ลำดับตอนที่ #22
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : ความรัก ดอกหญ้า น้ำตาของเด็กน้อย ตอนที่01
...เด็กน้อยเอย
ข้าขอถามว่าโลกนี้คืออะไร?
เมื่อครั้งที่ยังไม่มีดินแดนอันอุดมสมบูรณ์นามว่ากาเลเทียถือกำเนิดขึ้น ที่แห่งนี้ยังคงเป็นผืนดินอันรกร้างว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้ใดถือครอง มีเพียงพงหญ้าและไม้พุ่มหนากับบรรดาสัตว์ตัวเล็ก ๆ ท่ามกลางอาณาจักรอันกว้างขวางของพวกมัน กลางวันร้อนระอุกลางคืนเหน็บหนาวจับใจ เมื่อสายฝนชะพรำลงมายังผืนดินเหล่าพฤกษาก็จะโอบอุ้มไว้ส่วนหนึ่ง ที่เหลือปล่อยผ่านซึมซาบลงสู่แหล่งแห่งตะกอนเบื้องล่าง ก่อเกิดเป็นทางน้ำใต้ดินอันคดเคี้ยวกินบริเวณกว้างประมาณหนึ่ง กลายเป็นวัฎจักรทางธรรมชาติอันหาแหล่งใดเทียบเทียมได้ยาก
กระทั่งการมาถึงของมนุษย์...
เดิมทีพวกคาราวานกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงก็ลงหลักปักฐานเริ่มก่อร่างสร้างตัวด้วยความเข้าอกเข้าใจและร่วมฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ไปด้วยกัน แต่หลังจากนั้นเมื่อชุมชนขยายตัวหนาแน่นขึ้น ปริมาณผู้คนมากขึ้น สังคมเมืองและระบบเศรษฐกิจการแลกเปลี่ยนก็ตามมา รวมถึงความเจริญและอารยธรรมอันเป็นรากฐานที่สำคัญของอาณาจักรด้วย เรื่องราวทุกอย่างเหมือนกำลังเดินไปในทิศทางที่ดี จนกระทั่งการมาถึงของสงคราม...
โลภ เกลียดชัง หวาดกลัว และอีกสารพัดความซับซ้อนทางอารมณ์รวมถึงกระบวนการความคิดของคนเป็นตัวนำพาหายนะมาสู่โลกใบนี้โดยแท้ สงครามความขัดแย้งคือสิ่งที่เกิดตามมาอย่างมิต้องสงสัย เพื่อแก่งแย่งให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่เลือกวิธี ที่สุดแล้วมนุษย์ก็เลือกที่จะหยิบสิ่งที่ตนเคยบูชาเถิดทูนลงมาเหยียบกระทืบเสียเอง ความฝัน ความหวัง อนาคต กลายเป็นฝุ่นควันอันห่างไกล เสมือนอดีตที่เลือนรางไร้ร่อยรอยคงอยู่ในปัจจุบัน ผ่านกาลเวลา ผ่านความทุกข์ยากนานับประการของมวลมนุษย์ กระทั่งผู้กล้าคนหนึ่งได้ตอกลิ่มปักหมุดอันมั่นคงลงบนผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ยุติความขัดแย้งและการแก่งแย่งชิงดีทั้งมวล ก่อเกิดเป็นราชอาณาจักรกาเลเทียอันยิ่งใหญ่แผ่ขยายอิทธิพลออกไปกระทั่งแดนเถื่อนอันไกลโพ้น ให้เหล่าอริศัตรูต่างเกรงขามในนามของพระองค์ ผู้เป็นจอมกษัตริย์ต้นตระกูลแห่งราชวงศ์กาเลเทียสืบเนื่องมาจวบจนปัจจุบัน...
@@@@@@@@@@@@
ฤดูร้อนปีที่ 121 แห่งราชอาณาจักรกาเลเทีย...
เด็กน้อยคนหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุขท่ามกลางมวลหมู่พฤกษานานาพันธุ์ ทุ่งดอกไม้แห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังกาเลเทียซึ่งตั้งอยู่บนเนินที่สูงที่สุดของอาณาจักร ถึงจะบอกว่าเป็นสวนดอกไม้แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะแทรกไปด้วยกลุ่มต้นหญ้าเสียมากกว่า เมื่อถึงเวลามันก็จะปล่อยละอองสีขาวนวลให้ล่องลอยไปตามสายลม เดินทางเผยแพร่เมล็ดพันธุ์ของตนไปตามสถานที่ต่าง ๆ อันไกลโพ้น
"ฮะ ๆ ท่านอาจารย์ทางนี้ ๆ ครับ!"
ในมือของเจ้าเด็กมีดอกไม้สีสดกำหนึ่งที่ปลิวไสวไปตามแรงลมเมื่อออกวิ่ง ถัดไปนั้นคือหญิงสาวเลอโฉมในช่วงวัยเบญจเพสกำลังเดินตามเด็กน้อยมาติด ๆ เรือนผมสีขุ่นน้ำนมสะท้อนประกายเจิดจ้ายามเมื่อต้องแสงแดดในยามบ่าย เพียงแค่รอยยิ้มพิมพ์ใจของนางก็รุนแรงพอจะละลายน้ำแข็งบนยอดเขาหรือกระทั่งหัวใจของชายหนุ่มทั้งหลายได้อย่างง่ายดายแล้ว
"เดี๋ยวเถอะบลู! ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้เด็ดดอกไม้ในสวนแห่งนี้ตามใจชอบอีกน่ะ"
ผู้เป็นอาจารย์แกล้งเอ็ดจนลูกศิษย์สะดุ้งยืนสำนึกผิด เด็กน้อยก้มหน้านิ่งไหล่ลู่ลงไม่พูดไม่จาอะไร แต่พอนางเข้าไปใกล้เจ้านั่นกลับชักสีหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกเอาเสียนี่ ช่างเป็นเด็กทะเล้นทะลึ่งไม่รู้จักสำรวมเอาเลย กระนั้นอาจารย์สาวก็มิได้ใส่ใจเอาเรื่องแต่อย่างใด ด้วยรู้นิสัยใจของของเจ้าเด็กซนคนนี้ดี
"เอาล่ะ เรามาเริ่มบทเรียนในวันนี้กันเถอะ"
อาจารย์สาวย่อตัวนั่งลงข้างกายลูกศิษย์พร้อมกับสอนวิชาให้ เมื่อใดที่มีเวลาว่างนางจะเปิดชั้นเรียนชั่วคราวให้กับพวกเด็ก ๆ ข้างถนนในกาเลเทียซึ่งแทบไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนหาความรู้ใส่ตัวนอกเสียจากวิชาเอาตัวรอดไปวัน ๆ ในอาณาจักรแห่งนี้
"ข้าขอถามเจ้าว่า โลกนี้คืออะไร? "
เด็กน้อยเอียงคอไปมาด้วยความงุนงงกับสิ่งที่นางถาม ก่อนจะตอบอย่างไม่ประสาว่าโลกก็คือทุ่งดอกไม้แห่งนี้ไง และช่วงเวลาที่ได้อยู่กับอาจารย์นั้นเป็นพรอันประเสริฐจากพระเจ้า ทำเอาทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกัน เพราะตามจริงคำถามนี้ถือว่าเป็นคำถามเชิงปราชญ์เพื่อให้ผู้ฟังได้ครุ่นคิดถึงการปฎิสัมพันธ์ของตนกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง บางทีนี่อาจจะยากเกินไปหน่อยสำหรับเด็ก ๆ ก็เป็นได้? ด้านลูกศิษย์ก็พยายามหาโอกาสจะมอบดอกไม้ในมือให้กับผู้อาจารย์ ทว่ากลับมีบุคคลหนึ่งโผล่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
"ท่านหญิงขอรับ..."
ชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นสูงแบบชาววังเดินเข้ามาหานางอย่างนอบน้อม เขาก้มโค้งให้กับอีกฝ่ายและไม่ละเลยที่จะลอบส่งแววตาดูถูกไปยังเด็กน้อยที่อยู่ใกล้กันนั้น ประกายตาของชายคนนี้ทำให้บลูรู้สึกอึดอัดจนทำอะไรไม่ถูกทุกครั้งที่พบกัน
"องค์ชายเครโต้กำลังรอท่านอยู่นะขอรับ ได้โปรดรีบไปเข้าเฝ้าด้วยเถิดอย่าให้พระองค์ต้องรอนาน"
"เข้าใจแล้วข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ"
นางถอนหายใจเบา ๆ หนึ่งครั้งก่อนจะหันไปโบกมือลาเจ้าลูกศิษย์จอมทะเล้นตัวน้อย บลูย่นจมูกทำหน้าบอกบุญไม่รับพร้อมกำมือแน่น แน่นเสียจนช่อดอกไม้ที่หมายใจจะให้อาจารย์เมื่อครู่บิดเบี้ยวฉีกขาดคามือ แต่ก็มิได้โวยวายออกมา เพราะมันโตพอจะรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ท่านอาจารย์เป็นถึงคู่หมั้นคนสำคัญของผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งกาเลเทียคนต่อไป และตนนั้นเป็นแค่เด็กกำพร้าสกปรกที่พบเห็นได้ทั่วไปท่ามกลางเปลวไฟสงครามที่ด้านนอกกำแพงเมืองนั่น สนามรบเลือดซึ่งใช้เป็นแหล่งประหัตประหารของเหล่าผู้ไม่ลงรอยและละโมบยิ่ง เพียงสะเก็ดไฟเล็ก ๆ ยังใหญ่พอจะเผาผลาญหมู่บ้านของตนให้แหลกสลาย พวกผู้ใหญ่ต่างถูกเข่นฆ่าเป็นผักปลา พวกเด็ก ๆ ล้วนบ้านแตกสาแหรกขาดไร้ที่พึ่งพิง มีส่วนน้อยเท่านั้นที่หลบหนีเข้ามาข้างในราชอาณาจักรแห่งนี้ได้โดยปลอดภัย
"พรุ่งนี้นะครับท่านอาจารย์... พรุ่งนี้ข้าจะต้องหาของล้ำค่าที่เหมาะสมแก่การประดับประดาบนเรือนกายของท่านมาให้ได้เลยทีเดียว"
ดอกไม้ในวันนี้อาจล้มเหลว มิได้ขึ้นไปประดับบนใบหูของนาง แต่ในใจเด็กน้อยหาได้ท้อถอยอย่างใด เพราะอาจารย์หญิงนั้นคือบุคคลที่มันทั้งเคารพเถิดทูนยิ่ง นับตั้งแต่ที่นางได้ให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้าสาแหรกขาดอย่างตนและเพื่อน ๆ อย่างเรดและกรีนเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้โดยมิถือตัว แถมยังให้สิ่งสำคัญอย่างการศึกษาซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้
"เฮ้ยบลู! มาอยู่แถวนี้เองเหรอ?"
เสียงตะโกนทักทายดังมาจากทางด้านหลัง ปรากฎเด็กน้อยผมสีประกายแดงเพลิงกำลังวิ่งมาพร้อมกับเด็กอีกคน ทั้งสองท่าทางเหนื่อยหอบ สวมเสื้อผ้าปอน ๆ ขาดวิ่นไม่แพ้ของบลู ทั้งสามต่างส่งยิ้มยินดีที่ได้เจอกัน
"เรด! กรีน! วันนี้ฝึกเสร็จแล้วเหรอ?"
"เออสิ! เหนื่อยแทบตายเลยล่ะ!!!"
เด็กน้อยผมแดงล้มตัวลงบนทุ่งดอกไม้อย่างเหนื่อยอ่อน ส่วนกรีนนั้นค่อย ๆ หย่อนก้นลงอย่างระมัดระวังด้วยรู้ว่าเพื่อนของตนนั้นค่อนข้างใส่ใจกับสวนแห่งนี้มาก ถ้าไม่ดูให้ดีอาจพลั้งเผลอนั่งทับดอกไม้แสนสวยเอาก็ได้ ส่วนบลูนั้นรีบโยนดอกไม้ในมือทิ้งไปด้านหลังไม่ให้ใครทันเห็น
"ดูเหมือนจะได้แผลเพิ่มอีกแล้วสินะ?"
บลูชี้ไปที่ท่อนแขนและหัวเข่าของเรดซึ่งมีเลือดไหลซึมออกมาประปราย บางส่วนเป็นร่องรอยแผลแห้งตกสะเก็ดมาจากการฝึกฝนวิชาอันเข้มงวดในวันก่อน ๆ ด้วยว่าดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถูกหมายปองโดยแว่นแคว้นข้างเคืยงอันป่าเถื่อนโหดร้ายตลอดมา จึงต้องคอยเรียกเกณฑ์พวกคนหนุ่มหรือเด็ก ๆ ที่ดูหน่วยก้านดีเข้ามาฝึกเป็นกำลังเสริมในการต่อสู้ป้องกันมาตุภูมิอยู่เสมอ และพวกเด็กกำพร้าที่ลี้ภัยสงครามจากภายนอกเข้ามามักจะกลายเป็นเป้าหมายหลักในการผลิตกองทหารเพื่อต่อสู้ในแนวหน้า เนื่องด้วยหาใช่พลเมืองของกาเลเทียโดยกำเนิดไม่ จำต้องออกโรงรับใช้ดินแดนแห่งนี้เพื่อตอบแทนบุญคุณเสียก่อน เรดและกรีนจึงต้องเข้ารับการฝึกวิชาต่อสู้พื้นฐานในฐานะทหารเด็กที่โรงฝึกใกล้กับที่พัก ส่วนบลูนั้นดูร่างกายเรียวเล็กอ่อนแอ ไม่เหมาะแก่การส่งออกไปตายนอกกำแพงเมือง เลยได้รับการยกเว้นให้เป็นเด็กรับใช้ทำงานจิปาถะในเมืองแทน กระทั่งได้อาจารย์สาวช่วยสอนวิชาในตำราเรียนให้ตามที่กล่าวมานั่นเอง
"ข้าได้ยินพวกผู้ใหญ่ลือกันว่าเจ้าพวกชนเผ่าทางเหนือแอบส่งสายลับลอบปะปนเข้ามาภายในกำแพงเมืองด้วยล่ะ"
กรีนกล่าวพลางลู่หัวลงต่ำ มันรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่ได้ยินอะไรแบบนี้เพราะในอดีตบ้านเกิดของตนก็ถูกพวกชนเผ่าอานารยชนบุกทำลายและเผาจนราบเช่นกัน ดังนั้นข่าวลือนี้จึงอาจเชื่อมโยงไปถึงสงครามภายในอาณาจักร การก่อการร้ายและภัยพิบัติอื่น ๆ ซึ่งจะตามมาได้
"ฮ่า ๆ อย่าห่วงไปเลยน่า! มีข้าคนนี้อยู่ทั้งคนจะต้องไปกลัวอะไรเล่า!"
เรดลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวพร้อมกับพูดเพื่อปลุกขวัญเพื่อน ๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็มักจะทำตัวเป็นผู้นำและแสดงความเข้มแข็งเกินวัยออกมาเสมอ แต่วันนี้กลับเจอบลูแอบเหน็บสวนเข้าให้หนึ่งดอกว่า
"ใช่เลย! เพราะมีเจ้าอยู่นี่แหละพวกข้าถึงได้กลัวอยู่นี่ไง ฮ่า ๆ"
"ช่ายย... เฮ้ยไม่ใช่สิเจ้าบ้า!"
ว่าแล้วทั้งสามก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน แม้เราจะไม่รู้ว่าภัยสงครามจะมาถึงตัวในวันไหน ทว่ามันจะเป็นอะไรไปเล่าในเมื่อวันนี้ทุกคนต่างมีกันและกัน เป็นดั่งเพื่อนตายที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขฟันฝ่าทุกอุปสรรคที่เข้ามากั้นขวางทางเบื้องหน้า ไม่ว่าในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น