[5SOS] Muke - I Heard Goodbye
Luke Hemmings & Michael Clifford | *ฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย y หรือชายรักชายนะคะ
ผู้เข้าชมรวม
286
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผมลืมตาขึ้นมาบนเตียงนอนในเช้าวันจันทร์ น้ำหนักที่กดทับลงมาบนต้นแขนข้างขวาทำเอาปลายนิ้วทั้งห้าชาจนไร้ความรู้สึก ผมยกมือข้างที่เป็นอิสระขึ้นลูบใบหน้าตัวเองเบาๆก่อนจะขยับพลิกตัวให้ตัวเองนอนตะแคงข้าง ใบหน้าของเจ้าของน้ำหนักที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างๆกายจึงแนบชิดเข้ากับแผงอกของผมพอดี
รอยบวมช้ำบริเวณตาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายบ่งบอกถึงการร้องไห้อย่างหนักหน่วงที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงได้เป็นอย่างดีแต่ผมก็เลือกที่จะไม่สนใจมัน ผมขยับใบหน้าลงไปซุกกับผมยุ่งๆสีเหมือนสายไหมของไมเคิลก่อนจะพยายามแทรกริมฝีปากตัวเองผ่านปอยผมบางๆนั้นเข้าไปสัมผัสกับหน้าผากของคนตัวเล็กกว่า
“เช้าแล้ว ตื่นได้แล้วนะเราน่ะ” ผมกระซิบออกมาเบาๆ หวังเพียงว่าประโยคที่มีเพียงคำไม่กี่คำนี้จะผ่าทะลวงเข้าไปยังในความฝันของคนๆนี้ได้
แต่เสียงกรนเบาๆที่ออกมาพร้อมๆกับลมหายใจหนักๆก็ยังไม่ได้หายไป ผมพ่นลมหายใจออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเขย่าตัวอีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อให้เขารู้สึกตัว เปลือกตาบวมๆนั้นปรือขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงงอแงของเจ้าตัว
“อะไรเล่า ก็ไหนบอกว่าวันนี้มีเรียนเช้าไง” ผมบ่น ก่อนจะค่อยๆดึงแขนออกมาจากศีรษะของอีกฝ่ายแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง “ลุกได้แล้ว เดี๋ยวก็เข้าสายหรอก”
“รู้แล้วน่า” เขางึมงำก่อนจะห่อตัวเองด้วยผ้านวมสีขาวแล้วพลิกตัวกลับลงไปนอนตามเดิม
“อ้าว เฮ้” ผมเลิกคิ้ว พยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้หงุดหงิด
เสียงหัวเราะคิกคักที่ดังออกมาจากภายใต้ผ้านวมสีขาวทำเอาผมลืมที่จะหงุดหงิดแล้วหัวเราะตามก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนผ้านวมสีขาวที่ห่อตัวของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนที่ผมพยายามจะแงะตัวเขาออกไปอาบน้ำ
แสงแดดที่ผ่านเข้ามาผ่านทางหน้าต่างบานเกล็ดเหนือเตียงนอนสาดส่องเข้ามายังเราทั้งสองคนราวกับสปอร์ตไลท์ รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่โผล่พ้นออกมาภายใต้ผ้านวมทำเอาหัวใจของผมเบิกบานอย่างมีความสุข
พยายามที่จะสั่งให้ตัวเองเก็บเกี่ยวความสุขจากช่วงเวลานี้เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทำได้เพียงแค่หวังในใจว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้ตลอดไป
ไมเคิลออกไปเรียนได้สักพักแล้ว ส่วนผมที่วันนี้ไม่มีเรียนจึงยังคงนอนเปื่อยทั้งชุดนอนอยู่บ้านแบบนี้และมันก็อาจจะเป็นแบบนี้ไปทั้งวัน
ความเงียบที่ช่วงนี้เข้ามาทักทายผมบ่อยๆเริ่มกลับเข้ามาตามราวีราวกับเจ้าหนี้ประจำวันอีกครั้ง ผมถอดใจที่จะข่มตาลงนอนต่อแม้ว่าในตอนนี้มันเพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าก็ตาม ผมใช้มือทั้งสองข้างยันตัวเองขึ้นยืนก่อนจะฝืนความขี้เกียจเดินไปยังห้องครัวเพื่อหาอะไรใส่ท้อง
ระยะทางสั้นๆไม่ถึงสามเมตรจากเตียงนอนไปถึงห้องครัวปรากฏข้าวของต่างๆที่ไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้กระจัดกระจายออกไปตามทาง นุ่นที่เป็นไส้ของหมอนใบเก่าที่ปริออกจากการถูกขว้างอย่างรุนแรงกลาดเกลื่อนไปตามพื้นห้อง ผมถอนหายใจ เตือนตัวเองว่าอย่าลืมมาเก็บกวาดมันทีหลัง— ก่อนที่ไมเคิลจะกลับมาจากมหาวิทยาลัย
หรือบางที การไม่เก็บกวาดเลยมันก็อาจจะดีกว่า
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป ไม่ว่าใครก็ต้องอยากกลับมาบ้านที่สะอาดๆทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าบ้านหลังนี้สะอาด ไมเคิลก็ต้องอยากกลับมา
อย่างน้อยผมก็คิดอย่างนั้น
ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าฝาตู้เย็น เอื้อมมือออกไปเปิดมันออก แสงไฟสีส้มสว่างวาบออกมาตามช่องที่เปิดกว้างออก อาหารที่เตรียมเผื่อไว้ตั้งแต่เที่ยงของเมื่อวานยังคงอยู่ในสภาพเดิม -- ไม่มีพร่องลงไป ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของการถูกกิน
ผมหยิบจานที่ซีนพลาสติกใสอย่างดีพวกนั้นออกมาก่อนจะลงมือลอกแผ่นพลาสติกเหล่านั้นออก ลากขาเดินไปเสียบปลั๊กไมโครเวฟที่วางอยู่บนเคาท์เตอร์ซึ่งอยู่ถัดไปจากตู้เย็นแล้วเริ่มลงมืออุ่นอาหาร ในระหว่างที่รอก็ยืนคิดเมนูที่จะทำกินในตอนเย็นของวันนี้ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะกินข้าวที่ไม่เคยปิดเครื่องออกมาก่อนจะกดโทรเบอร์โทรล่าสุด
ผมถือสายไว้พักใหญ่ ก่อนที่เสียงหวานๆที่ผมคุ้นหูจะดังเข้ามาแทนสัญญาณโทรศัพท์
[ ลุค? ]
ผมยิ้มกับโทรศัพท์ “จะโทรมาถามว่าวันนี้ตอนเย็นอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
[ อืม... สเต็กแซลมอนได้ไหม? ] เขาพูดพึมพำ น้ำเสียงลังเล
ผมเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอึกอักเล็กน้อย “กินอย่างอื่นแทนไม่ได้หรอ ทำไม่เป็น”
[ อยากกินอะ ] น้ำเสียงเอาแต่ใจดังตอบกลับมา ทำเอาผมนึกออกเลยว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่
“อย่าเอาแต่ใจสิ” ผมดุ
[ แต่ถ้าทำไม่ได้เดี๋ยวฉันไปกินข้างนอกก็ได้นะ ]
“ไม่เป็นไรๆ” ผมตอบกลับไปแทบจะในทันที “ทำได้อยู่แล้ว สบายมาก”
[ โอเค ขอบคุณนะ ] เขาตอบกลับเสียงหวานเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ในที่สุดก็ได้ตุ๊กตาที่อยากได้หลังจากอ้อนขอพ่อกับแม่มานาน
“อือ แค่นี้แหละ ตั้งใจเรียนนะ” ผมพูด หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะกดวางสาย
ผมยังคงยิ้มค้างอยู่หน้าจอมือถือพักหนึ่งก่อนที่ไมโครเวฟจะส่งเสียงร้องเตือน ผมสะดุ้ง ก่อนจะวางมือถือในมือกลับลงไปบนโต๊ะกินข้าวตามเดิมแล้วเดินไปเปิดฝาไมโครเวฟออกทั้งๆที่ในหัวตอนนี้คิดถึงแต่เรื่องที่จะทำให้ไมเคิล คลิฟฟอร์ดยิ้มออกมาได้อีกครั้ง
สิ่งที่จะทำให้ดวงตาสีเขียวคู่นั้นหวนกลับมามองผมเหมือนอย่างที่มันเคยเป็น
เพล้ง!
‘หยุดนะลุค!’ เสียงกรีดร้องดังขึ้นหลังจากเศษกระจกที่กดลงไปบนข้อมือเริ่มบาดลึกเข้าไปช้าๆ
‘ทำแบบนี้ทำไม’ เสียงแหบต่ำตอบกลับไป ประโยคคำถามที่ถูกเปล่งออกมาพูดด้วยเสียงที่ฟังดูเจ็บกว่าบาดแผลบริเวณข้อมือเป็นหลายต่อหลายเท่า
‘พอได้แล้ว!’
‘ไมเคิล นายไม่เข้าใจหรอ’ น้ำเสียงแหบต่ำบาดลึกเข้าไปในจิตใจของอีกฝ่าย ดวงตาสีฟ้าที่มองจ้องกลับไปเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายที่มาจากภายใน
‘ลุค... ขอร้อง’ น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในตอนแรกเริ่มที่จะไหลลงมาตามพวงแก้มใสช้าๆ
‘ถ้าฉันหยุดแล้วนายจะทิ้งฉันไปอีกไหม?’
‘ลุค...’ ชายหนุ่มใบหน้าสะสวยสะอื้น เข่าทั้งสองข้างแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น
‘หยุดร้องไห้แล้วตอบสิไมเคิล’
เสียงสะอื้นดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง ราวกับว่าบนโลกนี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคน
‘นายจะทิ้งฉันไปไหม’
หวังเพียงว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่ามันไม่ใช่คำถาม
แต่มันเป็นการขอร้อง
‘...ไม่’
‘…’
‘ฉันจะไม่ทิ้งนาย’
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนโซฟา โอดครวญเพราะหลังที่ปวดช้ำจากการนั่งหลังขดหลังแข็งหาวิธีทำสเต็กให้ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมรักกิน
แลปท็อปที่เปิดค้างเอาไว้ดับไปแล้ว ผมเอื้อมมือออกไปพับฝามันลง ก่อนจะเหลือบตาขึ้นไปดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังฝั่งตรงข้าม
เที่ยงคืนสี่สิบเจ็ดนาที
ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง กลิ่นของสเต็กปลาแซลมอนที่วางทิ้งไว้จนเย็นชืดลอยมาเตะจมูก ผมยกมือขึ้นลูบเปลือกตาตัวเองก่อนจะนวดมันเบาๆ
ไมเคิลไม่ยอมกลับมากินข้าวเย็นอีกแล้ว
ผมคว้าโทรศัพท์กดมาโทรหาไมเคิลเป็นรอบที่ร้อยหลังจากที่เริ่มโทรครั้งแรกตอนหกโมงแล้วหลับคาโทรศัพท์ไปตอนสามทุ่ม
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดังด้วยอัตราเร็วที่เท่ากับครั้งไหนๆที่โทร แต่สำหรับในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าในการดังแต่ล่ะครั้งนั้นมันกลับใช้เวลายาวนานถึงสองนาที
แล้วมันก็เป็นเหมือนอย่างเคย ไมเคิลไม่ยอมรับโทรศัพท์
เป็นเหมือนคืนที่แล้ว
แล้วก็เป็นเหมือนคืนที่แล้วๆมา
ผมบีบโทรศัพท์ในมือแน่นก่อนจะขว้างมันออกไปยังผนังฝั่งตรงข้ามกับตัวเอง มองมันกระแทกก่อนจะกระจายออกมาเป็นเสี่ยงๆ
เสียงรถยนต์ที่ดังผ่านเข้ามาทางกระจกบานใหญ่ที่อยู่ติดกับถนนบอกให้ผมเลิกผ้าม่านสีขาวออกแล้วมองออกไปดูไมเคิลกับผู้ชายคนนั้นยืนจูบกัน
ไม่ต้องดูผมก็บอกได้
เสียงแง้มเปิดประตูที่เขาคงพยายามทำให้มันเบาที่สุดดังกระแทกเข้ามาในโสตประสาทของผม ผมหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับไมเคิลที่มองผมกลับมาด้วยดวงตาสีเขียวตื่นๆ
“นึกว่าฉันหลับไปแล้วใช่ไหม” ผมถาม แปลกใจที่เสียงที่เปล่งออกมาราบเรียบกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้
“...ลุค” เขานิ่ง ดวงตาสีเขียวมองมาที่ผมอย่างรู้สึกผิด
อย่างที่ช่วงนี้มันเป็นบ่อยๆ
แววตาสงสารที่ผมไม่เคยต้องการ
“สเต็กแซลมอนที่นายไปกินกับเขามาอร่อยไหม”
ดวงตาสีเขียวคู่นั้นหลบไป ไม่ยอมมองมาที่ผมตรงๆ แต่ผมว่าเขาคิดผิดที่มองไปบนโต๊ะกินข้าวพอดี ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้เขากัดริมฝีปากตัวเองแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าผมทำอะไรไว้ให้
แต่แล้วจะทำไม ยังไงเขาไม่รู้สึกถึงความพยายามของผมอยู่ดี
ผมเดินไปหยิบพลาสติกห่ออาหารที่เก็บไว้ในตู้ออกมาก่อนจะลงมือห่อจานสเต็กพวกนั้นเก็บไว้ในตู้เย็น แปลกใจเมื่อเห็นว่าม้วนเทปแทบไม่มีพลาสติกเหลืออยู่เลย
ผมนิ่ง รอให้เขาพูดคำว่าขอโทษออกมา
“ขอโทษ” เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่มันเป็นเสมอมา
“ขอโทษเรื่องอะไร?” ผมถาม ทั้งๆที่ภายในใจนึกคำตอบได้นับไม่ถ้วน
ขอโทษที่ไม่ได้กลับมากินสเต็กที่ผมทำเอาไว้ให้
ขอโทษที่ออกไปกินข้าวกับผู้ชายคนอื่น
ขอโทษที่หลอกว่าเขารักผม
ขอโทษที่เขาไม่ได้รักผมแล้ว
แต่เขาเงียบ ผมนิ่ง เราไม่ได้พูดอะไร เราไม่ได้ตะโกนใส่กัน ไม่ได้ปาข้าวของใส่กันอย่างที่เคยทำ
“ไมเคิล” ผมกลืนน้ำลาย หลับตายอมรับคำตอบที่จะตามมา “นายยังรักฉันอยู่บ้างไหม”
เขาสะอึก ราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ ดวงตาสีเขียวหันกลับมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
แต่น้ำตาของเขาที่เอ่อขึ้นมาตอบคำถามทุกอย่างที่ผมเคยตั้งเอาไว้
ผมเอื้อมแขนออกไปจนสุด คว้าตัวของเขาเข้ามากอดเอาไว้ให้แน่น พยายามบังคับไม่ให้เสียงสะอื้นของตัวเองหลุดออกมา กดริมฝีปากลงไปบนหน้าผากของเขา พร่ำบอกเขาว่าไม่เป็นไร
เหมือนกับที่ผมบอกตัวเองทุกครั้งก่อนล้มตัวลงนอน
“ทุกอย่างจะดีขึ้นใช่ไหม” ผมกระซิบถาม หัวใจบีบตัวแน่นเมื่อรู้สึกได้ว่าเขาส่ายหน้าเบาๆอยู่ภายใต้อ้อมแขนของผม
เคยคิดว่าถ้าผมพยายามหนักกว่านี้ เขาจะกลับมาหาผมอีกครั้ง
ถ้าผมพยายามมากกว่านี้ บางทีผมอาจจะเปลี่ยนใจเขาได้
“ขอโทษ”
“...”
“ขอโทษ”
“ลุค...”
“ขอโทษ”
“...ฮึก”
มันคงได้เวลาที่ผมควรจะปล่อยเขาได้แล้ว
ผมผละตัวออกช้าๆ มองไปยังคนตรงหน้าตัวเอง คนที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ได้โดยไม่มีเขา คนที่ทำให้ผมคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถรักใครได้เท่าเขาอีก
แต่เขาจะอยู่ได้ดีกว่านี้ถ้าไม่มีผม
เขากำลังร้องไห้ ขอบตาสีแดงช้ำรื้นไปด้วยน้ำตา
“ห่างกันสักพักดีไหม” ผมกระซิบเสียงแผ่ว
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
และผมก็ไม่คิดจะพูดอะไรไปมากกว่านี้อีก
อาจจะเป็นเพราะผมรู้ว่าความหมายที่แท้จริงของประโยคคำถามนั้นคืออะไร
ผมยิ้มก่อนจะเอื้อมมือออกไปเพื่อลูบผมของคนตัวเล็กกว่า
เราทั้งสองคนต่างก็รู้ดีว่าผมไม่มีทางจะได้เห็นหน้าเขาอีก
ความหมายของสิ่งที่ผมพูด
คือคำว่าลาก่อน
ผลงานอื่นๆ ของ ขยำตูดเฮียลู ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขยำตูดเฮียลู
ความคิดเห็น