คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่14
หลังจากคืนนั้นที่ไห่หลางเอานมสตรอว์เบอรี่มาให้ตามคำสั่งเซียงเว่ย
วันถัดมา นอกจากรายได้ของวันที่เป็นคริสตัลกับอาหารกระป๋องแล้ว
กู่หนิวยังได้รับนมสตรอว์เบอรี่แถมเข้ามาขวดหนึ่ง
“เอ่อ
นมนี่...?”
“คุณชายเป็นคนให้
รับไปซะสิ”หลงคุนพูดด้วยเสียงห้วนๆ โดยไม่ยอมชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติม
ในครั้งแรกกู่หนิวได้แต่รับมาอย่างงงๆ และหันไปขอบคุณเซียงเว่ยอย่างงงๆ แต่พอวันถัดมาเขาก็ได้รับนมสตรอว์เบอรี่มาอีก
พอมีครั้งที่สามครั้งที่สี่ คำขอบคุณก็ได้กลายเป็นไร้คำพูด ชายหนุ่มเริ่มแน่ใจ
ว่านี่ไม่ใช่เรื่อง ‘ปกติ’
กู่หนิวไม่ใช่คนโง่
ถึงเขาจะทึ่มทื่อไม่ทันโลกเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สนใจอะไรเลย
นมสตรอว์เบอรี่ที่ได้มาอย่างไม่มีเหตุผลนี้
ย่อมกระตุ้นให้ตัวเขาระวัง
หากจะกล่าวว่าเซียงเว่ยต้องการเพิ่มสวัสดิการให้แก่สมาชิกป้อม
คนอื่นๆในป้อมก็สมควรได้รับนมสตรอว์เบอรี่หรือของอย่างอื่นเพิ่มเช่นกัน
แต่เท่าที่ลองถามดูก็พบว่านอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครได้ของแถมพิเศษเพิ่มเติม
หากจะบอกว่าเป็นการซื้อใจเพื่อสืบถามความลับเรื่องที่มาของคริสตัล
อีกฝ่ายก็ควรใช้ของมีค่าหรือหน้าที่สำคัญเพื่อหลอกล่อให้เขาเข้าเป็นพวกมากกว่านมสตรอว์เบอรี่ธรรมดาๆ
การกระทำที่ดูไม่หวังผลอะไร
แต่ก็คล้ายแอบซ่อนเจตนาบางอย่างเอาไว้ก็ทำให้กู่หนิวต้องใช้สมองที่มีอยู่ของตัวเองขบคิดหาคำตอบ
และเมื่อเขาลองทิ้งตรรกะยุ่งยากไป คำตอบที่ดูง่ายดายก็พลันปรากฏ
อยาก...สนิทสนม?
พูดไปแล้วไม่ว่าจะความสัมพันธ์รูปแบบไหน
หากต้องการทำความใกล้ชิด ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้วิธีมอบของบรรณาการ... แค่ก
ของขวัญให้กันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ หากเซียงเว่ยต้องการทำความสนิทสนมด้วย
การมอบนมสตรอว์เบอรี่ให้มาก็ถือเป็นเรื่องเข้าใจได้ ดังนั้น คำถามถัดมาที่เขาต้องค้นหาคำตอบคือ...
อีกฝ่ายต้องการสายสัมพันธ์รูปแบบไหน?
สถานะของพวกเขาปัจจุบันคือเจ้านายกับลูกน้อง
ไม่ขาดไม่เกิน ซึ่งหากคิดตามความเป็นไปได้แล้ว แนวทางความสัมพันธ์ที่ควรมุ่งต่อไปก็ควรเป็น...เพื่อน?
นอกจากเพื่อนแล้ว
สายสัมพันธ์รูปแบบพี่น้องหรือคนรักก็ถูกเขาเอามาพิจารณาเช่นกัน
แต่มันก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว
หากจะนับเป็นพี่เป็นน้อง ตัวเขาที่อายุมากกว่าอีกฝ่ายหลายปีก็สมควรเป็นพี่ แต่ความสัมพันธ์รูปแบบนี้จะทำให้ความสัมพันธ์รูปแบบเจ้านายลูกน้องเกิดความมัวหมองได้ และไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องคนรัก ต่อให้เซียงเว่ยตาบอด กู่หนิวก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเลือกตน
ในป้อมไป่เหอแห่งนี้
มีสมาชิกชายหญิงที่หล่อเหลาและงดงามอยู่มากมาย
แม้แต่หลงคุนที่กู่หนิวมองว่าหน้าตาไม่เท่าไหร่ก็ยังดูมีราศีกว่าตัวเขาอยู่โข และถึงเซียงเว่ยไม่สนใจเรื่องหน้าตา
กู่หนิวก็ต้องพูดตรงๆ ว่า ไม่ว่าจะนิสัยหรืออะไร ตัวเขาก็ไม่มีจุดไหนที่โดดเด่นพอให้คนมาสนใจ ทั้งชีวิตของเขาไม่มีความมุ่งหวังหรือความฝันอะไร
นอกเหนือไปจากการได้ดื่มนมสตรอว์เบอรี่ก่อนนอนหลังอาบน้ำเสร็จ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แม้จะเข้ายุคสิ้นโลกแล้วก็ตาม
คนอย่างเขา
ถ้าให้วิจารณ์อย่างไม่เกรงใจก็ต้องบอกว่าเป็นพวกน่าเบื่อ จืดชืด ไร้จุดเด่น
แน่นอนว่าคนประเภทเดียวกับเขายังมีอีกมาก กู่หนิวเชื่อว่าถ้าลองสุ่มหยิบคนสิบคนออกมาจากฝูงชน
ก็อาจจะเจอสักสามถึงสี่คนที่มีนิสัยแบบเดียวกับตัวเขา
ดังนั้นความเป็นไปได้ที่เซียงเว่ยอยากจะเป็นคนรักของเขาจึงถูกตัดทิ้งอย่างรวดเร็ว
เรื่องข่าวลือที่ถูกพูดกรอกหูไม่ได้ทำให้กู่หนิวหวั่นไหว
เพราะชายหนุ่มเป็นประเภทหัวแข็ง ถึงมองเผินๆจะดูโอนอ่อนไม่เคยขัดแย้งกับใครก็ตาม
แต่ตัวเขาเป็นประเภทที่ยึดติดกับความคิดตัวเอง
อย่างเช่นถ้ามีคนบอกว่าจางลู่เป็นผู้ชาย
กู่หนิวก็จะไม่เชื่อจนกว่าจะมีคนเอาหลักฐานมายืนยัน
เช่นเดียวกันกับเรื่องของเซียงเว่ย จนกว่าจะมีหลักฐานที่ไม่สามารถโต้แย้งได้มาล้มล้าง
เขาก็จะเชื่อมั่นในความคิดตัวเองต่อไป
แน่นอนว่าถึงเซียงเว่ยจะไม่ได้ชอบเขาในรูปแบบที่ว่า
แต่กู่หนิวก็สัมผัสได้ว่าตัวเขาในสายตาเด็กหนุ่มตอนนี้แตกต่างและ ‘พิเศษ’ กว่าคนอื่นอยู่บ้าง แต่ความพิเศษที่ว่านี้ก็อาจไม่ยืนยาวเท่าไหร่
ดังนั้นแล้วสิ่งที่เขาควรทำก็คือเออออเล่นไปด้วยจนกว่าอีกฝ่ายจะเบื่อ
“หนิว”
กู่หนิวที่รดน้ำอยู่มองเจ้านายหนุ่มที่อยู่ในชุดสเวตเตอร์สีขาวแขนยาวอย่างเคย
เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วรับคำ
“ครับ
คุณชายต้องการอะไรงั้นเหรอครับ?”
“เย็นนี้
กินข้าวด้วยกัน”คำกล่าวที่เหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าไถ่ถามหรือชักชวนเรียกคิ้วของคนฟังให้เลิกขึ้นน้อยๆ
แต่เพียงอึดใจกู่หนิวก็ตอบคำพลางโค้งศีรษะให้
“เข้าใจแล้วครับ
ไม่ทราบว่าคุณชายทานอาหารเย็นกี่โมงครับ?”
“หกโมง”
“รับทราบครับ”หลังเขารับคำเสร็จก็มาก้มหน้าก้มตาดูแลพวกดอกไม้ต่อ
ทางเซียงเว่ยก็นิ่งเงียบไป เนิ่นนานอีกฝ่ายจึงหมุนตัวจากไป
ทางกู่หนิวเมื่อเจ้านายไม่อยู่แล้วก็หยุดมือที่กำลังทำเป็นยุ่งก่อนระบายลมหายใจยาวเหยียด
พอก้มมองเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมของตัวเองชายหนุ่มก็ต้องส่ายหัว
“คงต้องแวะไปอาบน้ำก่อนละนะ”
พอตกเย็น
กู่หนิวที่อาบน้ำมาเรียบร้อย แต่ยังอยู่ในชุดเสื้อยืดถูกๆ สีเข้มก็ขึ้นมารับเงินเดือนเหมือนอย่างเคย
และเพราะครั้งนี้ถูกชวนมาทานข้าวด้วย หลังรับอาหารกระป๋องกับคริสตัลมาแล้ว เขาก็ตรงไปนั่งยังมุมทานอาหาร โดยเดินตามหลังเจ้านายน้อยไป
ในห้องของเซียงเว่ยนั้น ตรงฝั่งซ้ายมือจะมีโซนสำหรับนั่งคุยอยู่ด้วย
เมื่อเดินผ่านประตูกระจกใสที่เป็นตัวกั้นระหว่างฝั่งห้องทำงานกับที่ทานข้าวเข้าไปก็พบเจอกับมุมที่ตกแต่งด้วยสวนถาดที่มีน้ำตกจำลองไหลรินฟังเสนาะหู
เสียงน้ำใสผสานกับต้นไม้ขนาดเล็กที่ถูกตกแต่งอย่างลงตัว ได้สร้างบรรยากาศร่มรื่นที่พาให้จิตใจผ่อนคลายออกมา ซึ่งนอกจากสวนถาดดังกล่าวแล้ว
ในโซนนี้ก็มีเพียงเบาะแดงบุนุ่นหนาสองเบาะประกบข้างโต๊ะไม้ตัวเล็กที่มีสีเข้มจนเกือบดำ โดยโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวนั้นมีขนาดกว้างพอให้คนสองคนฟุบหน้านอนกับโต๊ะได้โดยที่หัวไม่โขกกัน
กู่หนิวเห็นเซียงเว่ยนั่งลงแล้วก็รีบนั่งลงบ้าง
เขารู้สึกประหม่านิดหน่อยเพราะไม่ได้กินข้าวกับคนอื่นมานานหลายปี
แต่พอคิดว่าอาหารที่กินก็เป็นแค่อาหารกระป๋องเหมือนทุกวันความตื่นเต้นที่ว่าจึงถูกกวาดทิ้งไป
แต่แล้วสมมติฐานของเขาต้องถูกทำลาย
เมื่อสิ่งที่หลงคุนที่ยามนี้มีผ้ากันเปื้อนสีดำครึ่งตัวผูกเอวเอาไว้นำมาคือไก่อบซอสมะเขือเทศกับไข่ตุ๋นน้ำแดง
และหมั่นโถว
ควันร้อนๆบวกกับกลิ่นหอมของอาหารที่โชยฟุ้งทำให้กู่หนิวมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หลอนไปเอง
พออาหารถูกนำมาวางเรียงข้างหน้าก็ทำให้เขาประจักษ์ชัดว่าไม่ใช่ความฝัน
สีสันอันโดดเด่นกับกลิ่นหอมยั่วน้ำลายทำให้กู่หนิวแทบกระโจนเข้าใส่อาหาร
แต่เขาก็ต้องตั้งสติและหักห้ามใจ เพราะนี่ไม่ใช่ยุคสมัยอันสงบสุขที่อาหารประเภทไก่อบซอส
หมั่นโถว หรือไข่ตุ๋นจะหากินได้ตามรายทาง
กู่หนิวเหลือบมองหลงคุนที่ยามนี้ผันตัวไปเป็นคนเสิร์ฟอาหารอย่างระวัง
ก่อนจะรู้สึกแปลกตา เพราะปกติหลงคุนมักใส่เสื้อผ้าที่ดูเป็นทางการและดูสง่า
ทว่ายามนี้อีกฝ่ายกลับสวมผ้ากันเปื้อน ยิ่งรวมกับใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวเข้าไปด้วยก็ทำให้กู่หนิวเผลอมองอีกฝ่ายเป็นพนักงานเสิร์ฟในภัตตาคารหรูไปแวบหนึ่ง
“กินได้”เสียงเซียงเว่ยที่ดังขึ้นเรียกสายตากู่หนิวให้กลับไปหา
ก่อนเขาจะประหลาดใจเมื่อสังเกตเห็นว่าเครื่องแต่งกายของเซียงเว่ยในวันนี้แปลกออกไป
อีกฝ่ายอยู่ในชุดสูทลำลองสีขาวเทา
เพราะสวมทับสเวตเตอร์คอเต่าตัวเดิมทำให้เขาไม่ทันเอะใจ
ลักษณะตัวสูทที่เป็นเสื้อกั๊กสไตล์อังกฤษทำให้เด็กหนุ่มดูหล่อเหลายิ่งขึ้น
และสูงส่งมากขึ้น
กู่หนิวถึงกับตั้งคำถามว่าตัวเองมาร่วมดินเนอร์กับอีกฝ่ายได้ยังไง?
คนที่ควรนั่งอยู่ตรงนี้สมควรเป็นสุภาพสตรีผู้งดงามหรือคุณหนูสักคนที่คู่ควร
ไม่ใช่คนขับรถ ไม่สิ ยามเฝ้าประตูคฤหาสน์แบบเขา...
เซียงเว่ยเริ่มต้นด้วยการตักไข่ตุ๋นขึ้นชิม
วันนี้อีกฝ่ายไม่ได้แต่งทรงผมเหมือนงานคราวก่อน
แต่ทวงท่ากิริยาตอนกินก็ทำเอาคนมองแทบลงไปคุกเข่า
กู่หนิวเหม่อมองจนกระทั่งเซียงเว่ยหยุดมือแล้วปรายตามองมาอย่างคล้ายจะถามว่าทำไมไม่กิน
เขาจึงได้คีบหมั่นโถวมาใส่จานตัวเอง ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบขึ้นมากัดอย่างเก้ๆกังๆ
กู่หนิวจำต้องยอมรับว่าตัวเองไม่ถนัดใช้ตะเกียบเท่าไหร่ ไม่ขอพูดถึงช่วงหลังๆที่กินแต่อาหารกระป๋อง
แม้จะเป็นก่อนหน้านี้ ตัวเขาก็ยังไม่สันทัดในการใช้ตะเกียบนัก อาจเพราะปกติกินแต่อาหารเสียบไม้ซะส่วนใหญ่
ซึ่งพวกหมั่นโถวหรือปาท่องโก๋เขาก็มักใช้มือหยิบจับเอา ดังนั้นเมื่อต้องมาใช้ทักษะที่ไม่ถนัดต่อหน้าผู้สูงส่งจึงนึกเกร็งขึ้นมา
แน่นอนว่าท่าทางทั้งหมดของชายหนุ่มอยู่ในสายตาอีกคนตลอดเวลา
นัยน์ตาสีฟ้าแวววาวมองไปยังร่างหนาที่เคลื่อนไหวทุลักทุเลด้วยแววตาเอ็นดู
ในตอนที่กู่หนิวตัดสินใจยอมแพ้กับการทานอาหารต่อหน้าพระพักตร์นั้นเอง
ตะเกียบคู่หนึ่งพลันถูกยื่นมาหา และเมื่อสายตาของกู่หนิวมองเห็นเนื้อไก่ที่ถูกเลาะกระดูกออกแล้วในระยะประชิดก็เป็นอันต้องงงงัน
“อ้าปาก”
คำสั่งที่ได้รับในตอนที่สมองว่างเปล่าทำให้กู่หนิวปฏิบัติตามโดยสัญชาตญาณ
กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เนื้อไก่ชิ้นนั้นเข้ามาอยู่ในปากแล้ว
งานนี้สีหน้าที่ไม่เป็นเดือดเป็นรอดกับชีวิตของคนที่ใจเย็นตลอดศกเป็นอันต้องสั่นคลอน
เมื่อได้รับรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำ และฝ่ายตรงข้ามกระทำลงไปเมื่อครู่คืออะไร
ป้อน???
เจ้านายที่สูงส่งทั้งฐานะและชาติกำเนิดลดตัวมาป้อนอาหารลูกน้องที่เป็นชนชั้นรากหญ้า?
แล้วลูกน้องโง่ๆ
อย่างเขาก็ดันปล่อยให้เจ้านายป้อนง่ายๆ?
หากไม่ติดว่าอาหารที่เข้าปากไปถือเป็นของล้ำค่า
กู่หนิวก็อยากจะคายออกมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าตัวเองไม่มีเจตนาจะให้อีกฝ่ายป้อน
แต่ของที่เข้าปากไปแล้ว จะคายออกมาตอนนี้ก็ไม่มีความหมายแล้ว
สีหน้าของกู่หนิวยามนี้อยู่ระหว่างอยากร้องไห้กับเอาหัวโขกกำแพง
แต่เซียงเว่ยที่เป็นต้นเหตุกลับวางตัวเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ เจ้าตัวเพียงว่าขึ้นอย่างเรียบๆ
“ใช้มือ ได้
อนุญาต”
ถ้อยคำสั้นๆ
แต่เหมือนเป็นการพระราชทานอภัยโทษ
กู่หนิวที่ได้รับพระเมตตาลืมเลือนเรื่องถูกป้อนอาหารเมื่อครู่ไปทันใด
เขาวางตะเกียบลงแล้วใช้มือกับช้อนสั้นกินอาหาร และคงด้วยได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการ
กู่หนิวจึงเผลอกินอาหารอย่างเพลิดเพลิน โดยปราศจากอาการเกร็งเหมือนตอนต้น
ซึ่งท่าทีนั้นทำให้คนบางคนซ่อนยิ้มในสีหน้า
ไม่นาน
มื้ออาหารก็จบลง กู่หนิวเพิ่งจะมารู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอทำตัวตามสบายเกินไปก็ตอนที่หลงคุนเดินเข้ามาเก็บถ้วยจานที่เกลี้ยงเกลาออกไป
แววตาที่อีกฝ่ายมองมาดูเย็นชาอย่างที่คนถูกมองต้องยิ้มแหย
สงสัยจะกินมากเกินไปหน่อย...
กู่หนิวรู้สึกผิดเล็กน้อย
เพราะเขาแน่ใจว่าตัวเองกินอาหารเข้าไปถึงสามส่วนสี่จากทั้งหมด แน่นอนว่าส่วนของเซียงเว่ยก็ถูกเขาชิงไปไม่น้อย
แต่ความรู้สึกผิดดังกล่าวก็ต้องถูกกลบฝังเมื่อยังมีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้รับการแถลงไข
อาหารพวกนั้น...
มีที่มายังไง?
ที่ต้องถาม
เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่ป้อมนี้ตัวเขาไม่เคยได้ยินเสียงสัตว์ร้อง
โดยเฉพาะประเภทโทรโข่งมีชีวิตอย่างไก่ เขายิ่งไม่เคย แต่เนื้อไก่ที่กินลงไปเมื่อครู่นั้นสดใหม่เกินกว่าจะเป็นอาหารแช่แข็ง
แต่หากไปซื้อมา คำถามคือ...ซื้อมาจากไหน?
กู่หนิวเคยไปตระเวนซื้อของกับจางลู่เป็นครั้งคราว
ดังนั้นเขาย่อมรู้ว่าในห้างนั้นมีอะไรขายบ้าง แน่นอนว่ามันไม่มีเนื้อสัตว์สดใหม่ขาย
มากสุดมีแค่ไข่ ซึ่งไข่แต่ละใบราคาไม่ใช่น้อยๆ
กู่หนิวอยากถามถึงที่มา
แต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้ เพราะเรื่องบางเรื่อง คนระดับล่างอย่างเขาก็ไม่ควรรู้...
ขณะที่เขาคิดอย่างนั้นเซียงเว่ยกลับเปิดปากพูดช้าๆ
“ไก่ ไข่ พืช
ทั้งหมด เป็นพลัง ของคุน”
“!!!”
กู่หนิวเบิกตาขึ้น
คำว่า ‘อะไรนะครับ?!’ ติดค้างอยู่ในคอ
แต่ไม่รอให้มีใครถาม เซียงเว่ยก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“มิติพิเศษ
คือพลังของเขา”
กู่หนิวไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตกใจเรื่องอะไรดีระหว่างเรื่องพลังพิเศษของหลงคุน
กับเรื่องที่เซียงเว่ยพูดมันออกมาง่ายๆ
มองไปทางหลงคุนผู้ถูกเปิดเผยความลับ
กู่หนิวก็เห็นสีหน้าจนใจที่ดูไม่สบอารมณ์นิดๆของอีกฝ่าย ซึ่งนั่นทำให้เขาค่อนข้างแน่ใจว่าสิ่งที่เซียงเว่ยพูดคือเรื่องจริง
ทั้งอีกฝ่ายยังเอาเรื่องนี้มาบอกเขาโดยไม่ได้ปรึกษากับหลงคุนมาก่อน
และจุดนี้เองที่ทำให้กู่หนิวไม่เข้าใจว่า...
ทำไม?
ความคิดเห็น