คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : (OS) Alive
one short fiction
Pairing: nct lucas x mark
Rate: 18+
Genre: au, fantasy, darkness
note: ค่อนข้างดาร์กค่ะ ขออภัยถ้ามันบั่นทอนทุกคน T_T
กลางดึกที่แสนจะเงียบสงัดไม่ได้ทำให้ค่ำคืนแตกต่างจากค่ำคืนก่อนๆสักเท่าไหร่ บรรยากาศที่เงียบเชียบอย่างนี้เป็นไปอย่างปกติอย่างที่ควรจะเป็น เสียงฝีเท้าที่ก้าวอย่างแผ่วเบาของนางพยาบาลประจำวอร์ดและเสียงโทรทัศน์ที่เปิดข่าวคราวช่วงรอบดึกทำให้มั่นใจว่าอย่างน้อยโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ไม่ได้วังเวงเกินไปจนเหมือนโรงพยาบาลร้างเลยเสียทีเดียว
ก็ไม่แปลกที่ตอนนี้ที่บรรยากาศรอบข้างจะดูเงียบงันจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะตอนนี้ก็เวลาก็ปาเข้าไปที่สองนาฬิกาห้าสิบหกนาทีแล้ว นางพยาบาลประจำวอร์ดกะดึก เดินมองลอดไปยังห้องพักของผู้ป่วยเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายของค่ำคืนนี้ ก่อนจะหยุดที่ห้อง 802 แล้วเดินเข้าไปที่เตียงคนไข้พิเศษของโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูอาการของคนตัวเล็ก
“คนไข้ มาร์ค ลี อายุ 18 ปี 4 เดือน”
นางพยาบาลตรวจความดัน ชีพจรและปริมาณน้ำเกลือและจดลงไปในแฟ้มข้อมูลประจำตัวของคนไข้ก่อนจะเดินไปปรับแอร์ให้สูงขึ้นเมื่อเห็นว่าคนไข้เริ่มปากซีดเซียวพร้อมทั้งห่มผ้าห่มให้ถึงคอเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับคนบนเตียงแล้วจึงเดินออกจากห้อง
ภายหลังที่นางพยาบาลคนนั้นออกไปแล้ว ชายหนุ่มที่คิดว่าหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมาช้าๆก่อนจะมองไปยังประตูอีกครั้งเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าหญิงสาวกลางคนผู้นั้นเดินออกไปแล้วจริงๆ หลังจากนั้นมาร์คจึงค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาจากเตียงแล้วใช้หมอนใบโตรองแผ่นหลังตัวเองเอาไว้
เด็กหนุ่มจ้องไปที่หลังมือของตัวเองที่มีเข็มน้ำเกลือเสียบคาไว้อยู่ แล้วจึงมองไปยังเครื่องวัดชีพจรที่หน้าจอกำลังแสดงผลเป็นกราฟการเต้นของหัวใจและค่าของความดันโลหิตอยู่ตลอดเวลา มาร์คถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน มือทั้งสองข้างของคนตัวเล็กเผลอกำปลายผ้าห่มแน่นจนยับยู้ยี้
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่มาร์คนอนไม่หลับ
เขาเผลอตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติในทุกค่ำคืนราวกับตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้อยู่ภายในจิตใจ และความคิดความรู้สึกต่างๆก็ประดังประเดเข้ามาในสมองของเด็กหนุ่มทุกๆคืน
มาร์คลีเหนื่อย
ทุกๆครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ มันทำให้เขารู้สึกบั่นทอนจิตใจอยากจะลืมๆหรือกำจัดมันทิ้งไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้… ถึงแม้ว่าเขาจะมีอาการเหล่านี้มาตลอดระยะเวลาเกือบสองเดือนแต่มาร์คกลับไม่ปรึกษาคุณหมอเจ้าของไข้ เขาแสร้งทำเป็นเด็กดี สดใส ร่าเริงและยิ้มเก่ง จนเป็นคนไข้ขวัญใจของเจ้าหน้าที่ประจำวอร์ดนี้ทุกคน
มาร์คลีคนนี้อ่อนแอเหลือเกิน
อ่อนแอไม่ใช่คำจำกัดที่โอเวอร์เกินไปสำหรับเด็กขี้โรคแบบมาร์ค เด็กหนุ่มมีสารพัดโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นหอบหรืออาการแพ้อากาศหนาวจัดๆติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆจนถึงตอนนี้ แถมยังเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยกว่าไปโรงเรียนเสียอีก
ลำพังโรคประจำตัวก็มีเยอะอยู่แล้ว เมื่อสามเดือนที่แล้วระหว่างที่เขากำลังจะเดินไปรับยา จู่ๆมาร์คก็เกิดอาการหน้ามืดและหายใจไม่ออก ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองน่าจะอาการหอบกำเริบ เขาพยายามควานหายาในกระเป๋าเป้ใบโปรดแต่ด้วยความที่อาการมันรุนแรงกว่าทุกครั้ง ทำให้คนตัวเล็กหมดสติไป
เมื่อมาร์คฟื้นขึ้นมาเขาก็พบว่ามีทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่มากมายวิ่งกันให้วุ่น ก่อนคุณหมอท่านหนึ่งเห็นว่าเขาฟื้นแล้วจึงเดินเข้ามาตรวจร่างกายของเขาอีกครั้งพร้อมกับบอกว่าที่นี่คือแผนกฉุกเฉิน ก่อนคุณหมอซอที่เป็นคุณหมอประจำตัวของมาร์คจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“มาร์คครับ”
“ครับ”
“มาร์คมีอาการแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วครับ”
“ถ้าอาการหอบ ผมก็..”
“ไม่ใช่อาการหอบ หมายถึงอาการหน้ามืด ปวดหัวบ่อยๆ แล้วก็ปวดท้องหน่ะ”
“คุณหมอรู้หรอครับ?” มาร์คถามคุณหมอด้วยความงงงวย เพราะเขาไม่เคยบอกอาการเหล่านี้กับคคุณหมอประจำตัวเลยเพราะคิดว่าเป็นอาการข้างเคียงจากการทานยา
“มาร์ค หมอจะบอกอะไรให้มาร์ครู้นะ” คุณหมอซอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะสบตาคนไข้ในความดูแลด้วยแววตาที่จริงจัง “นั่นไม่ใช่อาการหอบ แต่เป็นอาการของโรคมะเร็งเส้นประสาท”
คำพูดของคุณหมอเหมือนกรรไกรคมๆที่ตัดสติของมาร์คให้ขาดสะบั้นลงไป เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้คุณหมอพูดอะไรกับเขาหรือทำอะไรกับร่างกายของเขาบ้าง มาร์ครู้เพียงอย่างเดียวว่าโลกทั้งใบของมาร์คมันพังทลายลงมาอย่างไม่เหลือซาก
กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกแอดมินอยู่ในห้องพิเศษ มือทั้งสองด้านของเขาเต็มไปด้วยอุปกรณ์การแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นเข็มน้ำเกลือหรือเครื่องวัดชีพจร คุณหมอซอเดินเข้ามาหามาร์คด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสารและเห็นใจ คุณหมอหนุ่มบอกกับคนตัวเล็กเพียงแค่ว่า
“ทำใจให้สบายนะมาร์ค ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล ทางโรงพยาบาลเรามีทุนสำหรับบุคคลยากไร้ นายจะต้องหายนะ”
สิ้นเสียงคำพูดของคุณหมอ มาร์คทำได้แค่ยิ้มบางๆแล้วขอบคุณซอยองโฮซ้ำไปซ้ำมาและเมื่อทุกคนออกไปจากห้อง มาร์คลีก็ปล่อยโฮออกมาราวกับคนขาดใจ ความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นมาตลอดสิบแปดปีบัดนี้มีแต่ความอ่อนแอแทรกซึมเข้ามาภายในจิตใจ
ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจ ตอนนี้เขารู้สึกกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง กลัวอนาคต กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวจะอ่อนแอไปมากกว่านี้ กลัวโชคชะตาที่เล่นตลกกับเขาแบบนี้ และสิ่งสุดท้ายที่มาร์คลีกลัวที่สุดนั่นคือ
ความตาย
วันเวลาผ่านไป เมื่อสุขภาพร่างกายของคนตัวเล็กเริ่มแย่ลง ร่างกายที่ตอนนี้ผอมแห้งเพราะเข้ารับเคมีบำบัดและทานยาเป็นจำนวนมาก ทำให้มาร์คลีรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น จนในที่สุดเขาก็เลิกกลัวความตายไปเสียอย่างนั้น
มาร์คคิดว่าบางทีการที่เราจนตรอกกับสิ่งที่เราไม่มีทางสู้ได้อาจจะเป็นหนทางที่ทำให้เราละทิ้งความกลัวทั้งหมดที่มีมาเพื่อไปเผชิญหน้ากับความจริงก็เป็นได้
ปึก
ครืด
เสียงกระทบของอะไรสักอย่างดังมาจากทางระเบียงทำให้มาร์คหลุดออกจากภวังค์และหันไปมองยังต้นเสียงที่เกิดขึ้นก็พบว่าประตูตรงระเบียงถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ผ้าม่านสีเข้มขยับปลิวไหวไปตามลมอ่อนๆ
มาร์คถอนหายใจในความขี้ลืมของตัวเองก่อนจะเดินลงจากเตียงพร้อมกับเดินจูงเสาน้ำเกลือไปยังประตูตรงหน้าระเบียง สงสัยเมื่อค่ำเขาออกไปยืนรับลม ทั้งๆที่เขาคิดว่าเขาปิดประตูและหันไปมองดูให้ดีแล้ว ก็ยังลืมเสียอีก หวังว่านี่คงไม่ใช่ผลข้างเคียงจากการกินเยอะมากหรอกนะ
และเมื่อมาร์คหันหลังกลับมา เขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใครก็ไม่รู้นั่งอยู่ที่เตียงของเขา ไม่ว่าเขาจะขยี้ตาหรือหลับตาแล้วลืมตามอง เขาก็ยังคงเห็นคนบนเตียงอยู่ ท้ายที่สุดแล้วคนตัวเล็กพยายามจ้องมองไปที่เตียงเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นภาพหลอนหรือเปล่าแต่ก็ยังคงเห็นชายปริศนาคนนั้นอยู่
ส่วนชายปริศนาที่เห็นมาร์คกำลังทำท่าเหมือนไม่เชื่อและสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นก็หลุดหัวเราะหึออกมาก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าคนที่ตัวเล็กที่สูงประมาณแค่บ่าของเขา
“เจ้าสับสนอะไร”
“เรา.. เดี๋ยวๆ เราต้องถามนายสิว่านายเป็นใคร เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง” มาร์คพูดออกมาในขณะที่ตนก็กำลังก้าวเท้าถอยหลังออกมาจากคนตรงหน้าแต่อีกฝ่ายก็ยังก้าวเท้าตามเข้ามาไม่หยุด
“เจ้าไม่อยากรู้หรอกว่าข้าเป็นใครแล้วมาด้วยเหตุผลอะไร”
“ถ้าไม่บอก เราจะกดปุ่มเรียกพยาบาลแล้วบอกว่ามีคนบุกรุกนะ”
“คนพวกนั้นจะทำอะไรข้าได้”
กึก
สิ้นเสียงคำพูดของชายแปลกหน้า มาร์คลีถึงกับชะงัก เขามองดูคนตรงหน้าอีกครั้งจึงทำให้สังเกตเห็นถึงบางอย่างที่ต่างไปจากคนทั่วไป ทั้งเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ชุดลำลองที่ทันสมัย เท้าที่เปลือยเปล่าหรือแม้กระทั่งนัยน์ตาสีเทาที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนั่นอีก
คนตรงหน้ามาร์ครูปร่างสูงใหญ่กว่าผู้ชายทั่วไป ไหนชุดที่ใส่ยังเป็นเป็นเสื้อแขนยาวสีขาวตรงแขนเสื้อบริเวณข้อมือก็ผูกด้วยปลายเชือกของแขนเสื้อเหมือนที่ขุนนางโบราณทางตะวันตกใส่กันในสมัยก่อนที่เข้ากับกางเกงขากระบอกพอดีตัวนั่นอีก เขาคิดว่าคงไม่มีคนปกติที่ไหนใส่ชุดแบบนี้ออกมาเดินเพ่นพล่านในยามวิกาลนอกสถานที่แบบนี้หรอก
“นายเป็นผี?” มาร์คถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
“ถ้าข้าเป็นผีแล้วเจ้ากลัวไหมล่ะ” ชายปริศนาหัวเราะขึ้นมาแล้วจึงถามหยั่งเชิงคนตัวเล็ก
“ถามก็ตอบสิ จะมาถามเรากลับทำไม” มาร์คลีตอบกลับด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้เขาเริ่มจะหงุดหงิดกับท่าทียียวนกวนประสาทของคนตรงหน้าแล้วเหมือนกัน
“ทั้งใช่และก็ไม่ใช่”
“แล้วนาย...”
“จุ๊ๆ…ฟังข้าก่อนสิเด็กน้อย” ชายปริศนาเดินเข้ามาพร้อมกับคว้าข้อมือเล็กของมาร์คขึ้นมากุมเอาไว้หลวมๆ “เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าข้าเป็นใคร”
“…”
“เจ้ารู้จักฮาเดสไหมล่ะ”
“…” ฮาเดส..เทพแห่งความตาย… ทำไมมาร์คจะไม่รู้…
มาร์คลีเสหน้าหลบนัยน์ตาสีเทาที่กำลังจ้องมาที่เขาอย่างเหนือกว่า
“ใช่ เทพแห่งความตาย เจ้าก็รู้นี่หน่า” ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบประโยค มาร์คก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจอย่างปิดไม่มิด ก่อนที่จะพยายามบิดข้อมือออกจากมือใหญ่ของอีกฝ่าย
“ไม่ถามอีกล่ะว่าข้ารู้ได้ไงอีก” มาร์คลีกลั้นหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาใกล้ตนก่อนจะแสยะยิ้มออกมาราวกับจะเยาะเย้ยกัน “เจ้าไม่ถามก็ไม่เป็นไร แต่ข้าอยากบอก ข้าก็แค่อ่านใจเจ้าเท่านั้นเอง”
“ปล่อยเรานะ” มาร์คลีน้ำตาคลอด้วยความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“แล้วรู้ไหมว่าข้าเป็นอะไรกับฮาเดส”
“…”
“ไม่ตอบ? หรือไม่อยากรู้?” คนตัวเล็กรีบส่ายหน้าทันทีเมื่ออีกฝ่ายเริ่มไล่ต้อนเขาอีกครั้ง “ข้าก็บอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วนี่ ว่าเจ้าไม่อยากรู้จักข้าหรอก”
“พอได้แล้ว เรารู้แล้ว” มาร์คหลับหูหลับตาโต้ตอบอีกฝ่ายอย่างร้อนรน
“ก็ในเมื่อเจ้าอยากรู้นัก ข้านี่แหละบุตรของฮาเดส ชื่อว่าลูคัส”
“…”
“กลัวข้าหรือเปล่าล่ะ เด็กน้อย ที่เจ้าถามว่าข้ามาทำไมนั้น… ข้าเพียงแค่ตามกลิ่นความตายมาเท่านั้นเอง”
เมื่อลูคัสพูดจบ หยาดน้ำตาที่คลอหน่วยที่เต็มไปด้วยความตกใจของมาร์คก็ไหลลงไปตามกรอบหน้า เขาไม่ได้กลัวลูคัส ไม่ได้กลัวว่าตนจะตาย เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้มันกดดันและรุมเร้าพร้อมกันอย่างคาดไม่ถึงจึงทำให้คนตัวเล็กระเบิดความรู้สึกภายในใจออกมาเป็นน้ำตา
“เรากำลังจะตายหรอ…” มาร์คถามด้วยน้ำเสียงที่เลื่อนลอย
“อันที่จริงเจ้ายังไม่หมดอายุขัย” ลูคัสเงียบไปก่อนจะยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ “แต่เจ้าดันร่ำร้องหาความตายอยู่ทุกวี่ทุกวัน ข้าก็แค่อยากจะเห็นหน้าเจ้าเพียงเท่านั้น”
มาร์คกลั้นหายใจเมื่อได้ยินคำพูดแต่ละอย่างของลูคัสที่มันทิ่มแทงหัวใจของเขาซะเหลือกัน เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองคิดถึงความตายบ่อยแค่ไหน รู้แค่ว่าทุกๆครั้งที่ร่างกายมันทรมานและจิตใจเริ่มบั่นทอนลงนั้นทำให้เขาคิดถึงความตายขึ้นมา แต่เขาก็พยายามที่จะอดทนกับมัน
“เจ้าเป็นเด็กที่ไม่เหมือนมนุษย์คนไหนดี” ลูคัสลูบคางพลางมองพิจารณาคนตัวเล็ก “อ่อนแอแต่เข้มแข็งและเด็ดขาด”
“…”
“ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้า…ที่ที่ข้าอยู่นั้นเหมาะกับเจ้า”
“…” มาร์คพูดอะไรไม่ออก เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆจากบุตรของฮาเดส
“และข้าไม่ต้องการคนที่ขี้ขลาดหวาดกลัวไปอยู่ที่นั่น”
“ไหนนายบอกว่าเรายังไม่หมดอายุขัยไง” มาร์คลีรีบแย้ง
“ข้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะพรากวิญญาณเจ้าไปยังเพอร์ทากอรี่*สักหน่อย” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆราวกับไม่รู้สึกเดือดร้อนกับความเป็นความตายของคนตรงหน้า
*เพอร์ทากอรี่เป็นสถานที่ที่ไม่ใช่นรกแต่เป็นสถานที่ที่อยู่ระหว่างนรกและโลกมนุษย์ เป็นดินแดนสำหรับผู้ที่รอชำระบาปของคนตาย และเป็นสถานที่ที่จะตัดสินว่าบุคคลนั้นๆจะขึ้นสวรรค์หรือไปชำระบาปที่นรกขุมต่างๆ (อ้างอิงจากวรรณกรรมตะวันตกเรื่อง divine comedy ของ ดันเต้)
“เจ้าสามารถไปยังดินแดนของข้าได้แม้ว่าเจ้าจะยังเป็นมนุษย์อยู่” ลูคัสค่อยๆพูดตะล่อมคนตัวเล็ก
“ไม่มีประโยชน์ที่เราจะต้องไปกับนาย”
“แล้วทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่อีกล่ะ ครอบครัวเจ้าก็ไม่มีแล้ว ไหนเจ้าจะคิดมากกับเรื่องต่างๆ คิดถึงผู้คนรอบข้างโดยไม่สนความรู้สึกนึกคิดของตัวเองหน่ะหรอ”
ลูคัสล่วงรู้ความคิดของมาร์คหมดทุกอย่าง…
มาร์คไม่มีครอบครัวมาตั้งแต่เกิด เขาเป็นเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์บอกว่าแท้จริงแล้วญาติพี่น้องของมาร์คนำมาปล่อยเพียงเพราะพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ และญาติพี่น้องทุกคนของเขาต่างมีภาระกันหมดจึงไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้ เมื่อเขารู้อย่างนี้เขาไม่เคยเสียใจกับการกระทำของญาติ เพราะคิดว่าทุกคนต่างต้องดิ้นรนเพื่อจะอยู่รอดบนโลกใบนี้ให้ได้ ตัวมาร์คก็เช่นกัน
สิ่งที่คนตัวเล็กเฝ้าขบคิดทุกวันก็คืออาการที่เกินจะเยียวยาของเขา มาร์ครู้ว่าตัวเองไม่สามารถทนกับโรคร้ายนี้ได้นานหรอก เขาไม่มีทางหาย เพราะการที่เขาจะหายได้ก็มีแต่วิธีผ่าตัดซึ่งเป็นวิธีที่เสี่ยงมากๆสำหรับคนขี้โรคอย่างเขาที่คุณหมอซอต้องคอยประคับประคองอาการไปวันๆ ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลออกให้ทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันสูญเปล่าอีก
เขาควรทำยังไงดี…
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งนะเด็กน้อย ทำไมเจ้าจะต้องอยู่ในที่แบบนี้อีก ในเมื่อเจ้าก็มีคำตอบทุกอย่างอยู่ในใจแล้ว”
“…”
“ไปกับข้าแล้วเจ้าจะพบว่าทุกสิ่งที่เจ้าคิดหน่ะถูกแล้ว”
“เรา…” มาร์คลีเอ่ยขึ้นมาอย่างลังเล
“ว่าไงล่ะ? เพียงแค่เจ้าตอบออกมา”
.
.
.
.
5.00 AM
พยาบาลสาวประจำกะใหม่เริ่มเดินตรวจตามห้องพักต่างๆของคนไข้อย่างเป็นไปตามปกติ เธอเดินเข้าห้องตามห้องต่างๆ พร้อมกับถือชาร์ตเอาไว้ในมือเพื่อจดสถิติต่างๆเป็นข้อมูลให้คุณหมอดูประกอบการวินิจฉัย เสียงล้อเลื่อนของรถเข็นดังไปตามทางเดินเรื่อยๆ จนมาหยุดยังห้องเกือบสุดท้ายของตึกปีกซ้าย
802
คนไข้ มาร์ค ลี อายุ 18 ปี 4 เดือน
แพทย์ประจำตัว นายแพทย์ ซอ ยองโฮ
เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องก็ต้องตกใจจนต้องกดกริ่งฉุกเฉินเพื่อเรียกพยาบาลที่อยู่ในช่วงเวลานี้กับเธอมายังห้องที่เกิดเรื่อง เธอรีบเดินปรี่เข้าไปที่เตียงนอนก่อนจะเดินไปดูที่ห้องน้ำและเดินกลับมาที่เตียงนอนอีกครั้งเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานของเธอตามเข้ามาสมทบแล้ว
“ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้” พยาบาลที่มาใหม่ถามขึ้นอย่างตกใจ
“พยาบาลกะดึกทำอะไรอยู่”
“เราควรทำยังไงดีพยาบาลคิม” น้ำเสียงร้อนรนซึ่งแสดงถึงความไม่สบายใจอย่างปิดไม่มิดของพยาบาลจองทำให้พยาบาลอีกคนเริ่มจะหน้าเสียไปตามๆกัน
“ติดต่อหมอซอให้ได้แล้วก็ไปขอดูกล้องวงจรปิดกัน”
ว่าแล้วพยาบาลทั้งสองก็รีบวิ่งไปจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดโดยไม่ทันสังเกตเห็นประตูระเบียงที่ถูกแง้มออกและผ้าม่านสีทึบที่ปลิวไหวไปตามลม
“สวัสดีค่ะ คุณหมอซอ ต้องขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อนนะคะ แต่คนไข้มาร์คลีหายตัวไปจากห้องพักค่ะ”
END
เนื่องจากวันนี้โมเมนต์ลูมาร์คแรงมากๆเลย ฟิคเลยจบราวกับเสกได้ ฮือ 5555555 เราเรียกมันว่าฟิคแก้บนนะคะ ถึงแม้ว่าพล็อตจะดูสวนทางกับโมเมนต์ก็ตาม แง คาดว่าพรุ่งนี้จะลง OS อีกเรื่องนะคะ ส่วนตอนจบทิ้งให้เป็นจบปลายเปิดแล้วกันนะคะ ไม่รู้ว่าอ่านยากหรือเปล่า แต่อยากลองแต่งแบบนี้มานานแล้วว ถ้าคิดอย่างไรก็คอมเมนต์ในนี้หรือสกรีมในแท็ก #serendipitylm ก็ได้นะคะ ดีเอ็มมาถามสิ่งที่เราคิดในฟิคเรื่องนี้ก็ได้นะคะ เราไม่กัด 55555
สุดท้ายนี้… วันที่ 12 กรกฎาคม 2018 น้องมีรูปคู่รูปแรกแล้วนะคะ u__u เย่
ความคิดเห็น