รัสปูติน พ่อมด รัสเซีย จอม ขมังเวทย์ หรือ ซาตานในคราบนักบุญ - รัสปูติน พ่อมด รัสเซีย จอม ขมังเวทย์ หรือ ซาตานในคราบนักบุญ นิยาย รัสปูติน พ่อมด รัสเซีย จอม ขมังเวทย์ หรือ ซาตานในคราบนักบุญ : Dek-D.com - Writer

    รัสปูติน พ่อมด รัสเซีย จอม ขมังเวทย์ หรือ ซาตานในคราบนักบุญ

    รัสปูติน พ่อมด รัสเซีย จอม ขมังเวทย์ หรือ ซาตานในคราบนักบุญ

    ผู้เข้าชมรวม

    4,442

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    4.44K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    9
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ก.ย. 49 / 20:16 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      รัสปูติน พ่อมด รัสเซีย จอม ขมังเวทย์ หรือ ซาตานในคราบนักบุญ

      เซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก เป็นมหานครของอาณาจักรรัสเซียมา 200 กว่าปี จวบจนปี 1916 รัสเซียประสบภัยพิบัติจากสงคราม ซึ่งก่อนมีการปฏิวัติไม่นานนักเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์กแพร่สะพัดไปด้วยข่าวลือเกี่ยวกับผู้ชายที่เรียกขานว่า “Temnyi” บุรุษแห่งความมืด หรือ เกรกอรี่ รัสปูติน ข่าวลือกระจายไปว่าบุรุษผู้นี้เป็นนักบุญที่ลุ่มหลงในตัณหาราคะ บูชาซาตานแต่เทศนาในโลกของพระเจ้า และพฤติกรรมของเขาล้วนแอบแฝงไปด้วยกลโกง อีกทั้งเขายังเป็นผู้ซึ่งมีพลังอำนาจสะกดจิตพระเจ้าซาร์ และยังประหารมเหสีของพระเจ้าซาร์อีกด้วย ความจริงเขาได้รับอนุญาติให้เข้าไปในห้องบรรทมของพระโอรสของพระเจ้าซาร์แต่สาเหตุนั้นไม่ได้รับการเปิดเผย แต่ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถบรรเทาและรักษาอาการประชวรหนักของพระโอรสผู้ซึ่งเป็นผู้สืบราชบัลลังก์โรมานอฟ ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ ตำนานเล่าขานเข้ามาแทนที่เรื่องราวอันจริงแท้ของรัสปูติน ความตายอย่างพิศดารของเขาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยืนยันถึงคำล่ำลือเกี่ยวกับการกลายร่างของซาตาน ซึ่งกิตติศัพท์เหล่านี้ก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ความจริงที่ปรากฎเกี่ยวกับรัสปูตินนั้นเป็นเรื่องราวของคนที่มีความแปลกแยก, คนที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ และผู้ที่มีแรงดลใจ มากกว่าบาทหลวงที่คลั่งไคล้ในลัทธิซาตาน


      คำสาปแห่งราชวงศ์โรมานอฟ

      โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตเด็กและ ราษฎรรัสเซีย หลายร้อยคนไป เมื่อเร็วๆนี้ ได้เคยเกิดขึ้นมา ครั้งหนึ่งแล้วครับ เมื่อร้อยกว่าปีมานี่เอง และเกิดขึ้นในวันมหามงคลด้วยคือ ระหว่างเฉลิมฉลอง พิธีราชาภิเษก ของกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ โรมานอฟ มีคนตายนับพัน ซันเดย์ สเปเชียล หนนี้จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับผม

      ราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov dynasty) ได้ปกครองรัสเซียเป็นเวลานานถึง 300 ปี มีจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรหลายองค์ เช่น ปีเตอร์มหาราช คันทรีมหาราชินี แต่แล้วพอถึง ค.ศ. 1918 ราชวงศ์โรมานอฟ ก็ต้องประสบกับโศกนาฏกรรมร้ายแรง ปิดฉากราชวงศ์ที่เคยยิ่งใหญ่ลง

      ความหายนะที่เกิดขึ้นนี้ ว่ากันว่า ส่วนหนึ่งมาจากคำสาปแช่งของ บุรุษที่มีพลังอำนาจจิตสูงส่ง นาม รัสปูติน (Rasputin)!

      ปี ค.ศ. 1896 นิโคลาส และอเล็กซานดรา ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นซาร์และซาริน่าปกครองอาณาจักร อันไพศาลของรัสเซีย พิธีราชาภิเษกนั้นยิ่งใหญ่ กึกก้องกัมปนาทด้วยเสียงปืนใหญ่ ขบวนแห่สู่ พระราชวังเครมลิน ประกอบด้วยเหล่าทหารองครักษ์ นับพัน มีการดื่มเฉลิมฉลองกันทั่วทั้งเมือง ผู้คนแก่งแย่งเบียร์และขนมปังที่นำมาแจกกันอย่างชุลมุน กลายเป็นจลาจล ราษฎรทั้งชายหญิงและเด็กโดนเหยียบตายไปกว่าพันคน!

      นับเป็นการเริ่มต้นรัชกาลใหม่ ที่น่าสยดสยองยิ่ง และหลอกหลอนความรู้สึก ของสมาชิกราชวงศ์ ทุกพระองค์ตลอดเวลา

      สิ่งปรารถนาอันใหญ่หลวง ของพระเจ้าซาร์นั้นก็คือ เจ้าชายรัชทายาท ผู้จะเป็นประมุของค์ต่อไปของรัสเซีย แต่แล้วก็ทรงกลับไปได้แต่พระราชธิดาถึง 4 พระองค์ นับตั้งแต่ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และ อนาสตาเซีย

      ซาร์และซาริน่าทรงไม่ละความพยายาม ทั้งสองพระองค์สวดอ้อนวอน ขอพรต่อเทพเจ้าให้ประทานพระโอรส และท้ายที่สุดก็สมพระทัย ในวันที่ 5 สิงหาคม 1904 พระองค์ก็ได้เจ้าชายรัชทายาท อเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ

      หากทว่า นิโคลาสกับอเล็กซานดราก็ต้องทรงระทมทุกข์อีกครั้ง เมื่อพบว่าเจ้าชายน้อยอเล็กไซ มีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ทรงประชวรด้วยโรคร้าย ฮีโมฟีเลีย ถ้าเป็นแผล โลหิตจะไหลไม่หยุด จนถึงอาจสิ้นพระชนม์ได้ และโรคนี้ไม่มีวิธีรักษา!

      เรื่องนี้ ซาร์ทรงปิดเป็นความลับแก่โลกภายนอก ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาเยือนในพระราชวัง ยกเว้นผู้สนิทสนมใกล้ชิด เพียงไม่กี่คน

      ระหว่างนั้น ทั้งพระองค์และ พระราชินี ก็ทรงเสาะแสวงหา หมอเก่งๆ มารักษาพระราชบุตร ด้วยเหตุ ทั้งสององค์ทรงฝักใฝ่ ในศาสนา ตลอดจนมนตร์วิชา ลี้ลับต่างๆ การเสาะหานี้จึงได้นำมาสู่ ความหายนะ แห่งราชวงศ์โรมานอฟ

      หนึ่งในผู้ที่ทรงเชื้อเชิญ ให้มารักษา เป็น บุรุษลึกลับกลับจากป่าในไซบีเรีย นาม เกรกอรี่ รัสปูติน ตอนที่อเล็กซานดรานำ เขาผู้นี้มาในวัง อเล็กไซ เจ้าชายน้อยกำลังบรรทม เจ็บปวดรวดร้าว จากอาการเลือดตกในใกล้สิ้นพระชนม์

      รัสปูตินสามารถช่วยชีวิตอเล็กไซไว้ได้!

      ปริศนาที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้คือ เขารักษาอาการขององค์รัชทายาทได้อย่างไร?

      บางคนมั่นใจว่า เขาใช้วิธีสะกดจิต

      บางคนแย้งว่า เป็นเพราะเหตุบังเอิญ

      แต่จะอธิบายเหตุบังเอิญได้อย่างใด ในเมื่อการรักษาเยียวยานั้นเป็นไป อย่างได้ผลตลอดระยะเวลายาวนานถึง 12 ปี เรียกว่า ถ้าเจ้าชายน้อยมีแผลครั้งใด รัสปูตินก็สามารถช่วยไว้ได้ทุกครั้ง

      ซาริน่าทรงเชื่อมั่นว่ารัสปูตินได้รับ พลังอำนาจพิเศษจากเทพเจ้า พระนางจึงทรงเชิญให้เขาเข้ามา พำนักอยู่ในพระราชฐานชั้นใน เพื่อดูแลถวายการรักษาอเล็กไซอย่างใกล้ชิด

      และนี่เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาส คลุกคลีกับสาวสรรพ์กำนัลในแห่งพระราชวัง จนกลายเป็นข่าวลืออื้อฉาวถึงสัมพันธ์สวาทที่เขามีต่อเหล่านางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง และแม้กระทั่งซารีน่าอเล็กซานดราก็มิได้เว้น!

      ยิ่งไปกว่านั้น รัสเซียได้เข้าร่วม ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ใน ค.ศ. 1914 พระเจ้าซาร์ทรงเห็นความสำคัญ ของศึกครั้งนี้ จึงทรงออก ร่วมในการบัญชาการ เป็นเหตุให้ต้องเหินห่างพระ ราชวัง เปิดโอกาสให้รัสปูตินได้กระทำการบัดสีต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ

      หนักขึ้น ด้วยในขณะนั้น เขาเป็นที่โปรดปรานของ ซาริน่าอย่างยิ่ง อีกทั้งพลังสายตาอันแข็งกล้าของเขา ก็ยังสยบผู้คนให้ตกอยู่ใต้ อำนาจได้อีกด้วย

      นับเป็นก้าวย่างที่ราชวงศ์โรมานอฟ ถึงจุดเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว

      ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า

      “พระราชินีทรงคิดว่า พระเจ้าได้สื่อสารกับ พระราชวงศ์โดยผ่านทางรัสปูติน เมื่อเขาพูดถึงสิ่งใด พระนางก็จะทรง ปฏิบัติตามโดยไม่รอช้า ดังนั้น เมื่อรัสปูตินแนะนำให้ตั้ง ใครดำรงตำแหน่งสูงๆ หรือขับไล่ผู้หนึ่งผู้ใดให้พ้นไปเสียจากวัง พระนางก็จะทรงทำตา มคำแนะนำของเขาทันทีเขา จึงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในพระราชวัง”

      ความเหิมเกริมของรัสปูตินทำให้เชื้อพระ วงศ์และข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งไม่อาจทนต่อไปได้ โดยเฉพาะเจ้าชาย ยูสโซปอฟ ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุดองค์หนึ่ง เจ้าชายจึงทรงวางแผนกับผู้ใกล้ชิด ลวงรัสปูตินให้มาเยือนวังของพระองค์ใน นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แล้วล่อให้เขาลงไปยังห้องใต้ดิน จากนั้น ก็ให้รัสปูตินดื่มไวน์ชั้นเยี่ยมที่ทรงเก็บไว้ และกินแป้งราดครีมอันโอชะ หากทว่าทั้งอาหารและไวน์นี้ได้เจือปนไซยาไนด์ เพียบ ขนาดฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบคนสบายๆ

      แต่รัสปูตินไม่ธรรมดา ทั้งดื่มทั้งกินสารพิษ ร้ายเข้าไปแล้วก็ยังมีทีท่าปกติ ยูสโซปอฟ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่ต้องเป็นอำนาจของปิศาจร้ายแน่ๆ ด้วยความโกรธและตกใจ เจ้าชายจึงชักปืนรีวอลเวอร์ ออกมากระหน่ำยิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ แน่ใจว่าหนนี้นักบวชชั่วคงตายแน่นอน ยูสโซปอฟเข้าไปก้มดูร่างที่นอนนิ่งอยู่ หากทว่าร่างนั้นกลับลืมตา จ้องถมึงทึงพลางคำราม “แกไอ้บัดซบ” ยูสโซปอฟตระหนกสุดขีด แล้ววิ่งขึ้นบันไดร้องลั่น “มันไม่ตาย! มันยังมีชีวิต!”

      ไม่เพียงแต่จะพยุงร่างตัวเองขึ้นได้ แต่รัสปูตินยังสามารถเดินโซซัดโซเซ ออกไปยังสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่ม ผู้วางแผนฯ วิ่งไล่ระดมยิงตามหลัง อย่างบ้าคลั่ง แต่กระสุนปืนไม่อาจปลิดชีพ ของนักบวชผู้มีพลังจิตนี้ได้ สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะ ทำฉันใด เหล่าเพชฌฆาต จำเป็นจึงจับร่างของรัสปูตินโยนลง ในแม่น้ำเนวาที่ไหล ผ่านนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อากาศที่หนาวจัดทำให้น้ำ บางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง

      ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน แต่เขาตายเพราะจมน้ำ!

      ข่าวความตายอย่างหฤโหดของรัสปูตินแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักร สร้างความโศกศัลย์แก่อเล็กซานดรายั่งนัก นอกจากนี้ยังทรงหวั่นไหวอย่างยิ่ง เนื่อง จากก่อนหน้าการตายไม่ นานนัก นักบวชผู้หยาบช้าได้เขียนบันทึกสั้นๆ ถึงพระองค์ไว้ว่า “ขอให้ทรงรับรู้ว่า ถ้าหากเชื้อพระวงศ์องค์ใดทำให้หม่อมฉันตาย พระ องค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ภายในสองปี จากฝีมือของประชาชนรัสเซีย” เกรกอรี รัสปูติน มีนาคม 1917 ไม่ถึง 3 เดือนหลังการตายของรัสปูติน กระแสแห่งการปฏิวัติหลั่งไหลเข้ามาสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรมแห่กันเข้ามาถวายฎีกาปรับปรุงระบบการบริหารประเทศ แต่องครักษ์วังหลวงกลับต่อต้านด้วยอาวุธปืน ความจลาจลวุ่นวายบังเกิดขึ้น และผลสุดท้ายซาร์ก็จำต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัวอย่างแข็งแรง และถูกนำไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและกันดาร

      โดยซารีน่าและเจ้าหญิงทั้ง สี่องค์ได้แอบซ่อนทองและ อัญมณีเอาไว้ในพระภูษาเป็นอันมาก หากทว่าไม่รอดพ้นมือ ของทหารปฏิวัติซึ่งขี้เมาและกักขฬะ

      นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าเจ้าหญิงผู้งดงาม ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ทั้ง 4 องค์ ก็ไม่รอดพ้นการย่ำยีทางเพศ จากทหารเหล่านี้เช่นกัน!

      นับเป็นชะตากรรมที่พลิกผันชีวิตอันสูงส่ง ลงมาต่ำสุดอย่างน่าสมเพชยิ่งนัก

      เมษายน 1918 ครอบครัวราชวงศ์ โรมานอฟ ถูกนำไปไว้ในบ้านหลังหนึ่ง แถบภูเขาอูรัล ถึงตอนนี้พระเจ้าซาร์ก็ทรง ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพระเจ้า และไม่ได้ตระหนัก รู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ พระองค์ อีก บันทึกสุดท้ายของพระองค์คือ

      “อากาศอบอุ่นและสบาย ไม่มีข่าวใดจากภายนอก”

      ยามดึกของคืนวันที่ 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวโรมานอฟกับบริพาร และแพทย์ผู้ดูแล รักษา ทั้งหมดถูกปลุกขึ้นและนำตัวลงไปยังห้องใต้ดิน ต่อหน้ากลุ่มนักโทษสูงศักดิ์ นายทหารผู้ควบคุมได้อ่านประกาศ

      “ด้วยเหตุที่วงศาคณาญาติของท่านดำเนินการโจมตีโซเวียตรัสเซีย คณะกรรมการบริหารแห่งอูรัล จึงตัดสินประหารท่าน”

      แถวทหารเพชฌฆาต 12 นาย ประทับปืนขึ้นยิงกราดยังกลุ่มนักโทษ พวกเขาร่วงผล็อยราวใบไม้

      ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมการประหารก้าวเดินสำรวจ เจ้าชายน้อยอเล็กไซยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ ยกปืนพกขึ้นยิงองค์รัชทายาท 2-3 นัด ก็เป็นอันปิดฉากราชวงศ์โรมานอฟ

      คำสาปของนักบวชอลัชชีผู้ทรงอำนาจจิตแรงกล้านั้น ได้สร้างความวิบัติแก่ราชวงศ์โรมานอฟอย่างน่าเศร้า และสยดสยองยิ่ง

      รัสปูติน นักบุญ? คนบาป? หรือแพะ?

      ผู้เขียน: อยากรู้

      เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวของชายที่มีชื่อว่า รัสปูติน ซึ่ง นายคนนี้เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลเหนือการปกครองในราชวงศ์ โรมานอฟ ของประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายก่อนที่ระบบกษัตริย์ของรัสเซียจะล่มสลาย เรื่องราวที่บันทึกถึงนาย รัสปูติน คนนี้ มักจะผนวกทัศนะคติในแง่ลบ ทั้งสิ้น ซึ่งหลายคนกล่าวว่า เขาเป็นชนวนการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ หรือเป็นการิกีนีของประเทศ เป็นจุดด่างพร้อยของหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย เมื่อผู้เขียนศึกษามาระยะหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่า หากเรามองกลับมุมดูบ้าง ผู้ชายคนนี้ เป็นบุคคลที่น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง และเป็นผู้ที่เป็นเหยื่อการปกครองของประเทศรัสเซีย ที่บีบบังคับให้เขากลายเป็นเช่นนั้น ลองมาดูประเด็นที่ผู้เขียนวิเคราะห์ในแง่มุมที่แตกต่างจาก ผู้เขียนท่านอื่น ๆ ดูบ้างเป็นไร ในเอกสารสำคัญหลายฉบับนั้นระบุว่า รัสปูติน เริ่มมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ของโลก เนื่องจากการถวายตัวเข้ารักษาอาการป่วยของโอรส กษัตริย์ซาร์ แห่งราชวงศ์ โรมานอฟ ที่มีอาการตกเลือด โดยที่ผ่านมานั้นไม่มีใครสามารถรักษาได้ ซึ่งช่วงเหตุการณ์บ้านเมืองของรัสเซียในขณะนั้นอยู่ในช่วงตกต่ำ สภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ ประชาชน อดยาก ฉะนั้นหากใครสักคนที่จะต้องการก้าวขึ้นมาจากอำนาจการกดขี่ของระบบศักดินา ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลก จึงมีคนเสนอตัวเข้ารักษาพระโอรสเป็นจำนวนมาก แต่ความโชคดี หรืออะไรไม่ทราบ รัสปูตินเป็นผู้ที่ทำสำเร็จ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเข้ามาพัวพันกันระหว่าง นักบวชชาวนาคนหนึ่ง และ ราชวงศ์โรมานอฟ ที่มีอายุมากว่า 300 ปี หากจะมองย้อนกลับไป การปกครองของรัสเซียในยุคนั้น พระเจ้า ซาร์ กษัตริย์ที่กุมอำนาจการปกครองในสมัยนั้น ทรงใช้ระบอบสมบูรณายาสิทธิราชแบบเบย็ดเสร็จ ฉะนั้น ระดับการปกครองประเทศจึงถูกแบ่งออกเป็นระบบศักดินา มีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน รัสปูติน ถือได้ว่าเป็นชนที่อยู่ในกลุ่มชนชั้นล่างสุด ฉะนั้นความรู้สึกเกลียดชัง ขุนนาง กษัตริย์ที่คอยกดขี่ข่มเหงนั้นย่อมมีอยู่ติดตัวแน่นอน ฉะนั้น การที่ตนเองสามารถเข้ามาอยู่ ณ จุดนี้ได้นั้น อาจจะคิดที่จะแก้แค้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองในอดีต เพื่อเป็นการชดเชยสิ่งที่ขาดหายไป ซึ่งหากมองโดยภาพรวมแล้ว หลังจากการสละอำนาจของกษัตริย์ ซาร์ โดยการปฏิวัติของประชาชน รัสปูติน ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการกระทำนั้นโดยใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สุดท้ายคนทั่วโลกกลับกล่าวหาว่าเขาเป็นตัวการสำคัยที่ทำให้ราชวงศ์ โรมานอฟที่มีอายุกว่า 300 ปี ต้องล่มสลาย รัสปูตินเป็นเพียงเหยื่อที่เหล่าประชาชนกล่าวหาและยัดเยียดให้เขาเป็นหรือไม่ เขาเป็นแพะที่แบกรับข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองของใครบางคนหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วผู้ร้ายตัวจริงอยู่ที่ใด นั่นคือสิ่งที่คงต้องขบคิดกันต่อไป หากใครมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว ผมรบกวนช่วย ๆ กันออกความคิดเห็นมาหน่อยนะครับ เพราะอยากรู้ว่าคนอื่น ๆ จะคิดเหมือนผมหรือเปล่า ขอบคุณ
      ครับ วันที่ : 30 ตุลาคม 47 15:31







      คนไทยคนที่2
      ความคิดเห็นที่ 9
      คนที่ตกเป็นเหยื่อน่ะไม่ใช่คนโฉดรัสปูตินหรอกแต่เป็นซาร์นิโคลัสที่2และพระราชินีมากกว่าที่ต้องใช้คำว่าโง่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อกากนักบวชออร์ธอร์ด๊อกซ์(ต้องใช้คำว่ากากหรือเดนคนกับรัส)ตินจึงเหมาะที่สุด)กรณีนี้เป็นตัวอย่างอันดีสำหรับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อในสิ่งลึกลับงมงายที่แอบแฝงมาในรูปของนักบวช พวกนี้ไม่ได้มีความเคารพหรือนับถือในพระเจ้าเพียงแต่เอาเครื่องนุ่งห่มที่แสดงตัวว่าเป็นสาวกมาห่อคลุมกายเท่านั้น นักบวชชั่วรัสปูตินทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับพระคริสต์สอนทุกอย่าง ราชวงค์โรมานอฟอาจจะไม่ถึงกาลเอาวสานก็ได้หากไม่มีข้าราชบริพารโง่ชักจูงงูพิษมาในราชสำนัก รัสปูตินไม่ได้ใช้การสะกดจิตห้ามเลือดให้หยุดในโรคฮีโมฟิลเลีย แต่ทว่าสะกดจิตให้ทายาทน้อยของฃราชวงค์โรมานอฟไม่รู้สึกปวดทรมาณเมื่อเวลากระดูกหักหรือบาดเจ็บแล้วเลือดไหลออกมามาก ความรู้ของแพทย์ในยุคนั้นยังไม่เข้าใจในธรรมชาติของโรคนี้ดีดังนั้นในยุคนั้นทั้งโลกใบนี้จึงยังไม่มีหมอประเทศไหนที่จะควบคุมอาการของโรคนี้ได้ มันจึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ความรักลูกที่เป็นองค์รัชทายาทที่จะสืบทอดบัลลังก์รัสเวียในอนาคตที่พระเจ้าซาร์และพระราชินีจำต้องหาใครก็ได้สักคนที่สามารถควบคุมอาการแห่งความเจ็บปวดนี้ได้ และเผอิญนักบวชชั่วรัสปูตินทำได้ รัสปูตินไม่เคยสนใจการเมือง แต่สนใจแต่ตนเองอย่างเดียวเพราะถือว่าตนเองป็นคนที่ราชินีเกรงใจดังนั้นใครติดสินบนรัสปูตินรัสปูตินก็จะนทำให้คนๆนั้นได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีขึ้นโดยผ่านทางพระราชินี รัสปูตินทราบดีว่ามีคนเกลียดเขาทั้งแผ่นดิน ดังนั้นเขาจึงพูดกับซาร์นิโคลัสที่2ว่าถ้าหากเขาถูกฆ่าตายราชวงค์ของตระกูลโรมานอฟก็ต้องล่มจมไปด้วย นี่เป็นวิธีการที่ชาญฉลาดของนักบวชเจ้าเล่ห์ การทีวงค์โรมานอฟต้องล่มสลายนั้นมันมีสาเหตุมากมายแต่ที่สำคัญมันมาจากการที่รัสเซียรบแพ้ในสงครามที่ก่อชนวนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่1หลายครั้ง แน่นอนมันทำให้เกียรติภูมิของความเป็นมหาอำนาจตั้งแต่ยุคปีเตอร์มหาราชต้องตกต่ำลง เมื่อรบแพ้สงครามเงินทองในท้องพระคลังก็ร่อยหรอผู้คนเริ่มอดอยากขณะเดียวกันพวกบอลเชวิคที่นำโดยเลนินที่นำเอาความคิดคอมมูนิสต์ของมาร์กซ์และแองเกิลมาใช้ได้เริ่มก่อกวนอย่างหนักหลังจากเลนินถูกปล่อยจากคุก ถ้าเรามองย้อนกลับไปดูดีๆถ้าหากซาร์นิโคลัสที่2สั่งประหารชีวิตเลนินทิ้งเสียโดยนำมายิงเป้าที่กลางเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบริก แล้วทำลายพวกสมาชิกพรรคบอลเชวิคส์ไม่ว่าจะเป็นสตาลินและทรอตสกี้ทิ้งเสีย โฉมหน้าของประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนไป ซาร์นิโคลัสที่2มีโอกาศแล้วแต่ไม่ทำเพราะพระองค์อ่อนแอนี่เป็นเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวอ้างหลายครั้งเพราะพระองค์ยอมไว้ชีวิตกบถพวกนี้โดยคิดว่ากบถพวกนี้จะกลับใจกลับตัวได้แต่ที่ไหนได้กลายเป็นหอกข้างแคร่และทิ่มตำพระเจ้าซาร์และราชวงค์จนล้มทั้งยืน ส่วนนักบวชชั่วรัสปูตินนั้นมันเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของประวัติศาสตร์เท่านั้นมันเป็นเพียงเครื่องยืนยันว่าอย่าหลงเรื่องไสยาศาสตร์และเรื่องลึกลับแบบเกินเหตุจนนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตก็จะทำให้ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงได้ สรุปอีกทีพวกที่ทำให้รัสเซียล้มลงจริงๆนั่นคือพวกนักการเมืองที่อาศัยความตกต่ำทางเศรษฐกิจและการอ่อนแอทางด้านการทหารของกองทัพพระเจ้าซาร์เองมาล้มล้างรัฐบาลส่วนรัสปูตินมันเป็นเพียงเชื้อไฟกองหนึ่งที่เข้าไปทำให้เหตุการณ์มันเกิดเร็วขึ้น แต่อย่างว่าพวกนักแต่งนิยายหลอกเงินคนซื้อหนังสืออ่านเข้ากระเป๋ามักชอบใช้เรื่องนักบวชชั่วรัสปูตินมาเป็นเรื่องจุดขายที่ก็มักจะได้ผลเสมอ
      1 พฤศจิกายน 47 22:49


      จาก
      http://www.mgronline.com/Mwebboard/l...860&Mbrowse=11





      จิตตานุภาพอันตรายของพระเทวทัต และรัสปูติน Gregori Rasputin


      (6) พระพุทธองค์ทรงสรุปว่า พระเจ้าอชาตศัตรูต้องทรงเสียคน หมดอนาคตในทางมรรคผลนิพพาน (คือได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์แต่ไม่ได้มรรคผลอะไรเลย นอกจากทรงเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้วทรงปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธคนหนึ่งเท่านั้น)

      รวมทั้งการที่ราชวงศ์ของพระองค์ต้องมาล่มสลายลงอย่างน่าสลด ก็เพราะพระองค์ทรง 'คบมิตรชั่ว'

      (7) ส่วนพระเทวทัตที่ต้องเสียคน เสียพระ และต้องมาทำอนันตริยกรรมหยาบช้าถึง 4 ประการ คือ

      7.1 ส่งนายขมังธนูไปลอบปลงพระชนม์

      7.2 ปล่อยช้างนาฬาคิรี

      7.3 กลิ้งศิลา

      7.4 ทำสังฆเภทแยกตัวออกไปตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้า

      ก็เป็นเพราะท่านตกเป็นทาสของความมักใหญ่ใฝ่สูง หลงในลาภสักการะ (ผลประโยชน์) และเสียงสรรเสริญเยินยอ อำนาจราชศักดิ์ รวมทั้งใช้พลังจิตในทางที่ผิด (ผลแห่งมิจฉาสมาธิ) และเล่นการเมืองทั้งๆ ที่ยังเป็นพระ

      ความผิดนานัปการดังกล่าวมานี้ ทำให้พระเทวทัตกลายเป็น 'ตัวอย่างในทางเลว' ตลอดกาล ชื่อเสีย (ง) ของท่านเป็นที่กล่าวขานอ้างอิงในทางชั่วมาทุกยุคทุกสมัย

      อย่างไรก็ตาม แม้พระเทวทัตจะเลวทรามเพียงไร ก็ใช่ว่าท่านจะเลวมาแต่ชาติกำเนิดก็หาไม่ ความผิดพลาดในชีวิตของท่านเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ผู้ที่ศึกษาประวัติชีวิตของท่านจึงควรเก็บรับเอาบทเรียนจากเรื่องราวของท่านอย่างชาญฉลาด และควรจะขอบพระคุณท่านด้วยซ้ำไป ที่ให้บทเรียนที่ล้ำค่าแก่ผู้มาทีหลังอย่างยากจะหาได้จากที่อื่น

      (8) ผลของการใช้ฤทธิ์แสดงปาฏิหาริย์ในทางที่ผิดเช่นที่กล่าวมาในประวัติของพระเทวทัต น่าจะเป็นเหตุผลอันสำคัญที่สุด ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ในปาราชิก 4 ข้อสุดท้ายว่า ห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรม (ปาฏิหาริย์ ความสามารถพิเศษทางจิต เช่น กล่าวอ้างว่าตนได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ฌาน สมาบัติ เป็นต้น)

      รูปใดอวดถ้าไม่มีจริงถือว่าต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุทันที ถึงแม้มีจริงหากยังอวดอ้างก็มีความผิดสถานเบารองลงมา แต่กล่าวโดยสาระก็คือ ไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่จริง ภิกษุที่อวดอ้างปาฏิหาริย์เหนือสามัญมนุษย์ก็มีความผิดทุกกรณี

      ที่ทรงวางบทบัญญัติในเรื่องนี้ไว้อย่างเคร่งครัดก็เพราะทรงตระหนักดีว่า การอวดอ้างฤทธาปาฏิหาริย์จะเป็นช่องทางให้เกิดการหลอกลวงต้มตุ๋นผู้อื่น และชักพาให้เขวออกไปนอกทางแห่งการตรัสรู้จนกู่ไม่กลับ ภิกษุใดอวดอ้างปาฏิหาริย์ พระพุทธองค์ทรงตำหนิอย่างแรงว่าเป็นดุจมหาโจรและเป็นโมฆบุรุษ

      หรือเป็นเหมือนกับโสเภณีที่เผยอวัยวะอันควรปกปิดเพื่อยั่วผู้ชายให้หลงเสน่หา

      (9) ในประวัติศาสตร์โลกมีตัวอย่างของผู้ที่ใช้จิตตานุภาพ หรือปาฏิหาริย์ทางจิตอย่างผิดๆ จนเป็นเหตุให้ประชาชนเดือดร้อนและราชวงศ์ใหญ่ของโลกอย่างราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียต้องล่มสลายมาแล้วเหมือนกัน

      รัสปูติน สามัญชนชาวรัสเซีย ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1869-1916 คือผู้ที่เดินซ้ำรอยเดียวกันกับพระเทวทัตและต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถไม่แพ้กัน


      รัสปูติน มีนามเต็มว่ากริกอรี่ รัสปูติน Gregori Rasputin รัสปูตินมีพื้นเพเป็นสามัญชนธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เขามีสิ่งที่ไม่ธรรมดาเลยก็คือ 'พลังจิต' หรือ 'จิตตานุภาพ' อันกล้าแข็งล้ำเลิศกว่าคนทั่วไป เขามีพลังจิตพิเศษสามารถสะกดคนให้เคลิ้มหลับได้ตามที่ต้องการ ความสามารถชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันในวงการจิตวิทยาว่า P.K.หรือ Psychokinesis

      นอกจากนี้แล้วเขายังมีญาณสังหรณ์ สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าได้อย่างแม่นยำอีกด้วย วงการจิตวิทยาเรียกความสามารถที่เป็นฤทธิ์ทางใจหรือมโนมยิทธิอย่างนี้ว่า ESP หรือ Extra Sensory Perception หรือ Precognition

      รัสปูตินเข้าไปพัวพันกับสมาชิกแห่งราชวงศ์โรมานอฟในฐานะผู้วิเศษที่มีจิตตานุภาพสูงและในฐานะหมอเทวดาที่สามารถรักษาโรคที่ใครๆ ในสมัยนั้นก็รักษาไม่ได้อย่างเฮโมฟิเลีย Hemophilia (โรคโลหิตไหลไม่หยุด) ของซาร์เรวิต อเล็กซิส ผู้เป็นโอรสโทนของพระเจ้าซาร์ได้ เขาใช้ความดีความชอบจากการนี้ไต่เต้าขึ้นไปเสวยอำนาจราชศักดิ์ในราชวงศ์อย่างปรีดิ์เปรมพร้อมทั้งว่าราชการอยู่หลังม่านโดยผ่านพระราชมารดาของซาร์เรวิต อเล็กซิส

      รัสปูตินบงการให้เกิดความหยาบช้าสามานย์ขึ้นในราชวงศ์โรมานอฟหลายอย่างต่างประการ จนในที่สุดผู้ที่รู้เห็นความจริงทนดูไม่ได้ รวมตัวกันฆาตกรรมเขาด้วยยาพิษและกระสุนจนพรุนไปทั้งร่าง แม้เขาตายไปหลายปีแล้ว แต่ประชาชนชาวรัสเซียยังคงเกลียดชังเขาเข้าเส้นเลือด ไม่กี่ปีต่อมาศพของเขาจึงถูกขุดขึ้นมาเผาจนสิ้นซาก

      เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาไม่ว่าจะเป็นการถูกลอบสังหาร หรือการที่ศพจะถูกเหยียบย่ำซ้ำเติมจนไม่เหลือซาก รัสปูตินรู้ล่วงหน้าดีทุกอย่าง ข้อผิดพลาดของเขามีเพียงว่า เขาไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

      รัสปูติน กับพระเทวทัต เกิดมาต่างยุคสมัย แต่ต้องมาจบชีวิตลงไปอย่างน่าอนาถ เพราะต่างก็เดินซ้ำรอยซึ่งกันและกันอยู่ในที คือต่างมีพลังจิตที่ล้ำเลิศ แต่ใช้ศักยภาพอันล้ำเลิศนั้นไปในทางที่ผิด หากพระเทวทัตไม่หยุดอยู่แค่โลกิยฤทธิ์ เพียรพัฒนาตนอีกสักหน่อย แน่นอนว่าท่านต้องได้เป็นพระอรหันต์ แต่น่าเสียดายที่ท่านหลงเพลินกับการใช้ฤทธิ์อย่างผิดๆ ชั่วชีวิตของท่านจึงได้รับแต่ความอัปยศ รัสปูตินก็เช่นกัน แม้จนบัดนี้ชาวรัสเซียก็ยังคงเกลียดชังเขาอยู่ไม่หาย ถึงเขาตายไปนานแล้ว แต่บาปกรรมอันสาหัสสากรรจ์ที่เคยก่อไว้ก็ยังคงตามหลอกหลอนอนุชนอยู่ไม่รู้วาย

      ในพระไตรปิฎกมีพระพุทธพจน์อยู่บทหนึ่งว่า

      จิตที่ฝึกดีแล้ว อำนวยผลให้แก่เจ้าของอย่างเอกอุดมยิ่งกว่าที่ใครๆ จะสามารถทำให้ได้

      จิตที่ฝึกไม่ดี ทำความหายนะให้แก่เจ้าของอย่างชนิดที่ศัตรูคนไหนๆ ก็ทำให้ไม่ได้

      สัจธรรมข้อนี้พระเทวทัตและรัสปูตินได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจริงแท้แน่นอนที่สุด
      __________________


      ก็ดูไม่ออกว่าเป็นหรอกว่าเป็นซาตานในคราบนักบุญ หรือ พ่อมดกันแน่

      แต่สิ่งที่สำคัญนั้น รัสปูติน เคยทำนายไว้ว่าเขาจะถูกฆ่าตาย

      และทำนายต่อว่า แต่ถ้าเขาถูกฆ่าด้วยน้ำมือสามัญชนก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากผู้ฆ่าเขาเป็นราชวงศ์ ขุนนางหรือผู้มีเกียรติยศสูง บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟ ราชวงศ์จะอยู่ไม่ได้ พี่น้องผู้คนรัสเซียนจะฆ่ากันเองและก็เป็นจริง

      คำทำนายอีกตอนหนึ่ง ทำนองว่า เมื่อเขาตาย แม้ซากศพก็ไม่เป็นสุข จะถูกย่ำยีจนยับเยิน เป็นฝุ่นผงสูญสลายไปกับอากาศธาตุในที่สุด

      ซึ่งก็ปรากฎว่าเขาทำนายได้ถูกต้องหมด และรู้ลิขิตของตัวเอง ด้วยอำนาจจิตของเขาเองเช่นกัน ก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งเช่นกันที่เขารู้เรื่องราวในอนาคตของตนเองได้หมดจดเช่นนี้ สงสัยว่าคงได้อภิญญาตาทิพย์ ชัวร์แน่เลยงานนี้

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×