหวะ อีกทั้งยังถึงที่หมายแล้วกู่หนิวจึงเก็บคำพูดที่อยากพูดคืน เขามองตรงไปด้านหน้า ก่อนจะแปลกใจเมี่อพบว่าบริเวณทางเข้าเมืองB มีรั้วลวดหนามที่สูงเกือบถึงศีรษะขึงกั้นอยู่โดยรอบ และยังไม่พอ รอบๆรั้วกั้นยังมีกลุ่มคนถืออาวุธครบมือยืนเรียงรายอีก บรรยากาศพาให้นึกถึงพวกค่ายทหารเลยทีเดียว

    เกิดอะไรขึ้นน่ะ?

    กู่หนิวนึกแปลกใจ ก่อนเขาจะเห็นคู่รักเดินควงแขนตรงมายังรถสปอร์ตที่จอดอยู่ไม่ไกล โดยทิศทางที่อีกฝ่ายเพิ่งผละจากมาคือจุดที่คล้ายค่ายทหารนั่นเอง ด้วยเห็นอย่างนั้นกู่หนิวจึงรีบเปิดกระจกและส่งเสียงถามก่อนที่อีกฝ่ายจะทันขึ้นรถ

    “ขอโทษนะครับ พอดีว่าพวกผมเพิ่งมาถึงที่นี่เลยไม่ค่อยรู้เรื่อง ด่านทหารตรงนั้นมีไว้เพื่ออะไรเหรอครับ?”

    ฝ่ายคู่รักที่ได้ยินเสียงเรียกก็หันมามอง ก่อนจะใจดีช่วยตอบคำถามให้

    “ตรงนั้นเป็นด่านตรวจน่ะ ถ้าพวกนายคิดจะเข้าไปเมืองBล่ะก็ ต้องเข้าไปตรวจที่ด่านตรงนั้นก่อน หลังตรวจเสร็จก็จะได้สายรัดข้อมือแบบนี้มาล่ะ”

    ฝ่ายชายชูข้อมือตัวเองให้เห็นชัดๆ กู่หนิวมองสายรัดข้อมือที่เหมือนจะทำจากแผ่นอะลูมิเนียมและหุ้มด้วยยางสีขาวอย่างประเมิน ก่อนจะถามต่อ

    “แล้วเขาตรวจอะไรบ้างเหรอครับ?”

    “ก็มีซักประวัตินะ ถามชื่อกับความสามารถ แล้วก็ถามว่ามาจากเมืองไหนป้อมอะไร จากนั้นก็จะใช้เครื่องมือที่เหมือนที่วัดไข้ยิงใส่ทีหนึ่ง พอเสร็จแล้วก็จะให้สายรัดข้อมือมาน่ะ”

    “อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณที่ช่วยบอกนะครับ”กู่หนิวโค้งศีรษะให้อีกฝ่าย

    “ไม่เป็นไรๆ ...เชิญจ๊ะที่รัก”ฝ่ายชายตอบรับก่อนจะหันไปเปิดประตูให้ฝ่ายหญิงขึ้นรถ ซึ่งพออีกฝ่ายสต๊าร์ทรถเสร็จก็หันมาโบกมือให้ก่อนจะขับตรงเข้าเมืองBไป

    ทางกู่หนิวที่ได้ข้อมูลมาแล้วก็หันมองไห่หลางกับไป๋หยางอย่างขอความเห็น แต่เพราะจุดมุ่งหมายรอบนี้อยู่ที่เมืองB สุดท้ายพวกเขาทั้งสามคนจึงลงจากรถแล้วเดินไปต่อแถวที่ด่านตรวจ ซึ่งขั้นตอนการซักถามก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่มันติดตรงที่ใครบางคนได้เผลอเผยข้อมูลบางอย่างออกไป

    “ชื่อ”

    “กู่หนิวครับ”

    “อายุ”

    “ปีนี้ยี่สิบเก้าครับ”

    “ประเภทพลัง?”

    “ความเร็วครับ”

    “มาจาก?”

    “เมืองSครับ”

    “ป้อมไหน?”

    ตอนที่ได้ยินคำถามนี้คนฟังไม่ได้นึกเอะใจอะไรจึงตอบไปตามจริง แต่นั่นกลับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่

    “ป้อมไป่เหอครับ”

    เมื่อคำตอบหลุดออกจากปากไป กู่หนิวก็พลันรับรู้ได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา โดยคนที่เห็นได้ชัดที่สุดคือพนักงานที่ทำหน้าที่ซักประวัติของเขา ตอนแรกอีกฝ่ายเพียงพูดถามแล้วก้มหน้าจดข้อมูลยิกๆ แต่เมื่อได้ยินคำตอบนี้ของเขา เจ้าตัวพลันชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเร็วเหมือนดีดสปริง

    กู่หนิวงุนงงในทีแรก แต่เมื่อลองทบทวนดีๆ กลับพบมันไม่แปลกเลยที่ใครต่อใครจะจ้องมาที่เขาด้วยสายตาที่ราวกับได้เห็นกลุ่มผู้ล่าออกมาเต้นออกกำลังกายกันที่สวนจตุจักร เพราะจากที่เขาได้รู้มาจากพวกหลงจูหลงไช่รวมถึงจางลู่ ป้อมไป่เหอนั้นถือเป็นป้อมใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองS ขณะที่รองลงมาคือป้อมเพ่ยเพ่ย และด้วยป้อมไป่เหอเป็นป้อมที่หลายๆคนในเมืองSใฝ่ฝันจะเข้าไปเป็นสมาชิก การที่ตัวเขาซึ่งเป็นสมาชิกป้อมอยู่ก่อนกลับย้ายรังมายังเมืองBจึงเป็นเรื่องแปลก

    “...เหตุผลในการโยกย้าย?”น้ำเสียงของพนักงานชายที่เอ่ยถามเต็มไปด้วยความสงสัยและข้องใจ

    กู่หนิวยิ้มเจื่อนอย่างไม่รู้ว่าควรตอบยังไง เพราะจะให้บอกว่าไม่ได้อยากย้ายแต่ดันโดนลักพาตัวมา สุดท้ายเลยจับพลัดจับผลูย้ายมาต่างเมือง มันก็ฟังยังไงๆ อยู่?

    ระหว่างที่กู่หนิวยังอ้ำอึ้ง เสียงของไป๋หยางที่ตอนนี้ได้ผ่านการตรวจเรียบร้อยแล้วและกำลังยืนรอเขาอยู่กับไห่หลางไม่ไกลก็พลันดังขึ้น

    “พี่หนิว รีบไปกันเถอะ! ต่อให้พี่ชายคนนั้นไม่สนใจพี่ก็อย่าได้เสียใจไป ที่ป้อมใหม่ต้องมีคนที่เข้าใจและรักพี่ในแบบที่เป็นแน่ฮะ!

    คำพูดโพล่งที่เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดเข้ากลางวง กู่หนิวและพนักงานชายคนนั้นชะงักไปพร้อมกัน และวินาทีนั้นกลุ่มคนที่ได้ยินต่างก็พากันเข้าใจถึง เหตุผลของคนตัวโต

    ที่แท้ก็เป็นพวกรักร่วมเพศ แต่คนที่ชอบไม่ชอบตอบเลยหนีหน้ามาสินะ

    หลายคนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าอกเข้าใจ เพราะป้อมก็เหมือนบ้าน ถ้าต้องเจอหน้ากันทุกวันให้กระอักกระอ่วน สู้ย้ายไปเริ่มต้นที่ใหม่ ย่อมดีกับสุขภาพใจมากกว่า พอผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมามาก หลายคนที่เคยอคติกับการรักร่วมเพศก็ไม่ค่อยสนใจอะไรนัก คนส่วนใหญ่ในที่นั้นจึงมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจร่างหนาที่ยังคงยืนนิ่งไม่พูดจามากกว่าสมน้ำหน้า

    ฝั่งกู่หนิวที่ได้รับความสงสารเห็นใจก็เกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทว่าแม้สิ่งที่ไป๋หยางพูดมาจะไม่จริงก็ตาม แต่มันก็ช่วยแก้สถานการณ์ให้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้โต้แย้ง เขาทำเพียงแค่มองไปยังพนักงานที่ทำหน้าที่จดบันทึกเงียบๆ

    “อืม เรียบร้อย ไปตรวจร่างกายได้”พนักงานชายพูดโดยไม่มองหน้า กู่หนิวได้ยินอย่างนั้นก็พูดขอบคุณและเดินไปต่อแถว แต่ระหว่างเดินผ่านก็ได้ยินเสียงพนักงานชายคนเดิมว่า

    “อย่าท้อใจไป ผู้ยะ... ผู้ชายไม่ไร้เท่าใบพุทรา สู้ๆเขาล่ะ”

    กู่หนิวได้ยินคำพูดปลอบใจนี้แล้วพลันรู้สึกอยากขำพอๆกับอยากร้องไห้ แต่เขาก็ฝืนพยักหน้าให้อีกฝ่ายแล้วเดินไปต่อแถวเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิและใส่สายรัดข้อมือ

    ในขั้นตอนนี้จะมี พนักงานอีกชุดเป็นคนจัดการ ซึ่งพนักงานที่ทำหน้าที่คอยตรวจวัดและใส่สายรัดข้อมือให้จะสวมชุดกาวน์สีขาว โดยแตกต่างกับพนักงานคนอื่นๆ ที่จะสวมเครื่องแบบสีดำคล้ายของชุดตำรวจ

    แต่พูดถึงเครื่องมือตรวจวัดอุณหภูมิที่ถูกกล่าวถึง มันมีลักษณะแตกต่างจากอุปกรณ์แบบเก่าที่เขาเคยเห็นอยู่เล็กน้อย ตัวเครื่องสีขาวที่โค้งงอ นอกจากปุ่มกดยิงสำหรับตรวจวัดแล้ว ข้างๆ ปุ่มยิงยังมีปุ่มกดสีดำอันเล็ก ซึ่งพอกดวัดเสร็จ พนักงานที่ทำหน้าที่วัดก็จะกดปุ่มสีดำหนึ่งที ก่อนจะเปลี่ยนไปวัดคนถัดไป ขณะเดียวกันพนักงานชุดขาวอีกคนที่ทำบางอย่างอยู่กับโน๊ตบุ๊คเครื่องเล็กก็จะหยิบสายรัดข้อมือสีขาวในลิ้นชักออกมาใส่ให้

    กู่หนิวรอไม่นานก็ถึงตาตัวเอง เขาเดินเข้าไปหาพนักงานที่ทำหน้าที่วัด ทำตามขั้นตอน พอออกจากด่านตรวจกลับไปที่รถ ที่ข้อมือข้างขวาของเขาก็มีเครื่องประดับชิ้นใหม่เพิ่มขึ้นมา กู่หนิวไม่เคยใส่เครื่องประดับ กระทั่งนาฬิกาเขาก็ยังไม่เคยใส่ ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็เพราะรู้สึกเกะกะตอนทำงานและกลัวจะมันพังหรือเลอะ แต่สายรัดข้อมืออันนี้กลับไม่ชวนให้อึดอัด ทั้งสีขาวที่เห็นก็ดูสะอาดและสบายตาอย่างบอกไม่ถูก

    ดูคล้ายสีของหิมะ

    รถขับผ่านเข้าไปในเมืองได้สักระยะแล้ว แต่ภาพที่เห็นโดยรวมก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตึกรามบ้านช่องที่ผุกร่อนเนื่องจากขาดคนดูแลยังมองเห็นได้ทั่วไป แม้วิวที่เห็นจะไม่ต่างอะไรกับที่เคยเห็น แต่บริเวณทั่วท้องถนนกลับนับว่าสะอาดตากว่ามากเมื่อเทียบกับเมืองS

    ไม่มีร่องรอยของผู้ล่าหรือรอยเลือด ไม่มีซากศพหรือเศษขยะกลาดเกลื่อน ดูสะอาดจนชวนให้รู้สึกแปลกประหลาดแทนนึกชื่นชม กู่หนิวทอดสายตามองดูวิวที่เห็นผ่านกระจกรถอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนสายตากลับมาเมื่อได้ยินเสียงของไป๋หยาง

    “อืม... ตามที่พวกลุงเซี่ยบอก ป้อมเส้าหมิงจะอยู่ใกล้ที่สุด แต่ตอนนี้ป้อมปู้ซีกำลังรับสมัครคนอยู่ เพราะงั้นรอบนี้เอาเป็นป้อมปู้ซีก่อนแล้วกัน หลางหลาง เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายตรงมุมนี้นะ เสร็จแล้วให้ตรงไปเรื่อยๆ พอเจอโรงหนังให้เลี้ยวซ้ายอีกที แล้วตรงไปป้อมปู้ซีกัน”เสียงไป๋หยางดังเจื้อยแจ้วขณะก้มดูกระดาษใบเล็กที่มีโครงสร้างและรายละเอียดเมืองB แต่ทางกู่หนิว ยิ่งฟังคำพูดของไป๋หยางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่สบายใจ เพราะตัวเขารู้ดีว่าจุดประสงค์ของไป๋หยางในการไปที่ป้อมเหล่านั้นคืออะไร

    การแฝงตัวเข้าไปสำรวจภายใน ก่อนลงมือทำลาย

    กู่หนิวหลับตาลงอย่างอ่อนล้า เขาอาจไม่เคยเจอสถาการณ์ป้อมถูกผู้ล่านับพันตีแตก แต่เหตุการณ์โกลาหลที่สวนสนุกกลับทำให้เขานึกภาพตามได้ไม่ยาก

    เขาอยากห้าม แต่ไป๋หยางกลับเป็นประเภทที่ไม่ยอมรับฟังคำพูดคนอื่น และไห่หลางซึ่งน่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถห้ามปรามไป๋หยางได้กลับไม่ยอมปริปากพูดอะไร แม้แต่ตอนก่อนหน้านี้ที่เขาคิดจะพูดกับไป๋หยางก็ยังโดนอีกฝ่ายขัดคอ

    เพราะว่าห้ามไม่ได้ งานนี้ก็เลยต้องปล่อยไป

    ...จะเอาอย่างนั้นจริงๆ น่ะเหรอ?...

    เสียงที่แทรกขัดความคิดส่งผลให้กู่หนิวขมวดคิ้วเข้าหากัน และโดยที่สองตายังปิดสนิท สองแขนของเขาพลันขยับไปไขว้กอดอกขณะที่แผ่นหลังเอนพิงเบาะรถ

    เพราะห้ามไม่ได้เลยจะปล่อยให้ไป๋หยางก่อเรื่อง แล้วตัวเองตามน้ำไป? อย่างนั้นจะดีจริงๆ น่ะเหรอ?

    ปลายนิ้วชี้ขวางอเล็กน้อย ก่อนเคาะท่อนแขนเป็นจังหวะสั้นๆ และเพราะเป็นการเคาะที่ไร้เสียงจึงไม่ดึงดูดความสนใจของคนที่นั่งรถด้วย

    ถ้าปล่อยไปแบบนี้...จะมีคนตายนะ

    คนมากมายจะตายนะ

    พวกเขาอาจไม่ใช่คนรู้จัก อาจไม่เคยพบหน้าหรือพูดคุย แต่เพราะแบบนั้นเลยจะปล่อยให้พวกเขาตายงั้นเหรอ?

    กึก

    ปลายนิ้วที่เคาะอยู่หยุดชะงัก พร้อมกันนั้นเปลือกตาของกู่หนิวก็เปิดออก โดยแววตาที่แสดงออกมานั้นต่างจากทุกครั้ง คนที่ใจเย็นมาโดยตลอด คนที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มักจะโอนอ่อนยอมให้คนอื่นเสมอ ยามนี้แววตาที่แสดงออกมากลับเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวและดุดัน

    ชายหนุ่มพูดตอบคำถามของตัวเองในใจ

    ไม่!’

    “ไป๋หยาง”ร่างหนาเอ่ยเรียกคนผมแดงที่มีรอยยิ้มสดใสประดับริมฝีปากด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง คนโดนเรียกเอียงคอมามองต้นเสียงพร้อมขานรับ

    “ฮะ พี่หนิว”

    “มาคุยกันหน่อย”

    ทันทีที่คำพูดนี้หลุดจากปาก กู่หนิวก็สัมผัสได้ถึงสายตาของไห่หลาง แต่เวลานี้เขาไม่สนใจ

    “ทำไมไป๋หยางถึงอยากทำลายป้อมพวกนั้นล่ะ?”

    ไม่รอให้ป๋หยางหรือไห่หลางพูดจาอะไรกู่หนิวก็เปิดคำถามใส่ก่อน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มผมแดงที่ใบหน้ายังอ่อนวัย ไป๋หยางยังคงดูไร้เดียงสา และเด็กเกินกว่าจะเข้าใจน้ำหนักของชีวิตคน ดังนั้นนี่จึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่อย่างเขาที่จะต้องช่วยสอนให้อีกฝ่ายรับรู้

    “อื๋อ? ก็เพราะป้อมพวกนั้นเป็นป้อมไม่ดีไงฮะ ป้อมไม่ดี คนไม่ดีต้องถูกกำจัด”

    “งั้นเหรอ แล้วไป๋หยางใช้อะไรวัดว่าคนคนหนึ่ง หรือป้อมป้อมหนึ่งไม่ดีล่ะ? พอจะบอกได้ไหม?”

    กู่หนิวพูดถามเสียงราบเรียบ น้ำคำที่พูดไม่ได้กดดันอะไร เหมือนแค่ถามเรื่องทั่วไป

    “คนไม่ดีคือคนที่ตีผม ส่วนป้อมไม่ดีคือป้อมที่ปล่อยให้คนตีผมไง!

    คำตอบของไป๋หยางฟังดูเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งนี่ทำให้กู่หนิวคิดได้ว่าบางทีความคิดของอีกฝ่ายอาจเรียบง่ายกว่าที่คิด

    “ที่สวนสนุกวันนั้น คนพวกนั้น...ตีไป๋หยางเหรอ?”

    กู่หนิวถามถึงพวกคนที่โดนผู้ล่าที่ไป๋หยางควบคุมฆ่าตาย ไป๋หยางพยักหน้าแรงๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปส่ายหน้า

    “พวกเขาจะตี แต่ตีไม่โดน”

    กู่หนิวเงียบ ก่อนจะถามต่อ

    “เพียงเพราะคนกลุ่มหนึ่งจะตีไป๋หยาง ไป๋หยางเลยเรียกพวกผู้ล่านับพันให้บุกสวนสนุกเพื่อมาจัดการพวกเขางั้นเหรอ?”

    พอถามไปแล้วกู่หนิวก็เริ่มชั่งน้ำหนักความถูกผิด

    ไป๋หยางอาจจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว แต่เรื่องพลังกายคงสู้คนอื่นไม่ได้ และในสถานการณ์ที่โดนรังแกแบบนั้น ถ้าไป๋หยางจะใช้พลังของตัวเอง เพื่อปกป้องตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่...สถานที่ที่ไป๋หยางอยู่ตอนนั้นคือสวนสนุกที่ได้รับการปกป้อง ผู้ล่าไม่กี่ตนคงไม่สามารถบุกเข้าไปได้ ดังนั้นการที่อีกฝ่ายเรียกผู้ล่าจำนวนมากมาก็พอจะเข้าใจได้

    แต่ว่าเพราะการกระทำนั้นกลับสร้างความปั่นป่วนให้กับคนจำนวนมาก และผู้ล่าที่บุกเข้ามาก็ใช่ว่าจะไม่ลงมือกับคนในสวนสนุก เพราะอย่างนั้นในวันนั้นจึงมีคนบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย

    กู่หนิวไม่ได้คิดบอกให้ไป๋หยางเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น แต่ในตอนนั้น นอกจากวิธีการที่อีกฝ่ายใช้แล้ว มันยังมีทางเลือกอีกมาก อีกฝ่ายสามารถใช้ความเร็วหนีมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สวนสนุก หรือหนีเข้าไปในกลุ่มคน อีกอย่างไห่หลางเองก็อยู่ไม่ไกลไม่ใช่เหรอ? กู่หนิวไม่เชื่อว่าไห่หลางจะปล่อยให้คนรังแกไป๋หยาง

    กู่หนิวคิดหลายตลบ เขาก็ยังรู้สึกว่าไป๋หยางทำสิ่งต่างๆ โดยไม่สนใจว่าจะส่งผลกระทบอะไรกับใคร ก็เหมือนกับคำตอบที่อีกฝ่ายตอบเขามา

    “มีคนตายกี่คน? เรื่องนั้นมันสำคัญด้วยเหรอฮะ?”

    เฮ้อ

    กู่หนิวถอนใจแล้วส่งเสียงเรียกอีกฝ่าย

    “ไป๋หยาง ลองสมมตินะ ว่าถ้าวันหนึ่งไห่หลางเกิดถูกลูกหลงจากการต่อสู้ของคนอื่นจนเสียชีวิตขึ้นมา ไป๋หยางจะคิดและรู้สึกยังไง”

    เมื่อคำถามนี้ถูกถามออกไป ไห่หลางก็พลันเหยียบเบรกอย่างแรงจนรถสะเทือน เจ้าตัวจอดรถแล้วหันขวับมาแต่รอบนี้กู่หนิวแค่มองอีกฝ่ายอย่างสื่อว่าไม่ให้ขัดจังหวะ

    “หลางหลางตาย? เพราะลูกหลง?”ไป๋หยางดูจะไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แววตาของอีกฝ่ายดูล่องลอยคล้ายจมอยู่ในภวังค์ ปากขยับพูดพึมพำกับตัวเอง ก่อนสีหน้าที่มีรอยยิ้มประดับเสมอมาจะค่อยๆ แปรเปลี่ยน ซึ่งในที่สุดคำตอบก็หลุดออกมาจากริมฝีปากสีสดที่ถูกเม้มจนบึ้งตึง

    “ผมจะฆ่าทุกคนที่ทำร้ายหลางหลาง!

    น้ำเสียงยามเอ่ยคำฆ่าแฝงด้วยความโกรธเกรี้ยวและอาฆาต กู่หนิวไม่แปลกใจ เพราะเท่าที่เขาสังเกตมาพบว่าไป๋หยางให้ความสำคัญกับไห่หลางมาก และนี่เองก็เป็นเหตุผลที่เขาใช้ไห่หลางในการยกตัวอย่าง

    “อืม วันนั้นมีคนโดนลูกหลงจากการที่ไป๋หยางเรียกผู้ล่าเข้าไปในสวนสนุกหลายคนเลย และคนพวกนั้นเองก็คงเหมือนกับไห่หลาง ที่มีคนสำคัญที่รักและเอาใจใส่เขาเหมือนไป๋หยาง พอคนพวกนั้นเจ็บหรือตาย คนสำคัญของพวกเขาก็จะโศกเศร้าและโกรธแค้นคนที่เป็นสาเหตุให้คนที่พวกเขารักต้องตาย”

    “ทีนี้ไป๋หยางเข้าใจรึยัง? ว่าจำนวนคนที่ตายตอนป้อมถูกตีแตก จำนวนคนที่ตายที่สวนสนุก จำนวนคนที่ตายไปเพราะโดนลูกหลงจากการกระทำของไป๋หยางทั้งหมดนั้น...สำคัญยังไง?”

    สีหน้าโกรธเคืองของไป๋หยางค่อยๆ มลายลงและเปลี่ยนเป็นงุนงงปนสับสน เวลาผ่านไปสักพักใบหน้าของอีกฝ่ายเริ่มดูคล้ายเด็กที่เริ่มเข้าใจความผิดตัวเอง แต่ก็คล้ายจะยังไม่ยอมจำนน เพราะเจ้าตัวยังพูดเถียงเสียงอุบอิบ

    “กะ ก็คนพวกนั้นอ่อนแอเองนี่นา คนที่อ่อนแอนั่นแหละที่ผิด!”.

    กู่หนิวฟังแล้วก็ส่ายหัว แล้วพูดอธิบายต่ออย่างไม่ยอมอ่อนข้อ

    “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะแข็งแกร่งกันตั้งแต่เกิด และไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถแข็งแกร่งได้ตลอดเวลา อย่างเด็กทารกที่เพิ่งเกิดมา เราจะไปคาดหวังให้เขาสามารถปกป้องตัวเองได้เลยอย่างนั้นเหรอ? และไป๋หยางก็ลองคิดดู ต่อให้ไห่หลางแข็งแกร่งแบบนี้ แต่ถ้ามีวันหนึ่งเขาเกิดบาดเจ็บ ไป๋หยางจะคิดว่ามันเป็นเรื่องสมควรงั้นเหรอที่จะปล่อยให้ไห่หลางตาย?”

    “ไม่!”ไป๋หยางตะเบ็งเสียงตอบ กู่หนิวยิ้มบาง

    “เห็นไหม? ไป๋หยางย่อมอยากปกป้องจนไห่หลางกลับแข็งแกร่งเหมือนเดิม”

    พูดถึงตรงนี้กู่หนิวก็เหลือบมองไห่หลางที่เงียบไปสักพักแล้ว ก่อนพบว่าอีกฝ่ายกำลังมาที่เขาด้วยแววตาที่ดูคล้ายประหลาดใจ กู่หนิวนึกสงสัยแต่เขายังไม่คิดให้ความสนใจกับอีกฝ่ายในตอนนี้

    “ไป๋หยาง การที่ไป๋หยางอยากทำลายป้อมไม่ดีทิ้ง หรือคิดอยากปกป้องตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอกนะ แต่เวลาที่ไป๋หยางจะลงมือทำอะไรก็ควรคิดสักหน่อยว่าถ้าทำลงไปแล้วคนอื่นๆ จะถูกลูกหลงไปด้วยรึเปล่า แล้วก็นะ ถ้าสิ่งที่ไป๋หยางทำลงไปไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ฉันเองก็พร้อมจะสนับสนุนเสมอนะ”

    ว่าแล้วกู่หนิวก็เผลอยกมือลูบศีรษะอีกฝ่ายไป เมื่อก่อนตอนเขาสั่งสอนพวกน้องๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พอดุเสร็จเขาก็มักจะลูบหัวพูดปลอบไม่ให้เด็กพวกนั้นรู้สึกแย่จนเกินไป

    อืม แบบนี้เหมือนเขามีน้องเพิ่มอีกคนเลยแฮะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×