ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Cheesecake Cafe by Jung Daehyun

    ลำดับตอนที่ #5 : [SF] BangDae – It’s all lies

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 58


    :) Shalunla


     

    ผมไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างเรามันห่างกันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเกิดช่องว่างระหว่างเราแบบนี้ได้ยังไง? กว่าจะรู้ตัวอีกที เราก็ห่างกันมาก มันห่างเหมือนว่าเราไม่เคยสนิทกัน

     

     

    จนเหมือนว่าเราจะไม่มีวันกลับมาสนิทกันได้เหมือนเดิม...

     

     

    “พี่แดฮยอน!

    ผมรีบพับหน้าจอโน๊ตบุคลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนที่คุ้นเคยดังขึ้น ก่อนที่แขนขาวๆของเจ้าของเสียงจะสอดมากอดเอวผมเอาไว้แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มผมทันทีโดยไม่ให้ผมตั้งตัว

    “อะไรของนายเนี้ยจุนฮง?”

    ผมถามเจ้าตัวแสบที่ยิ้มตาหยีทำหน้าระรื่นอยู่ข้างๆ  เจ้าของชื่อไม่ตอบ แต่กลับรวบตัวของผมขึ้นไปนั่งคร่อมตักหันหน้าเข้ากับตัวเองแทน

    “พี่แดฮยอนนี่น๊า~ เมื่อไหร่จะโตซักที? กอดกี่ทีๆก็แทบจะจมหายเข้าไปในอกผมแล้ว กินเก่งแต่ทำไมตัวเล็กจังเลยครับ?”

    “ไม่ใช่พี่ไม่โต แต่นายโตเกินไปต่างหาก ปล่อยได้แล้วน่า”

    ผมพยายามลงจากตักของเด็กตัวยักษ์แต่เจ้าของตักกอดเอวผมไว้แน่น แถมยังบีบสะโพกของผมเล่นด้วยความสนุกมืออีกต่างหาก

    “ลูกแมวของผมตัวเล็กจังเลยน๊า~ แต่ทำไมกอดแล้วถึงได้อุ่นแบบนี้นะ? พี่พอจะรู้บ้างมั้ยครับ?”

    “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละไอ้เด็กขี้มโน ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นๆเค้าก็มาเห็นกันหรอก”

    “เห็นแล้วไง? ทุกคนเค้าก็รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน?”

    “เป็นอะไรหล่ะ? อย่าคิดเองเออเองสิไอ้เด็กบ้า!

    “ฮ่าๆๆๆ แมวน้อยของผมเริ่มพยศแล้ว”

    จุนฮงยังคงหัวเราะร่าโดยที่มีผมดิ้นไปมาบนตักใหญ่ๆนั้น ผมทั้งทุบทั้งตีเจ้าเด็กยักษ์นั่น แต่เหมือนไททั่นอย่างจุนฮงจะไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด จุนฮงฝังจมูกลงบนแก้มผมก่อนจะฟัดแก้มผมแรงๆจนผมเริ่มเหนื่อยที่จะสู้กับหมายักษ์ตัวโตๆแบบจุนฮง

    “หมาแมวหยอกกันอีกแล้ว น่ารักจังเลยนะคู่นี้”

    พี่ฮิมชานเดินออกจากห้องก่อนจะทักผมกับจุนฮงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมดันตัวเจ้าเด็กตัวโตออกห่างก่อนจะหันไปแค่นยิ้มส่งให้พี่รองของวง จุนฮงเปลี่ยนเป็นกอดเอวของผมก่อนจะซบหัวทุยๆนั่นลงบนไหล่อีกข้างของผมแทน

    “พี่จะออกไปเดินเล่น พวกนายจะไปด้วยรึเปล่า?”

    “ไปเดินเล่นเหรอครับ? มีใครไปบ้างเหรอ?”

    ผมถามพี่ฮิมชานด้วยความสนใจ บางทีการออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างมันก็คงจะดีกว่านั่งๆนอนๆในหอทั้งวันแบบนี้หล่ะ

    “พี่กับยงกุกหน่ะ ว่าจะไปเดินเล่นแล้วก็หาอะไรกินกัน ว่าแล้วก็มาพอดีเลย”

    พี่ฮิมชานหันไปยิ้มกับบุคคลที่ 4 ที่เดินมาทางพวกเราก่อนจะเอื้อมมือออกไปกุมมือสวยของเจ้าของชื่อเอาไว้


     

    อยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก...

    มัน....... เจ็บ...


     

    “ป๊าม๊าจะไปเดทกันใช่มั้ยหล่ะ? ผมว่าพวกลูกๆแบบผมไม่ไปขัดจังหวะดีกว่า อยู่เป็นหมาฟัดแมวเล่นสนุกกว่าเยอะเลย”

    จุนฮงพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ผมมองสบสายตาคมที่มองพวกเราอยู่ก่อนแล้วเล็กน้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก คนที่จุนฮงเรียกว่าป๊ายังคงนิ่ง ผมจึงทำได้แค่หลบตาของเขาเพียงเท่านั้น...


     

    เราไม่พูดกันแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ?


     

    “ถ้าพวกนายไม่ไปงั้นพี่ไปก่อนนะ แล้วจะซื้อขนมมาฝาก”

    พี่ฮิมชานจูงมือพี่ยงกุกออกจากหอไป ผมทำได้เพียงแค่มองแผ่นหลังกว้างที่ผมเคยซบ แผ่นหลังที่เคยปกป้องผม แผ่นหลัง... ที่กำลังห่างผมออกไปเรื่อยๆ


     

    อยากจะย้อนเวลา... ให้เรากลับมาสนิทกันเหมือนเดิม......


     

    “...ฮยอน พี่แดฮยอน!

    ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจุนฮงยื่นหน้าเข้ามางับริมฝีปากของผมเบาๆก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ จุนฮงมองผมนิ่ง

    “ผมเรียกพี่หลายครั้งแล้วนะครับ มัวแต่เหม่ออะไรอยู่เหรอ?”

    “ป... เปล่านี่ ไม่ได้เหม่อซักหน่อย”

    ผมพยายามแก้ตัวก่อนจะเสไปมองทางอื่น แต่จุนฮงจับคางของผมให้หันกลับมาเผชิญหน้าอีกครั้ง

    “พี่แดฮยอนครับ... ตอนนี้พี่เป็นของผมนะ”

    ประโยคที่เหมือนจะช่วยย้ำเตือนผมให้กลับมามองความเป็นจริงถูกส่งมาเรียบๆแต่แฝงความจริงจังอยู่ในน้ำเสียง ผมก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้มออกมา

    “ปัจจุบันของพี่คือผมนะครับพี่แดฮยอน”

    “...อืม นายคือปัจจุบันของพี่...”

    “ผมรักพี่แดฮยอนนะครับ และความรักของผมมันคือความรักที่จริงจัง ไม่ได้ฉาบฉวยเหมือนคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ถึงแม้ว่าผมจะเด็กว่า แต่ผมจะไม่ทำให้ใครมาดูถูกความรักของผมที่มีให้พี่เด็ดขาด”

    “...”

    “เพราะฉะนั้น... ลืมเค้าเถอะนะครับ”




     

     

    “แดฮยอน”

    “ครับ?”

    ผมเงยหน้าจากเกมที่กำลังเล่นอยู่ขึ้นมามองคนที่จ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มบางๆจากริมฝีปากสีหม่นถูกส่งมาให้ผม มือสวยที่ใครๆหลายคนนึกอิจฉาเอื้อมมาลูบหัวผมเบาๆ

    “วันนี้เรามีถ่ายรายการคิลลิ่งแคมป์นะ อย่าลืมหล่ะ”

    “ผมไม่ใช่คนขี้ลืมนะพี่ยงกุก อย่าทำเหมือนผมเป็นคนขี้ลืมแบบนั้นสิครับ”

    “เปล่า พี่จะบอกว่า...”

    “เห?”

    ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามคนตรงหน้าที่เปลี่ยนจากลูบหัวมาเป็นลูบแก้มของผมเบาๆ สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเอียงแก้มไปคลอเคลียกับฝ่ามือนั้นอย่างเคยชิน

    “ขึ้นรถแล้วมานั่งข้างๆพี่นะ ตลอดเวลาที่ถ่ายรายการ อย่าอยู่ไกลจากพี่หล่ะ”

    ผมยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าแทนคำตอบ พี่ยงกุกยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะพูดต่อไปอย่างคนไม่รีบร้อนจะทำงาน

    “ลูกแมวซนๆอย่างนาย เดี๋ยวหลงทางไปแล้วจะแย่...”




     

     

    เฮี๊อก!!!

    ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะลุกขึ้นนั่งกลางห้อง บนใบหน้ารู้สึกได้ถึงความร้อนและความเปียกแฉะของเหงื่อก่อนจะมองไปรอบๆห้อง มันคือห้องเดิมที่ผมนอนกับจุนฮงทุกวัน ถ้าอย่างนั้นเมื่อกี๊...


     

    ความฝันเหรอ?


     

    ผมปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติก่อนจะมองคนที่หลับสนิทอยู่ข้างๆพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย เคลื่อนตัวลงจากเตียงอย่างเงียบๆ ก่อนจะเปิดประตูและปิดมันลงอย่างแผ่วเบา นาฬิกาบอกเวลาตีสองกว่า ไฟภายในหอปิดหมดทุกดวง ยกเว้นแต่แสงไฟที่ลอดออกมาจากประตูห้องทำงานของคนที่ผมฝันถึงเมื่อครู่บ่งบอกว่าคนที่อยู่ภายในห้องยังไม่นอน

    ผมหยิบเสื้อคลุมตัวบางมาใส่ ก่อนจะเปิดประตูออกจากหอพักเงียบๆ ผมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่ผมชอบไปบ่อยๆเวลามีเรื่องไม่สบายใจ มันคือชั้นดาดฟ้าของหอพักที่พวกเราอยู่ บนที่สูงๆ ลมเบาๆ กับแสงไฟของเมืองหลวง มักจะช่วยปลอบประโลมผมให้อาการฟุ้งซ่านที่อยู่ภายในอกสงบลงได้อย่างประหลาด

    ผมมองไปไกลสุดสายตา แสงไฟของเมืองหลวงยามค่ำคืนดูสวยงาม แต่ในความงามนั้นกลับมีความเหงาซ่อนตัวอยู่ ก็คงจะเหมือนภายในใจของผม... ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง เมื่อคิดถึงอดีต

    ผมกับพี่ยงกุก เราเคยสนิทกันมาก สนิทกันจนผมกล้าบอกกับใครๆว่าผมสนิทกับพี่ยงกุกมากกว่ายองแจ ตั้งแต่เป็นเด็กฝึก เรา 2 คนตัวติดกันตลอด จนเราได้เดบิ้วต์ ความสนิทระหว่างเรามันยังมีอยู่ ถึงแม้ว่าพี่ยงกุกจะพยายามรักษาภาพลักษณ์ของวงเอาไว้ แต่เราก็ยังมีคุย มีเล่นกันบ้างเวลาอยู่ต่อหน้ากล้อง ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เราถ่ายรายการ Tadah หรือรายการ Killing Camp แม้แต่การถ่ายภาพในแต่ละครั้ง ผมกับพี่ยงกุก เราจะยืนอยู่ข้างๆกันเสมอ...


     

    เราสนิทกัน... สนิทจนผมไม่คิดว่าวันหนึ่งเราจะห่างกันจนกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกันได้ขนาดนี้...


     

    ผมไม่รู้จริงๆว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้? พี่ยงกุกที่คอยเฝ้ามองผม คอยอยู่ใกล้ๆดูแลผม ตอนนี้กลับห่างออกไปจนผมแทบจะมองหาไม่เจอ และเมื่อรู้ตัวอีกที... กลับกลายเป็นว่าที่ว่างข้างๆพี่ยงกุก มีพี่ฮิมชานมายืนแทนที่ผม และที่ว่างข้างๆผม กลับเป็นจุนฮง แทนที่จะเป็นลีดเดอร์คนนั้น...

    เพียงแค่คิด... น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะฝืนยิ้มออกมาให้กับอดีตที่เคยมีความสุขมากเหล่านั้น อดีตที่ไม่มีวันจะกลับมา...

    “ผมคิดถึงตอนนั้นจังเลยครับพี่ยงกุก...”

    “ยังแอบขึ้นมาร้องไห้ที่นี่คนเดียวเหมือนเดิมเลยนะ”

    เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังมาเบาๆจากทางด้านหลัง ผมตาโตด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบเช็ดน้ำตาตัวเองลวกๆ ขายาวๆของเจ้าของเสียงก้าวมาหยุดอยู่ข้างๆก่อนที่มือสวยจะหยิบเอาแท่งนิโคตินขึ้นมาจุดสูบ ควันสีเทาลอยคว้างในอากาศก่อนจะหายไป

    “ดึกขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่นอนอีก?”

    คนข้างๆถามผมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆตามสไตล์ ผมได้แต่ก้มหน้า ลำคอเหมือนจะตีบตันไปหมด ความรู้สึกมันกำลังตีกันไปหมดจนผมไม่รู้ว่าในตอนนี้ผมควรจะรู้สึกยังไง?

    “....ผม... นอนแล้วครับ แต่สะดุ้งตื่น...”

    กว่าจะเค้นเสียงให้ออกมาได้ ก็ใช้เวลาหลายนาที พี่ยงกุกมองไกลออกไปเบื้องหน้า มือสวยยกแท่งนิโคตินขึ้นมาจรดริมฝีปากนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า

    “ฝันร้ายเหรอ?”

    ผมส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ ผมไม่อยากเรียกมันว่าฝันร้าย เพราะมันเป็นความฝันที่ทำให้ผมได้อยู่กับเขา... แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝันก็ตาม

    “อย่าคิดมากแล้วกัน จะฝันดีหรือฝันร้าย ยังไงก็ต้องตื่นอยู่ดี”

    “...ใช่ครับ ยังไงมันก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้น...”

    ผมกัดปากตัวเองไว้แน่น เพื่อข่มน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมา พี่ยงกุกขยี้บุหรี่ที่อยู่ในมือทิ้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก บรรยากาศระหว่างเรามันแสนจะอึดอัด แม้ว่าพี่ยงกุกจะอยู่ตรงหน้าผม แต่มันก็เหมือนมีกำแพงกั้นระหว่างเราเอาไว้ ผมไม่สามารถที่จะเอื้อมมือไปหาเขาได้อีก...

    “แดฮยอน...”

    ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อสองมือของพี่ยงกุกจับไหล่ผมให้หันไปเผชิญหน้ากับตัวเอง นิ้วเรียวสวยจับปลายคางของผมไว้เบาๆ ตาคมจ้องลึกเข้าไปในตาของผม


     

    อยากจะหันหน้าหนี แต่ก็ทำไม่ได้...

    คิดถึง... คิดถึงเหลือเกิน...


     

    “...ครับ”

    “อย่าร้องไห้เพราะพี่อีกเลยจะได้มั้ย?”

    “...”

    “นายมีจุนฮง...”

    “พี่ยง...”

    “...พี่มีฮิมชาน”

    “...”

    “...ระหว่างเรามันจบไปแล้ว”

    เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ความรู้สึกหน่วงไปหมดจนอยากจะร้องไห้ เหมือนแสงจากเทียนเล่มสุดท้ายของผมมันดับวูบ

    ผมเคยได้ยินประโยคที่ว่า... ความจริงมันมักจะโหดร้ายเสมอ เราต้องทำใจยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ผมกลับรู้สึกว่ามันโหดร้าย... โหดร้ายกว่าที่ผมเคยคิดไปอีกหลายร้อยเท่าตัว มันเหมือนมีเข็มนับหมื่นเล่มกำลังทิ่มแทงผมไปทั้งร่าง เหมือนหัวใจกำลังโดนมีดกรีดซ้ำๆ เหมือนโลกทั้งใบของผม กำลังพังลง...

    “ขอโทษนะสำหรับเรื่องที่ผ่านมา ขอโทษที่ห่างออกมาจากนายจนเหมือนว่าเราไม่เคยสนิทกันแบบนี้...”

    “พี่ยงกุก...”

    ผมพูดได้เพียงแค่นั้นจริงๆ ผมไม่รู้ว่าน้ำตามาจากไหน? แต่มันคงจะมากมายพอที่จะทำให้ผมเห็นภาพคนตรงหน้าเบลอเหมือนภาพของเขากำลังจะหายไป

    “...ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย... ฮึก!

    “แดฮยอน...”

    ผมพยายามบังคับให้เสียงของตัวเองเป็นปกติที่สุด แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน น้ำตายังคงไหลออกมาไม่มีท่าทีว่ามันจะหยุด ผมปาดน้ำตาออกจากตาของตัวเองลวกๆอีกครั้ง ก่อนจะฝืนยิ้มส่งให้คนตรงหน้า


     

    มันเป็นการยิ้มที่ผมรู้สึกว่ามันยากที่สุดในชีวิตที่ผมต้องทำ


     

    “ผม... ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร พี่ถึงได้ตีตัวออกห่างจากผม ความรู้สึกของพี่อาจจะหมดไปแล้ว แต่... แต่ที่ผ่านมา ผมยังรู้สึกเหมือนเดิม... ผมยังรักพี่เหมือนเดิม”

    “...”

    “ผมจะไม่ทำตัวให้เป็นภาระของพี่ครับพี่ยงกุก... ถึงพี่จะไม่ได้รักผมแล้ว ถึงพี่จะรักพี่ฮิมชาน มันก็เป็นเรื่องของพี่ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเรียกร้องอะไร แต่เรื่องที่ผมจะรักพี่อยู่หรือไม่? หรือผมจะร้องไห้เพราะพี่รึเปล่า? มันก็เรื่องของผมเหมือนกัน...”

    “พี่ไม่อยากให้นายร้องไห้เพราะพี่อีกแล้ว...”

    “พี่บอกผมได้มั้ยครับว่าเพราะอะไร?”

    พี่ยงกุกปล่อยมือออกจากไหล่ของผม ก่อนจะมองออกไปเบื้องหน้า ทิวทัศน์ในตอนกลางคืนยังคงสวยงาม แต่มันช่างแตกต่างกับผมในตอนนี้เหลือเกิน ผมเคยร้องไห้ แต่ก็มีอกของคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าช่วยซับน้ำตาให้ผม ต่างจากในตอนนี้ ที่ผมทำได้เพียงแค่ยืนมองแผงอกแกร่งนั้น...


     

    แม้ว่าอยากกอดมากเท่าไหร่ แต่ก็ทำไม่ได้... ไม่ใช่อยากกอด แต่เพราะไม่มีสิทธิ์...


     

    “ผมไม่รู้ว่าเหตุผลมันคืออะไร? แต่ถ้าพี่ไม่อยากบอก ผมก็จะไม่ถามอีก...”

    ผมยิ้มออกมาอย่างสมเพชตัวเอง กัดปากตัวเองไว้แน่น แล้วหลับตาลงช้าๆอย่างไม่ต้องการรับรู้อะไร ถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วเรื่องทั้งหมดมันคือความฝันอีกครั้งหล่ะก็... มันก็คงจะดีสินะ

    ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ใช่... มันไม่ใช่นิยายแฟนตาซีที่ผมจะทำตามที่ผมคิดได้ ผมมองคนตรงหน้าอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นการบอกลา...

    “ดูแลพี่ฮิมชานดีๆนะครับ...”

    สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะเดินออกจากตรงนั้น ทุกก้าวมันหนักอึ้งเหมือนมีลูกตุ้มเหล็กถ่วงเอาไว้ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวผมก็ล้มลง แต่ก็พยายามฝืนยืนขึ้นให้ได้อีกครั้ง แม้ว่าผมจะไม่มีแรงที่จะเดินในแต่ละก้าวแล้วก็ตาม




     

     

    Yongguk’s Part

     
     

    ผมมองตามหลังแดฮยอนที่กำลังเดินห่างออกไปจากผมเรื่อยๆ จนเมื่อร่างเล็กๆนั้นหายไปหลังประตูบานใหญ่ของชั้นดาดฟ้าที่ผมมักจะขึ้นมาเป็นประจำ และแน่นอนว่ามันคือที่ประจำของแดฮยอนด้วยเหมือนกัน น้ำตาที่ผมไม่คิดว่ามันจะมี กลับไหลลงมาช้าๆ

    “แดฮยอน... อย่าไป...”

    ทำได้เพียงแค่พูดอย่างแผ่วเบา ฝากผ่านคำพูดไปกับสายลม หวังว่าคนที่เพิ่งเดินจากผมไปจะได้ยิน ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดให้คนที่ผมรักที่สุดคนนั้นฟัง...

     

    ใช่ครับ... ผมรักแดฮยอน

    ...รักมากกว่าชีวิตของตัวเอง...


     

    แต่ผมก็ไม่เคยบอกแดฮยอนเลยสักครั้งว่าผมรักเขามากเท่าไหร่? กลับเป็นแดฮยอนที่พร่ำบอกว่าเขารักผมอยู่ตลอดเวลา จนถึงเมื่อสักครู่ คำพูดที่ผมอยากบอกแดฮยอนมากที่สุดในชีวิต แต่กลับไม่ได้เอ่ยมันออกมา และผมคงจะไม่มีวันได้พูดมันอีกแล้ว...


     

    “พี่ยงกุกครับ พี่เป็นอะไรกับพี่แดฮยอนเหรอ?”

    “...เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไรกัน”

    “พี่พูดจริงเหรอครับ?”

    “...อืม”

    “ถ้างั้นผมขอพี่แดฮยอนนะครับ”

    “...”

    “ผมรักพี่แดฮยอน”



     

    ผมยิ้มเยาะตัวเองอย่างนึกสมเพช ผมมันก็แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้นที่ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำว่ารักออกมาให้กับคนที่ผมรักมากที่สุดฟัง และผมมันก็เป็นคนโง่... โง่ถึงขนาดที่ยกคนที่ผมรักที่สุด ให้กับใครอีกคนเพียงเพราะคนๆนั้นกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเขารักแดฮยอน...

    ผมค่อยๆถูกผลักออกจากแดฮยอนทีละนิดๆ จนสุดท้ายแล้วผมก็ทำได้แค่มองแดฮยอนอยู่ไกลๆ หัวกลมๆที่ผมเคยลูบ แก้มกลมๆที่ผมเคยสัมผัส ริมฝีปากที่ผมเคยครอบครอง ตัวเล็กๆนิ่มๆที่ผมเคยกอด ที่ว่างข้างๆแดฮยอน... ไม่ใช่ผมอีกแล้ว


     

    คิดถึงอยู่ตลอดเวลา...

    ...คอยมองหาเวลาที่หายไป

    ทำได้เพียงแค่นั้น...


     

    ผมเคยคิดว่าการตัดแดฮยอนออกจากชีวิตมันเป็นเรื่องง่าย แต่พอเอาเข้าจริงๆ การไล่คนที่เรารักมากที่สุดให้ไปไกลจากตัวเองมากที่สุด กลับเป็นเหมือนการฆ่าตัวเองให้ตายช้าๆอย่างทรมาน

    แม้ว่าผมอยากจะดึงแดฮยอนเข้ามากอดแค่ไหน? อยากเช็ดน้ำตาให้มากเท่าไหร่? จนเมื่อเห็นแดฮยอนล้มลงตอนที่เดินจากผมไป แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ มันจะมีโอกาสอีกสักครั้งมั้ยที่จะให้ผมบอกแดฮยอนว่าเรื่องทั้งหมดนั้น มันเป็นแค่เรื่องโกหก

     

    ผมต้องการแดฮยอน...

    ผมต้องการลูกแมวน้อยของผมคืน...


    เสียงเพลง It’s all lies ดังลอยมาตามสายลมจากที่ไหนสักแห่ง เหมือนตอกย้ำความรู้สึกของผมที่มีต่อแดฮยอนเข้าไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    “พี่รักนายนะแดฮยอน... กลับมาหาพี่เถอะ...”

    “...พี่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีนาย”


     

     

    아무렇지 않게 니가 나의 손을 다시 잡아준다면 깊은
    หากคุณยื่นมือมาให้ผมอีกซักครั้ง ทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


    너의 마음의 상처들을 전부 아물게 하고 싶어
    ผมจะขอรับความปวดร้าวทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่แผลลึกในใจของคุณมาไว้กับตัว

    I can't let go girl
    너무 쉽게 떠나보낸
    ผมทำใจไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ปล่อยคุณไปง่ายๆ

    없인 같아
    แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ได้ถ้าขาดคุณ




     

    -------------------------------------------------

    เอาฟิคมาฝากก่อนสอบค้า หายไปนานเลยว่ามั้ย? ฮี่~~ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะเขียนฟิคม่าแบบนี้นะ ก็กะจะจบให้มันสวยอยู่แหละ เขียนไปเขียนมา อ้าว! ไหนว่าจะจบสวยไง? ฮ่าๆๆๆๆๆ
    ฟิคเรื่องนี้มาจากอาการน้อยใจของเราเอง ที่ว่าทำไมเมื่อก่อนบังแด้เค้าดูสนิทกันมากเลย ตัวติดกัน ถ่ายรูปข้างกัน แต่เดี๋ยวนี้ดูห่างเหินเหลือเกิน อืม... จริงๆแล้วมันมีปม(?) ประจวบเหมาะกับนึกขึ้นได้ว่าตอนที่แดฮยอนร้องเพลงนี้ ยัยหนูร้องไห้ด้วย เราเลยเอาเพลงนี้มาเขียนในพาร์ทของคุณป๋าซะเลย
    เอาเป็นว่ามาช่วยกันเชียร์ให้พี่เสือกับน้องแมวกลับมาสนิทกันเหมือนเดิมดีกว่าเนอะ ^^

    เจอกันหลังปิดเทอมค้า!!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×