การสิ้ใจของอุนโดเมียล - การสิ้ใจของอุนโดเมียล นิยาย การสิ้ใจของอุนโดเมียล : Dek-D.com - Writer

    การสิ้ใจของอุนโดเมียล

    เรื่องจากบอร์ดเทงวาร์ครับ กอบมาให้อ่านกัน เกี่ยวกับการจากไปของอาร์เวน อุโดเมียล

    ผู้เข้าชมรวม

    125

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    125

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 เม.ย. 49 / 20:27 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ในยุคที่สี่ ช่วงเวลาที่ป่าแห่งความฝันแห่งนี้เริ่มเกิดการถดถอยของสภาพถึงกระนั้นก็เป็นขึ้นตอนที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากว่าสถานที่แห่งอื่นๆในมิดเดิ้ลเอิร์ธแห่งนี้ นครบนต้นไม้แห่งนี้เป็นของลอร์ดพรายซินดาร์นามเคเลบอร์นผู้ยิ่งใหญ่และท่านหญิงพรายโนลดอร์นามกาลาเดรียล หนึ่งในสามพรายที่ครอบครองแหวนแห่งอำนาจนอกจากเคียร์ดันและกิล-กาลัด
      ........................ท่านหญิงกาลาเดรียลใช้พลังร่วมกับแหวนแห่งน้ำที่มีในการปกป้องลอธลิริเอนจากความถดถอยนานาประการจากโลกภายนอก หมู่พรายทั้งหลายที่อยู่ภายใต้ร่มไม้สีเงินนี้ต่างอยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมาจนเมื่อกระทั่งสิ้นยุคที่สาม แหวนทุกวงหมดอำนาจลงและพรายทุกคนในมิดเดิ้ลเดิร์ธจำต้องล่องเรือกลับดินแดนที่วัยวันไม่ร่วงโรย ป่าแห่งนี้ก็เริ่มกระบวนการตาธรรมชาติที่มันควรจะเป็น
      ........................ทว่ายังคงมีพรายหลายคนที่ยังเลือกที่จะอาศัยอยู่ในมิดเดิ้ลเอิร์ธแห่งนี้เพราะความรักและความผูกพันธ์ที่มีให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือแม้กระทั่งมนุษย์ - - ลอธลอริเอนเป็นนครที่มีความสวยงามทั้งในยามที่แสงสุริยาสาดส่องหรือแม้กระทั่งจนทราและดาราก็ยังเป็นด้อยกว่าเมื่อเทียบถึงความสวยงามในยามสนธยาและราตรีกาล
      ........................ข้าคืออัลลาดราน บิดาข้าคืออังรอด ข้าติดตามและล่องเรือมาตะวันออกพร้อมกับท่านหญิงเพื่อชิงมณีคืนจากมอร์กอธ แต่นั่นเป็นเรื่องนานมาแล้ว เรื่องราวหลายเรื่องและบาทเพลงที่ข้าจะได้ประพันธ์และขับขานต่อไปนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความรักที่ข้าพเจ้ามีและมอบให้ต่อลอธลอริเอนแห่งนี้ ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ข้ายังจำพักตร์ของนางได้ดี พักตร์ของท่านหญิง เกศาสีทอง ฉลองพระองค์สีขาวสะอาดและเป็นประกาย ยากยิ่งนักที่จะหาพรายตนใดเทียบได้เหมือน สุรเสียงของพระองค์ช่างสุขุมนุ่มลึกแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ดวงเนตรสีฟ้าครามยังคงติดตรึงอยู่ในใจข้าพเจ้า ทรงมีเมตตาและน้ำพระทัยประเสริฐเหนือกว่าผู้อื่นและทรงมอบความรักให้แก่สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทุกสิ่ง ถึงแม้นว่าจะเป็นความจริงที่ข้าพเจ้ามีศักดิ์เป็นหลานแต่ข้ารักที่จะเป็นเพียงทหารที่คอยปกป้องลอธลอริเอนจากความชั่วร้าย และประสงค์ที่จะเป็นทหารทั่วไปจึงเรียกนางว่าท่านหญิงเหมือนทหารคนอื่นๆ
      ........................ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นทหารของลอริเอนแต่ก็ไม่มีหน้าที่โดดเด่นอะไรมากนัก ข้าชอบการขับร้องบทเพลงที่บรรยายถึงความงามของธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ และมีโอกาสไม่บ่อยนักที่ข้าได้รับเชิญจากท่านหญิงให้ขับร้องเพลงร่วมกับพระองค์ในครั้งที่คณะเดินทางทั้งปแดมุ่งลงใต้
      ........................ข้าได้สนทนาเรื่องราวของตะวันตกกับท่านลอร์ดบ่อยครั้งหลังจากที่ท่านหญิงจากไปตะวันตก ไม่นานนักใบไม้ก็ล่วงลงสู่พื้น ถึงเวลาแล้วที่ท่านลอร์ดกับข้าจะต้องอำลาลอธลอริเอน เสียงของพฤกษาพรรณไม้ร่ำให้กับการเสด็จนิวัตกลับตะวันตก เสียงเพรียกจากหัวใจก็ข้าก็ยังไม่หยุดที่จะรั้งให้ข้าอยู่ที่ลอริเอนต่อไป ใบไม้ทุกใบ ต้นไม้ทุกต้นรวมทั้งผลของมันเรียกร้องให้ข้าอยู่ต่อหากแต่ข้ามีหน้าที่ต้องตามท่านลอร์ดไปยังท่าเรือและล่องกลับไปสู่ปัจจิม สัตว์น้อยใหญ่มากมายส่งเสียงรุมล้อม ใจข้าก็บอกว่า "อย่าไป ๆ" ช่างทรมานเหลือเกินเมื่อนึกว่าเมื่อรุ่งทิวาปรากฏข้าก็ต้องจากสรรพสิ่งที่ข้ารักและหวงแหนเหล่านี้ไป

      ........................"ถึงเวลาแล้วอัลลาดราน ข้ารู้ว่าใจเจ้าอย่างไร หากถ้าเจ้ารั้งแต่ที่จะอยู่ที่นี่เจ้าอาจจะพบกับความเสียใจในภายหลังเพราะสรรพสิ่งจะจากเจ้าไป ไปเถิด มุ่งสู่ปัจจิม ท่านหญิงของเจ้ารออยู่ที่นั่น" ท่านลอร์ดตรัสกับข้าเมื่อเห็นว่าข้าโสรกเศร้าเพียงใด "ข้าเองก็เสียใจไม่น้อยที่ต้องจากที่นี่ไป แต่ตะวันออกมิได้มีไว้สำหรับเราแล้ว ผู้ที่มีพรของมนุษย์เท่านั้นที่จะอยู่ได้"
      ........................ข้ามองไปรอบๆตัว มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่พรายที่จะเห็นหมู่ไม้และสัตว์ต่างๆอยู่รายรอบ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่พวกมันจะร่ำร้องไอ้อย่างเศร้าสร้อยถึงเพียงนี้ ข้าตกอยู่ในห้วงความคิดของข้าอยู่พักใหญ่แต่ทันใดสติก็กลับคืนมาเมื่อสายลมพัดผ่านทำให้ต้นไม้ส่ายไหวส่งเสียงเสียดสีกันไปทั่วป่า ข้าทำให้ท่านลอร์ดออกเดินทางช้าแล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี
      ........................"เราจะมุ่งหน้าสู่ริเวนเดลและจะพักอยู่ที่นั่นสักพักกับโอรสของเอลรอนด์ก่อนจะเดินทางไปที่ท่าเรือพร้อมกับพวกเขา" ท่านลอร์ดตรัสอีกครั้งด้วยสุรเสียงที่นุ่มลึก
      ........................ถึงตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าข้าควรทำอย่างไร ท่ามกลางสายลม แสงแดด เสียงสะอื้นและร่ำให้ของเหล่าสิ้งมีชีวิตรอบๆตัว และเสียงเพรียกในหัวใจของข้า ข้าย่อเข่าขวาลงติดกับพื้นเพื่อที่จะกล่าวคำอำลาแก่ท่านลอร์ด
      ........................ท่านลอร์ดแห่งลอธลอริเอนทรงหันมาทอดพระเนตรแล้วเอ่ยตรัสถามอย่างสุขุม "เหตุใดเจ้าต้องคุกเข่าลงด้วยอัลลาดราน เจ้าประสงค์สิ่งใดหรือ"
      ........................"โอ้ราชาของกระหม่อม ความประสงค์นี้พระองค์ได้ล่วงรู้ไปแล้วอย่างทะลุปรุโปร่ง สมเด็จลุงของข้า ข้ามิอาจตามท่านเสด็จนิวัตสู่แดนไร้วันตาย หากแต่ข้าประสงค์ที่อยู่ที่นี่ตลอดไป ถึงแม้นว่าพฤกษาพรรณไม้และต้นหญ้าจะมิได้เขียวขจีตลอดทั้งปีเหมือนที่เคยเป็น และนานาสัตว์ต่างก็ได้รับพรเช่นเดียวกับมนุษย์ กระนั้นข้าก็มีความปรารถนาเหลือเกินสมเด็จลุง ข้าปรารถนาที่จะเดินท่องในไพรีและเยี่ยมเยือนเหล่าสัตว์ทั้งหลาย ความสุขของข้ามิใช่การมีชีวิตอมตะ แต่ความสุขของข้าคือการได้อยู่กับธรรมชาติ ณ ที่แห่งนี้" ข้าพูดออกมาในขณะที่ข้ายังคงนั่งคุกเข่าอยู่ ถึงแม้ว่าเวลานั้นข้ามิได้หลั่งน้ำตา แต่ถึงเป็นเพียงมดตัวน้อยหรือเป็นผลของรากไม้ก็ยังรับรู้ได้ว่าข้าเศร้าเพียงใด "ข้ารู้ดีว่าวันนี้จะมาถึงสมเด็จลุง แต่ข้าคิดว่าการจากที่นี่คงมีเพียงแค่ความอาลัยอาวรณ์และความทรงจำที่เหลืออยู่ แต่เวลานี้ก็เข้ามาถึงแล้วจริงๆ เร็วกว่าที่ข้าคิด มันมิได้เป็นไปอย่างที่ข้านึกภาพเอาไว้เลยแม้นแต่น้อยนิด - - หากแม้นข้าถูกสังหารและสิ้นชีวิตในสนามรบเมื่อกาลก่อนที่จะถึงการจากลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ก็คงไม่เศร้าเลยถ้าหากข้าได้ชิงช่วงเวลาจากการมีชีวิตไปก่อน สมเด็จลุง ทรงโปรดให้ข้าได้อยู่ที่นี่ต่อไปเถิด ข้าจะยังคงดูแลที่นี่ให้ดีแม้นว่าวันเวลาจะเลยผ่านไปนานเพียงใด"
      ........................ข้าจับหัตถ์ขวาของท่านลอร์ดมาจุมพิตอย่างนุ่มนวลหนึ่งครั้งก่อนที่จะก้มหน้าลง ท่านลอร์ลจับไหล่ข้าและบอกให้ลุกขึ้นยืน แล้วก็มองหน้าข้าก่อนสักพักหนึ่งข้าจึงเข้าสวมกอดท่านจอมพรายผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นทั้งราชาผู้อาจหาญและลุงที่เมตตาของข้า ไม่มีคำกล่าวใดๆที่จะอธิบายถึงความโอบอ้อมอารีย์และความใจกว้างที่พระองค์มีให้ต่อทุกๆสรรพสิ่ง
      ........................เวลานี้ทั้งพรายทั้งม้าพร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง ทหารพรายผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานแก่ท่านลอร์ดว่าเกวียนพร้อมแล้ว ในความจริงที่เหล่าพฤกษาร่ำให้มิใช่เพียงเพราะข้าเท่านั้น แต่พวกมันยังร้องเพลงอย่างสุดซึ้ง และอาลัยในการเดินทางจากไปของท่านลอร์ดด้วย เพราะหลังจากที่ข้าเลือกที่จะอยู่ลอธลอริเอนแล้วเสียงร่ำร้องก็มิได้แผ่วเบาลงเลย
      ........................ก่อนจะเดินจากไป ท่านลอร์ดตรัสกับข้าอีกเพียงไม่กี่ประโยคแต่บอกให้ข้าจำไว้ให้ดี "อัลลาดราน เจ้ามิได้อยู่ที่นี่ต่อเพียงเพื่อลอธลอริเอนเท่านั้น แต่อยู่อยู่เพื่อตัวเจ้าเองด้วย ข้าอยากให้เจ้ารับรู้ว่าข้าเสียใจเพียงใดที่ต้องจากเจ้าผู้เป็นทั้งหลาน และทหารผู้ซื่อสัตว์ อีกทั้งยังไปพรายที่ฉลาด มีเสียงอันไพเราะและพรสวรรค์ในการแต่งบทกวี ทว่าข้ากลับนึกดีใจและภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนักที่เจ้าตัดสินใจเช่นนี้ ข้ายกลอริเอนให้เจ้าดูแล ลาก่อนลอริเอน และลาถึงพฤกษาพรรณไม้ที่ร่ำให้อย่างสุดซึ้ง ลาก่อนเหล่าสัตว์นานาพันธุ์ที่เติมเต็มให้ป่าแห่งนี้ และหลานข้า ลาก่อนอัลลาดราน ขอให้เจ้าโชคดี นามาริเอ" ว่าแล้วท่านลอร์ดก็หันหลังและเสด็จไปยังขบวนเดินทางซึ่งประกอบไปด้วยนางพรายหนึ่งทหารพรายอีกสองและพระองค์เอง ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นที่ประทับและขบวนเคลื่อนออก ข้าก้มศีรษะลงเพื่อจากลาและบอกว่าข้าทั้งรักและเคารพท่านลอร์ดเพียงใด

      ........................หลังจากการเดินทางไปริเวนเดลของท่านลอร์ดข้าก็อาศัยอยู่ที่นครบนต้นไม้ตลอดมา ข้าลงไปเดินเล่นเยี่ยมชมหมู่ไม้บ่อยครั้งและเจอกับสัตว์มากมาย แต่ไม่นานข้าก็ได้พบกับความโศรกเศร้าอีกครั้งและกลายครั้งต่อมาเมื่อเหล่าสิ่งมีชีวิตรอบๆข้างได้จากไปเพราะพรที่ได้รับเช่นมนุษย์ และเหล่าพืชพรรณธัญญาที่พากันออกดอกออกผลน้อยลงแต่กระนั้นก็ยังพอเลี้ยงคนทั้งมิดเดิ้ลเอิร์ธได้ทั้งฤดู เวลาที่แห่งนี้เริ่มเดินแล้ว หากแต่ยังเดินช้าเต็มที ทุกๆวันที่ผ่านไปช่างมีความสุข ข้าออกไปเดินเล่นที่แม้น้ำสีเงินบ่อยครั้ง บางครั้งก้ได้พบกับเอ๊นท์สาวที่หลงเหลืออยู่ พวกนั้นบอกให้ข้าเล่าเรื่องของเอ๊นท์หนุ่มแถวป่าเมิร์กวู๊ดให้ฟังซึ่งข้าก็มีความสุขที่ได้เล่าเช่นกัน
      ........................นานๆครั้งจะมีคนมาเยี่ยมเยือนที่นี่อย่างพวก ฮอบบิทที่ร่าเริง โดยเฉพาะแซมไวส์ แกมจี เขานำเรื่องราวต่างๆที่ไชร์มาเล่าข้าฟังอีกทั้งยังนำบทประพันธ์ที่นายของเขาโฟรโด้ถอดความมาจากบทเพลงนามาริเอของท่านหญิงให้ข้าดู แต่เปเรกริน กับเมอเรียด๊อค ก็แวะมาที่นี่บ่อยกว่า เขาจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับโรฮันและกอนดอร์ให้ข้าฟังบ่อยๆจนกระทั่งเราเป็นเพื่อนซี้กัน เค้าชอบคะยั้ยคะยอให้ข้าร้องเพลงให้ฟังบ่อยๆ ช่วงหลังๆที่มานี่พวกเค้าดูตัวสูงขึ้นหลังจากไปอยู่กับพวกเอ๊นท์ได้หลายเดือน
      ........................กลางวันอันสวยงามที่พระอาทิตย์สาดส่องแสงลงมายังพื้นโลกในเดือนเมษาที่สงบสุขของวันหนึ่ง มีเรือพรายสีขาวแล่นทวนน้ำขึ้นมาแต่พอมองไกลออกไปด้วยสายตาของข้าก็รู้ว่าสหายเก่าของข้ามาแล้ว
      ........................เจ้าชายพรายแห่งป่าเมิร์กวู้ดมาเยี่ยมที่นี่ไม่บ่อยนัก แต่เมื่อมาแต่ละครั้งก็จะอยู่ที่ลอริเอนนี่หลายเดือน เลโกลัสมักจะมาพร้อมกับกิมลีสหายพราย นายกิมลีคนนี้มักพูดถึงเรื่องการออกไปล่ามังกรขี้ขโมยครังที่สองที่คราวนี้อุกอาจมาหยามถิ่นถึงดวอร์โรว์เดลฟ์ ผลสุดท้ายเหล่าคนแคระก็ปราเจ้ามักกรขี้ขโมยสม๊อกที่สองได้สำเร็จ

      ........................ข้าอยู่ที่ลอธลอริเอนได้หลายสิบปีแล้วตอนนี้ซึ่งได้พบกับการล้มหายตายจากจนใจข้าชินชาและเข้าใจแล้วว่าความโหดร้ายของการตายเปนอย่างไร ที่หลายคนกลัวตายไม่ใช่เพราะความความเจ็บก่อนตาย หากแต่กลัวการตายเพราะมันสามารถแยกเราออกไปจากคนหรือสิ่งที่เรารักอาจเป็นไปได้ว่าตลอดกาล ข้าได้มีโอกาสสนทนากับพ่อมดสีน้ำตาลอยู่หลายครั้งทีเดียว เค้ามีสหายอยู่ทางเหนือซึ่งไม่นานก็อาจจะลงหลักปักฐานที่นั่น
      ........................ตอนนี้แทบไม่มีใครมาเยี่ยมข้าที่ลอริเอนอีกแล้ว หากแต่มีการส่งสารมาเชื้อเชิญข้าไปชมนครสีขาวที่มินาสทิริธโดยพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งกอนดอร์และราชินีอาร์เวน บุตรีของท่านเอลรอนด์ ผู้ซึ่งศรัทธาในรักและยอมสละชีวิตอมตะของนางเพื่อให้ได้อยู่กับคนที่นางรัก
      ........................วันหนึ่งในขณะที่ข้ากำลังขับขานลำนำให้เหล่าพฤกษาน้อยใหญ่(รวมทั้งเอ๊นท์สาว)ได้ฟังกันนั้น ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มอย่างที่ไม่เคยเกิดที่ลอธลอริเอนมาก่อน ลมเย็นพัดมาปะทะที่ใบหน้าของข้า ข้ารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ที่ทำให้ข้าเศร้าสลดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เป็นการจากไปของใครบางคนที่ส่งผลให้เกิดความโศกเศร้าเสียใจไปพร้อมกันทั่วแผ่นดิน หรือว่านี่จะเป็นการจากไปของคนที่ครอบครองหัวใจเจ้าหญิงพรายจนนางยอมสละชีวิตอมตะ
      ........................ไม่กี่วันต่อมามีม้าเร็วจากมินาสทิริธนำสารมาถึงข้าโดยในสารนั้นแถลงข้อความที่น่าตกใจ ในที่สุดการพลัดพรากที่โลกต้องจดจำก็ได้อุบัติขึ้นเมื่อ พระราชาแห่งกอนดอร์ทรงพระนามอารากอร์นที่สองทรงสิ้นพระชนม์ลงแล้ว
      ........................ในตอนนี้ข้านึกไม่ออกเลยว่าเจ้าหญิงของข้าจะเป็นเช่นไรบ้าง ข้ารู้ดีว่าการจากไปของคนรักนั้นมันโหดร้ายเพียงใด หากแม้นข้ามิใช่บุรุษแล้วไซร้คงตายไปพร้อมกันกับเหล่าพฤกษาและนานาสัตว์เมื่อครั้งที่ได้พบเห็นการตายในครั้งแรก ข้าจำได้ว่าในตอนนั้นข้าเสียใจยิ่งนัก มันช่างมีผลกับข้ามากเหลือเกิน ข้าผู้ซึ่งยังไม่เคยพบเห็นการตายในตอนนั้นต้องนอนตรอมใจอยู่หลายวันหากมิได้ยาจากป่าเมิร์กวู้ดที่เลขโกลัสนำมาให้ข้าแล้วข้าก็คงหามีชีวิตอยู่ไม่ในเวลนานี้
      ........................นางเป็นเจ้าหญิงพรายที่งดงามดั่งลูธิเอน ทินูเวียล ด้วยโฉมนางนั้นหาผู้ใดเทียบยากนักหนา นายเป็นสตรีที่มีจิตใจกล้าหาญมิเคยกลัวต่ออันตรายหรืออุปสรรคใดๆ หากแต่นางเป็นพรายที่เลือกที่จะเป็นมนุษย์ นางยังมิเคยได้พบเจอกับพรที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้แก่มนุษย์นั้นหรือที่เรียกว่าความตาย ยิ่งเป็นการตายของคนที่นางรักมากจนยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้ครองคู่อย่างมีความสุขเท่านั้น บัดนี้ไร้ซึ่งความหมายหนำซ้ำนางยังได้ความทุกข์และโศรเศร้ามาอยู่เต็มหัวใจข้อนี้ข้ารู้สึกได้ดี สิ้นแล้วซึ่งอารากอร์นดั่งสิ้นแล้วซึ่งความสุขใดๆ ไม่มีถ้อยคำใดที่ข้าอาจะกล่าวออกมาได้อย่างสุดซึ้งเท่าที่ใจข้าคิด ข้าขอใช้พิณตัวนี้ พิณตัวที่ท่านหญิงเคยดี บรรเลงเพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่การจากไปของอารากอร์นในวันที่ 1 มีนาคม ปีที่หนึ่งร้อยยี่สิบแห่งมหายุคที่สี่

      ................................................โอ้เหตุใด ใยตะวัน จึงหมองเศร้า
      ........................หรือถึงคราว ที่โลกนี้ ไร้สุขสันต์
      ........................แม้นจันทรา ยังร่ำให้ ทุกคืนวัน
      ........................เหล่าพืชพรรณ หยุดผลิดอก ออกผลใบ
      ................................................แล้วเหตุใด ดวงใจข้า จึงทุกข์นัก
      ........................มิอาจหัก ห้ามใจ คลายโศกได้
      ........................ถึงแม้นมี ความสุข ประการใด
      ........................ก็มิอาจ แลกดวงใจ ข้ากลับคืน
      ................................................ด้วยความหวัง พังทลาย มลายแล้ว
      ........................เหมือนดวงแก้ว ที่แตกดับ มิอาจฝืน
      ........................ไร้แล้วซึ่ง ความหวัง ทุกค่ำคืน
      ........................แม้ยามตื่น สุริยา ยังอาลัย
      ................................................โอ้ราชันย์ แห่งนคร หินศิลา
      ........................ท่านเข้าสู่ ห้วงนิทรา ดั่งใจหมาย
      ........................นามของท่าน จะลือเลื่อง ไร้วันตาย
      ........................ยอดบุรุษ ยอดชาย แห่งกอนดอร์
      ................................................โปรยใบแล้ว นิมลอธ ยอดพฤกษา
      ........................หากแต่ว่า ท่านยังมี หนทางต่อ
      ........................ท่านจะได้ พบกับทาง ทอดเส้นรอ
      ........................ทางที่ต่อ ไปพบ บรรพชน
      ................................................เรามิอาจ ลบล้าง พรมนุษย์
      ........................โอราชันย์ ขอท่านสุข ทุกแห่งหน
      ........................โอ้ความหวัง ทั้งหมด ของปวงชน
      ........................โอ้เอสเตล จงสุขล้น ลาก่อนเอย

      ........................ไม่มีความสุขใดอีกแล้วที่จะมาทำให้มิดเดิ้ลเอิร์ธหายเศร้าโศก มินาสทิริธนครแห่งศิลาที่เคยขาวเด่นเป็นประกายยามเมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ บัดนี้กลับดูหม่นหมอง ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มใดๆปรากฏให้เห็นในขณะที่ข้าไปร่วมงานฝังพระศพที่นั่นในฐานะตัวแทนจากลธลอริเอน ระหว่างนั้นข้าได้พบกับเจ้าหญิงพรายอยู่บ่อยครั้ง แต่ประกายในดวงตาของนางจางหายไป ผู้คนของนางต่างรู้สึกได้ว่านางกลายเป็นคนเยือกเย็นและหม่นหมอง ดุจดั่งยามพลบค่ำในฤดูหนาวซึ่งปราศจากดวงดาว(วัลลี ชื่นยง,2545 : 524) นางกล่าวทักทายข้าด้วยน้ำเสียงที่ไร้ชีวิตชีวา ข้าดูออกว่านางเศร้าเพียงใดแต่ยากที่ข้าจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
      ........................"อุนโดเมียล อุนโดเมียล เจ้าหญิงของข้า หากมีอะไรที่ข้าจะสามารถช่วยปลอบใจเจ้าได้จงบอกมาเถิด" ข้าถามนางด้วยความห่วงใย นางถือว่าเป็นน้องสาวคนเดียวที่ข้ามี และตอนนี้ข้ารักนางไม่น้องไปกว่าลอธลอริเอนเลย "ข้าเองก็เสียใจไปไม่น้อยกับการจากไปของเอสเตล พระองค์จะได้ไปอยู่ในที่ที่มีความสุข พระองค์จะได้ประทับอยู่เคียงข้างบรรพกษัตริย์อย่างสมเกียรติ อุนโดเมียลน้องสาวสุดที่รักขอข้า ข้าจะพักอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้าก่อนสักระยะถ้าเจ้าต้องการข้าอาจขับขานเพลงแห่งลอธลอริเอนให้เจ้าฟัง"
      ........................หลังจากที่ข้าพูดจบข้าก็สังเกตได้อย่างชัดเจนจากน้ำเสียงว่านางกำลังร่ำให้อยู่ภายในใจ หากแต่มิได้มีอาการแสดงออกมาแม้แต่น้อย นางสวมชุดสีดำหากแต่ไม่มีอาภรณ์ประดับให้สวยงามเหมือนที่เคยเป็น แต่ความงามของนางก็มิได้ลดน้อยลงเลย
      ........................"ข้าไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยท่านอัลลาดราน ข้าไม่เคยเข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงกลัวการตายนัก ครั้งหนึ่งข้าเคยสมเพชมนุษย์พวกนี้ แต่บัดนี้ข้าตรอมใจยิ่งนัก มนุษย์ไม่ได้กลัวตายที่ต้องทรมานแต่กลับกลัวตายที่ต้องจากคนรัก ข้าไม่อาจขอให้เค้าอยู่เพื่อข้าอีกต่อไปเพราะด้วยว่านี่ก็ถึงเวลาที่สมควรแล้ว หากแต่ข้าก็ยังมีความปรารถนายิ่งนักที่จะได้อยู่เคียงกายบุรุษอันเป็นที่รัก เราจะครองคู่อย่างมีความสุขชั่วกาลนาน เค้าจะโอบไหล่ข้าเอาไว้ในยามสนธยา แม้ดวงจันทราจะลอยคล้อยผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ความรักที่เรามีให้กันก็จะไม่จืดจางลง ไม่จืดจางลงเลยแม้แต่เพียงน้อย บัดนี้ข้าคิดถึงทุกคนที่ข้ารักยิ่งกว่าสิ่งใด และข้ารู้เช่นกันว่าคนที่รักข้าคิดถึงข้ามากเพียงใดแม้เราจะอยู่ห่างไกลถึงโพ้นฟากทะเล" นางหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างและเหม่อลอย สุดความสามารถของข้าแล้วที่จะปลอบโยนนาง ใครก็ตามที่รู้จักนางคงทราบได้อย่างกระจ่างแจ้งแล้วตอนนี้ว่านางคงกลัมามีความสุขอย่างเดิมไม่ได้อีกแล้วตลอดกาลบนแผ่นดินแห่งนี้
      ........................"ไม่มีเรืออีกแล้วอุนโดเมียล แต่ลอธลอริเอนยังต้อนรับเจ้าเสมอ ที่นั่นสงบเงียบและข้าเชื่อว่าอาจทำให้เจ้าคลายความทุกข์ได้บ้าง" ข้าเดินเข้าไปหานางแล้วโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนของข้าพลางกล่าวปลอบโยนนางให้สบายใจ แต่บางครั้งที่เราทุกข์ใจก็คงอยากอยู่เงียบๆ ข้าจะไม่กวนใจนางไปมากกว่านี้แล้วสำหรับวันนี้ "ให้ลอธลอริเอนได้ช่วยคลายทุกข์ให้เจ้าบ้าง พืชพรรณไม้ที่นั่นยังรอเจ้าอยู่อุนโดเมียล" แล้วข้าก็เดินจากนางออกมา

      ........................ข้าอยู่ที่มินาสทิริธได้สองเดือนนับตั้งแต่มาถึงก่อนพิธีฝังพระศพสองสัปดาห์ ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับลอธลอริเอนด้วยว่าเสียงกระซิบของต้นไม้ที่นั่นแทรกลึกเข้ามาถึงในใจของข้าแล้วและข้าก็คิดถึงปละปรารถนาที่จะได้พบพวกมันอีกครั้งเช่นกัน แต่บัดนี้เจ้าหญิงพรายยังมิหายคลายโศกลงเลยแม้แต่น้อยเหลือก็เพียงเวลาเท่านั้นที่จะต้องคอยดูว่าสามารุเยียวยาให้ดวงใจของนางได้หรือไม่ ป่านนี้เรื่องราวการสวรรคตของราชันย์แห่งกอนดอร์คงไปถึงตะวันตกแล้วเพราะยามค่ำจะมีแสงดาวระยิบระยับมากมายลอยเข้ามาเหนือน่านฟ้ากอนดอร์จากทิศตะวันตกและบทเพลงขับขานแห่งความเศร้าก็ลอยมาตามลมก่อนจะเป็นบทเพลงที่กล่าวสดุดีถึงความดีงามของพระองค์ผู้ทรงเป็นความหวัง
      ........................เข้าได้แจ้งกับเจ้าหญิงพรายไว้แล้วก่อนหน้านี้สี่วันว่าข้าจะเดินทางกลับไปสู่นครบนต้นไม้ในป่าแห่งความฝัน และในวันที่จะออกเดินทางนางลงมาส่งข้าที่กำแพงชั้นล่างสุดพร้อมกับสิ่งของมากมายที่นางจัดเตรียมไว้ให้ข้าใช้ใช้ตลอดการเดินทาง ความจริงแล้วบางอย่างก็ไม่จำเป็นอะไรมากนักข้าจึงบอกให้นางนำกลังไปคืนแต่สิ่งหนึ่งที่นางมอบให้ข้าไว้แล้วข้ายังเก็บไว้ถึงทุกวันนี้ก็คือเข็มกลัดใบมัลลอร์นที่ตีจากเหล็กกล้าและประดับไปด้วยเพชรที่ส่งประกายอย่างงดงามแม้ยามไร้แสง ใบมัลลอร์นนั้นข้ารู้จักดีเพราะที่ลอธลอริเอนมีให้เห็นได้อย่างง่ายดาย
      ........................"อุนโดเมียลน้องข้า ข้ารักเจ้าเสมอเหมือนรักชีวิตของข้าเอง ขอให้เจ้าได้พบกับความสุขในเร็ววัน ข้าขออวยพร" ว่าแล้วข้าก็เข้าไปจุมพิตที่หน้าผากของนางก่อนจะจากลา
      ........................"สักวันหนึ่งข้าจะกลับไปที่ลอธลอริเอนเพียงลำพังและอาจฝากชีวิตข้าไว้ที่นั่น ขอเวลาข้าได้กล่าวอำลาแก่บุตรและบุตรีของข้าก่อน เวลานี้ในดวงใจของข้าหมดแล้วซึ่งความสุข ข้ามิหาญกล้าพอที่จะพบกับความทุกข์อีกแม้สักครั้งแต่ก็ยากเหลือเกินที่จะปฏิเสธมัน ขออวยพรให้ท่านโชคดี" นางกล่าว
      ........................หลังจากนั้นข้าก็หันหลังให้นางแล้วกระโดดขึ้นหลังอาชาก่อนจะควบจากไปทั้งที่ใจก็ยังอดเป็นห่วงนางมิได้

      ........................หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นข้าก็กลับมาอยู่ที่ลอธลอริเอนตามเดิม แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมากนักด้วยว่าการจากไปของราชาแห่งกอรดอร์ผู้นี้สร้างความเศร้าให้แก่ทุกสรรพสิ่งบนมิดเดิ้ลเอิร์ธมากยิ่งนัก ทว่าหลายชีวิตก็ยังคงดำเนินชีวิตตามปกติอย่างที่เคย นามของกษัตริย์แห่งกอนดอร์ผู้นี้ได้ถูกกล่าวขานและสุดดีไปทั่วแผ่นดินว่าเป็นกษัตริย์ผู้กอบกู้บ้านเมือง ทรงปฏิเสธต่อแหวนและอำนาจมาแล้ว เป็นวีรบุรุษโดยแท้
      ........................วันหนึ่งในฤดูหนาวปีที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดของมหายุคที่สี่ ขณะที่ข้ากำลังขับลำนำให้เหล่าสัตว์นานาพันธุ์ พฤกษา และเหล่าเอ๊นท์สาวอยู่นั้น เสียงหนึ่งสะท้อนดังเข้ามาในใจของข้า มีมนุษย์เข้ามายังดินแดนแห่งลอธลอริเอน ข้าหยุดร้องเพลงในแทบจะทีที และก่อนที่เอ๊นท์สาวจะเอ่ยถามเหตุผลจบ(เพราะถ้อยคำในภาษาเอ๊นท์นั้นยาวยิ่งนัก) ข้าก็ผละตัวออกจากพิณสีทองของท่านหญิงและตรงไปรอรับแขกผู้มาเยือนในทันที
      ........................เป็นดั่งที่ข้าคิดเอาไว้ หญิงผู้หนึ่งควบม้ามาจากมินาสทิริธ นางคือเจ้าหญิงของข้า ราชินีแห่งกอนดอร์ ในขณะที่นางควบม้าเข้ามาใกล้แขตแดนเรื่อยๆข้าก็ได้ยินเสียงหัวเราะขับขานและโห่ร้องยินดีว่าท่าหญิงอุนโดเมียลกลับมาหาพวกเราแล้ว
      ........................หลังจากที่นางลงจากหลังม้าข้าก็รีบลงไปรับนางที่ชายป่าซึ่งเป็นที่มีต้นไม่ขึ้นไม่หนาแน่นมากเท่าใดนัก นางยังคงมาในชุดสีดำเช่นเคย ใบหน้าดูหมองคล้ำกว่าที่ข้าเห็นที่กอนดอร์เมื่อปีก่อน แต่ลักษณะของความเป็นพรายของนางยังคงอยู่หากแต่นางดูไร้เรี่ยวแรงและไร้จุดหมาย
      ........................"ข้ากลับมาที่นี่แล้ว ลอธลอริเอน ดินแดนแห่งความฝัน ข้าได้มาอยู่ในที่ๆข้าเคยอยู่ ข้าจะฝากชีวิตของข้าไว้ที่นี่" นางกล่าวกับข้า
      ........................"ยินดีต้อนรับเจ้าหญิงอุนโดเมียล ต่อไปนี้ที่ลอธลอริเอนคงมีชีวิตชีวาขึ้นมาโขเมื่อได้เจ้ามาอยู่ที่นี่ อยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรและเสียงพิณอันไพเราะของท่านหญิงกาลาเดรียลที่เราต่าก็รักนางยิ่งชีวิต ไปเถิดน้องรัก ขึ้นไปพักผ่อนก่อน ถึงแม้หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่นครของเรายังคงสวยงามไมเปลี่ยนแปลง ตามข้ามาเถิด"

      ........................ถึงแม้การมาถึงลอธลอริเอนของอุนโดเมียลจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่นี่ใจชุ่มชื่นขึ้นมาไม่น้อยแต่นางก็มิได้เยื้องย่างกรายออกไปพบปะกับพวกมันมากนัก นางมักนั่งอยู่คนเดียวเงี่ยบๆ และข้าก็จะร้องเพลงเกี่ยวกับที่นี่ให้นางฟังบางครั้งนางก็ร้องให้อย่างลับๆขณะที่อ่านหนังสือ ซึ่งข้าว่าบางทีการให้นางกลับมาที่ลอธลอริเอนอาจทำให้นางคิดถึงคนที่นางรักมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็ดีกว่าให้นางจมอยู่ในความทุกข์คนเดียว
      ........................เช้าวันหนึ่งขณะที่ข้ากำลังเดินเล่นอยู่กับเอ๊นท์สาวก็พบกับนางยืนรอพบข้าอยู่ข้างหน้า เอ๊นท์สาวกล่าวแก่สวัสดิ์นางและนางก็กล่าวตอบเช่นกัน นางบอกว่าอยากคุยกับข้าเพียงลำพัง เราจึงกลับขึ้นไปบนต้นไม้
      ........................"ท่านอัลลาดราน ต่อแต่นี้ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานเท่าใดนัก ข้าปรารถนาที่จะกล่าวขอบคุณท่านเหลือเกิน ท่านทำให้ข้าหายเศร้าลงไปมาก ข้ายังจำคำที่ท่านพูดได้เสมอว่า การที่ข้าเลือกที่จะเป็นมนุษย์นั้นไม่เสียเปล่า ถ้าข้ารักอารากอร์นจริงก็จงภูมิใจเสียว่าข้าได้ทำให้เขามีความสุขคือการได้อยู่กับข้า และข้าก็ได้อยู่เคียงข้างกับเขา ถึงแม้นจะเป็นช่วงเวลาที่น้องนิดก็ตาม" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลและมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเมื่อกลายวันก่อนมากข้าก็ยังแปลกใจไม่หาย หรือด้วยนายเป็นมนุษย์แล้วข้าก็ยากที่จะเข้าใจ
      ........................"เอาเถิดอุนโดเมียลน้องสาวสุดที่รักของข้า เจ้าจงภูมิใจเถิดที่ได้ทำเพื่อคนที่เจ้ารัก และเจ้าจะแข็งแรงและมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป" ในเวลานั้นใจข้าแสนจะเบิกบานที่ได้เห็นท่าทีนางในตอนนั้น "ท่านลอร์ดเคเลบอร์นเคยกล่าวว่าถ้าข้าอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเสียใจในถายหลังเพราะสรรพสิ่งจะจากข้าไป แต่ถึงเวลานี้ข้าก็ภูมิใจเช่นกันที่ข้าได้ทำเพื่อสิ่งที่ข้ารัก"
      ........................หลังจากวันนั้นสองสามวันนางมิได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวและข้าก็เริ่มรู้สึกถึงลางร้ายที่กำลังคืบคลายเข้ามา นางคงกำลังะจากไปในไม่ช้าแล้ว มิใช่เพียงแค่การจากไปลอธลอริเอนแต่เป็นการจากไปจากมิดเดิ้ลเอิร์ธ
      ........................เช้ารุ่งขึ้นเป็นวันที่ข้างนอกอากาศค่อนข้างหนาวแต่ภายในลอธลอริเอนอยูสบายเป็นพิเศษ ข้านอนหลับสบายมากเมื่อคืนมันช่างเป็นคืนที่วิเศษ ข้าตื่นเช้าแล้วลงมาเดินเล่นที่ป่าต้นมัลลอร์นด้านล่าง แต่ก็ได้ยินเสียงคุยกันของต้นไม้ถึงเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจบนท้อง้าเมื่อคืน ข้าจึงหันไปถามเอ๊นท์สาวว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น
      ........................"ไม่นางบีช เมื่อคืนมีอะไรบนท้องฟ้าหรือ เห็นเค้าพูดถึงความสวยงามของมันกันนักหนา ข้าไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นเพราะเมื่อคืนช่างเป็นราตรีที่สงบเงียบและอุ่นสบายเหลือเกิน"
      ........................"น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้เห็นหวังว่าคืนนี้คงมีให้ท่านได้ชมหากท่านไม่เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียก่อน" นางว่า "แต่ว่าเราต่างคิดว่าคงจะเป็นไปได้ยากเพราะว่าดาวดวงที่เราเห็นหายไปแล้ว แต่ท่านอาจะเห็นดวงดาวอื่นๆนับร้อยที่ลอยมาจากฝั่งตะวันตก"
      ........................กินเวลานาเหลือเกินกว่าที่นางจะพูดจบ แต่หลังจากฟังได้ความแล้วข้าก็หัวใจแทบสลาย ข้าไม่ได้เห็นนางตั้งแต่เมื่อเย็นวันก่อนแล้ว อุนโดเมียลน้องสาวของข้า นางจะเป็นอย่างไรบ้าง ดวงดาวที่ดับลงไปนั้นคงเป็นดวงดาวยามสนธยาประจำตัวนางเป็นแน่แท้ ว่าแล้วข้าก็รีบวิ่งกลับมาที่นครบนต้นไม้แล้วเดินต่อไปยังห้องที่นางพักอยู่ ที่นี่เป็นห้องของนางโดยแท้เพราะนางเคยใช้เวลากว่านานหลายปีในลอธลอริเอนแห่งนี้ ข้าเข้าไปในห้องแต่พบว่านางไม่อยู่จึงลงมาตามหาที่ข้างข่างต้นไม้อีกครั้ง
      ........................ใบมัลลอร์นร่วงหล่นเกือบหมดต้นแล้ว ในที่สุดข้าก็ได้พบนางนอนทอดร่างอยู่บนเนินเครินอัมรอธ นางสิ้นใจแล้ว!
      ........................ลมเย็นพัดมาปะทะที่หน้าข้าเหมือนครั้งที่ท่านลอร์ดเคเลบอร์นจากไปสู่แดนตะวันตก ใบหน้าของนางดูมีความสุขแล้ว ถึงแม้ว่านางจะเคยเป้นพรายและเลือกที่จะเป็นมนุษย์ซึ่งต้องพบกับการสูยเสียคนรักซึ่งยากที่จะทำใจได้ แต่นางได้ทำเพื่อคนที่นางรักแล้ว นางทำเพื่อความสุขของอารากอร์น และอารากอร์นก็รักนางมากยิ่งกว่าสิ่งใด หากนางตัดสินใจที่จะไปตะวันตกในครั้งนั้นนางคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตเพราะทั้งนางและคนที่นางรักคงไม่มีวันได้พบกับความสุขที่แท้จริง
      ........................ข้าร้องให้ออกมาด้วยความเสียใจแก่การจากไปของนางอย่างสุดซึ้ง พรของมนุษย์ทำให้ข้าต้องเสียใจที่สุดในชีวิตอีกคราแล้ว การจากไปครั้งนี้ยากเกินที่ข้าจะทนรับได้ น้ำตาหลั่งออกมาเป็นทางแม้น้ำตาพรายจะไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแต่ก็ไม่มีพรายคนไหนยอมเสียน้ำตาง่ายๆ นางเป็นน้องสาวที่ข้ารักและหวงแหน เป็นราชินีแห่งกอนดอร์ที่ประชาชนรักและศรัทธา และเป็นแม่ของลูกที่เอาใจใส่เสมอมา และที่สำคัญ นางเป็นคนรักที่เสียสละหลายสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก บทเพลงที่ข้าจะขับร้องให้แก่นางคงลึกซึ้งเกินอธิบาย

      ................................................แสนว้าแหว่ เมื่อลมหนาว ต้องใบหน้า
      ........................อีกกี่ครา การลาจาก จึงหมดสิ้น
      ........................โอ้ลมเอ๋ย ข้าโศกเศร้า หนาวใจจริง
      ........................โปรดหยุดนิ่ง สักประเดี๋ยว ค่อยผ่านมา
      ................................................แสนทุกข์ใจ เมื่อคนรัก ต้องลาจาก
      ........................การพลัดพราก ทำร้ายนาง เจ็บหนักหนา
      ........................ทุกสิ่งผ่าน ผันเปลี่ยน ตามเวลา
      ........................ดวงใจนาง แหว่ว้า แต่มั่นคง
      ................................................โอ้ลมหนาว เจ้าพัดมา อีกคราแล้ว
      ........................คงไม่แคล้ว การลาจาก มาอีกหน
      ........................โอ้ลมเอ๋ย มาครานี้ ข้าอับจน
      ........................จงพานาง ไปพบคน ในดวงใจ
      ................................................ขออวยพร ให้นาง ผ่านลมหนาว
      ........................ผ่านดวงดาว ยามค่ำคืน ฟ้าโปร่งใส
      ........................ขอให้นาง มีความสุข ตลอดไป
      ........................กับคนรัก คนห่วงใย ทุกคืนวัน
      ................................................โอ้ดารา สนธยา ดับสิ้นแล้ว
      ........................แต่ยังมี แสงวับแวว บนสวรรค์
      ........................อุนโดเมียล เอเลสซาร์ ครองรักกัน
      ........................ขอความสุข อยู่เช่นนั้น ตลอดกาล

      ........................"ตอนนี้เจ้าเป็นคน แต่ได้สิ้นใจเยี่ยงพราย เจ้าเข้าสู่ห้วงนิทราตลอดกาลด้วยความรัก เจ้าจะได้พบความสุขที่นั่น ข้าขออวยพร นามาริเอ!"
      ........................ข้าจุมพิตที่หน้าผากของนางอีกครั้ง แล้วจืมมืออันอุ่นลมุนของนางเอาไว้ ข้ารู้สึกได้ถึงความสุขที่นางมีตอนนี้ นางเป็นหญิงที่ต้องมาสิ้นใจและถูกฝังร่างอยู่ไกลจากคนรัก แต่ขออำนาจเทพวาล่า จงนำพานางไปสู่ชายผู้เป็นที่รักของนางและข้าขออวยพรให้นางได้มีความสุขกับอารากอร์น ณ ที่ใดที่หนึ่งบนสวรรค์ตลอดกาล...


      ----------------------------------------------------------------------------------------
      เรื่องนี้ผมยกเครดิตให้คุน "Lady Galadriel" แห่งบอร์ดเทงวาร์
      และ
      http://www.springofarda.com

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×