คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : :: ตอนพิเศษ :: มุ้งมิ้ง The Baby
มุ้งมิ้ง The baby
“โอ้กก... แหวะ”
เสียงอาเจียนที่ดังมาให้ได้ยินจากภายในห้องน้ำ ทำเอาคนที่ยืนอยู่ด้านนอกอย่างอี้ฟานได้แต่หน้าเสียด้วยความกังวล จนกระทั่งได้ยินเสียงกดชักโครกดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่เปิดออก เผยให้เห็นร่างของอีกคนที่ค่อยๆเดินสะโหลสะเหลออกมาจากด้านใน ร่างสูงปราดเข้าไปรับร่างคนรักก่อนจะประคองให้มานั่งตรงเก้าอี้ในห้องครัว
“เค้าว่าชยอลจ๋าไปหาหมอดีกว่านะคะ ตื่นมาแหวะๆทุกเช้าแบบนี้จะอาทิตย์แล้วนะคะ” อี้ฟานว่า มือก็กุลีกุจอรินน้ำใส่แก้วให้อีกคนอื่มเพื่อล้างคอ สีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่...เอา” เสียงทุ้มหวานแหบแห้ง แถมยังแสบคอไปหมดเพราะที่ปล่อยออกไปเมื่อกี้มีแต่น้ำย่อยล้วนๆ ชานยอลรับแก้วน้ำมาดื่มพร้อมกับส่ายหน้าไปมายืนยันว่าจะไม่ยอมไปหาหมอ อี้ฟานได้แต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าในความดื้อไม่เข้าเรื่องของอีกคน
“แต่ชยอลจ๋าไม่สบายนะคะ เวียนหัวตลอดแบบนี้ อาการไม่ดีแล้วนะคะ”
“ก็บอกว่าไม่ไปไง... อุ๊บ... แหวะ!” ไม่ทันขาดคำดี คนที่นั่งดื่มน้ำอยู่ก็ลุกขึ้นปิดปากก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง คนตัวสูงก็ได้แต่วิ่งตามเข้าไป ลูบหลังลูบไหล่ให้พลางคิดถึงอาการป่วยของคนรักด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ชานยอลเป็นอะไรไปนะ?
“โอ่ย... แสบคอไปหมดแล้ว” อาเจียนจนหมดไส้หมดพุงแล้วก็แทบจะทิ้งตัวลงนอนในห้องน้ำ อี้ฟานจัดการพยุงอีกคนให้ลุกขึ้นก่อนจะประคองพาไปหยุดที่เคาน์เตอร์ล้างหน้า ดันร่างของชานยอลให้ขึ้นไปนั่งก่อนจะหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วเช็ดหน้าเช็ดตาให้อีกคนดีๆ เช็ดเสร็จเรียบร้อยก็วางผ้าลงก่อนจะเท้าแขนคร่อมตัวของชานยอลไว้แล้วมองสบใบหน้าหวานนิ่ง
“ไปหาหมอเถอะนะคะ เค้าเห็นชยอลจ๋าไม่สบายแบบนี้ เค้าไม่สบายใจเลย”
“ไม่เอา” นี่ก็ดื้อไม่ยอมไป “ไม่เป็นไรหรอกน้า ช่วงนี้แค่เครียดๆน่ะ สงสัยเครียดลงกระเพาะ”
เพราะเรียนอยู่ปีสี่แล้ว ความรับผิดชอบมันก็สูงขึ้นตามระดับชั้นปี ยิ่งใกล้จบมากเท่าไหร่ ทั้งกิจกรรม ทั้งโปรเจค ทั้งรายงานก็รุมเข้ามาไม่ได้หยุดหย่อน ไหนจะเป็นช่วงใกล้สอบมิดเทอมอีก บอกตรงๆเลยว่าตลอดเดือนเกือบสองเดือนที่ผ่านมานี้ชานยอลแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลยด้วยซ้ำ สมองก็มัวแต่คิดแต่เครียดเรื่องเรียน มันเลยส่งผลกระทบออกมาที่ร่างกายเค้าแบบนี้
“แต่ถ้าร่างกายไม่พร้อม เราก็เรียนก็ทำงานไม่ไหวนะคะ” อี้ฟานแย้ง เค้าไม่ชอบเลยจริงๆเวลาเห็นคนรักพยายามฝืนร่างกายตัวเองเพื่อทำงาน “ไปหาหมอดีกว่านะคะ อย่างน้อยถ้าเป็นแค่เครียดลงกระเพาะเค้าจะได้สบายใจไง จะได้ดูแลชยอลจ๋าได้ถูกด้วย สันนิษฐานเองแบบนี้ไม่ดีหรอกค่ะ”
ฝ่ายคนฟังได้ยินถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความใส่ใจและเป็นห่วงเป็นใยนั้นก็ได้แต่กัดปากนิ่ง ชานยอลไม่อยากไปหาหมอเพราะเค้ารู้สภาพร่างกายตัวเองดีว่ามันไม่ได้หนักหนาถึงขนาดนั้น แต่พอเห็นสีหน้าของอีกคนที่ดูจะเป็นกังวลมากจริงๆ สุดท้ายก็เลยต้องยอมพยักหน้าตกลงแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
“เอาไว้ถ้าอีกสองสามวันอาการไม่ดีขึ้นแล้วค่อยไปแล้วกัน”
“สรุปคือชานยอลอ้วกทุกเช้า? เวียนหัวแล้วก็ไม่มีแรง” จื่อเทาทวนคำพูดของเพื่อนที่มาบอกเล่าเก้าสิบให้ฟังถึงอาการของคนรักที่คบกันมาเกือบจะสี่ปีแล้ว อี้ฟานพยักหน้าก่อนจะเอนตัวใช้ข้อศอกท้าวไปยังที่นั่งด้านหลังบนอัฒจรรย์ที่พวกเค้ากำลังนั่งกันอยู่ ในมือมีขวดน้ำเกลือแร่ที่ถูกยกขึ้นดื่มก่อนเจ้าตัวจะพูดต่อ
“ชานยอลโคตรดื้อเลย บอกให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป นี่กูก็กังวล ไม่รู้ว่าจะเป็นลมล้มพับไปเมื่อไหร่รึเปล่า?”
“แต่อาการเมียมึงมันคุ้นๆนะเว้ยไอ้อู๋” โซรยงที่ยังคงยืนเล่นบาสอยู่กับแฝดพี่กล่าวขึ้น
“คุ้นยังไงวะไอ้แฝด?”
“อาการเหมือนพี่สาวกูตอนท้องยัยหนูเลยว่ะ” แดรยงเป็นฝ่ายตอบคำถามของจื่อเทาแทน
“หรือเมียมึงจะท้องวะอี้ฟาน?” หนึ่งในสองแฝดพูดโพล่งขึ้นมาเมื่อเพื่อนเดือนหน้าหล่อเอาปัญหาครอบครัว(?)มาปรึกษา อี้ฟานที่นั่งก้มหน้าก้มตาด้วยความเครียดถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนในทันที
ท้องงั้นเหรอ?
“เผื่อมึงจะลืมนะไอ้สองแฝด เมียอี้ฟานมันผู้ชายนะเว้ย” จื่อเทาเตือนความจำของเพื่อนที่ดูเหมือนจะออกนอกอ่าวไปไกล สองแฝดส่ายหน้าก่อนจะทิ้งลูกบาสไว้ตรงพื้นแล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งลงประกบอี้ฟานทั้งซ้ายทั้งขวา
“ก็ดูอาการดิ อ้วกทุกเช้า อ่อนเพลีย เวียนหัวไม่มีแรง... ชัดเลย ท้องชัดๆ” แฝดหนึ่ง
“วิวัฒนาการสมัยนี้แม่งก็ไปถึงไหนๆแล้วเปล่าวะ? ผู้ชายท้องได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกมั้ยมึง?”
“ถือว่าถูก มึงกับชานยอลก็อะไรๆกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว อาจจะฟลุ๊คโชคดีก็ได้นะเว้ย”
ยิ่งได้ฟังที่เพื่อนพูดโน้มน้าว จิตใจของคนฟังอย่างอี้ฟานก็เริ่มจะเอนเอียงไปตามคำพูดของสองแฝด ถึงแม้ใจหนึ่งจะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้เหมือนที่จื่อเทากำลังเอ่ยปากแย้งอยู่ในตอนนี้ ว่ากันตามหลักสรีระของผู้ชายแล้วชานยอลไม่มีทางท้องได้ หากแต่อาการของชานยอลมันก็แทบจะเป็นไปในด้านนั้นเสียแทบจะทุกอย่าง จะเป็นไปได้มั้ยที่มันจะมีปาฏิหารย์เกิดขึ้น พระเจ้าอาจจะเห็นใจในความรักของเค้าสองคนก็ได้นี่หน่า
“มึงลองตะล่อมๆชานยอลให้ตรวจดูดิ เผื่ออาจจะฟลุ๊คก็ได้นะมึง”
นั่นสินะ... ลองตรวจดูก็คงไม่เสียหายอะไร
แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดวางแผนว่าจะให้ชานยอลยอมตรวจยังไงต่อไปดี โทรศัพท์ที่วางไว้เพราะก่อนหน้านี้เล่นบาสกันก็สั่นครืดคราดขึ้นมา หน้าจอปรากฏโชว์เบอร์ที่ไม่คุ้นเคยทำเอาเจ้าของมือถือขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่มือก็กดรับก่อนจะยกขึ้นแนบหู
“ยอโบเซโย”
‘อี้ฟานเหรอ นี่แบคฮยอนนะ รีบมาคณะด่วนเลย!’ เสียงของแบคฮยอนที่ดูตื่นตระหนกตกใจลอดมาตามสายโทรศัพท์ทำเอาอี้ฟานถึงกับผุดลุกขึ้นยืน ก่อนที่เท้าทั้งสองข้างจะออกวิ่งไปยังคณะนิเทศอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินประโยคถัดมาจากเพื่อนสนิทของคนรัก
‘ชานยอลเป็นลม กำลังจะพาไปห้องพยาบาล’
“ไม่ต้องประคองขนาดนั้นหรอกน่า ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”
คนที่เพิ่งฟื้นจากอาการเป็นลมล้มพับไปในขณะที่กำลังทำงานกันอยู่ใต้ตึกคณะนั้นเอ่ยบอกกับคนตัวสูงที่เจ้ากี้เจ้าการจับประคองร่างกายเค้าเสียราวกับว่ามันจะผุพังหรือแตกสลายไปถ้าเกิดลงน้ำหนักแรงกว่านี้อีกสักนิด แต่ก็นั่นแหละ พอบ่นพอพูดไปแบบนั้นอี้ฟานก็เริ่มทำหน้างอ ก่อนจะตามมาด้วยประโยคบ่นที่ยาวเหยียด
“นี่ขนาดไม่เป็นอะไรยังเป็นลมขนาดนี้เลยนะคะ ไม่เอาแล้วนะชยอลจ๋า ไม่ดื้อกับเค้านะ ไปหาหมอกันเดี๋ยวนี้เลย ไปตรวจดูให้รู้กันไปเลยว่าชยอลจ๋าไม่สบายเป็นอะไรกันแน่?”
“ไม่เป็นอะไรหรอก อาการมันร้อน ก็แค่เพลียๆเลยเป็นลม”
“ทำไมชยอลจ๋าต้องดื้อคะ?” แทบจะเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่คบกันมา ที่อี้ฟานเป็นฝ่ายขึ้นเสียงใส่ชานยอล
“ฉันไม่ได้ดื้อ แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”
“หรือชยอลจ๋ารู้ว่าตัวเองเป็นอะไรแต่ไม่อยากบอกเค้ากันแน่”
กลายเป็นอย่างนั้นไป อี้ฟานชักจะเริ่มหงุดหงิด ไม่ว่าจะถามเท่าไหร่ หว่านล้อมให้ไปหาหมอเท่าไหร่ยังไงคนรักก็ไม่ยอมสักที อี้ฟานชักจะไม่เข้าใจแล้วนะว่าการไปหาหมอมันยากเย็นอะไรขนาดนั้น ทำไมชานยอลต้องดื้อ ทำไมชานยอลต้องดันทุรังในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ยกเว้นเสียแต่มีความลับอะไรบางอย่างที่บอกเค้าไม่ได้
“หรือว่าชยอลจ๋าท้องคะ?”
กึก!
ถึงกับหยุดยืนนิ่งเลยทีเดียวเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากอี้ฟาน ชานยอลกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะหันไปมองอีกคนที่ยังมองมาด้วยสีหน้าและสายตาที่จริงจังกว่าทุกๆคราว
“ตลกล่ะ ฉันเป็นผู้ชายนะ จะท้องได้ยังไง?”
“แต่อาการของชยอลจ๋าก็ตรงทุกอย่างเลยนี่น่า แหวะๆตอนเช้า เวียนหัว ไม่ค่อยมีแรง แถมเมื่อกี้ก็เป็นลมอีก”
“...”
“ไหนจะเดี๋ยวนี้ชยอลจ๋าไม่กินชาเขียวปั่นแล้วแต่หันมากินชามะนาว กินพวกของเปรี้ยวๆแทน แบบนี้จะให้เค้าคิดยังไงคะ?”
อี้ฟานพูด ไม่ใช่ว่าเค้าไม่สังเกตพฤติกรรมของอีกคนนะ เค้าสังเกตมาโดยตลอด หลังๆมานี่ชานยอลติดกินของที่มีรสชาติเปรี้ยว บางทีก็เปรี้ยวมากเสียจนเค้าไม่เข้าใจว่ากินลงไปได้ยังไงด้วยซ้ำ แต่เพราะชานยอลดูเอนจอยกับการกินอาหารรสชาติที่แปลกใหม่ไป เค้าก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ทุกๆอย่างมันดันมาประจวบเหมาะเอาตอนนี้ไง ตอนที่ถูกสองแฝดกล่อมมาว่าชานยอลต้องท้องแน่ๆนี่แหละ
“ฉันอาจจะแค่อยากกินรสชาติที่แปลกไปก็ได้” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ชานยอลก็อดไม่ได้ที่จะคิดเหมือนกัน ถึงจะบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นอะไรหรอก ก็แค่เครียดลงกระเพาะเลยมีอาการแบบนี้ ไหนจะเหนื่อยเพลียเพราะพักผ่อนน้อย แต่เรื่องการเปลี่ยนมากินของเปรี้ยวของดองนี่เค้าหาเหตุผลมารองรับไม่ได้เลยสักนิด
นี่ถ้ามีประจำเดือนแล้วประจำเดือนขาดนี่มั่นใจได้เลยว่าท้อง
“แล้วเรื่องที่แพ้ท้องทุกเช้านั่นล่ะคะ ชยอลจ๋าจะว่ายังไง?”
“นี่ทำไมถึงได้คิดว่าฉันท้องล่ะฮะอี้ฟาน? บอกว่าไม่ได้ท้องก็ไม่ได้ท้องสิ” ชานยอลเริ่มจะหงุดหงิดแล้วนะ เค้าเป็นผู้ชายนะไม่ใช่ผู้หญิง ต่อให้ทำเรื่องอย่างว่ากันบ่อยขนาดไหนมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมอี้ฟานถึงต้องมายัดเยียดเรื่องนี้ให้เค้ากัน
“ถ้าอย่างนั้นชยอลจ๋ากล้าตรวจมั้ยล่ะคะ? ไปหาหมอกันจะได้รู้ไปเลยว่าอะไรเป็นอะไร?”
อี้ฟานเอ่ยท้า ไม่ใช่ว่าเค้าโมโหหรือโกรธอะไรเลยท้าทายอีกคนแบบนี้ แต่เค้าแค่อยากได้ความมั่นใจ ตอนนี้ใจเกินกว่าครึ่งนึงของเค้าคือฟันธงไปแล้วว่าชานยอลกำลังมีเบบี๋ในท้องแน่ๆ แต่เค้าก็อยากไปตรวจดูให้มั่นใจ อี้ฟานไม่รู้หรอกว่ามันจะมีปาฏิหารย์หรือวิวัฒนาการสมัยใหม่มันก้าวไปถึงไหนกันแล้ว แต่สัญชาตญาณความเป็นพ่อที่มันเต้นอยู่ในอกตอนนี้มันทำให้เค้าเชื่อตามที่เพื่อนแฝดบอกมาจริงๆ
“ไม่ไป ให้ตายยังไงฉันก็ไม่ไปหาหมอ” สุดท้ายก็ไม่ยอมไปอยู่ดี ชานยอลดึงมือตัวเองที่ถูกอีกคนเกาะกุมไว้อยู่ออก ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทิ้งให้อี้ฟานยืนอยู่ตรงนั้นตามลำพัง
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกตลอดระเวลาที่คบกันมา เป็นครั้งแรกที่พวกเค้าสองคนเลือกที่จะปล่อยมือกัน เลือกที่จะทิ้งปัญหาไว้ให้มันคาราคาซังและเดินหนีกันแบบนี้
หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกจนเวลาล่วงเลยไปร่วมสัปดาห์ อาการคลื่นไส้อาเจียนในตอนเช้าหลังตื่นนอนของชานยอลยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน การชอบกินอาหารรสชาติเปรี้ยวกว่าปกติก็ยังคงอยู่ รวมไปถึงอาการอ่อนเพลียและเวียนหัวในบางครั้ง ชานยอลเลี่ยงที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับอี้ฟาน ฝ่ายคนตัวสูงเองก็ไม่รบเร้าให้อีกคนไปตรวจร่างกาย หากแต่ก็ปักใจเชื่อไปเรียบร้อยแล้วว่าคนรักหน้าหวานของตัวเองนั้น ตั้งท้องแล้วจริงๆ และนั่นยิ่งทำให้ชานยอลเครียดและกังวลมากกว่าเดิมเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอี้ฟานที่มีต่อเรื่องลูก ไม่ว่าจะเป็น
“ถ้ามีลูกจริงๆชยอลจ๋าว่าเค้าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ?”
หรือ
“เค้าจะออกมาหน้าเหมือนใครนะ ถ้าเหมือนชยอลจ๋านี่ต้องน่ารักมากแน่ๆเลย ก็ชยอลจ๋าน่ารักขนาดนี้นี่หน่าเนาะ”
หรือแม้กระทั่ง...
“ถ้าเกิดลูกคลอดแล้ว เค้ากะว่าเค้าจะเปลี่ยนรถแหละค่ะ รถสปอร์ตมันไม่เหมาะสำหรับเด็กอ่อนเพิ่งคลอด เค้าเริ่มดูๆรถแล้ว ชยอลจ๋าอยากได้ยี่ห้อไหนเป็นพิเศษมั้ย?”
ปัง!
หนังสือนิตยสารแฟชั่นวัยรุ่นในมือถูกวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟาอย่างแรง ก่อนที่คนที่ถูกเอ่ยถามเรื่องลูกจะผุดลุกขึ้นและก้าวเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว ประตูไม้บานหนาถูกปิดลงพร้อมกับเสียงกดล็อกกลอนประตูทำเอาคนที่เพิ่งเดินตามมาต้องนิ่งไป ชานยอลไม่เคยล็อกประตูกับเค้า ไม่เคยกีดกันเค้าออกมาจากชีวิตของชานยอล ขยับเข้าไปใกล้จะเคาะประตูเรียก แต่ว่าเสียงร้องไห้ผะแผ่วที่ได้ยินจากในห้องนอนทำเอามือเรียวที่กำลังจะวางลงไปบนประตูไม้ถึงกับชะงักค้าง
ชยอลจ๋าร้องไห้?
ก๊อก ก๊อก
“ชยอลจ๋า เปิดประตูหน่อยสิคะ”
ไม่มีคำตอบจากอีกฝั่งบานประตูหนึ่ง อี้ฟานตัดสินใจเคาะซ้ำอีกครั้ง
“เปิดประตูหน่อยนะคะคนดี ชยอลจ๋าเป็นอะไร?”
“...”
“มีอะไรก็บอกกันสิคะ นะ เรารักกันไม่ใช่เหรอคะชยอลจ๋า ทำไมเราไม่คุยกันดีๆล่ะคะ?”
สิ้นประโยคนั้นได้สักพัก เสียงปลดล็อกประตูก็ดังขึ้น อี้ฟานขยับเปิดออกกว้างแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านในของห้อง ภาพคนตัวบางที่ยืนจมูกแดงก่ำตาแดงช้ำอยู่ตรงนั้นทำเอาเค้ารู้สึกแย่มากๆ ขยับเข้าไปใกล้จะรั้งอีกคนมากอดปลอบ แต่ชานยอลก็ก้าวขาถอยออกห่าง ก่อนจะเงยขึ้นมาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“นายอยากมีลูกเหรออี้ฟาน?”
“หืม? ก็ต้องอยากสิคะ ทำไมจะไม่อยาก”
“แต่ฉันเป็นผู้ชาย...”
“ก็ตอนนี้...” ยังไม่ทันที่จะพูดให้จบประโยค คนที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียก่อน
“ฉันไม่ได้ท้อง! ฉันท้องไม่ได้เข้าใจมั้ย?!!”
“...”
“ทำไมนายถึงมาตั้งความหวังกับฉันแบบนี้ ฉันไม่สบายใช่ แต่ฉันไม่ได้ท้อง รู้มั้ยทุกครั้งที่นายพูดเรื่องลูกด้วยใบหน้าที่มีความสุขแบบนั้นน่ะฉันรู้สึกแย่มากแค่ไหน รู้มั้ยว่ามันกดดันมากแค่ไหนที่ต้องได้ยินนายพูดถึงแต่เรื่องลูกทุกวันแบบนี้”
“...”
“เพราะฉันเป็นผู้ชาย ฉันท้องไม่ได้ ฉันมีลูกให้นายไม่ได้ ต่อให้นายจะคาดหวังไว้มากแค่ไหนมันก็เป็นไปไม่ได้ เข้าใจมั้ยว่ามันเป็นไปไม่ได้!!!”
สิ้นประโยคนั้น ชานยอลก็ทรุดลงไปนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่กับพื้น มันกดดันมากนะที่ต้องถูกคาดหวังในเรื่องแบบนี้ อี้ฟานรักเด็ก ชอบเด็กทำไมเค้าจะไม่รู้ ร่างสูงเปรยกับเค้าอยู่บ่อยๆว่าถ้าเรียนจบแล้วจะไปขอเด็กมาเลี้ยง มาเป็นลูกของพวกเค้าสองคน สีหน้าของอี้ฟานตอนที่เห็นพี่ยูราตั้งท้องนั้นมันดีใจมากแค่ไหนทำไมเค้าจะไม่รู้สึก ที่ปฏิเสธไม่ยอมไปตรวจร่างกายก็เพราะเค้ารู้ดีว่าเค้าไม่มีทางท้อง แต่ยิ่งนับวันยิ่งอี้ฟานพูดเรื่องนี้บ่อยขึ้นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทิ่มแทงมากขึ้นเท่านั้น
คนที่ถูกระเบิดอารมณ์ใส่หน้าก็ได้แต่นิ่งเงียบไป ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นคนรักทรุดลงไปร้องไห้กับพื้น ตาคมก้มลงมองไหล่บางที่สั่นไหวเพราะแรงสะอื้น ค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ รั้งให้อีกคนเอนมาซบที่ไหล่ของตัวเอง ลูบหัวลูบไหล่ปลอบโยนอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาในใจจนอดไม่ได้ที่จะโมโหตัวเอง
“ชยอลจ๋า เค้าขอโทษนะคะ”
“...ฮึก...”
“เค้าขอโทษนะคะคนดี ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ” คำขอโทษถูกพร่ำบอกออกมาทุกครั้งที่กดจูบลงบนศีรษะทุยสวยนั้น กระชับกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เค้าขอโทษที่ทำให้ชยอลจ๋ารู้สึกแย่นะคะ เค้าขอโทษจริงๆ ชยอลจ๋าหยุดร้องไห้เถอะนะคะ เค้าจะร้องตามแล้วนะคนดี” น้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือไม่แพ้กันทำเอาชานยอลเงยหน้าขึ้นมาจากแผงอกกว้างที่ซุกซบอยู่ มือเรียวเอื้อมมาเช็ดน้ำตาที่เกาอยู่เต็มรอบขอบตาคู่สวยคู่นั้น ตาสองคู่ประสานจ้องมองกันท่ามกลางความเงียบ และก็เป็นอี้ฟานที่พูดออกมาก่อน
“เค้าขอโทษนะคะ เค้าไม่รู้จริงๆว่าเค้าทำให้ชยอลจ๋ารู้สึกไม่ดี เค้าขอโทษที่ตั้งความหวังมากไป มากจนลืมนึกถึงความเป็นจริง”
“...”
“ขอโทษที่เอาแต่นึกถึงความต้องการของตัวเองแล้วลืมนึกถึงความรู้สึกของชยอลจ๋านะคะ เค้าขอโทษนะ”
“พอแล้ว” ในที่สุดชานยอลก็เปิดปากพูดบ้าง “ไม่ต้องขอโทษแล้ว”
“ชยอลจ๋าโกรธเค้าใช่มั้ย? อยากตีเค้ามั้ย? ตีเค้าเลยนะถ้ามันจะทำให้ชยอลจ๋าหายโกรธ” คว้ามืออีกคนขึ้นมาหมายจะให้ทุบตีไปตามร่างกายของตัวเอง แต่ชานยอลก็รั้งมือไว้ได้ก่อนที่จะกระทบลงไปตามผิวกายของอีกคน ใบหน้าหวานส่ายไปมาก่อนจะตอบด้วยเสียงที่ยังติดสะอื้นอยู่
“ฉันไม่ได้โกรธนาย... ฉันแค่โกรธตัวเอง ฉันไม่ใช่ผู้หญิง ฉันมีลูกให้นายไม่ได้ ทุกครั้งที่นายพูดถึงลูกมันเลยทำให้ฉันคิดว่ามันคงจะดีกว่านี้ ดีสำหรับนายกว่านี้ถ้าฉันเป็นผู้หญิง”
“...”
“อาจจะดีกว่านี้ถ้านายคบคนอื่น...อื้อ!” ไม่ทันพูดจบ กลีบปากอิ่มก็โดนครอบครองด้วยอวัยวะเดียวกันจากคนตรงหน้า อี้ฟานกดจูบแนบแน่นจนมั่นใจว่าอีกคนจะไม่พูดอะไรออกมาต่อจากนี้แล้วจึงค่อยผละออก กระซิบเบาๆในขณะที่ยังคลอเคลียไม่ห่าง
“ไม่เอานะคะ ชู่วว..”
“...”
“จะไม่มีผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น จะไม่มีคนอื่นนอกจากชยอลจ๋านะคะรู้มั้ย ไม่มีลูกก็ไม่เป็นไร เราอยู่กันสองคนก็ได้นะคะ ชยอลจ๋าห้ามพูดแบบนี้อีก ห้ามคิดแบบนี้อีกนะคะ”
“แต่นายอยากให้ฉันไปตรวจ ไปหาหมอนี่น่า” แย้งเบาๆเมื่อนึกถึงตลอดเวลาที่ผ่านมาที่อีกคนเอาแต่คะยั้นคะยอให้เค้าไปหาหมอเพื่อตรวจเรื่องลูกจนเก็บเอามาคิดมาเครียดแบบนี้
“มันก็ใช่” อี้ฟานยอมรับแล้วพูดต่อ “แต่ทั้งหมดมันเพราะเค้าห่วงสุขภาพของชยอลจ๋ามากกว่านะคะ ชยอลจ๋าไม่สบายแบบนี้เค้าไม่ชอบเลย เค้าไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องกังวลอยู่ตลอดเวลาแบบนี้เลย เค้าอยากให้ชยอลจ๋าไปหาหมอ ไปตรวจดูให้เรียบร้อยว่าเป็นอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องลูกเรื่องเดียวนะคะ สุขภาพของชยอลจ๋าน่ะสำคัญกว่านะคะรู้มั้ย”
“...”
“ได้ลูกแต่ไม่มีแม่ก็ไม่เอาหรอกนะคะ ไม่มีชยอลจ๋าอยู่ เค้าก็ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้นแหละค่ะ ตลอดระยะเวลา 4 ปีนี่พิสูจน์ไม่พออีกเหรอคะว่าเค้ารักชยอลจ๋ามากแค่ไหน”
“พอสิ เกินพอด้วยซ้ำ” ชานยอลพูดพลางส่งยิ้มกว้างให้อีกคนพร้อมน้ำตา ก่อนที่มือเรียวจะยกขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองลวกๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะข้างหัวเตียง ค้นลิ้นชักกุกๆกักๆก่อนจะหยิบถุงสีขาวออกมาแล้วเอามายื่นให้อีกคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้น
“อะไรกันคะ?”
“ฉันไปหาหมอมาแล้วนะเมื่อสองสามวันก่อน สรุปว่าฉันเป็นโรคกระเพาะน่ะ แล้วก็ความดันโลหิตต่ำด้วยเลยเวียนหัวแล้วก็อ่อนเพลียบ่อย ไม่ได้ท้องอะไรทั้งนั้นแหละ” เพราะชานยอลไปหาหมอมาแล้วและรู้ว่าตัวเองไม่ได้ตั้งท้องอย่างที่อีกคนคิด พออี้ฟานมาพูดมาย้ำเรื่องท้องเข้าบ่อยๆมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ ความรู้สึกที่สะสมมาตลอดมันก็เลยมาระเบิดที่วันนี้ตู้มเดียวเลย
“แล้วที่กินของเปรี้ยวๆล่ะคะ?”
“อันนั้นก็ไม่รู้สิ แต่น่าจะติดกินมาจากแบคฮยอนน่ะ ช่วงนี้มันกินของพวกนี้บ่อย”
“สรุปก็คือไม่ได้ท้องจริงๆใช่มั้ยคะ?” ถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ ซึ่งก็ได้รับการพยักหน้าตอบกลับมาจากคนที่ยืนอยู่
“ใช่ไม่ได้ท้อง” ชานยอลพูดย้ำอีกครั้ง “นายโดนพวกสองแฝดนั่นปั่นหัวเข้าแล้วล่ะ”
ทำไมชานยอลจะไม่รู้ว่าใครที่มันเอาความคิดพิเรนท์ๆแบบนี้มาใส่หัวอี้ฟาน จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากแฝดสองโซรยงและแดรยงนั่น สองคนนี้น่ะชอบหาเรื่องมาให้พวกเค้าได้ไม่พ้นแต่ละวันเลยทีเดียวล่ะ ฝ่ายอี้ฟานที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่หมายมั่นปั้นมือในใจว่าเช้าวันจันทร์ที่ถึงนี้สงสัยคงต้องจัดข้าวซ้อมมือมื้อหนักๆให้พวกมันสองคนเสียแล้ว บังอาจมาปั่นหัวเค้า มาทำให้วุ่นวายสับสนจนต้องทะเลาะกันกับชานยอลเสียนี่
“นี่ ถึงฉันจะมีท้องไม่ได้ แต่เราก็มีลูกกันได้นี่หน่า” ชานยอลย่อตัวลงมานั่งตรงข้ามกับคนที่ยังคงวางแผนฆาตกรรมเพื่อนในหัวอยู่ อี้ฟานมองคนตรงหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างก่อนจะโคลงศีรษะอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เราก็เลี้ยงน้องหมากันไง เลี้ยงสองตัวก็ได้นะ ของฉันตัวนึงของนายตัวนึง”
“แล้ว... แล้วชยอลจ๋าจะให้ชื่อว่าอะไรล่ะคะ?”
“อืม” นิ่งคิดไปสักพักก่อนจะตอบออกมา
“ให้ชื่อตะอุ๋งกับตะฟ่านดีมั้ย? น่ารักมั้ย?”
“งื้อออ น่ารักที่สุดเลยค่ะ” อี้ฟานยกยิ้มกว้างเสียจนตากลายเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว “ชื่อหมาน่ารัก คนคิดชื่อน่ารักกว่าหมาอีก”
“ย๊า!! นี่เอาฉันไปเทียบกับหมาเหรอห๊ะ อู๋อี้ฟาน!!!”
“โอ๊ย อย่าตีค่ะอย่าตี ชยอลจ๋าอย่าตีหัวเค้า~~”
ความคิดเห็น