ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] MY BOYFRIEND IS SO มุ้งมิ้ง ♡ KrisYeol

    ลำดับตอนที่ #5 : MY BOYFRIEND IS SO มุ้งมิ้ง :: โปะโปะกันเถอะ -ลงแล้ว-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.5K
      36
      5 มี.ค. 57

    Minor!
































































     

    ปกติถ้าถึงวันเสาร์อาทิตย์เมื่อไหร่ ถ้าเป็นแต่ก่อนล่ะก้อ ชานยอลก็คงนอนจนตะวันส่องก้น นอนกินบ้านกินเมืองแทะฝาบ้านไปจนกว่าเข็มนาฬิกาจะเลยเลข 12 ไป พอตื่นมาก็อาบน้ำแต่งตัวออกนอกบ้านไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน กว่าจะกลับเข้าบ้านอีกทีก็ดึกๆดื่นๆ เล่นเกม เล่นดนตรีสัพเพเหระ นอนอีกทีก็นู่นเกือบสว่าง เรียกได้ว่าวงจรชีวิตของปาร์คชานยอลก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหละ นอนเช้าตื่นเที่ยง

     


     

    แต่พอชีวิตมีอีกคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ไอ้กิจวัตรประจำวันที่เคยทำก็หายไป จากที่เคยตะลอนๆออกนอกบ้านแล้วกลับเข้าบ้านอีกทีก็ตอนที่ไฟมืดไปแล้ว ก็ทำไม่ได้เพราะไอ้คนที่พาไปตะลอนๆนอกบ้านไม่ยอมน่ะสิ จากที่เคยนอนเช้าตื่นเที่ยง ตอนนี้ก็กลายเป็นว่านอนได้ไม่เกินเที่ยงคืนและตื่นห้ามสายเกินกว่าเก้าโมงเช้า ตอนแรกๆที่อีกคนบังคับให้ทำก็โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่หรอกนะ ถึงจะคบกันเป็นแฟนกันแล้วแต่นี่มันชีวิตส่วนตัว นิสัยส่วนตัวของเค้านะ

     


     

    แต่ก็นั่นแหละ เพราะเหตุผลที่อีกคนบอกมันเลยทำให้ชานยอลเถียงไม่ออกสักคำ

     


     

    กลับบ้านดึกๆไม่ดีนะชยอล คุณพ่อคุณแม่ห่วง เค้าก็ห่วงด้วย

     


     

    ไหนจะ

     


     

    อย่านอนดึกนักสิชยอล นอนเวลาเดียวกัน เราจะได้ฝันถึงกันไง

     


     

    แล้วก็

     


     

    อย่านอนตื่นสายสิ นอนมากๆชยอลจะปวดหัวนะ เค้าไม่ชอบให้ชยอลป่วย

     


     

    สารพัดสารพันที่อู๋อี้ฟานจะนำมาพูดเกลี่ยกล่อม สุดท้ายแล้วเพื่อตัดรำคาญ ชานยอลก็เลยเข้านอนหลังละครหลังข่าวจบ และตื่นนอนตอนการ์ตูนตอนเช้ามา และแน่นอนว่าพฤติกรรมแบบนี้ก็ทำเอาทั้งบ้านสงสัยกันไปตามๆกัน เริ่มตั้งแต่พ่อที่ชอบเข้ามาถามเวลาที่รถคิตตี้ (ขอเรียกว่าแบบนั้นแล้วกันนะ) มาจอดส่งที่หน้าบ้าน แล้วก็แม่ที่ชอบเข้ามาแซวมาแซะเวลาที่ตื่นเช้าโดยที่แม่ไม่ต้องขึ้นไปปลุก ไม่รวมถึงพี่ยูราที่เป็นผู้ประกาศข่าวด้วยนะ ขานั้นแทบจะเอามือถือเค้าไปเปิดโปรแกรมแชทอ่านแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าล็อกรหัสไว้ก็คงได้รู้กันทั้งโลกแน่ๆ

     


     

    ไม่ใช่ไม่อยากบอกนะว่าคบกับอี้ฟานแล้วหรือยังไง แต่ทำไมต้องอยากรู้ด้วยเล่า คิดบ้างมั้ยว่าก็เขินเป็นอายเป็น

     

     
















     

    “ไปแล้วนะครับแม่” ชานยอลที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย คว้ากระเป๋าใบเก่งมาสะพายก่อนจะรีบเดินตรงออกมายังประตูบ้าน ได้ยินเสียงฝ่าเท้าแม่ก้าวเร็วๆออกมาจากห้องครัวก็ต้องรีบใส่รองเท้า ให้ตายเถอะ ไม่น่าซักรองเท้าเลย ต้องมานั่งเสียเวลาร้อยเชือกอีก ทีเวลารีบๆล่ะช้าเหลือเกิน

     


     

    “จะไปไหนชานยอล~?” นั่นไง ในที่สุดคุณนายปาร์คก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงที่วางรองเท้าก่อนที่ลูกชายคนเล็กจะออกจากบ้านไป ชานยอลจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าแล้วหันไปส่งยิ้มให้กับมารดาที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ขยับเข้าไปกอดเอวบางอย่างเอาใจ กดจูบลงที่แก้มของคุณนายสองที

     

     

    “ไปติวหนังสือครับ วันนี้คยองซูกับแบคฮยอนนัดติว”

     

     

                    ชานยอลไม่ได้โกหกนะ ก็วันนี้คยองซูกับแบคฮยอนนัดติวจริงๆ อาทิตย์หน้าจะมีควิสกลางภาค และเค้าก็ยังไม่พร้อมที่จะสอบเลยสักนิด เลยต้องรบกวนให้เพื่อนตัวเล็กทั้งสองคนเจียดเวลามาช่วยทบทวนบทเรียนให้เค้าเป็นการพิเศษ คุณนายปาร์คหรี่ตามองลูกชายคนเล็กอย่างจับผิด ก่อนจะชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วส่งยิ้มพราว

     

     

                    “แล้วทำไมรถคันนั้นมาอีกแล้วล่ะ?” พยักเพยิดออกไปด้านนอกให้เห็นรถสปอร์ตคันเดิมที่คุ้นตากำลังจอดรออยู่ที่หน้าบ้าน คนหน้าหวานได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ อี้ฟานนะอี้ฟาน บอกแล้วว่าให้จอดที่หน้าปากซอยหมู่บ้านเดี๋ยวจะเดินออกไปเอง มาจอดรอที่หน้าบ้านแบบนี้พ่อแม่ก็รู้กันหมดน่ะสิ

     

     

                    “เอ่อ... เอาเป็นว่าผมไปก่อนนะครับ ไม่กินข้าวเย็นนะ บายครับ” ตัดบทจบการสนทนาเพียงแค่นั้นก่อนจะคว้ารองเท้าขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปนอกบ้านทั้งๆที่ใส่เพียงแค่ถุงเท้าสีขาวเท่านั้น

     

     

                    “เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิชานยอล! ลูกคนนี้หนิ!” คนที่ไล่ตามไม่ทันก็ได้แต่บ่นพึมพำอย่างขัดใจ ก่อนจะยกยิ้มแล้วหยิบมือถือที่ซ่อนไว้ในผ้ากันเปื้อนขึ้นมา กดโทรออกหาผู้เป็นสามีที่วันนี้ออกไปทำงาน

     

     

                    “คุณค่ะ สงสัยจะจริงจังแล้วล่ะ มารับอีกแล้วค่ะวันนี้”

     

     

                    เกิดมามีพ่อแม่ขี้เม้าท์... ต้องทำใจนะปาร์คชานยอล

     

     













     

                   

                    วิ่งหอบหิ้วรองเท้ามาถึงรถก็รีบเปิดประตูขึ้นไป คว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ตัวเองเรียบร้อยก่อนจะหันไปมองสารถีหน้าหล่อที่ยังคงส่งยิ้มมาให้ตนเองแบบเสมอต้นเสมอปลาย แต่พออี้ฟานเห็นว่าใบหน้าน่ารักนั้นบูดบึ้งเท่านั้นแหละ รอยยิ้มที่มีก็ค่อยๆหดหายลงไป เหลือเพียงหน้าหล่อๆที่เจี๋ยมเจี้ยมเท่านั้นที่มองกลับมา

     

     

                    “เมื่อคืนบอกว่ายังไงอี้ฟาน?”

     

     

                    “... ให้รอที่หน้าหมู่บ้าน” เหมือนเด็กน้อยเวลาโดนดุ อี้ฟานก้มหน้าลงก่อนจะตอบออกมาเบาๆ รู้ดีว่าตัวเองผิดคำสั่งของอีกคนแบบมหันต์ ไม่แปลกใจเลยที่ชานยอลจะโกรธแบบนี้

     

     

                    “ใช่” ชานยอลพูด “แล้วก็ขับเข้ามารอที่หน้าบ้านเนี่ยนะ ก็รู้อยู่ว่าตอนนี้พ่อกับแม่กำลังสงสัย”

     

     

                    “ก็เค้าไม่อยากให้ชยอลเดินออกไปเองหนิ” อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมาเถียง “จากบ้านชยอลกว่าจะเดินออกไปก็ตั้งไกล แถมมีหมาด้วย ถ้าเกิดชยอลโดนหมากัดจะทำยังไงอ่ะ?”

     


     

                    “...”

     


     

                    “ก็เค้าห่วงของเค้าอ่ะ”

     


     

                    เอาอีกล่ะ ชานยอลล่ะเกลียดจริงๆเลยเวลาที่อู๋อี้ฟานทำอย่างนี้ ไม่ว่าคนตัวสูงจะทำอะไรผิดมา และเค้าจะโกรธ จะโมโหมากแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วพออี้ฟานทำหน้าซึมๆเศร้าๆแล้วตอบกลับมาด้วยประโยคแบบนี้มันก็ไปบั่นทอนอารมณ์ขุ่นมัวของเค้าให้จางหายไปจนเกือบหมดเลย แย่ที่สุดเลยอู๋อี้ฟาน ทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ย

     


     

                    บรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่นี้หายไปทันทีเมื่อประโยคของอี้ฟานจบลง กลายเป็นบรรยากาศชมพูๆปนม่วงยังไงชอบกล ชานยอลเบี่ยงหน้าที่ตอนนี้ร้อนผ่าวเสียจนรู้สึกได้ออกไปมองด้านนอกแทน ฟันซี่เล็กขบกัดริมฝีปากตัวเอง อย่านะชานยอล หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ หยุดเดี๋ยวนี้!

     


     

                    อย่ายิ้มกับประโยคของหมอนั่นสิ ไอ้ปากไม่รักดี ~~~

     


     

                    “ขับไปได้แล้ว เดี๋ยวแม่ก็ออกมาดูหรอก”

     


     

    เมื่อกลั้นยิ้มได้สำเร็จ ก็ตีหน้านิ่งหันกลับมาหาอีกคน อี้ฟานที่เห็นว่าชานยอลยังทำหน้านิ่งไม่ยอมยิ้มเหมือนเดิมก็ห่อเหี่ยว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ ร่างสูงก้มหน้าก้มตาขับรถไปตามปกติ จากบ้านของชานยอลใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นักก็มาถึงมหาลัย ทันทีที่รถคันสวยมาจอดลงที่หน้าคณะ ชานยอลก็ปลดเบลท์เตรียมคว้ากระเป๋าลงไป แต่ฝ่ามืออุ่นที่ยื่นมารั้งแขนไว้ทำให้ต้องหันกลับมามอง

     


     

                    “ชยอลอย่าโกรธเค้านะ”

     


     

                    “...”

     


     

                    “เค้าไม่ทำแล้วก็ได้ ต่อไปนี้เค้ารอชานยอลที่หน้าหมู่บ้านก็ได้” เพราะเข้าใจว่าชานยอลคงจะเคืองมากจริงๆที่เค้าถือวิสาสะไปรับที่หน้าบ้านทั้งๆที่อีกคนก็กำชับไว้แล้วว่าห้ามไป ชานยอลกัดปากตัวเองกลั้นรอยยิ้มอีกครั้ง ให้ตายเถอะ อู๋อี้ฟานไม่รู้รึไงกันว่าเค้าก็แค่แกล้งเล่น นี่นั่งกลั้นยิ้มมาตลอดทางจนปวดแก้มไปหมดแล้วนะ

     


     

                    เวลากลั้นยิ้มนานๆ ตะคริวจะกินแก้มมั้ยอ่ะทุกคน?

     


     

                    “ตอนนี้อย่าเพิ่งไปฉันรับที่บ้าน”

     


     

    ชานยอลพูดเสียงเรียบแล้วเปิดประตูลงไปทันที อี้ฟานที่ได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยใจนิดๆ หันหน้ากลับไปจะขับรถต่อแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกจากด้านที่คนรักเพิ่งลงไปเมื่อครู่ กระจกบานใสเลื่อนลงเมื่อเจ้าของรถกดปุ่มให้ทำงาน ชานยอลยื่นใบหน้ากลับเข้ามาในรถ ก่อนจะเอ่ยบอกอะไรบางอย่างที่ทำให้ทั้งคนพูดและคนฟังยิ้มหน้าบานไปพร้อมๆกัน

     


     

                    “เอาไว้เปิดตัวก่อนนะ แล้วจะพาไปหาพ่อกับแม่”

     


     

                    “ครับผม~

     


     

                    ถ้าพูดขนาดนี้แล้ว ให้รออีกเป็นปีก็ย่อมได้ครับ~~

     

     












     

     

                    บรรยากาศในห้องสมุดเป็นไปด้วยความเงียบเชียบตามปกติ ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเสาร์แต่ก็ยังมีนิสิตนักศึกษาเข้ามาใช้บริการกันไม่ขาดสาย บ้างก็มาทำงาน บ้างก็มาค้นหาตำราเรียน บ้างก็มานั่งติวหนังสือเช่นเดียวกันกับพวกเค้าทั้งสามคน เพื่อความเป็นส่วนตัวและป้องกันเสียงการติวที่อาจจะดังไปรบกวนคนอื่นๆ ชานยอลแบคฮยอนและคยองซูจึงตัดสินใจที่จะเปิดห้องส่วนตัวและเข้าไปนั่งติวกันในนั้นแทนจะนั่งด้านนอก

     


     

                    เนื้อหาวิชาที่ต้องติวในวันนี้จริงๆก็ไม่ได้ยากมากนัก มีเพียงบทเรียนแค่บางส่วนที่ชานยอลตามไม่ทันเพราะต้องไปต่างจังหวัดกระทันหันเมื่ออาทิตย์ก่อน ไม่รวมถึงที่แอบหลับในคาบหรือมัวแต่นั่งเล่นเกมส์จนไม่ได้เรียนอีกนะ โชคดีที่คยองซูเป็นคนตั้งใจเรียนมาก เพื่อนตัวเล็กจดเล็คเชอร์ได้ครบทุกคำพูดของอาจารย์แทบไม่มีตกหล่นเลยสักนิด

     


     

                    “สุดยอดเลย ถ้าไม่ได้นายนี่ฉันตายแน่ๆเลยคยองซูอ่า” ขยับเข้าไปกอดเพื่อนร่างเล็กไว้อย่างแนบแน่น ถึงแม้จะเพิ่งมารู้จักกันตอนเข้ามหาลัย แต่คยองซูก้ดีกับเค้ามากเหลือเกิน เป็นคนน่ารักเป็นเพื่อนที่ดี ที่หาได้ยากยิ่งในสังคมมหาลัย

     


     

                    “โหย ขี้เว่อร์จริงๆ กูก็ติวให้ทำไมไม่เห็นจะชมกันบ้างเลย?” แบคฮยอนจีบปากจีบคอพูดด้วยความหมั่นไส้ ไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไรหรอกนะ ก็แค่เห็นเพื่อนสองคนกอดกันแล้วมันหมั่นไส้ขึ้นมาเท่านั้นแหละ ก่อนจะต้องร้องเสียงหลงเมื่อได้ฝ่ามือกว้างๆของชานยอลผลักเข้าให้ที่กลางหน้าผากเสียจนหงายเงิบไปด้านหลัง

     


     

                    “เงียบปากไปเถอะพยูน กูไม่เห็นว่ามึงจะทำอะไรไปมากกว่านั่งแชทกับเด็กในสต็อกเลย”

     


     

    อย่าถามว่าทำไมชานยอลถึงได้ใช้สรรพนามต่างกันระหว่างแบคฮยอนและคยองซู คือคยองซูน่ารักอ่ะ ดูเป็นเด็กตัวน้อยน่าทะนุถนอม ไม่ควรใช้คำหยาบคายด้วยอย่างมาก ชานยอลเลยเลือกที่จะใช้เพียงแค่ฉันกับนาย ส่วนแบคฮยอนน่ะเหรอ แบคฮยอนก็คือมนุษย์จำพวกเดียวกันกับเค้านั่นแหละ หยาบคายได้ เล่นหัวได้ สรรพนามที่ใช้ก็เลยหนีไม่พ้นภาษาพื้นบ้านแบบกูๆมึงๆเนี่ยแหละ

     


     

    “อย่าเรียกกูพยูนนะโยดา”

     


     

    “ทำไม จะทำไมพยูนแบคฮยอน”

     


     

    ชานยอลจะไม่เรียกอีกฝ่ายว่าพยูนเลยนะถ้าในกระเป๋าที่แบคฮยอนหอบหิ้วมาในห้องสมุดมันจะไม่อัดแน่นไปด้วยขนมขบเคี้ยวมากมายแบบนั้น จริงๆแล้วห้องสมุดห้ามเอาของกินหรือน้ำดื่มเข้ามา แต่ก็นั่นแหละ พยอนแบคฮยอนก็ซุกซ่อนเอาเข้ามาจนได้ เดี๋ยวก็เดือดร้อนหรอกถ้าเกิดมีบรรณารักษ์มาเดินตรวจตรา

     


     

    “ปั๊ดเดี๋ยวโบกหูกาง!

     


     

    “หยุดๆ เลิกตีกันเลยนะทั้งสองคน” เป็นคยองซูที่ต้องห้ามทัพระหว่างสัตว์น้ำกับอัศวินเจไดอีกครั้ง ให้ตายเถอะ ตีกันได้ทุกวี่ทุกวัน เห็นใจคนต้องมาคอยห้ามแบบเค้าบ้างมั้ย “ตีกันทุกวันเลยไม่เบื่อรึไง?”

     


     

    “ก็พยูนไม่ยอมอ่ะ” หันไปทำปากเบ้ฟ้องใส่คยองซู ฝ่ายคนที่ถูกเอาไปฟ้องก็ได้แต่ลอยหน้าลอยตาใส่ก่อนจะสวนมาด้วยประโยคนึงที่ทำเอาคนฟังถึงกับชะงักค้างไป

     


     

    “ก็ใครจะไปยอมมึงทุกอย่างเหมือนอู๋อี้ฟานคนดี คนมุ้งมิ้งคนนั้นล่ะ?”

     


     

    ปาร์คชานยอลเกลียดพยอนแบคฮยอนว่ะตลอดเลย แม่.งรู้ตลอดเลยว่าพอพูดถึงอี้ฟานทีไรแล้วชานยอลจะเงียบปาก เถียงต่อไม่ได้เพราะมัวแต่นั่งเขิน โอ้ย คือถึงเพื่อนๆจะรับรู้กันหมดแล้วว่าเค้ากับอี้ฟานเดือนสุดหล่อสุดมุ้งมิ้งแห่งคณะอักษรนั้นจะคบกัน แต่ก็อย่ามาแซวมากได้ป่ะ เขินนะเว้ย

     


     

    ก๊อก ก๊อก

     


     

    พูดถึงอี้ฟาน อี้ฟานก็มา เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมอง และปรากฏร่างสูงโปร่งของคนที่กำลังเป็นประเด็นเปิดประตูแล้วแทรกกายเข้ามา อี้ฟานเลิกคิ้วเมื่อเห็นทุกคนมองมาที่เค้าเป็นตาเดียว ขยับเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเลือกนั่งที่เก้าอี้ข้างๆชานยอลแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้ใส่ความออดอ้อนไว้เหมือนตอนที่พูดกับชานยอล

     


     

    “มีอะไรเหรอครับ?”

     


     

    “เปล๊า~” ขึ้นเสียงสูงคือตอแหลแน่แท้ ชานยอลได้แต่ถลึงตาใส่เพื่อนตัวแสบที่ส่งยิ้มยั่วมาตลอดเวลา แบคฮยอนไม่สะทกสะท้านกับตาโตที่ฉายแววขุ่นเคืองที่ถูกส่งมาหรอกนะ ร่างเล็กหันไปหาเพื่อนอีกคนที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆก่อนจะเอ่ยปาก “คยองซูไปซื้อขนมกับฉันดีกว่า จะได้มีพลังมาติวต่อ”

     


     

    “ไปด้วยดิ”

     


     

    ทำไมจะไม่รู้ว่าแบคฮยอนกำลังจะปล่อยให้เค้าอยู่กับอี้ฟานกันแค่สองคน แล้วมันก็จะคอยเก็บภาพบรรยากาศแล้วเอามาแซวทีหลัง ไม่มีทางหรอก ชานยอลผุดจะลุกแต่ก็ไม่ทันฝ่ามือพลังพยูนน้ำที่ดันมาให้เค้านั่งลงกับเก้าอี้เหมือนเดิมอยู่ดี แบคฮยอนกดไหล่เค้าไว้ด้วยมือสองข้างพร้อมกับยิ้มหวานที่มองยังไงชานยอลก็ว่ามันคือรอยยิ้มมารร้ายชัดๆ ก่อนจะหันไปพูดกับอี้ฟานที่นั่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ตรงนั้น

                   


                    “ฝากชานยอลแป๊บน้า เราไปซื้อขนมก่อนเดี๋ยวมา อี้ฟานเอาอะไรมั้ย?”

     


     

                    “ไม่เป็นไรครับ เรียบร้อยมาแล้ว”

     


     

    คนตัวสูงตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ แบคฮยอนพยักหน้ารับก่อนที่มือนึงจะคว้ากระเป๋าส่วนอีกมือก็คล้องแขนคยองซูให้เดินออกไปด้วยกัน ปิดประตูตามหลังดังปัง แล้วห้องก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง พออยู่ด้วยกันสองคนอีกครั้ง ชานยอลก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยเอื้อมไปหยิบจูปาจุ้บที่แบคฮยอนวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาแกะกิน พร้อมกับคว้าเลคเชอร์โน้ตที่กระจายเกลื่อนไว้ขึ้นมาอ่าน

     


     

    “เล่นบาสเป็นไงมั้ง?” ชานยอลเอ่ยถามเพราะรู้ดีว่าอีกคนหายไปไหนมา พอหลังจากที่อี้ฟานมาส่งชานยอลที่ห้องสมุด ร่างสูงเองก็มีนัดเล่นบาสกับเพื่อนในคณะวันนี้เหมือนกัน หายไปกว่าสามชั่วโมงอี้ฟานก็กลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เจ้าตัวเตรียมพร้อมไว้ในรถอยู่แล้วเผื่อต้องได้ใช้ อี้ฟานยกยิ้มละมุนให้อีกคนก่อนจะตอบ

     


     

    “สนุกดี วันนี้เค้าชนะทีมไอ้แฝดด้วยนะ ชนะตั้งหลายแต้มแน่ะ พวกมันสองคนก็เลยต้องเลี้ยวข้าววันพรุ่งนี้เพราะว่าแพ้เค้ากับอาเทา แล้วก็ตอนแข่งนะ...”  

     


     

    อี้ฟานพูดถึงเพื่อนในคณะที่เล่นบาสด้วยกันวันนี้ ซึ่งก็คือแฝดโซรยงแดรยงและฮวังจื่อเทานั่นเอง ร่างสูงเอ่ยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังโดยมีชานยอลพยักหน้ารับรู้ก่อนจะส่งจูปาจุ้บเข้าปากอีกครั้งและอีกครั้ง เค้าไม่ค่อยได้เจอเพื่อนของอี้ฟานมากเท่าไหร่หรอก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นอีกฝ่ายมากกว่าที่มาขลุกอยู่ที่คณะเค้า ทำตัวสิงคณะนิเทศจนทุกคนแทบจะคิดว่าเรียนคณะนี้แล้วด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่ชานยอลจะรู้จักเพื่อนของอีกฝ่ายเพียงแค่ชื่อผ่านการบอกเล่าของอี้ฟานเท่านั้น

     


     

    แล้วก็เงียบกันไปอีกครั้งเมื่อเรื่องเล่าจบลงและชานยอลคว้าสมุดของตัวเองขึ้นมาลอกเลคเชอร์ของคยองซูใส่ลงไป เค้าไม่อยากเอาชีทเพื่อนไปซีรอกส์เพราะรู้ดีว่าซีไปก็ไม่ค่อยได้อ่าน สู้เมื่อยมือตอนจดแต่เนื้อหาพอจะเข้าสมองบ้างก็ดีกว่า ทั้งปากและลิ้นก็ไล่เลียชิมรสของลูกกวาดสีหวานที่ถืออยู่เรื่อยๆ ตากลมกวาดมองไปทั่วชีทที่สรุปใจความสำคัญของวิชาเรียนไว้ก่อนจะจดบันทึกลง ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของคนมองอย่างอู๋อี้ฟานทั้งหมด

     


     

                    อู๋อี้ฟานว่าเค้ากำลังทำนิสัยไม่ดี พี่ริลัคคุมะต้องตีเค้าแน่ๆถ้ารู้ว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้

     


     

                ก็จะไม่ให้คิดได้ยังไง มองปากอิ่มๆของชานยอลที่เคลือบไปด้วยน้ำใสๆจากการกินจูปาจุ้บแบบนี้แล้ว...

     


     

                อี้ฟานรู้สึก... รู้สึกอยากจูบชานยอลจังเลยอ่า

     


     

                    และไม่ต้องผ่านการคิดนาน อี้ฟานเอ่ยปากถามทันที

     


     

                    “ชยอลอ่า~ เค้าขอโปะโปะชยอลจ๋าได้ป่าว?”

     


     

                    “แค่กๆ” เล่นเอาคนที่กำลังเอนจอยกับการกินและการลอกชีทเพื่อนอยู่นั้นถึงกับสำลักน้ำลายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำขอจากอีกคน ชานยอลตวัดตามองอีกคนอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่นัก ก่อนจะต้องรู้สึกอายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่ออี้ฟานยังคงจับจ้องมาที่ปากของเค้าแบบไม่วางตา

     


     

                    “โปะโปะบ้าบออะไรอู๋อี้ฟาน? ทำไมถึงมาขออะไรแบบนี้” โวยวายเสียงดังใส่ก่อนจะยกชีทของคยองซูขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้เหลือเพียงแค่ตากลมๆเท่านั้นที่โผล่ลอดออกมา คนที่ถูกโวยใส่เลยละสายตาขึ้นมามองสบตากับตากลมสวยคู่นั้นก่อนจะตอบ

     


     

                    “ก็เห็นปากชยอลแล้วเค้าอยากจูบอ่ะ ขอจูบไม่ได้เหรอ?”

     


     

                    “ไม่ได้!” สวนทันควัน ขยับเก้าอี้ถอยห่างอีกคนทันทีด้วยความไม่ไว้วางใจจนอี้ฟานต้องเบ้หน้า

     


     

                    ไอ้บ้า ไอ้อี้ฟานบ้า จู่ๆก็มาขออะไรแบบนี้กับเค้าได้ยังไง เออ ถึงมันจะไม่ใช่จูบแรกของเค้าก็เถอะ ชานยอลเสียจูบแรกไปตั้งแต่ตอนเรียนม.ต้นแล้วด้วยซ้ำมั้ง ก็ไม่ได้จะเขินอายอะไรแบบนางเอกในการ์ตูนตาหวานหรอก แต่คือแบบทำไมอีกคนถึงได้มาขออะไรหน้าด้านๆแบบนี้ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยไม่มีบิ้วท์เบิ้วอะไรทั้งนั้น อยากจูบก็ขอมันซะดื้อๆแบบนี้ คิดบ้างมั้ยว่าเขิน คิดบ้างมั้ยว่าอาย

     


     

                    ทำไมทุกคนทำเหมือนว่าชานยอลคนนี้เขินไม่เป็นอายไม่เป็นเลยวะครับ? -////-

     


     

                    “...จูบนิดเดียวก็ไม่ได้”

     


     

    บ่นกระปอดกระแปดไปตามภาษาก่อนจะทำหน้ามุ่ยตามสไตล์เวลาโดนขัดใจ อี้ฟานหันกลับไปยังโต๊ะเหมือนเดิม จัดการเก็บชีทที่เกลื่อนกลาดอยู่ด้านบนมาจัดเรียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพราะรู้ว่าชานยอลจะเลิกติวในไม่ช้านี้  คนตัวสูงที่พอได้รับคำปฏิเสธก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีกคนให้รำคาญใจอีก ถ้าชานยอลบอกว่าไม่ก็คือไม่ เค้าไม่กล้าไปทำแบบพระเอกละครไทยหรอกนะ จับปล้ำจับจูบอะไรแบบนั้น

     


     

                    อู๋อี้ฟานไม่ใช่คนเถื่อนแบบนั้นนะ

     


     

                แต่ถึงจะทำเหมือนว่าไม่เป็นไร แต่การแสดงออกทางสีหน้าของอี้ฟานก็ยังทำให้ชานยอลหงุดหงิดอยู่ดี คืออะไรวะ ทำไมฝ่ายโดนขอจูบอย่างเค้าต้องรู้สึกผิดด้วยอ่ะที่ไม่ให้อีกคนจูบ ไหนจะบ่นเล็กบ่นน้อยให้ได้ยินอยู่นั่นแหละ ชานยอลสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ขยับเก้าอี้เลื่อนเข้าไปใกล้ก่อนจะดึงอีกคนให้หันมาและ

     


     

                    กดจูบลงไปที่ริมฝีปากที่เบะออกด้วยความไม่พอใจนั้นแผ่วเบาโดยมีชีทหนึ่งแผ่นของคยองซูกั้นกลาง

     


     

                    และถึงแม้จะมีกระดาษกั้นไว้อยู่ แต่ทั้งคู่ก็ต่างรู้สึกได้ถึงไออุ่นและความนุ่มหยุ่นของกลีบปากที่ได้สัมผัสนั้นอย่างชัดเจน

     


     

                    “เอาไปแค่นี้ก่อน”

     


     

                    “...”

     


     

                    “ขอโปะโปะ ก็ให้แค่โปะโปะเนี่ยแหละ”

     


     

                    ชานยอลผิดตรงไหน? อู๋อี้ฟานขอโปะโปะหนิ ไม่ได้ขอคิสคิสสักหน่อยนะ~~~

     





































       



    ขอโปะโปะ ก็ได้แค่โปะโปะไปนะคะอู๋อี้ฟาน
    เผื่อใครงงนะ โปะโปะของเกาหลีก็เหมือนจุ๊บๆน่ะค่ะ
    ไม่ใช่แบบจูบจริงจังอะไรแบบนั้น เหมือนจุ๊บปากกับเด็กๆมากกว่า
    อู๋อี้ฟานเลือกใช้คำผิดคิดจนตัวตายนะคราวนี้

    ฟิคมาไวไปมั้ย 5555 อบร.แต่งเสร็จก็อัพเลยไม่ได้ปรูฟไม่ได้ดองอะไรทั้งสิ้น
    อ่านแล้วชอบใจอย่าลืมคอมเม้นท์หรือสครีมแท็กนะจ้ะ


    #ฟิคมุ้งมิ้ง

















     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×