คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : ตอนที่21 เมื่อผม...เหนื่อย
ตอนที่21
เมื่อผม...เหนื่อย
ยามที่อ่อนล้า หากยังฝืนเดินต่อไป ก็รังแต่จะทำให้เหนื่อย
ผมเองก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่เลือกจะหยุดฝืนตัวเอง
...
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ร้องเรียกทำให้ผมชะงักมือไว้เหนือแป้นพิมพ์ ขยับคอหันไปมองต้นเสียงอย่างช้าๆก่อนมือจะเอื้อมไปกดรับ
"อิน?"
"ทอย! นี่นายจะบ้างานไปถึงไหนยะ? แล้วนี่อะไร? ส่งต้นฉบับมาจนทางสำนักพิมพ์เขาตีพิมพ์ไม่ทันแล้วนะ!"เสียงโวยวายตามสายนั้นดังซะจนผมต้องยกหูออกห่าง ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วถามกลับ
"แล้วนั่นมันไม่ดีตรงไหน?"
งานเดินเงินมา ทั้งผมทั้งทางบริษัทต่างได้ผลประโยชน์ มีอะไรน่าเดือดร้อนกัน?
"ย่ะ ดีไปหมด ดีไม่มีที่สิ้นสุด!"น้ำเสียงกระแทกกระทั้นที่แสดงถึงการประชดอย่างชัดเจนดังลอดผ่านสาย ก่อนเจ้าของเสียงจะเปลี่ยนเรื่องพูด
"ทอย ตอนนี้นายน้ำหนักเท่าไหร่แล้ว?"คำถามที่เปลี่ยนประเด็นไปแบบไม่เข้าใกล้เรื่องที่พูดตอนแรกทำให้ผมนิ่งไปอย่างใช้ความคิด
"น่าจะ...ห้าสิบแปด"ผมคิดๆดูแล้วเมื่อต้นเดือนผมอยู่ที่หกสิบสามกิโล แต่ช่วงนี้ปั่นงานเลยน่าจะลดลงมา อาทิตย์ก่อนลองชั่งดูแล้วปรากฏว่าเหลือหกสิบ ผมเลยคิดว่าวันนี้มันน่าจะลดลงอีก
"ห้าสิบแปด? จะบ้าเหรอทอย! นี่นายผอมเกินไปแล้วนะ! จะโหมปั่นงานก็ให้มันพอดีหน่อย! ขืนป่วยขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ?!"เสียงวีนเหวี่ยงรัวมาเป็นชุดของอินทำให้รีบผมปฏิเสธ
"ฉันไม่ได้โหมอะไรสักหน่อย แค่งานที่เขียนมันสร้างพล็อตต่อยอดได้ แล้วพอส่งไปทาง บก.เขาบอกโอเคให้เขียนต่อได้ฉันเลย..."
"นายเลยเขียนต้นฉบับภาคสองส่งมาให้หลังเพิ่งส่งภาคแรกมาได้สามอาทิตย์? ตลกล่ะทอย! ปกติใครเขาปั่นงานแบบไม่เว้นช่วงหายใจแบบนายบ้าง แล้วนี่น้ำหนักลดเหลือแค่นั้นกะจะแห้งตายรึยังไงยะ!"เสียงขัดตามสายของอินทำให้ผมพูดเถียงไม่ออก
"แล้วนี่กินอะไรรึยัง? อย่าบอกนะว่าที่บ้านมีแค่พวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป...นี่คงไม่ได้กินแค่อาหารไร้ประโยชน์แบบนั้นตลอดหรอกนะ?"เสียงถามในตอนท้ายออกแนวเขียวอย่างที่ผมต้องกลืนน้ำลายแล้วตอบอย่างอ้อมแอ้ม
"ก็ไม่ได้กินแค่มาม่า..."
"แค่กินอาหารแช่แข็ง?"คำพูดที่สวนกลับมาแทบจะทันทีนั้นทำให้ผมตัวแข็ง ก่อนจะยิ้มแห้งกับตัวเองเมื่ออินพูดถูกจุดราวกับเห็นเองกับตา
ก็ช่วงนี้ผมไม่ได้กินอะไรที่มีประโยชน์เท่าไหร่จริงๆนั่นแหละ...
"ก็ได้... ไว้เดี๋ยววันนี้ฉันจะไปหาอะไรกินข้างนอก แล้วเรื่องปก..."
"รู้แล้วย่ะ เดี๋ยวส่งตัวอย่างไปให้ดู...แล้วอย่าลืมกินข้าวล่ะ แค่นี้นะ!"คนพูดตัดสายไป แต่ไม่วายพูดย้ำให้ผมต้องถอนหายใจยิ้มๆ
ก็รู้หรอกนะว่าอินเป็นห่วง แต่ถ้าไม่ให้ผมเขียนนิยายมันก็เหมือนจะว่างจนทำให้เรื่องอะไรๆ ที่พยายามลืมไปมันตีกลับเข้ามาในหัว
จากวันนั้นมาก็ใกล้จะครบสามเดือนแล้ว...
ผมถอนใจหลับตาแล้วใช้มือนวดแถวๆดวงตา การนั่งอยู่หน้าคอมเกินสิบหกชั่วโมงต่อวันเหมือนจะเป็นตัวการทำให้ดวงตาของผมเกิดอาการล้า และปัญหาสายตาก็อาจตามมาไม่ช้าหากผมยังคงทำตัวอยู่อย่างนี้
ไม่... ถึงผมจะไม่อยากทำแต่ก็จำเป็นต้องทำเพราะการทำงานเป็นหนทางเดียวที่จะลบความวุ่นวายที่อยู่ในหัวผมออกไป ลบภาพของพวกเขา...
ผมถอนหายใจอีกรอบ เพราะแค่ผละตัวจากงานได้ไม่ถึงห้านาทีความคิดของตัวเองก็วนกลับไปยังเรื่องเก่า ผมหันหน้ามามองจอสีขาวที่มีตัวหนังสือเต็มพรืดแล้วหันไปมองนาฬิกาที่ชี้อยู่ที่บ่ายกว่า ก่อนตัดสินใจออกไปหาอะไรกิน
ต้องหาอะไรที่เป็นข้าว กินสินะ
ผมมานั่งที่ร้านซูชิราคาไม่แพงนักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแถวที่ผมอาศัยอยู่เท่าไหร่ ผมเปิดเมนูเพื่อหารายการที่จะสั่งแม้ในใจจะคิดไว้บ้างแล้วก็ตาม ผมพลิกเมนูไปเรื่อยๆ สองตากวาดมองภาพประกอบในหน้าเมนูที่ถ่ายออกมาดูน่ากินอย่างที่อินมาเห็นคงได้ปาดน้ำลาย
ก็รายนั้นชอบกินอาหารญี่ปุ่นสุดๆเลยนี่
ผมคิดอย่างยิ้มๆขณะพลิกไปดูหน้าถัดไปก่อนรอยยิ้มนั้นจะชะงักลงเมื่อเห็นภาพหม้อไฟนาเบะที่พาทำให้ภาพความทรงจำเมื่อหลายเดือนก่อนหวนกลับมา
"ทอยกินนี่สิ"
"เดี๋ยวผมตักให้นะครับ"
"เติมน้ำไหมทอย"
"หึ จะเอาอะไรเพิ่มล่ะ"
"ทอย"
...
เสียงสะท้อนที่ดูจะแจ่มชัดเกินกว่าเป็นแค่ความทรงจำ ผมสะบัดไล่ความฟุ้งซ่านแล้วสั่งชุดซูชิมาหนึ่งถาด ผมนั่งรอซึ่งระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟผมก็กวาดตามองบรรยากาศในร้านไปพลางๆ
ร้านจัดตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นที่ถือเอาความเรียบง่ายเป็นหลัก ที่นั่งเองก็จัดเป็นสัดส่วนนั่งแล้วไม่อึดอัดแบบร้านอาหารอื่นๆ บรรยากาศเงียบสงบให้ความรู้สึกสบายๆเหมาะกับการมานั่งกินคนเดียว ผมมองโคมไฟสีแดงแบบที่เคยเห็นในรูปงานวัดญี่ปุ่นแล้วยกยิ้ม
ผมเคยได้ยินเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นมาจากอินที่ไปเที่ยวที่นั่นโดยถือโอกาสไปหาข้อมูลไปด้วย ที่ญี่ปุ่นนั้นมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งงานเทศกาลและอาหารที่ผมนึกสนใจราเม็งกับอุด้งเป็นพิเศษ ผมเคยคิดจะลองไปญี่ปุ่นดูหลายครั้งแต่ไม่มีโอกาสสักที เพราะเวลาอินชวนทีไรผมมักจะมีเรื่องต้องทำจนไม่เคยได้ไปสักครั้ง
ผมกวาดตามองอีกรอบก่อนจะคิดในใจเงียบๆ
ไว้อีกสักสองสามเดือนลองไปดูแล้วกัน
อาหารเอามาเสิร์ฟผมมองซูชิในถาดที่ถูกจัดแต่งอย่างงดงามไม่ต่างจากในรูปนักแล้วนึกเห็นด้วยกับคำที่เขาว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งความสุนทรีย์ เพราะขนาดกับอาหารยังให้ความสำคัญเรื่องความสวยงามขนาดนี้
ผมลองประเดิมด้วยซูชิหน้าหอยเม่นที่อินเคยบอกว่าอร่อยที่สุดในบรรดาซูชิที่เคยกินแล้วก็ต้องยอมรับ
อร่อยตามที่เคยคุยจริงๆ
ผมนึกสงสัยอีกครั้งว่าซูชิในประเทศไทยกับซูชิของต้นตำรับมันจะรสชาติต่างกันไหม? ของคนญี่ปุ่นจะทำได้ประณีตกว่านี้รึเปล่า?
เมื่อคิดๆดูเหมือนผมเคยอ่านเจอบทความเกี่ยวกับซูชิในประเทศฮ่องกงที่คำนึงตกประมาณ800กว่าบาท ราคาชวนอึ้งแบบที่อินฟังแล้วแดดิ้นว่าแพงจัด แต่ก็ทำออกมาดูน่ากินชนิดที่เจ้าตัวขอไว้ลายว่าถ้ารวยแล้วจะลองไปกิน
ระหว่างที่ละเลียดซูชิในถาดผมก็กวาดตามองทัศนียภาพในร้านไปด้วย จนสะดุดกับคนมาใหม่ที่ก้าวเข้ามาในร้าน
ผมสีแดงโดดเด่นชนิดไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นใคร ผมรีบก้มหน้าหลบพยายามเอียงตัวหามุมบังเต็มที่พร้อมกับในใจที่ร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ซิตซ์!
ให้ตายเถอะ นี่มันโลกกลมหรือพรหมลิขิตกันแน่? ทำไมมันถึงได้บังเอิญอย่างนี้เนี่ย?
ผมเห็นอีกฝ่ายกวาดมองรอบๆร้านท่าทางเหมือนกำลังหาที่นั่งอยู่ ซึ่งผมเผลอกลั้นหายใจเมื่ออีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะทิ้งตัวนั่งโต๊ะที่อยู่เยื้องไปจากโต๊ะผมเล็กน้อย และคงเป็นโชคดีที่จากมุมนี้มีฉากกั้นที่ทำจากกระดาษขวางคั่นไว้ ทำให้หากไม่ชะเง้อคงมองแล้วละก็คงเห็นไม่ชัดเหมือนกันว่าเป็นใคร
ขนาดตัวผมยังเห็นแค่กลุ่มผมสีแดงที่โผล่เหนือฉากกั้นขึ้นมาได้ลางๆเอง
ผมนึกโล่งใจเมื่อดูเหมือนว่าซิตซ์จะไม่สังเกตเห็นผม ซึ่งนั่นทำให้ผมมีความกล้าพอที่จะเหลือบมอง และได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังอ่านเมนูแล้วพูดสั่งอยู่เลาๆ แต่ก็นั่นแหละทุกครั้งที่ซิตซ์ขยับตัวพาจะให้ผมใจเต้นแรงด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็น
ผมไม่พร้อมที่เผชิญหน้ากับพวกเขาตอนนี้...
"หือ?"ผมสังเกตเห็นอาหารที่ถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะซิตซ์ ผมจำได้ว่ามันเป็นของทอดเสียบไม้ที่มันมักจะคละทั้งเนื้อสัตว์และผัก ซึ่งหนึ่งในนั้นคงรวมถึงเนื้อปลาและกุ้ง...
ผมเผลอผุดลุกขึ้นยืน เห็นพนักงานที่เอามาเสิร์ฟวางจานอาหารลงตรงหน้าซิตซ์ก่อนถอยออกมา ผมเห็นอย่างนั้นก็ขมวดคิ้ว นั่งลง แล้วกวักมือเรียกเรียกพนักงานคนนั้นมาถาม
"ขอโทษนะครับ ลูกค้าโต๊ะนั้นเขาได้สั่งเฉพาะเนื้อสัตว์รึเปล่าครับ? คือ...พอดีผมรู้จักเขาแล้วทราบว่าเขาแพ้อาหารทะเลน่ะครับ ถ้ายังไงช่วยเตือนเขาเรื่องอาหารหน่อยได้ไหมครับ?"
ผมพูดขอร้อง ซึ่งโชคดีที่พนักงานที่นี่ใจดี ถึงผมจะรู้ตัวว่าตัวเองวุ่นวายไปสักหน่อย เพราะซิตซ์เองก็น่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้วถึงได้มากินอะไรที่ร้านนี้ แต่คงเพราะความเป็นห่วงที่เป็นแรงผลักดันให้ผมทำอย่างนั้นไป
กันไว้ดีกว่าแก้... ผมไม่อยากเห็นซิตซ์ต้องทรมาน แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายอาการหนักแค่ไหน ผมเคยได้ยินว่าบางคนนี่แพ้หนักจนช็อคตายได้เลย เพราะงั้นป้องกันไว้ก่อนย่อมปลอดภัยกว่า
ผมเห็นพนักงานเดินไปพูดกับซิตซ์ ซึ่งซิตซ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้คล้ายกับขอบคุณ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกับพนักงานแล้วหันขวับมาทางที่นั่งผม
เฮือก
ผมก้มตัวหลบได้อย่างทันท่วงที และถึงแม้ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะเห็นผมไหมผมก็รีบจัดการกับซูชิที่เหลือแล้วรีบเดินไปจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้านด้วยความเร่งรีบจนชนเข้ากับแขกที่มาใหม่
"ขอโทษครับ...อ๊ะ!" ผมเบิกตาเมื่อคนที่ผมชนไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นหนึ่งในบรรดาคนที่ผมกำลังหลบหน้าอยู่
"...ไนท์!"
ให้ตายเถอะ โลกใบนี้มันจะกลมเกินไปแล้วนะ!
ไม่สิ ผมน่าจะรู้ว่าอย่างซิตซ์คงไม่มากินอาหารญี่ปุ่นแบบนี้คนเดียวหรอก
ตอนนี้ไนท์ยืนดักหน้าอยู่ ผมเหลือบใบหน้าของร่างสูงที่มีส่วนมากกว่าผมสิบกว่าเซนต์แล้วพูดขอร้องด้วยเสียงอ้อมแอ้ม
"ขอโทษนะ ขอทางหน่อยได้ไหม?"คำถามของผมเรียกสายตาของไนท์ให้จับจ้องมาอย่างเงียบๆ
ผมบอกตามตรงว่าชักกลัวความเงียบของไนท์แล้ว และก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรไนท์ก็เปิดทางให้...โดยการคว้ามือผมแล้วลากออกมานอกร้าน
นี่มันมีอะไรผิดพลาดรึเปล่าน่ะ?
ผมพูดขอทาง ไม่ได้บอกให้นำทางให้สักหน่อย แล้วทำไมถึง...?
แต่ถ้าจะว่าที่ไนท์ทำมันแปลก ผมเองก็แปลกคนเหมือนกันที่เดินตามอีกฝ่ายมาต้อยๆแบบไม่ขัดขืน...หรือที่ไม่ขัดขืนอาจเป็นเพราะมือที่กุมอยู่มันได้ถ่ายทอดความอบอุ่นที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานหลายเดือนก็เป็นได้
ผมมองมือที่ถูกกุมเอาไว้พร้อมกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ซึมซาบเข้าสู่หัวใจ...
ไนท์พาผมเดินมาถึงที่จอดรถแล้วตรงมาหยุดที่รถคันสีดำสองที่นั่งซึ่งไม่มีหลังคา พลางพยักหน้าให้ผมเหมือนบอกให้ขึ้นไป และผมที่เหมือนจะไม่มีทางเลือกก็ยอมขึ้นไปบนรถที่น่าจะมีราคาไม่เบาแล้วนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ไนท์ที่บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องขับออกไป แต่แล้วห้วงนึงความสงสัยก็ปรากฏทำให้ผมหลุดปากถามออกไป
"แล้วซิตซ์ล่ะ? ไม่ได้นัดกันไว้หรอกเหรอ?"คำถามของผมได้รับเพียงอาการเหลือบมองเป็นการตอบรับ ก่อนอีกฝ่ายจะล้วงโทรศัพท์จากอกเสื้อออกมากดโทร
"ไม่ไปแล้ว... ใช่"ไนท์พูดสั้นๆตอบรับ ซึ่งผมมองคนพูดอยู่ทำให้ได้เห็นรอยยิ้มที่ฉายบนดวงตาและริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
"แค่นี้นะ"ขณะที่ผมกำลังแปลกใจไนท์ก็วางสาย แต่รอยยิ้มนั้นก็ยังคงไม่จางลง ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ปรากฏรอยยิ้มแล้วรู้สึกแปลกๆ รู้สึกคล้ายเหมือนมีลมอะไรบางอย่างพัดผ่านหัวใจจนรู้สึกจั๊กจี้ข้างในจนเผลอยกมือขึ้นลูบเบาๆ
"...หนาวเหรอ?"คำถามของไนท์ทำให้ผมส่ายหัว ก่อนจะถามกลับ
"แล้วนี่จะพาฉันไปไหนเหรอ?"เพราะผมค่อนข้างแน่ใจว่าเส้นทางที่กำลังมุ่งตรงไปไม่ใช่ทั้งทิศที่ตั้งคอนโดหรือบ้านของผม แต่คำถามที่เอ่ยไปกลับมีเพียงความเงียบเป็นเสียงตอบรับ จนเมื่อผมเกือบจะตัดใจก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเรียบเรื่อยดังตอบกลับมา
"ทะเล"
แล้วก็มาถึงทะเลจริงๆ นั่งรถมาหลายชั่วโมงทำให้ผมรู้สึกเพลียไม่น้อย แต่ก็เดินตามหลังไนท์ที่เดินเลียบชายหาดไปอย่างช้าๆ ผมก้าวย่ำลงบนผืนทรายสีขาวที่เริ่มขุ่น ยามเย็นแบบนี้ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยเตรียมลาลับขอบฟ้า แสงสีนวลส่องกระทบกับเงาจางๆทำให้สีของผืนทรายดูแปลกไป
ผมมองผืนน้ำทะเลยามเย็นที่ถูกซัดเข้าหาฝั่งลบเลือนดูดกลืนเม็ดทรายให้จมลงไปในสายน้ำที่เย็นยะเยือก ลมยามเย็นที่พัดผ่านพัดพากลิ่นไอทะเลโชยมาเบาบางสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย นี่ทำให้ผมนึกถึงช่วงที่ไปดำน้ำเก็บข้อมูลงานเขียนเมื่อหลายเดือนก่อน
ขายังคงก้าวเดินเอื่อยๆต่อไป ผมสัมผัสได้ถึงคลื่นที่กระเซ็นมาโดน สัมผัสได้ถึงความเย็นสบายของเนื้อทรายตอนย่างก้าว
น่าแปลกที่ผมหลงลืมความรู้สึกเหล่านี้ไป...
ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาแม้จะเขียนงานออกมาได้ดี แต่มันเหมือนเป็นการฝืนเขียนซะมากกว่า ผมรับรู้ได้ว่าผลงานที่เพิ่งเขียนไปเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนเช่นเดียวกับตัวผม
ทาริน ชายหนุ่มที่ออกท่องทะเลอย่างคาดหวังว่าจะพบกับสิ่งที่ปรารถนา ระหว่างทางเขาได้พบเจอผู้คนมากมาย แต่ทารินก็ต้องลาจากผู้คนเหล่านั้นและก้าวเดินต่อไปอย่างโดดเดี่ยว เขาบอกลาเงือกสาวที่ปลอบโยนเขายามท้อแท้ เขาลาจากกลุ่มเรือโจรสลัดที่มักจัดงานฉลองบนเรือไม่เว้นวัน เขาพบพานกับคู่นักเวทที่ออกตามล่าสมบัติ ก่อนแยกตัวออกมาเมื่อถึงจุดหนึ่ง
มิตรภาพที่พบพาน ท้ายที่สุดแล้วก็ลงเอยด้วยการจากลา
ทารินเดินทางต่อ ทั้งที่ไม่รู้ว่าปลายทางสุดท้ายที่ก้าวเดินไปนั้นคืออะไร เขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย ยังคงเดินต่อไปเพียงลำพังในเส้นทางที่ว่างเปล่า...
ผมค่อยๆนั่งลงใกล้ๆต้นมะพร้าว พลางมองดูทะเลที่สะท้อนสีของท้องฟ้าอยู่ข้างๆไนท์ เราสองคนนั่งเงียบๆ รับฟังเสียงคลื่นที่ซัดสาด สดับฟังเสียงของธรรมชาติ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนี้เย็นมากแล้วหรือยังไงแต่ที่หาดนี้นอกจากผมกับไนท์แล้วไม่มีใครอีก ผมไม่ได้ถามไนท์ว่าทำไมถึงพามาที่นี่ ไนท์เองก็ไม่ได้ถามผมถึงสาเหตุที่ผมหลบหน้าพวกเขา เรานั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกและลงเอยที่เข้าพักในโรงแรมใกล้ๆ
เรื่องเงินกับเสื้อผ้าไม่ใช่ปัญหา ปัญหาของผมคงอยู่ตรงที่คนที่จะต้องนอนด้วยคืนนี้
ผมไม่ได้พกเงินมามากพอที่จะจ่ายค่าโรงแรมได้เองทำให้จำยอมเข้าพักห้องเดียวกับไนท์ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจอะไรไนท์หรอกนะ แต่ผมรู้สึกเกรงใจ ไนท์น่าจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง และน่าจะเป็นพวกไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้นัก ผมถึงกลัวว่าจะเข้าไปรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไป
ถึงไนท์จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องมารบกวนก็เถอะ
จริงๆ ผมก็ถามไนท์นะว่าไม่แยกห้องเหรอ แต่อีกฝ่ายแค่เงียบไปพักนึงก่อนตอบ
"...ห้องเต็ม"
คำตอบที่ผมไม่ติดใจอะไรนัก เพียงแต่แปลกใจเล็กน้อย เพราะนี่ไม่ใช่ช่วงเทศกาลที่จะได้มีคนจองโรงแรมจนห้องเต็มแบบนี้
เอาเถอะ ช่างมันละกัน
มาถึงช่วงที่น่าลำบากใจที่สุด หลังจากผมอาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาและเห็นไนท์นั่งอยู่บนเตียงในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวที่ช่วงคอเปิดกว้างทำให้เห็นผิวกายที่พร่างพราวด้วยหยดน้ำ
อ่า คงเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางหรือไงนะ? ผมถึงได้รู้สึกว่าหัวใจมันเต้นกระตุกแปลกๆ อากาศก็คล้ายจะร้อนขึ้นทั้งที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ
ผมเดินไปยังตู้เย็นแล้วเปิดหาอะไรดื่ม แต่ก็พบแค่น้ำเปล่า ผมหยิบออกมาขวดนึง หันหลังไปและเกือบชนเข้ากับไนท์
ไนท์ยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังผมในชุดคลุมอาบน้ำตัวเดิม ผมเองก็ไม่ต่าง แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะการมาทะเลครั้งนี้กะทันหันมากจนผมไม่มีโอกาสเอาเสื้อผ้าติดตัวมาด้วย
"จะเอาน้ำเหรอ?"ผมถามพลางชูขวดน้ำขึ้นแต่ไนท์ส่ายหน้า จ้องมองผมเงียบๆก่อนจะเปิดปากถาม
"...เหนื่อยเหรอ?"
ผมเข้าใจว่าที่ถามหมายถึงการเดินทางจึงส่ายหัวให้
"เปล่าหรอก ฉันค่อนข้างชินกับการเดินทางแล้ว แค่นี้ไม่เหนื่อยหรอก"พอผมตอบก็กลายเป็นไนท์ที่ส่ายหน้าอย่างช้าๆ
"ไม่ใช่ ที่ฉันถามหมายถึง...การอยู่กับพวกเรา...มันเหนื่อยมากเหรอ?"ประโยคยาวๆที่นานๆครั้งจะได้ยินดังสะท้อนในหู ซึ่งมันทำให้มือที่ขวดน้ำอยู่อ่อนแรงกะทันหันและเผลอปล่อยมันตก
ตุบ
ผมมองขวดน้ำที่ตกก่อนรีบก้มเก็บอย่างตกใจ...หรือเอาจริงๆมันคือการถ่วงเวลาตอบคำถามของอีกฝ่ายที่ผมไม่รู้ว่าควรตอบไปยังไง
เหนื่อย?
ผมแค่นยิ้มกับตัวเอง
"เหนื่อยสิ ฉันเหนื่อย...มากๆเลย"
ผมเหนื่อยที่จะต้องทำตัวเป็นของเล่นที่ดีให้กับพวกเขา ถึงที่ผมยอมมาตลอดเป็นเพราะ...ผมเองก็หวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม
ผมเองก็อยากที่จะมีเพื่อนที่สามารถหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมกันแบบพวกไนท์ แต่ผมก็รู้ดีว่าตัวผมเป็นไม่ได้ และ...ไม่มีวันเป็นได้
คนที่เคย"หักหลัง"เพื่อนสนิทตัวเองอย่างผม...จะมีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไรกัน?
"ทำไมกันนะ ทำไมฉันต้องรู้จักพวกนาย...คนอย่างฉันไม่สมควรจะเกี่ยวข้องกับใครเลยแท้ๆ"ผมกำขวดน้ำในมือแน่นจนสั่น ฝืนฉีกยิ้มพร้อมถามอย่างไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังตั้งตารอคำตอบแบบไหน
"นี่ไนท์ ทั้งนาย เวย์ ซิตซ์ ไปป์ จิน ลอสริกซ์ก็ด้วย ชอบฉันจริงๆงั้นเหรอ? ทำไมถึงชอบล่ะ? มันไม่ควร...ไม่ควรเป็นฉัน...ไม่ใช่เหรอ? ฉันมันไม่คู่ควร...ไม่ใช่เหรอ?"
"คนอย่างพวกนาย...ไม่ควรชอบคนอย่างฉัน...ไม่ใช่เหรอ?"ผมเงยหน้าประสานสายตากับคนสูงกว่า ไนท์จ้องมองสบแบบไม่หลบตาจนเป็นผมเองที่ต้องก้มหน้าลงมองขวดน้ำในมือ
ขวดน้ำพลาสติกที่ยังไม่ได้แกะ น้ำข้างในยังคงเต็มเปี่ยม ซึ่งจริงๆถ้าเป็นแค่ขวดกลวงๆมันจะไม่มีน้ำหนักอะไรเลยแท้ๆ แต่พอมีน้ำอยู่ข้างในกลับหนักขนาดนี้ มันก็เหมือนกับตัวของผมที่เคยว่างเปล่า แต่ตอนนี้กลับถูกเติมเต็มด้วยอะไรบางอย่าง และอะไรบางอย่างนั้นทำให้ร่างกายผมหนักจนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่ไหว
มันทำให้ผมล้าจนอยากจะทิ้งทุกอย่างลงไปกลิ้งเหมือนขวดน้ำเมื่อกี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่ขวดน้ำ แต่เป็นคน...คนที่ไม่มีสิทธิ์ทำให้ชีวิตใครวุ่นวาย ไม่มีสิทธิ์สร้างความเจ็บปวดให้ใคร ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น...
หมับ
ไนท์ดึงตัวผมเข้าไปกอด อ้อมแขนที่โอบกอดแผ่นหลังผมไว้อย่างอ่อนโยนพร้อมกระซิบถ้อยคำที่ฟังแล้วอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ
"...ชอบได้สิ พวกเราชอบทอย ...ชอบแค่ทอย ฉัน...ชอบทอย"
คำพูดว่าชอบที่หลั่งไหลออกมาจากปากของไนท์ทำให้ผมปล่อยให้ขวดน้ำในมือตกลงไปอย่างไม่คิดจะเก็บ ก่อนเอื้อมมือโอบกอดแผ่นหลังไนท์กลับและซบหน้าลงกับไหล่ซ้ายของอีกฝ่าย
ได้เหรอ? ผมมีสิทธิ์เหรอ? มีสิทธิ์ใช่ไหม? ฉันมีสิทธิ์ที่จะกอดนายไว้แบบนี้...ใช่ไหม?
คำถามที่ผมไม่ได้พูดออกไป ได้แต่ซุกใบหน้าไว้อย่างนั้นพร้อมกับกลืนคำถามสุดท้ายให้มันดังสะท้อนไว้เพียงในใจ
ฉันมีสิทธิ์ที่จะเห็นแก่ตัว...ใช่ไหม?
ความคิดเห็น