คนทีื่่ท้อแท้สิ้นหวังลองอ่านดูนะคะ - คนทีื่่ท้อแท้สิ้นหวังลองอ่านดูนะคะ นิยาย คนทีื่่ท้อแท้สิ้นหวังลองอ่านดูนะคะ : Dek-D.com - Writer

    คนทีื่่ท้อแท้สิ้นหวังลองอ่านดูนะคะ

    เคยคิดว่าตัวเองโชคไม่ดี เพราะพ่อแม่เลี้ยงดูมาแบบฝรั่งให้หาด้วยตัวเองตลอด พอได้มาอ่านแล้วถึงรู้ว่า พ่อแม่รักเรามากแค่ไหน

    ผู้เข้าชมรวม

    265

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    265

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 มิ.ย. 54 / 19:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เคยคิดว่าตัวเองโชคไม่ดี เพราะพ่อแม่เลี้ยงดูมาแบบฝรั่งให้หาด้วยตัวเองตลอด พอได้มาอ่านแล้วถึงรู้ว่า พ่อแม่รักเรามากแค่ไหน
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สมัยเรียนมหา'ลัย 

      เรียนใน กทม วันๆนึงผมต้องวางแผนว่า วันนี้จะขึ้นรถเมล์กี่บาืท กินข้าวกี่บาท กินข้าวมื้อไหนจะคุ้มที่สุด ส่วนใหญ่จะกินช่วงสายๆ ถึงบ่ายๆ ให้มันอิ่มยาวๆ ไปจนถึงเย็น แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นมาม่า บางทีน้ำก็ไม่ซื้อเพราะเอาขวดไปกรอกที่มหาลัย 
      ผมจะมีเงินใช้จ่ายโดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ100-200 ต่ออาทิตย์(แต่ไม่ได้จนตลอดนะครับ บางทีก็มีตังค์ 500 ต่ออาทิตย์   )

      ผมกู้เงินของรัฐบาลเรียน แค่ถึงงั้นก็ไม่ค่อยได้ใช้เอง เพราะที่บ้านลำบากมาก มีน้องอีก 2 คนกำลังเรียน ต้องส่งเงินไปช่วยบ้าง เหลือแค่พอใช้ประมาณ 
      1 พันต่อเดือน แต่ไม่รวมค่าหอนะครับ เพราะกั๊กไว้ต่างห่าง แต่ก็อีกนั่นแหละ บางเดือนก็จำเป็นจริงๆ ต้องส่งที่บ้านเกือบหมด ทั้งค่ากินค่าหอก็ไม่มีจะจ่าย
      พักอยู่หอกับเพื่อน เคยถูกไล่ออก เพราะไม่มีตังค์จ่ายค่าห้อง ระหกระเหินไป..

      หนังสือเรียนก็ไม่ค่อยได้ซื้อเพราะค่อนข้างแพง(text book) ส่วนใหญ่จะยืมเพื่อนจดส่วนที่สำคัญ หรือไม่ก็ยืมห้องสมุดยาวๆเป็นเทอม(คนต่อคิวคงด่าผมตาย) 

      ปกติเวลาเรากลับบ้าน เราจะได้ตังค์กลับมาใช้ใช่มั้ยครับ 
      ของผมกลับกัน..

      พอผมกลับบ้านดันไม่มีตังค์กลับมา กลับบ้านทีไรเสียวไส้ทุกที  
      ครั้งนึงตอนฝึกงาน กลับไปบ้าน กลับมาฝึกงานต่อไม่ได้เป็นอาทิตย์ ไม่มีตังค์กลับมา....
      จนอาทิตย์นึงได้กลับไปฝึกงานต่อ หัวหน้าเรียกไปถาม มีปัญหาอะไรก็ให้มาบอก
      ได้แต่ตอบ "ครับ" .. ครั้นจะให้บอกว่า "ไม่มีตังค์กลับมาครับพี่ " เหตุผลนี้มันก็สุดแสนจะห่วยแตก 

      พูดถึงบ้าน 
      จริงๆ เรียกว่าบ้านมันก็ไม่เหมาะเท่าไหร่  แถมก็ไม่ใช่บ้านเรา เป็นบ้านเช่า เวลากลับบ้านไปทีไรก็ใจหายทุกที เพราะกลับบ้านแต่ละครั้งจะเห็นของในบ้านหายไปตลอดครับ พูดง่ายๆ ก็คือที่บ้านขายของในบ้านกินนั่นแหละครับ

      ลองนึกภาพนะครับ คือในบ้านไม่มีอะไร..
      อย่านึกภาพสวยนะครับ ว่าไม่มีอะไรหมายถึงมีตู้บ้าง อะไรบ้าง แค่ไม่มีของวาง สวยงามเกินไปแล้วครับ... 

      คือแบบว่าไม่มีอะไรจริงๆ ไม่มี ตู้ ทีวี วีดีโอ ตู้เย็น เครื่องเสียง แทบจะไม่มีอะไรเลย มีชั้นวางเล็กๆ เก่าๆ อยู่นิดหน่อย จำได้ว่ามีเครื่องใช้ไฟฟ้าแค่ 3 อย่าง 
      1)หลอดไฟ 
      2)หม้อหุงข้าว
      3)เตารีด

      แบบว่าเปิดประตูบ้านปุ๊บ โล่งเลยครับ ทะลุเลยจากหน้าบ้านถึงหลังบ้าน ไม่มีอะไรขวางกั้น (หลังๆมามีคนสงสาร เลยเอาทีวี 14" มาให้ไว้ดู แต่เป็นแบบว่ากดเปลี่ยนดังแป๊กๆ น่ะครับ)

      จริงๆ รู้สึกแย่ทุกครั้งที่กลับบ้าน เห็นพ่อกับแม่เหนื่อยมากๆ ที่ต้องสู้ชีวิตในแต่ละวัน ที่บ้านบางทีก็ต้องกินข้าววัด อยู่กัน 5 คน ผมคิดว่ายังไงก็ลำบากกว่าผม 
      ผมอาจจะมีเงินติดตัว แค่อาทิตย์ละร้อย แต่ก็ซื้อข้าวกินได้บ้าง ในขณะที่บ้านบางทีก็ไม่มีเงินติดตัวเลย ก็คิดอยู่ว่าเค้าจะอยู่กันยังไง ผมไม่เสียใจเลยถ้าโดน
      ไล่ออกจากหอแล้วเค้าได้กินดีๆ

      ดึกๆ เคยนั่งเงียบๆ ดูแม่นอนหลับ..จู่ๆน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง รู้สึกเป็นห่วงจับใจจริงๆครับความรู้สึกนั้น  ห่วงว่าเค้าจะอยู่กันยังไง พรุ่งนี้จะกินอะไร

      ตั้งแต่โตขึ้นมา น้ำตาที่เสียไป มีแต่เรื่องที่บ้านจริงๆครับ

      เวลาปิดเทอมผมก็จะไปหาจ๊อบพิเศษทำ เคยไปเป็นคนงานติดหลอดไฟ ตามมหาลัย เคยทำงานร้านคอม เคยทำงานโรงแรม เคยแบบว่าหน้าด้าน 
      ขอทิปดื้อ แบบว่า make money สุดๆ 

      "จะไม่ให้ ทิปผมหน่อยหรอครับ " ถามแบบนี้เลยครับกับแขกที่มาพัก

      เคยโดนปิดประตูใส่เลยก็มี แต่คนไทยส่วนใหญ่ใจดีครับ แบบว่าหน้าด้านขอ ก็กล้าให้ ก็เจียดๆมา 20 บาท เป็นค่าทิป+ค่าหน้าด้าน หลายๆ คนรวมกันก็ได้เยอะอยู่ครับ

      ก็เป็นบ๋อยไป 3 เดือนช่วงปิดเทอม เงินให้ที่บ้านซะเกือบหมด แต่กั๊กไว้บางส่วน  ตัดสินใจเอาเงินส่วนนี้ไปซื้อแหวนทองให้แม่(แกชอบแหวนน่ะครับ) แล้วก็บอกแกไปว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าขายนะแม่ เพราะกว่าจะได้มามันลำบาก แล้วก็ตั้งใจซื้อให้..

      ให้หลังไม่น่าเกิน 3 เดือน..ไปแล้วครับ ขายเรียบร้อย ,ถึงจะรู้สึกแย่นิดๆ แต่ไม่ว่าอะไรครับ คิดว่าแม่คงจำเป็นจริงๆ


      พูดถึงเรื่องเงิน หลายๆครั้งที่ผมไม่พอใช้เลย ก็เลยต้องไปขอยืมเพื่อนเอา 
      ถ้ามีเพื่อน 10 คนผมก็เป็นหนี้มัน 10 คน ต้องขอบคุณพวกเมิงๆจริงๆ ที่ไม่เคยถามว่าจะเอาไปทำไร (จำไม่ได้แล้วด้วยสิ ว่ายืมใครมามั่ง ชักดาบละกันเพื่อน 555, ยังไงก็แล้วแต่ บุญคุณนี้ขอให้ส่งผลกับพวกเมิงทุกคน มีชีวิตและหน้าที่การงานก้าวหน้าครับผม)


      เหตุการณ์ครั้งนึงที่จำได้ไม่ลืมเลือน 
      วันธรรมดาๆวันนึงที่ผมต้องไปเรียน แต่ที่ไม่ธรรมดาเท่าไหร่ก็คือ ผมมีเงินติดตัวแค่ 1 บาท..1บาทจริงๆ ครับ และที่ไม่ธรรมดาไปกว่านั้น ผมไม่ได้กินข้าวมา 2 วันแล้ว กินน้ำอย่างเดียวมาตลอด ครั้งนี้ไม่กล้าไปขอยืมเพื่อน เพราะหนี้เก่าๆ ก็ยังไม่ได้ใช้เลย วันนั้นเลยต้องเดินไปเรียน (จริงๆก็ไม่ได้ไกลจากหอมากครับ) 
      ** ที่ทนอดข้าวเพราะว่าอีกสองวันเงินกู้เรียนก็ออกแล้วครับ

      แต่พอไม่ได้กินข้าวมา 2 วันแล้วเนี่ย โลกมันแบบมึนๆ แห้งๆ จริงๆ ครับบอกไม่ถูก เหมือนมันแห้งผากจากคอไปถึงข้างในเลย ผ่านไปได้ ครึ่งนึงของวัน 3..ไม่ไหวแล้วหล่ะครับ รู้สึกไม่มีแรงทำอะไรเลย ผมตัดสินใจ ใช้เงิน 1 บาทที่ว่า โทรหาแม่ ให้ช่วยหาเงินโอนมาให้ สัก 100 ก็ยังดี

      ตัดสินใจหยอดตู้โทรศัพท์ ต้องแข่งกับเวลาครับ โทรเข้ามือถือ(ข้างบ้าน) ผมคงมีเวลาพูดแค่ 10-20 วินาทีกับแม่

      ..แต่..ไม่ทันได้พูด หยอดเหรียญลงไป ..ไอตู้เวงดันกินเหรียญ กรรมจริงๆ - -

      จากมี 1 บาท กลายเป็น 0 แถมยังไม่มีข้าวกินต่อไป ...สิ้นหวังจริงๆครับ ตอนนั้น

      ..ผมจำได้ว่าเดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เดินคิดไปเรื่อยๆ ระหว่างข้ามสะพานเล็กๆตรงช่วงเข้ามหาลัย ผมภาวนาในใจ

      "ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ถ้าท่านย่าโมมีอยู่จริง ช่วยผมหน่อยได้ไหม ให้ผมได้เจอเงินสักหน่อยได้ไหม ขอแค่ข้าวสักมื้อ "
      (ประมาณนี้ครับ จำไม่ได้ทั้งหมดว่าภาวนาอะไรไปบ้าง แต่ที่นึกถึงท่านย่าโมคงเพราะเราคุ้นเคยตอนเด็ก)

      ระหว่างภาวนาในใจขณะที่ยังเดินข้ามสะพานเล็กๆนั้น ผมเดินก้มหน้าตั้งแต่ช่วงตีนสะพาน กวาดสายตามองหาเผื่อว่าจะเจอเศษเงินจริงๆตามที่ขอไว้..
      ผมเดินมาจนถึงกลางสะพาน ไม่อยากจะเชื่อเลยครับ! ผมเจอจริงๆครับ เจอเงิน 10 บาท,เป็นเหรียญ 10 

      ผมก้มลงเก็บ ยืนนิ่งๆ อึ้งๆ อยู่อย่างนั้นชั่วขณะหนึ่ง..

      ผมไม่รู้ว่านี่เรียกว่าปาฏิหาริย์ หรือเรื่องบังเอิญ ผมรู้สึกขอบคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณท่านย่าโม และขอบคุณใครสักคนที่ทำเงินตกไว้

      อย่างน้อยผมก็เชื่อว่าวันที่เรารู้สึกว่าชีวิตสิ้นหวัง หมดหนทาง ..ถึงวันนั้นคงมีใครสักคนมองเราอยู่ และเค้าคงคอยช่วยเราห่างๆ 

      10 บาท ไม่ได้มากมาย แต่ก็เพียงพอสำหรับ 1มื้อ ผมซื้อมาม่ากิน
      เพิ่งรู้ว่า ไม่ได้กินข้าวมา2 วันแล้วจู่เรามากินข้าวเนี่ย มันจะเจ็บคอจริงๆครับ กลืนไม่ค่อยลง 

      เหตุการณ์วนเวียน เป็นเช่นนี้เกือบตลอด ผมไม่ค่อยได้เล่าให้เพื่อนๆ หรือใครๆฟัง มีเพื่อนสนิทอยู่แค่คนสองคนที่รู้ แต่ผมก็เล่าเป็นเรื่องตลกไป อาจเป็นเพราะผมชิน คุ้นเคยกับมัน จนเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว


      ผมเรียนจบมา 5 ปีแล้ว วันนี้ไม่ได้ลำบากเหมือนก่อน ผมซื้อบ้านให้พ่อแม่อยู่ ซื้อของใช้ทุกอย่างในบ้านที่ควรจะมี ใช้หนี้ทุกอย่างให้แกจนหมด เหลือน้องคนเดียวที่ยังเรียนอยู่ ก็จะส่งเสียให้เรียนจนจบ ภาระก็อาจจะตกอยู่ที่เราคนเดียวทั้งหมด แต่ไม่เป็นไรครับ ผมรู้สึกมีความสุขจริงๆ ที่กลับบ้านวันนี้ แล้วเห็นทุกคนดู
      มีความสุข

      ++++++++++++++++++++++++
      ปล.ถึงทุกคนที่รู้สึกสิ้นหวัง ขอให้คุณเชื่อว่าคุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ถึงแม้รอบข้างจะไม่มีใคร แต่ผมเชื่อว่ามีใครสักคน ใครสักคนที่เป็นห่วงคุณ
      มองคุณจากที่ใดที่หนึ่ง เมื่อถึงเวลา เค้าจะช่วยคุณหาทางออกเอง และผ่านมันไปได้เสมอครับ

      ผมเชื่อเช่นนั้น ขอเป็นกำลังใจให้ครับ 

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×