We are brothers - นิยาย We are brothers : Dek-D.com - Writer
×

    We are brothers

    ผู้ไม่รู้ผลเสียของสงคราม คือผู้ไม่รู้ประโยชน์ของสงคราม

    ผู้เข้าชมรวม

    168

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    168

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  สงคราม
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  12 ก.ย. 52 / 14:56 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cgatara%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml" />

    />

    บทนำ

     

                   บ้ารึเปล่า ของพรรค์นั้นมันมีจริงซะที่ไหนเล่าผมชอบพูดประโยคนี้ในใจเวลาที่เหลือบไปเห็นน้องชายเปิดช่องโทรทัศน์เกี่ยวกับพวกตามล่าหาวิญญาณ สารคดีสัตว์ประหลาด หรือสงครามนิวเคลียร์ พักนี้น้องผมติดของแบบนี้เอามากๆ ส่วนนักเรียนม.4 ธรรมดาอย่างผมก็เลิกสนใจไอ้เรื่องแบบนั้นไปตั้งนานแล้วล่ะ จริงๆแล้ว ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวผม ก็ใช่ ผมนี่แหละ คนที่ชวนมันให้มาดูของไร้สาระ ก็เพราะตอนผมอยู่ ม.1 ผมยังไม่เจนโลกก็เลยไปเชื่อไอ้ของแบบนั้น อย่างพญานาค มังกร พ่อมด เวทย์มนต์ ภูตผีปีศาจ มนุษย์ต่างดาว ก็เด็กนี่ครับ จะเอาอะไรกับผมในตอนนั้น พอน้องชายเห็นผู้พี่เล่นด้วย มันก็เกิดอาการที่เรียกว่า เหลิงประมาณว่า มีคนสนับสนุน ทำนองนั้น จนปานนี้ ผมอยู่ม.3 แล้ว เด็กน้อยคนนั้นก็ยังไม่เลิกเชื่อของแปลกๆเลย

     

                        อย่าถามว่าตอนนี้ เด็กม.ปลายอย่างผมทำอะไร มันตอบง่ายมาก และง่ายเกินกว่าจะเป็นคำตอบด้วย ผมก็ใช้ชีวิตวัยรุ่นตอนไปวันๆน่ะสิ จะว่าไป ก็เหมือนดักแด้ที่กำลังจะแปรสภาพกลายไปเป็นแมลงที่มันควรจะเป็น ก็อย่างว่าแหละ ผมยังไม่รู้เลยว่าผมจะเป็นผีเสื้อหรือแมลงวัน แต่ถ้าดูตามสภาพ ผมคงจะโดนเด็ดทิ้งไปก่อนแน่ๆ บางทีแล้ว ผมอาจจะรู้อนาคตแล้วก็ได้ว่าผมจะเป็นแมลงแบบไหน ผมไม่ได้บ้ากระแสเกาหลี ไม่ได้ชื่นชอบการ์ตูน ไม่ได้สนใจการเรียนเหมือนตอนประถมหรือเหมือนที่ผ่านๆมา พูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นเด็กห่างไกลความเจริญนะครับ

     

                        พูดถึงสิ่งที่ผมสนใจบ้าง แน่นอนแหละ ผมเป็นสามัญชน คนปกติธรรมดาที่เดินหาได้ทั่วไปตามท้องถนน ไม่ใช่เจ้าชายขี่ม้าขาวและไม่ได้เป็นจอมเวทย์ที่เดินทางมาจากอังกฤษเพื่อมาเป็นครู และในช่วงนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนวัยและเริ่มวางแผนชีวิตใช่ไหมล่ะครับ ถ้าพูดให้เท่ห์หน่อย ก็ประมาณว่า สนใจที่จะหาวิถีชีวิตของตนแต่ก็อย่างที่บอก ผมเรียนไม่เก่ง ไม่ใช่ว่าผมทิ้งการเรียนไปเฉยๆนะ ผมแค่ค้นพบว่าตัวผมเองนั้น ไม่เหมาะกับวิชาหลักที่พ่อแม่อยากให้เก่ง อย่างคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ถึงตอนนี้อาจจะคิดว่าผมเก่งไปทางด้านภาษาสินะ แต่เปล่าเลย คะแนนภาษาอังกฤษผมแทบจะเรียกได้ว่า ร่อแร่เต็มทีแล้ว และตอนนี้ผมจะขอพูดถึงส่วนดีบ้างนะครับ เห็นแบบนี้ผมก็เป็นเด็กห้องเกรด 4 เหมือนกันนะ แต่สมองมันไม่ใช่เกรด 4 นี่สิปัญหา แล้วรู้รึเปล่าว่าสองสิ่งที่ช่วยทำให้ผมยังคงติดหนึบกับห้องเจ้าปัญญามันคืออะไร ไม่อยากจะโม้ ผมได้คะแนนวิชาศิลปะสูงทีเดียว ไม่สิ จริงๆต้องบอกว่า สูงที่สุดในสายม.ต้นทั้งหมดด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ยักกะมีใครมาหมันไส้ผม น่าหงุดหงิดจริงๆ และอีกข้อคือ ผมรู้จักหน้าที่มากกว่าสิทธิยังไงล่ะครับ หมายถึง ผมส่งงานครบ ไม่มีขาด ไม่มีหายนั่นแหละ

     

                        ที่พูดมานี่ ไม่ใช่ผมอยากจะอธิบายสรรพคุณทางยาที่ชื่อ ตัวผม นะครับ คำพูดของผมมันอาจจะขัดกันเล็กน้อย เรื่องที่ว่า ผมได้คะแนนศิลปะสูงลิบลิ่วเกินหน้าคนทั้งสายม.ต้น แต่ผมไม่ชอบการ์ตูน คือ ผมเคยชอบอยู่พักหนึ่งเหมือนกันแหละ เป็นช่วงประมาณ ม.2 ตอนนั้นมีการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ดังมากๆ ขนาดผมไม่ได้อยู่ในวงการยังรู้จักชื่อเลย คือว่าเนื้อเรื่องมันดูมีเหตุผลนะครับ ผมคิดอย่างนั้นนะ ก็ประมาณว่า สาวเพี้ยน เป็นพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว เธอสามารถสร้างโลกและทำลายโลกได้ในพริบตา ถ้าอยากรู้จักก็ไปเดินตามร้านหนังสือละกันนะครับ ฉบับนิยายก็มีขายเช่นกัน เอ่อ ช่างมันเถอะ ตรงนี้เริ่มไม่เกี่ยวกับผมแล้ว น่าจะเป็นช่วงนั้นที่ผมลองวาดรูปตัวละครแบบน้ำไหลไฟดับเลยล่ะ แต่พอรู้ตัวอีกที ผมก็กลายเป็น โอตาคุไปแล้ว และเพื่อแก้สถานะอันน่าอนาถ ผมจึงจำเป็นต้องผันตัวกลับมาสู่โลกดั้งเดิม และยังเป็นมาจนถึงทุกวันนี้

     

                         ช่วงต่อมา ผมลองย้อนถามตัวเองว่า ศิลปะสรรค์สร้างนี่มันคืออะไรกันแน่หมายถึงการลอกเลียนแบบผลงานคนอื่นอย่างที่ผมเคยทำหรือเปล่า ไม่ใช่เลย ผมเข้าใจผิดมาตลอด ผมเข้าใจความหมายของมัน จากบทเรียนวิชาศิลปะนั่นแหละครับ มันคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นโดยเจตนาอย่างประณีต ซึ่งถ่ายทอกออกมาจากอารมณ์ เป็นนิยามที่เข้าใจได้ยากนิดหน่อยสำหรับตัวผม เอาเถอะ รู้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ยังไงเสีย สำนักพิมพ์เจ้าประจำที่ผมส่งผลงานให้พิจารณาก็ยังคงปิดประตูถีบไสไล่ส่งลายเส้นญี่ปุ่นออกมาอยู่ดี และด้วยเหตุนั้น เป็นข้ออ้างที่ดีทีเดียวที่ผมจะใช้บอกกับใครหลายๆคนที่ถามผมว่า ไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างรึไงก็ถ้าทำแล้วมันไม่เกิดประโยชน์ ซ้ำยังเสียเงินอีก ก็สู้ไม่ทำมันเลยจะไม่ดีกว่าหรือไง

     

                         ถ้าสมมติว่า ผมไม่ได้วาดการ์ตูน แต่ผมสามารถสร้างโลกได้ด้วยความคิดและมือของผม มันจะดีแค่ไหนกันเชียว ถ้าเป็นไปได้นะ ผมก็อยากทำให้ประเทศไทยของเราเจริญกว่านี้ ไม่ต้องไปเทียบเท่าสหรัฐอเมริกาหรอก ขอแค่เทียบเท่าญี่ปุ่นก็พอ ไม่สิ ขอแค่อยู่ดี กินดี พัฒนาไปเรื่อยๆก็ภูมิใจแล้ว พูดไปก็เท่ากับบ่นนั่นแหละ ก็บอกไปแล้วนี่ว่าผมเป็นแค่เด็กม.4 ธรรมดาๆ ใช่ฮิตเลอร์หรือไอเซนฮาวน์ซะที่ไหนเล่า

     

                         ถ้าเป็นแบบนี้ไปตลอดมันก็เหมือนกันนะครับ...

                   

                         ตอนนี้ผมเป็นนักเรียนม.4อย่างเต็มตัวแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ผมยังอยู่ ป.5 ผมก็ยังอุตส่าห์ฝันแบบลมๆแล้งๆ โดยคิดว่าสักวันหนึ่ง ผมจะได้จดหมายจากโรงเรียนพ่อมด เวทย์มนตร์และคาถา ก็นะ ทั้งๆที่รู้กันอยู่แล้วว่า ยังไงเสีย อนาคตทางการศึกษาของผม ก็คงไม่พ้นโรงเรียนมัธยมชื่อดังประจำท้องถิ่น และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้หวังอะไรกับเจ้านกฮูกส่งจดหมายแบบในหนัง ชีวิตผมก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้นนี่นะ เรียนโรงเรียนรัฐบาลที่มีดาษดื่นทั่วไปนั่นแหละ เหมาะกับผมที่สุด

     

                         น่าเสียดายเล็กน้อยที่โรงเรียนประจำท้องถิ่นที่ผมกำลังเรียนอยู่นั้น ค่อนข้างที่จะไกลออกไปจากตัวเมืองนิดหน่อย จริงๆมันก็ไม่ไกลมาก แค่นั่งรถสองแถวประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้ว เออใช่ ผมยังไม่บอกสินะ ว่าผมไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพ แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องอะไรหรอก ผมแค่ต้องการบอกว่า รถสองแถวที่ผมใช้ไปโรงเรียนในตอนนี้ มันไม่ได้ต่างไปจากที่กรุงเทพเลย เบียดกันเข้าไป หายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว แต่ถ้าลองคิดไปอีกแบบ ถ้าผมตื่นเร็วกว่านี้สักครึ่งชั่วโมง หรือเร็วกว่านี้สักนิด มันอาจจะไม่อึดอัดขนาดนี้ก็ได้ ช่างเถอะ พอคิดถึงเวลานอนก่อนนาฬิกาปลุก มันก็อยากจะนอนต่อ จริงไหมครับ

     

                         เช้านี้ก็เช่นกัน หลังจากที่ผมหาวแบบคนซังกะตายคล้ายๆคนเมาค้างที่หน้าเสาธง ผมก็ต้องมายืนฟังสุนทรพจน์อันน่าทึ่งของประธานนักเรียนผู้ทำท่าหยิ่งยโส ถึงแม้ว่าปีนี้จะไม่มีผลงานที่เขาทำเลยในโรงเรียน แต่ก็ไม่ยักกะมีใครอยากจะขอคัดค้านลงชื่อไล่เขาออกจากตำแหน่ง เมื่อตอนที่ผมอยู่ม.1 ประธานคนก่อนของโรงเรียนชื่อพี่ กษณะ เป็นประธานที่สุดยอดของสุดยอดประธานนักเรียนในความคิดผมเลยล่ะ คิดดูสิ ไม่ถึงครึ่งเดือน พี่กษณะสามารถแก้ปัญหานักเรียนตีกันได้อย่างดีเยี่ยมด้วยการเสนอกฎต่ออาจารย์ใหญ่ว่า จะให้พักการเรียน 1 เดือน หากนักเรียนทะเลาะกันรุนแรงและกฎที่ว่านี้ ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของคนในโรงเรียนมาก

     

                    แต่นั่นก็นานมาแล้วนี่นะ ใครจะไปนั่งนึกถึงอดีตที่แสนหวาน จริงไหมครับ ส่วนวันนี้ เป็นวันที่ 2 ของการเปิดเทอมแรก บอกตามตรง ผมมีเพื่อนแค่ 3 คนที่รู้จักกันตั้งแต่ม.3ในห้องเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอะไรที่ลำบาก เพราะผมก็ค่อนข้างที่จะมีมนุษย์สัมพันธ์เหมือนกันกับผู้คนที่อยู่รอบตัว...

     

                         เฮ้ย! เมื่อวานเป็นไงบ้างวะ ทำงานเสร็จยัง

     

                         อะไรกันนักกันหนา นี่ม.4แล้วนะ ไม่ใช่ม.1 จะได้มานั่งลอกการบ้านเหมือนแต่ก่อน

     

                         เมื่อคืนผมจำได้ว่า ผมเพิ่งจะกินซุปเห็ดเป็นอาหารเย็น แต่ผมกลับจำไม่ได้สักนิดว่าตัวผมเองทำอะไรลงไปในสมุดการบ้านเล่มใหม่ ทั้งๆที่ปกติแล้ว อาทิตย์แรกจะเป็นปฐมนิเทศในห้องเรียน และอาจารย์จะไม่มีการให้การบ้านหรือสั่งงานนักเรียน แต่นี่อะไร กัน ให้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเลยหรือ บ้าไปแล้วรึไง ถ้าอยากลอกก็ไปลอกคนนั่งหน้าที่ชื่อ ประสพพลสิ ทำไมต้องลอกฉันด้วย เจ้ากวินทร์งี่เง่า

     

                         ก็ดูนี่สิวะ อะไรของจารย์แกเนี่ย ลำพังแค่คิดเลขก็ปวดหัวแล้ว นี่ยังจะให้จำสูตรปริมาตรด้วยเรอะ บ้าไปแล้ว ให้ตายเถอะ ฆ่าฉันที! ฆ่าฉันเถอะ วิชาแรกก็เลขด้วย นายไม่ต้องฆ่าฉันแล้ว ฉันโดนฆ่าตายแน่ๆ

     

                         ผมมองหน้าเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยประถมที่กำลังทำหน้าเหมือนจะปล่อยน้ำตาออกมา ผมก็เข้าใจมันดีอยู่หรอก ปีที่แล้วผมก็เรียนกับอาจารย์คณิตศาสตร์คนนี้ ประมาณว่าเป็นคนที่โจษจันไปทั้งโรงเรียน อย่าว่าแต่นักเรียนเลย อาจารย์ด้วยกันก็ยังกลัวเลย อ้อนวอนให้ผมต่อยมันให้ได้อย่างนั้นนั่นแหละ แต่ผมรู้ดี หมอนี่ไม่ได้อยากให้ผมต่อยมันจริงๆหรอก มันก็แค่พูดแก้เก้อ เพื่อให้ลืมเรื่องการบ้านไปเท่านั้น ให้ตายเถอะ ฉันจะไปแก้ สถานการณ์ให้นายได้ยังไง ฉันเองก็ยังเอาตัวไม่รอดเลย ขอล่ะ อย่าได้พูดถึงเรื่องการบ้านเลย

     

                         ในขณะที่ผมนั่งดูกวินทร์กอดขาผมแบบกราดิเอเตอร์ที่กำลังจะโดนฆ่า บอกตามตรง ขนาดผมไม่ได้แสดงออกแบบมัน ผมก็รู้สึกอะไรบางอย่างที่มันคล้ายๆกับการจะถูกฆ่า และมันอยู่ใกล้ตัวผมมากๆด้วย

     

                          มีเรื่องอะไรหรือครับ

     

                          เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากทางขวาที่หน้าโต๊ะของผม ให้ตายเถอะ ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างนายประสพพลจะเดินมาคุยกับพวกผมถึงที่นี่ จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่ใช่แฮะ คงเพราะเจ้ากวินทร์งี่เง่าโวยวายแบบดังข้ามโลก นายคงจะเดินมาด่ากราดพวกฉันล่ะสิ ปล่อยไป ฉันมันหน้ามึนไม่ฟังใครอยู่แล้ว

     

                          ประสพพล ยินดีที่ได้รู้จัก หวังว่าไม่นานนี้ผมจะได้ผูกมิตรกับคุณนะครับ

     

                     ก่อนจะผูกมิตรอะไรนั่น ก็ช่วยแกะไอ้ลูกหมาออกไปก่อนได้ไหม

     

                     คุณกวินทร์สินะครับ... ถ้ายังไงเสีย ช่วยไปนั่งที่ของคุณได้หรือไม่

     

                          ไม่! ฉันยังไม่อยากโดนประหาร ไม่!!!”

                         

                     เออๆผมตอบไปส่งๆ

     

                          ด้วยความที่ผมเป็นคนเซ็งกับสิ่งที่เรียกว่าคณิตศาสตร์มาก ผมจึงไม่ค่อยจะสนและแยแสเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว ถึงผมจะเชื่อว่า การทำในสิ่งที่คนอื่นเขาอยากให้ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ ตอนนี้คนอื่นอยากให้ผมเรียนคณิตศาสตร์เก่งๆ และคนอื่นในที่นี้ ก็คือ พ่อแม่ และอาจารย์ของผม แต่ขอโทษเรื่องนี้ขอละเว้นไว้เรื่องเดียว ผมทำไม่เป็นจริงๆ ให้ตายเถอะ วิชาอะไรกัน เฮงซวยที่สุด เอาเวลาไปฝึกวาดรูปต่อดีกว่า

     

                          อาจจะเรียกได้ว่าโชคดี เพราะช่วงเช้านี้นอกจากจะเป็นเช้าที่สดใส แต่ผมไม่สดชื่น และไม่มีการเรียกเก็บการบ้าน แถมอาจารย์ยังบอกด้วยว่า พรุ่งนี้จะไม่มา เพราะจะไปส่งลูกที่ไหนสักที่นี่แหละ ผมเองก็จำไม่ค่อยจะได้ ก็เอาแต่นั่งฟังหูทวนลมนี่นะ ช่างมัน รกสมอง สิ่งที่ผมควรจะทำในตอนนี้คือตั้งใจจัดการข้าวแกงกระหรี่ในจานให้เรียบ ก่อนที่เวลาพักกลางวันจะลอยละล่องหายไปอย่างน่าใจหาย ทั้งๆที่การคิดว่า ควรจะเรียนให้มากๆเป็นความคิดที่ดี แต่ผมกลับปฏิเสธทิ้งโดยไม่เสียดาย เพราะอะไรกันนะ ให้ตายสิ เอาอีกแล้วรึไง ไอ้อาการรู้สึกเหมือนจะถูกฆ่าแบบตอนเช้านี่มันอะไรอีกล่ะ ไม่ใช่ว่าอาจารย์คนนั้นอ่านความคิดผมได้หรอกนะ

     

                          ผมไม่รู้ว่าโรงเรียนมัธยมที่อื่นนั้น เขาใช้ระบบเดินเรียนแบบโรงเรียนผมหรือเปล่า บอกตามตรง ผมขี้เกียจเดินกลับไปกลับมาระหว่างตึก โรงเรียนผมซึ่งตั้งอยู่ไกลเขตตัวเมือง แถมตั้งมาเป็น 100 ปีแล้วด้วย จึงไม่แปลกอะไร ถ้าอาจารย์ใหญ่ยุคนั้นอยากจะซื้อที่ดินถูกๆทำโรงเรียนไว้กว้างๆ แต่ผมคิดว่าอาจารย์แกอยากทำบ้านจัดสรรมากกว่านะ โรงเรียนบ้าอะไร แค่ที่เรียนที่ผมบ่นอยู่ก็ปาไป 100 กว่าเอเคอร์แล้ว นี่ยังไม่รวมสนามบอล โรงกีฬา ตึกพละ สระว่ายน้ำ หอสมุด ตึกชมรม หอประชุม สารพัดตึก และศูนย์อาหารที่ผมกำลังนั่งกินข้าวอยู่เนี่ย ถ้าเป็นไปได้อยากจะด่าคนจัดตารางเรียนเล็กน้อยนะ เดินกลับไปกลับมาจะตายกลางทางอยู่แล้ว

     

                          บ่นไปก็เท่านั้นละน่าผมถอนหายใจ พลางเขี่ยเนื้อไก่ในข้าวแกงกระหรี่เล่นไปด้วย

     

                          เป็นไรวะ ทำหน้าเหมือนคนไม่ได้ส่งการบ้าน

                          

                          กวินทร์พูดทั้งๆที่ข้าวยังเต็มปาก จนแก้มป่องอย่างเห็นได้ชัด ผมเห็นแล้วก็หนักใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วมองจานข้าวมันไก่ทอดของเขา ว่าแต่ คนที่ไม่ได้ส่งการบ้านแล้วร้องว่าจะโดนฆ่าน่ะ มันนายต่างหาก ไอ้งี่เง่า

                          จริงด้วยสินะ เรายังไม่ได้ทำการบ้านเลย โชคดีที่หมอนั้นไม่ทวง ธิติพันธ์ เพื่อนที่ผมกับกวินทร์รู้จักใหม่ระหว่างวิชาภาษาไทยที่ต่อจากคณิตศาสตร์ ส่วนเหตุที่ทำให้รู้จักกันนั้นก็ง่ายมาก พวกเรา 3 คนโดนสุ่มในอยู่ทำความสะอาดห้องก่อนเปลี่ยนคาบ ประมาณว่า ลงเรือลำเดียวกัน มันก็ต้องรู้จักกันไว้สิ

     

                          นายมองไปทางด้านหลังสิ กวินทร์ที่นั่งตรงข้ามกับผมพูดต่อ หลังจากที่กลืนข้าวมันไก่ทอดสำเร็จ

     

                          ผมเห็นประสพพล อ้อ ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าห้องน่ะครับ ประสพพละกำลังนั่งอยู่กับพวกนักเรียนกลุ่มหนึ่ง บอกได้เลยว่า นั้นน่ะ กลุ่มเด็กเรียน ก็เด็กม.ปลายธรรมดาที่ไหนจะมานั่งจดสมุดไป กินข้าวไป... ไม่สิ ในกลุ่มนั้น ไม่มีใครเลยที่กำลังกินข้าวเที่ยง ไม่หิวกันหรือไงนะ เอาเถอะ ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ตรงที่พวกเขาจะพลัดกันมองมาทางกลุ่มของผมเป็นระยะๆ เห็นแบบนี้ สงสัยพวกผมโดนขึ้นบัญชีดำแล้วล่ะมั้ง

     

                          ถ้าไม่จำเป็นนายก็ไม่ต้องเข้าใกล้มันหรอก ธิติพันธ์คีบไก่เทริยากิเข้าปากอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆจับถ้วยข้าวขึ้นยกกินอย่างมีมารยาท แต่เป็นมารยาทแบบเด็กผู้ชายน่ะนะ

     

                          พิลึกคนจริงๆ

     

                          เห็นด้วย แต่ไม่ทั้งหมด ก็... พิลึกคนอย่างที่บอกนั่นแหละ

     

                          ...........

     

                          เอ่อ... นั่งด้วยได้มั้ยคะ

                         

                           ผมยอมรับว่าใจจริงผมอยากให้ผู้หญิงมานั่งร่วมวงสักคน และตลอดชีวิตนี้ ผมก็แอบฝันลึกๆว่าอยากให้มีผู้หญิงน่ารักๆมาขอนั่งกินข้าวกับผมข้างๆ ก็ดี วันนี้แหละ วันที่ผมจะสมหวังนิดๆ เสียงที่เรียกผมเมื่อสักครู่ เป็นเสียงของเด็กผู้หญิงม.4 ห้องเดียวกัน เธอเป็นคนหน้าตาดีออกไปทางน่ารัก ผิวขาวโดยธรรมชาติ ผมสีดำยาวแค่บ่าซึ่งมีที่คาดผมคาดไว้ ผมว่ามันเหมาะกับเธอมาก เอ่อ ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะ ผมชอบผู้หญิงใส่ที่คาดผมมาตั้งแต่ประถมแล้วก็ได้ ช่างเถอะ รู้หน้าไม่รู้ใจ แต่ยังไงนั่นก็ดอกฟ้าอยู่ดี ผมไม่กล้าเอื้อมไปแตะหรอกนะ หน้าตาแบบนี้คงมีเจ้าของหัวใจแล้วล่ะสิ น่าหงุดหงิดจริงๆ

     

                           คือว่า เค้าหาเพื่อนไม่เจอน่ะ ถ้าไม่ว่าอะไร ขอ...

     

                           อืม หาเพื่อนไม่เจอสินะ คนสวย มุขเดิมๆ น่าเบื่อจริงๆ อยากจีบไอ้กวินทร์ไม่ก็เจ้าธิติพันธ์ล่ะสิ จริงๆแล้ว ไม่ต้องจีบก็ได้นะ เธอน่ะ สุดยอดอยู่แล้ว

     

                      โอ้! นั่งได้เลยครับ ข้างๆผมยังมีที่ว่างอยู่ ตรงอื่นไม่ว่างแล้วล่ะ กวินทร์พลักธิติพันธ์ให้เลื่อนไปหนึ่งที่นั่ง แบบนี้ล่ะมั้ง ความรักทำให้ตาบอด หงุดหงิดจริงๆ ที่นั่งข้างๆผมก็ว่างนะครับ คุณผู้หญิง ไม่ลองมานั่งข้างๆผมบ้างล่ะ เผื่อได้กิ๊กฟรีนะ ไม่สนเรอะ เออ ช่างเถอะ ผมมันหัวฟักทองเน่าอยู่แล้วนี่

     

                           ...หืม...

     

                           ผิดคาด เธอเลือกที่จะนั่งข้างผม คือจริงๆ ผมว่าผมรู้สึกแบบนั้น เธอยังไม่ได้นั่งหรอก ก็แค่มองมาตรงที่นั่งว่างข้างๆผมน่ะ ก็รู้สึกอึ้งทึ่งตะลึงเล็กน้อย เห็นเธอแบบนี้ ถ้าเติมริบบิ้นเหลืองตรงที่คาดผมของเธอ ผมว่าใช่เลย นี่แหละ ตัวการ์ตูนที่ผมเคยใฝ่ฝันอยากให้มาเป็นเจ้าสาวตอนที่ผมยังบ้าการ์ตูน สุดยอดไปเลย หวังว่าเธอจะไม่มีพลังของพระเจ้าเหมือนในการ์ตูนนะ ไม่อย่างนั้นมีหวังวงกระจุยแน่ ว่าแต่...นี่จิตใต้สำนึกของผมกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ใครเข้าใจช่วยบอกทีเถอะ โอ้ ชีวิตวัยรุ่น...

     

                           ผมนั่งมองข้าวผัดที่อยู่ในจานของเธออยู่แวบหนึ่ง ผมเริ่มจะเชื่อนิดๆว่า เธอหลงกับเพื่อนจริงๆ เพราะข้าวผัดนั่นมันไม่มีไอความร้อน ซึ่งแสดงว่าเป็นเวลานานพอควรทีเดียวที่เธอเดินตามหาคนอื่นๆ หรือไม่ก็นั่งมองพวกผมอยู่กับเพื่อนๆจนข้าวผัดเย็นชืดหมด

     

                           ม่ะ... ไม่ได้หรอเธอก้มหัวลงนิดๆเหมือนคนสำนึกผิด...

             

                      แล้วใจผมมันจะเต้นหาหอกอะไรไม่ทราบ

     

                      เธอมองผมแบบลูกแมวน้อยที่เจ้าของไม่มีปลาให้กิน แล้วก็เตรียมที่จะก้าวเดินออกไป ผมรู้ว่าถ้าปล่อยไปเฉยๆก็น่าเสียดายแย่  ให้ตายเถอะ ถึงเราจะได้เจอกันในห้องเรียนคาบหน้าอยู่แล้ว แต่ผมรู้สึกว่าผมต้องเรียกเธอ ผมต้องบอกเธอให้หันมาหาผม ทำไมกันนะ... แล้วปากของผมมันก็พูดว่า

     

                           เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป นั่งข้างฉันก็ได้

     

                           ตะโกนซะดังเชียว น่าอับอายขายขี้หน้า

                     

                           วี๊ด! วิ้ว….” ไม่ต้องผิวปากเลยพวก งี่เง่าชะมัด

     

    ......................


    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น