ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพเซียนเกรียนยุทธภพ!

    ลำดับตอนที่ #5 : ห้าพรรคใหญ่เริ่มเคลื่อนไหว

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 60



         อะไรฟะเนี่ยจู่ ๆ ก็งานเข้าเฉยเลย  เมื่อคุณชายเจ็ดแห่งสำนักมังกรทองที่ผู้คนร่ำลือเดินย่างสามขุมมาทางผม  ตบบ่าหนึ่งทีก่อนจะถามว่าพวกพรรคมารมาทำอะไรที่ตลาดแห่งนี้  ชาวบ้านร้านตลาดต่างยืนกลั้นหายใจลุ้นระทึก

         "เอ่อ... ผมว่าคุณจำคนผิดแล้วล่ะ  ผมเป็นคนธรรมดา ๆ ทั่วไปที่เดินมาหาข้าวกินเท่านั้นเอง"

         "เจ้านี่แปลกดีนะ  นอกจากสำนวนการพูดที่ฟังดูแปร่งแล้วยังกล้าแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ อีก!"

         หมอนั่นชี้มายังชุดอาภรณ์ที่ผมสวมใส่อยู่  เท่านั้นแหละผมก็ถึงบางอ้อทันทีว่าอะไรเป็นอะไร  ทำไมมันถึงรู้ว่าผมสังกัดพรรคมาร  เพราะเมื่อวานวิญญาณผมดันมาสิงร่างหนุ่มเปลือยคนนี้  องค์รักษ์ของเจ้าหมานั่นเลยยื่นชุดของตัวเองให้ใส่  โธ่ตรูลืมไปเสียสนิทเลยเนี่ย  เวรแท้ ๆ

         "ไม่มีพรรคมารคนใดกล้าแต่งตัวเช่นนี้มาเดินกลางสาธารณะนานมากแล้ว  เจ้าคงทะนงในฝีมือไม่น้อยเลยสิท่า?"

         เจ็ดหน้าหยกเกร็งร่างเตรียมต่อสู้ในทันที  สัมผัสได้ถึงไอพลังที่ระอุอยู่รอบกายของมัน  นี่ล่ะมั้งที่ในหนังเขาเรียกกันว่ากำลังภายในน่ะ  โหย... เพิ่งเคยเห็นของจริงครั้งแรกเลยนะเนี่ย!  แต่จะว่าไปมันใช่เวลามาชื่นชมมั้ยนั่น  ผมรีบยกไม้ยกมือห้ามเป็นการใหญ่แต่ไม่ทันเสียแล้ว  เพราะมันพุ่งตรงเข้ามาพร้อมด้วยพลังฝ่ามือกระแทกใส่หน้าอกอย่างจัง  บังเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วตลาด  และภาพที่ทุกคนเห็นหลังจากนั้นก็คือ  ยอดยุทธคุณชายเจ็ดผู้แกร่งกล้าเจอแรงดีดสะท้อนลอยละลิ่วปลิวกระเด็นหายไปบนยอดหลังคาหมู่ตึกใกล้กันนั้น  ขณะที่ตัวผมยืนเฉย ๆ แข็งแรงดีทุกประการ

         "ว๊ากกก  อ๊ากกก!!!"

         เท่านั้นแหละบรรดาชาวบ้านร้านตลาดต่างแตกตื่นวิ่งหนีตายกันอลม่าน  บางคนก็ก่นด่าสาปแช่งพรรคมารไปด้วย  ทั้ง ๆ ที่ตรูไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด  แค่ยืนอยู่เฉย ๆ แถมเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียด้วยซ้ำ  ให้ตายสิพวกนี้มันมีลูกกะตาไว้ทำซากอะไรฟะ

         "ก็เพราะเจ้าเป็นพวกมารไงเล่า  มีหรือที่ชาวบ้านจักเห็นใจ?"

         ตาแก่อ้วนพุงพลุ้ยที่นอนหลบมุมข้างตึกเอ่ยทักเหมือนอ่านใจผมได้  ก่อนจะคลานออกมายิ้มยิงฟันที่เหลือไม่มากในปาก  ศีรษะล้านเลี่ยน  เนื้อตัวมอมแมมเหม็นเหล้าหึ่ง  เสื้อผ้าก็ปุปะขาดวิ่งไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว  จากที่ไล่ดูตั้งแต่หัวจรดเท้านี่มันขอทานหมดสภาพชัด ๆ  แต่เฮ้ย! ถ้าอ้างอิงจากบรรดาหนังกำลังภายในทั้งหลายแหล่  ไอ้พวกตาแก่แบบนี้แหละยอดฝีมือแห่งยุคแหงม ๆ  

         "เงี๊ย ฮ่า ๆ"

         ตาแก่หัวเราะร่าแล้วพยุงร่างให้ลุกขึ้น  ก่อนจะร่วงลงไปนับดาวที่พื้นเพราะขาข้างขวาที่พิกลพิการนั่น  จากที่คิดว่าอาจจะใช่ยอดฝีมือเลยกลายเป็นยอดน่าสมเพชไปเสียฉิบ  ทีแรกก็ว่าจะไม่สนใจตาแก่สติฟั่นเฟือนนี่แล้วเชียว  ถ้าไม่เพราะมันดันพูดประโยคที่ชวนสะกิดใจจนขนลุกซู่ออกมาว่า

         "แถมยังเป็นจอมมารข้ามกาลเวลา  ดูเข้าท่าไม่หยอกนะ เงี๊ยะ ฮ่า ๆ"
     

    @@@@@@@@@@


         บรรยากาศความตึงเครียดแผ่กระจายไปทั่วห้องโถงใหญ่ของพรรคมังกรทองในยามบ่าย  เจ้าสำนัก จางเหอลู่  นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนบัลลังก์  รายล้อมไปด้วยบรรดาบุตรธิดาทั้งหกซึ่งนับเป็นเหล่ายอดยุทธประจำสำนัก  ส่วนเจ้าลูกชายคนสุดท้องนั้นกำลังนอนพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในห้องส่วนตัว

         "ไอ้พวกมารมันชักจะได้ใจใหญ่แล้ว  ข้าว่าเราคงต้องร่วมมือกับสำนักใหญ่ที่เหลือลงมือกวาดล้างพวกมันเสียที!"

         ลูกชายคนรอง  เจ้าของสมญา เขี้ยวพิฆาตจางถังยี่  กำหมัดทุบโต๊ะด้วยความเกรี้ยวกราด  เขาไม่พอใจที่พวกพรรคมารกล้าบุกมาเหยียบจมูกกันถึงถิ่นทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกมันไม่เคยมายุ่มย่ามในเขตของพรรคอื่นเลย

         "ใจเย็นก่อนน้องรอง  ท่านประมุขเคยสอนแล้วไม่ใช่หรือว่าเรื่องใหญ่ต้องตัดสินใจให้รอบคอบ"

         พี่ชายคนโต จางเหยียนจง  กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  เขาเองก็ไม่พอใจที่พวกมารมันกำเริบเสิบสานใหญ่  แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อของตนก็จำต้องรักษาความสุขุมเอาไว้  ในฐานะผู้สืบทอดเจ้าสำนักรุ่นถัดไป

         "ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมารวมตัวกันที่นี่ยังไงเล่าพี่รอง"

         จางหยูซู่  ลูกสาวคนโต (ลำดับที่สี่) กอดอกถอนหายใจให้กับความมุทะลุของพี่ชาย  ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือนกี่ปี  จางถังยี่ก็มักจะวู่วามจนเสียการเสียงานไปหลายครั้ง  ถ้าไม่เพราะเห็นแก่หน้าบิดา  พวกพี่น้องคงจะอัปเปหิออกจากสำนักไปนานแล้ว

         "แล้วท่านพ่อเห็นว่าอย่างไรบ้างขอรับ?"

         จางเหยียนจงหันไปสอบถามเจ้าสำนัก  จางเหอลู่ลูบคางอย่างใช้ความคิด  เจ้าสำนักรุ่นก่อนหรือปู่ของตนนั้นได้ฝากฝังสำนักมังกรทองแห่งนี้พร้อมสำทับด้วยว่า  ไม่ว่าจะเกิดเหตุอันใดขึ้น  อย่าได้ริไปลองดีกับพวกพรรคมารเทียนซานโดยเด็ดขาด  ตัวอย่างเด่น ๆ ที่มีให้เห็นคือศึกเจ้ายุทธจักรครั้งที่หนึ่งซึ่งจัดโดยห้าสำนักใหญ่  โดยมีเป้าหมายคือทำลายชื่อเสียงและบดขยี้พรรคมารเสีย  ส่วนผลที่ได้นั้นหรือ?  จะเรียกว่าพินาศย่อยยับยังฟังดูดีกว่าเลย  เพราะเส้าเทียนอิ้งไม่เพียงแต่บดขยี้เหล่าผู้นำทั้งห้าจนสิ้นสภาพ  แต่ยังเกณฑ์พลพรรคมาทำลายงานประลองแบบไม่ไว้หน้าแต่โชคยังเข้าข้างที่มันจำต้องถอยกลับไปทำพิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณเสียก่อน  ทำให้ทุกสำนักรอดพ้นความวินาศชิบหายมาได้อย่างหวุดหวิด

         "ท่านพ่อ  ข้ารู้ว่าท่านลำบากใจ  แต่ขณะเดียวกันข้าก็มองเห็นเป็นโอกาสด้วย!"

         จางเหยียนเสีย  จอมยุทธลำดับที่สี่กล่าวอย่างมีเลสนัย  ลูกชายคนนี้ผิดกับพี่รองที่มักจะคิดวางแผนการต่าง ๆ ด้วยความแยบยลเสมอ

         "เจ้าคงหมายถึงพิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณเมื่อเร็ว ๆ นี้?"

         เจ้าสำนักรู้เท่าทันความคิดของลูกชาย  หากวิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วนจะเห็นได้ว่าจอมมารเพิ่งผ่านพ้นพิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณมาหมาด ๆ  พละกำลังคงตกลงชั่วระยะหนึ่งและไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามนัก  อย่างที่บรรดาสำนักใหญ่เคยรอดพ้นวิกฤตเมื่อนานมาแล้ว

         "จางเหยียนจงเจ้ารีบส่งจดหมายเชิญบรรดาเจ้าสำนักใหญ่ทั้งหมดโดยด่วน  เราจะเดินทางไปทวงถามความเป็นธรรมให้กับลูกชายของข้า!"

         ด้วยเหตุนี้ห้าสำนักใหญ่จึงคิดฉวยโอกาสบุกพรรคมารในช่วงเวลาที่เส้าเทียนอิ้งอ่อนแอที่สุด  เพื่อกดดันให้มันส่งตัวเจ้าคนที่กล้าทำร้ายจอมยุทธเจ็ดออกมารับโทษทัณฑ์  มิเช่นนั้นแล้วเทียนซานอาจต้องพบกับการผนึกกำลังแห่งฝ่ายธรรมมะเพื่อปราบปรามคนชั่วก็เป็นได้! 


    จบตอน   
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×