“ฟรึ่บ! พั่บๆ! “
(ซาวด์แทรกเสียงปึกกระดาษรายงานถูกเขวี้ยงกระเด็นลงโต๊ะ แล้วไถลกระจายหล่นไปที่พื้น รอบบริเวณโต๊ะผู้บริหาร ที่เรายืนอยู่ด้านข้าง ) เสียงนี้มาพร้อม
“ย่าห์!!!!!!!!!!!!!!!!!”
(เสียงทุ้มต่ำ แต่โครตดังยิ่งกว่าสิบแปดหลอด กึกก้องทั่วทั้งออฟฟิศสวยงาม หลังคาสูง ซึ่งเสียงนี้ แฟนละครเกาหลีอาจคุ้นเคยดี) และพร้อมกับ สีหน้าททึง ถลึงตา เหมือนยักษ์ร่วมมือกับปีศาจสร้างหน้านี้ขึ้นมาบนโครงหน้าทรงสามเหลี่ยม ผิวสีคล้ำ
เหตุเกิดรุนแรงขนาดนี้ในออฟฟิศธรรมดาสามัญ สมควรให้ใครต่อใครต้องหันไปมองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันนักกันหนา...แต่มันไม่ อย่างนั้นซะทีเดียว สำหรับที่นี่...
แม้รังสีอำมหิตจะแผ่ซ่าน คลื่นบรรยากาศหนักๆ บางอย่างขยายตัวรอบๆ บริเวณ
แต่ถ้ามองหน้าผู้คนในบริเวณนั้น ยังคงทำงานกันปกติ อาจทำให้เสียงภาพรวมเงียบลงบ้าง แต่คนที่หันไปมองว่าเกิดเหตอะไรขึ้น ประมาณ 20% ของคนทั้งหมดในบริเวณนั้น...
ทำไมน่ะเหรอ...ก็เพราะมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของที่นี่...
ปกติ...ธรรมดา...ที่ไม่ธรรมดา.....
ตัดภาพย้อนกลับไป ประมาณ 1 ปีก่อนหน้าเหตุการณ์นี้
วันที่ฉัน...ลงมือเขียนเป้าหมายชีวิตออกมาหลายสิบข้อ...
ไม่คิด ไม่ฝัน...
ว่าหนึ่งในเป้าหมาย ที่ฉันเขียนลงไปนั้นก็เป็นจริงในที่สุด
กับการตั้งเป้าว่า จะมีประสบการณ์ในการทำงานในบริษัทเกาหลี...
ทำไมต้องเกาหลี?
ก็ฉัน...ผู้ซึ่งหายใจเข้าออก เป็นประเภทที่หลายๆ คนเรียกขานว่า “บ้าเกาหลี”
ไม่ได้บ้า เพราะลำพังเหตุผลแค่ซีรีส์ ดารา เพลง (ซึ่งอันนี้ก็ชอบอยู่แล้ว ^^)
แต่บ้าลึกซึ้งกว่านั้น เพราะว่า เราทึ่งกับผลงานการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนี้เอามากๆ
มันทำได้ยังไงฟระเนี่ยะ อยากรู้~~~~
.
.
.
.
.
การได้รู้จัก ประเทศเกาหลีใต้…นำมาซึ่งความรู้ ความเข้าใจมากมายหลายเรื่อง
บางเรื่องเจ็บปวด ทรมาน
แต่หลายเรื่อง…เป็นแรงบันดาลใจ…ที่ยอดเยี่ยมมาก
ประเทศนี้ ได้สมญานามที่แฝงความทึ่งไว้หลายแบบ
ตั้งแต่ ความมหัศจรรย์แห่งแม่น้ำฮันบ้างล่ะ (The miracle of the Hanriver : แม่น้ำฮันเป็นแม่น้ำสายหลักในกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้)
เป็นประเทศผู้ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ บ้างล่ะ (The impossible country)
ยิ่งได้มาอ่านที่มาที่ไปเรื่องราวของประเทศเกาหลี กว่าจะมาเป็น Korean wave อย่างทุกวันนี้
จาก ประเทศที่เพิ่งผ่านสงครามที่ต่อเนื่อง ทั้งถูกรุกรานรังแกจากญี่ปุ่นยาวนานกว่า 30 ปี
(credit picture:
http://dvi-forensic.blogspot.com)
ถูกทำร้ายและทำลายวัฒนธรรม กดขี่ ข่มเหง ห้ามใช้ภาษาเกาหลี มีการประท้วง ก็ฆ่าคนเกาหลีไปกว่า 400,000 คน ไม่รวมผู้หญิงที่ถูกส่งไปเป็นนางบำเรอทหารญี่ปุ่นอีกกว่า 200,000 คน พอญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก เกาหลีก็ผจญต่อกับสงครามเกาหลี อีก 3 ปี ความเจ็บปวดใดก็ไม่เท่าการถูกมือที่ 3 มือที่ 4 มาทำให้พี่น้องเหนือใต้ ต้องมาเข่นฆ่ากันเอง จะด้วยเพราะอะไร ทุกวันนี้คนเกาหลีเองก็ยังไม่เคยเข้าใจอย่างแท้จริง...
(สมัยโน้น สักสิบปีก่อน ที่อ่านเรื่องเกาหลี ตอนนั้น รู้สึกเราโชคดีมาก ที่ประเทศไทยเราไม่โดนอย่างเกาหลี ไม่อยากจะนึกสภาพ ว่าถ้ามีใครมาฉีกประเทศเราเป็น 2 ส่วน แล้วสั่งให้พี่น้องฆ่ากันเอง จะเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจขนาดไหน....แต่ตอนนี้ ชักแหม่งๆ แต่ยังเชื่อเสมอว่า ไม่ว่าอย่างไร เราก็เป็นไทยด้วยกัน อย่าเหมือนอย่างเกาหลีเลยนะ)
(ภาพจากภาพยนตร์เกาหลี dongmakgol เป็นภาพยนตร์ comedy war ที่ได้รับรางวัลและได้รับการโหวตเป็น Best film , most popular file และรางวัลอื่นๆ อีกมากมายในปี 2005 กับการสร้างภาพยนตร์ตลกเสียดสีการทำสงครามได้น่าสนใจ ขำฮา และสวยงามอย่างเหลือเชื่อ)
สภาพสุดจะเยียวยาเมื่อตอนเพิ่งเลิกสงครามเกาหลีในปี 1953 (พ.ศ. 2496) นั้น
เกาหลี มีสภาพย่ำแย่จนแทบไม่เหลือสภาพการเป็นประเทศ เคยมีรายได้ เฉลี่ยต่อหัวเท่าประเทศกาน่าในปี 1957 (พ.ศ. 2500) (ประมาณ 100 เหรียฐสหรัฐต่อปี หรือ 3,000 บาทต่อปี)
แต่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อมาในปี 2008 (พ.ศ. 2551) เกาหลีใต้มีรายได้สูงกว่ากาน่า 18 เท่าเป็นประเทศที่มีกราฟความเจริญทางเศรษฐกิจแบบตื่นเต้นเร้าใจสุดๆ
(credit picture: commons.wikimedia.org)
ภายใน 1961-1996 เกาหลีกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 11 ของโลกและได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศเศรษฐี OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ในปี 1997 ทันที
(credit picture: wall-online.net)
จากที่เมื่อก่อนต้องมาดูงานประเทศไทย
ภายในไม่กี่สิบปี ประเทศไทยกลับต้องเป็นฝ่ายไปดูงานเกาหลีแล้ว
จากเคยติดหนี้ IMF กลายเป็นคืนเงินล่วงหน้าก่อนเวลาอีกด้วย โอ้!
อึ้ง ทึ่ง
เรื่องมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ยังเป็นไปได้
แล้ว...สงสัยไหมว่า
เกาหลี มีเคล็ดลับยังไง...ทำไมถึงทำได้?
ไม่รู้ใครคิดยังไง
แต่ข้าพเจ้าโคตรสงสัยเลย ว่าเขาทำยังไง
อยากรู้เคล็ดลับข้อนี้มาก
เผื่อจะมีประโยชน์อะไรกับประเทศเราบ้าง
ถ้าเป็นคุณ คุณทำไงคะ ถึงจะรู้ได้
ถ้าเป็นฉันนะ…..
ความคิดเห็น