ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 4 เที่ยวเมือง [2]

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 52


    บทที่ 4 เที่ยวเมือง

    [2]


                    รูซอนเป็นเมืองใหญ่ และเป็นศูนย์กลางการค้าของภาคเหนือ ตลาดของรูซอนจึงมีบริเวณกว้างขวางเป็นธรรมดา ภายในยังถูกแบ่งเป็นตลาดย่อยตามประเภทสินค้าที่ขาย และยังมีร้านค้าเก่าแก่ที่อยู่มานาน ซึ่งจะกระจายกันไปไม่ตั้งตามเขตประเภทที่กำหนดไว้ สำหรับผู้ที่เพิ่งมาเยือนเพียงไม่กี่ครั้ง การหาร้านเหล่านั้นก็ยากเอาการ มีคำกล่าวว่า ถ้าเดินตลาดที่รูซอนเป็นครั้งแรกต้องพกแผนที่มาด้วย มิเช่นนั้นอาจหลงเอาได้ โคเซฟก็เตือนไมอาเรื่องนี้แล้ว ทว่าเธอดูเหมือนจะไม่กังวลเลยสักนิด

                    ตอนแรกโคเซฟคิดในแง่ร้ายว่าตนจะต้องกลายเป็นเด็กถือของให้ไมอา และอาจถูกทับตายกลางกองของพวกนั้นได้ เขาจำการไปเดินตลาดครั้งล่าสุดกับพี่สาวทั้งสามได้ ครั้งนั้นไม่ต่างจากนรก ลูกสาวสุดรักสุดหวงของพ่อล้วนมือเติบ ซื้อของอย่างไม่มีบันยะบันยัง รู้ซึ้งเลยว่าทำไมคนใช้ของพี่ทั้งสามถึงมีสภาพไม่ต่างจากคนตายเมื่อต้องออกไปซื้อของข้างนอก

                    หากแต่การเดินตลาดกับไมอาไม่เหมือนอย่างที่เขาคิดไว้ ใช่ว่ามันจะสบายกว่า มันเป็นนรกอีกรูปแบบหนึ่งต่างหาก...

                    การเดินตลาดหรือ ‘ช็อปปิ้ง’ ของไมอาคือการเดินทรหด เธอเดินดูทุกร้านที่สนใจ สำรวจดูสินค้าทุกชนิดอย่างรวดเร็ว โดยที่โคเซฟแค่มองตามยังแทบไม่ทัน ทว่าเด็กหญิงกลับไม่ซื้ออะไรเลย เอาแต่ถามความเห็นเขาในฐานะลูกพ่อค้าอย่างเดียวว่าราคาของแต่ละอย่างสมควรเป็นอย่างไร แต่ละร้านที่เด็กหญิงเข้าก็แปลกนัก ทั้งร้านยาเอย ร้านสมุนไพรเอย ร้านขายผงและน้ำยาเวทมนตร์เอย ถึงจะอ้างว่าเป็นของขึ้นชื่อของรูซอนก็เถอะ แต่เด็กทั่วไปที่ไหนสนใจของพวกนี้กัน

                    ร้านที่ธรรมดาที่สุดและใช้เวลาเดินนานที่สุดเห็นจะเป็นร้านขายเสื้อ แต่นั่นก็ดึงดูดสายตาเขม่นมองของเจ้าของร้านด้วย โคเซฟจึงต้องซื้อผ้าคาดศีรษะสีขาวมาชิ้นหนึ่งไว้กันแรงอาฆาต ส่วนคนต้นเรื่องเดินปร๋อออกจากร้านโดยไม่คิดจะสนใจ สรุปแล้วไมอาเดินผ่านถนนทุกสายของย่านการค้า และลากโคเซฟกลับที่พักในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง หลังพระอาทิตย์ตกดินพอดิบพอดี

                    สิ่งสุดท้ายที่โคเซฟจำได้คือเขากล่าวราตรีสวัสดิ์กับไมอาอย่างโรยแรง พอหัวถึงหมอนก็ฟุบหลับไปทันที

                    เมื่อไมอาอยู่ในห้องพักตามลำพัง เธอก็เริ่มคิดวางแผนซื้อของในวันพรุ่งนี้ทันที ที่ไปเดินมาช่วงเย็นนี้ก็แค่เป็นการสำรวจตลาด เปรียบเทียบราคาของคุณภาพของสินค้าเท่านั้น พรุ่งนี้จึงจะเป็นการเดินซื้อของอย่างจริงจัง มิตินี้มีของน่าสนใจมากมาย เธอต้องซื้อมาลองใช้ให้หมด

                    หลังจากคิดรายการสินค้าที่ต้องซื้อ และหาเส้นทางเดินตลาดโดยใช้เวลาน้อยที่สุดเสร็จ ไมอาก็นึกถึงสินค้าที่ไปดูมาวันนี้แต่ไม่คิดจะซื้อ นั่นคือเสื้อผ้า ที่เธอไม่คิดจะซื้อเสื้อผ้าก็เพราะชุดที่เธอสวมใส่อยู่เป็นชุดพิเศษ ไม่ใช่พิเศษเพราะเวทมนตร์ แต่พิเศษเพราะเทคโนโลยี ชุดนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เธอได้มาจากมิติโลกอนาคต เธอเรียกมิตินั้นว่าโลกอนาคต เพราะเพื่อนในมิตินั้นบอกว่าเธอมาจากยุคที่คล้ายอดีตของโลกเขา

                    ชุดที่สามารถแปรรูปลักษณ์ไปตามที่ผู้สวมใส่จินตนาการ เป็นครบทุกอย่างในคราวเดียวตั้งแต่เสื้อ กางเกง กระโปรง รองเท้า หมวก เครื่องประดับ กระทั่งเครื่องประทินโฉมก็มี เธอสามารถสวมใส่ชุดนี้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องซักทำความสะอาด เนื่องจากระบบบางอย่างของชุดที่เธอเคยเข้าใจในตอนที่อยู่ที่โลกอนาคต แต่ตอนนี้กลับจำไม่ค่อยได้แล้ว ทว่าเธอจำได้ว่าเคยจดบันทึกไว้แล้ว หากต้องการทบทวนความจำที่ต้องทำก็แค่ย้อนกลับไปอ่านอีกครั้ง

                    เด็กหญิงผมสีน้ำตาลเข้มยืนส่องกระจกจินตนาการเสื้อผ้าให้ตัวเองไปเพลิน ๆ ตอนนี้เธอคงมีเสื้อผ้าเป็นร้อย ๆ แบบแล้ว เนื่องจากชุดพิเศษของเธอสามารถจดจำรูปแบบของชุดที่ผู้สวมจินตนาการได้ จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาจินตนาการอีกครั้ง และไม่ต้องกลัวว่ามันจะออกมาไม่เหมือนชุดก่อน

                    ในตอนแรกที่สอบถามเรื่องเครื่องแต่งกายจากโคเซฟก่อนออกเดินทาง ก็เพื่อจะมาจินตนาการชุดใส่นี่แหละ ชุดที่ใส่มาทั้งวันนี้ก็ไม่ได้ไปหามาจากที่อื่นใดหรอก ตอนนี้ปัญหาก็อยู่ที่จะบอกโคเซฟเรื่องที่มาของชุดพวกนี้อย่างไรดี เรื่องโกหกก็ไม่อยากโกหกโคเซฟอีก ถ้าเกิดรู้ความจริงขึ้นมาไม่รู้จะเป็นอย่างไร

                    ไมอานึกภาพโคเซฟกลิ้งขลุกอยู่กับพื้นดินแล้วก็อมยิ้ม... คนแบบโคเซฟต่อให้ทราบความลับของเธอไปก็คงไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ หรอก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะรู้ตัวนี่สิ... ทั้งที่เธอเองก็ทำตัวมีลับลมคมในอยู่ไม่น้อย ทว่าเด็กชายก็ยังคบหาอย่างสนิทใจ มองในอีกแง่นี่คงเป็นข้อดีของเขากระมัง

                    อย่างไรก็ตาม เด็กหญิงไม่คิดจะเที่ยวในมิตินี้นานนัก เธอยังมีภารกิจที่ต้องทำอยู่ คิดแล้วไมอาก็หยุดจิตนาการชุด หยิบเข็มทิศที่คล้องอยู่ขึ้นมาแทน เธอสำรวมสมาธิกำหนดเป้าหมายใหม่ ซึ่งก็คือ วิธีเดินทางข้ามไปยังอีกมิติ

                    เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ปลายเข็มแดงแหลม ก็ชี้ออกไปนอกหน้าต่างห้อง หากแต่ชั้นที่เธออยู่นี้ไม่สูงนักจึงมีตึกรามบ้านช่องบดบัง เจ้าของห้องเปิดหน้าต่างออก แล้วปีนอย่างคล่องแคล่วขึ้นไปบนหลังคา จากมุมนี้เห็นได้ชัดว่าเข็มทิศชี้ไปยังหอวิหารแห่งหนึ่ง วันนี้เธอเดินผ่านสถานที่นั้นถึงสองครั้งด้วยกัน แต่ยังไม่ได้เข้าไปสำรวจภายใน

                    ‘วิหารเทพจันทรา เป็นสถานที่สักการูบูชาเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ และที่พำนักของนักบวชชั้นสูง’

                    เด็กหญิงระลึกถึงคำพูดของเด็กชายที่ได้รับฟังมา...

                    ในเมื่อเป็นศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ ก็คงมีนักบวชที่มีเวทข้ามมิติพำนักอยู่ที่นั่น และคนผู้นั้นคงยังไม่รีบไปไหน ไว้พรุ่งนี้เธอซื้อของเสร็จแล้วค่อยไปดูอีกทีดีกว่า จะไปรบกวนขอความช่วยเหลือตอนกลางคืนคงไม่ดีนัก

                    ไมอากลับเข้ามาในห้อง แต่ก่อนจะนอนก็แวะไปโปรยผงสีทรายใส่โคเซฟอีกครั้ง คืนนี้เด็กชายหลับสนิทเพราะหมดพลังงานเช่นเคย ก็เธอลากเขาไปเดินทั่วเมืองทั้งเย็นเลยนี่

                    ขอบใจที่พาเดินเที่ยวเมืองนะเด็กน้อย...

                    เด็กหญิงยิ้มแย้มขณะวางแผนว่า จะแกล้งอะไรโคเซฟอีกดีในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะเข้านอนพร้อมแผนการแสนสนุกในหัว

    ----------------------


                    รุ่งขึ้น โคเซฟก็ต้องแปลกใจที่มีคนมาเคาะประตูห้องแต่เช้า

                    “อรุณสวัสดิ์ขอรับนายน้อย” เสียงกล่าวทักทายสำเนียงแปร่งหูดังขึ้นเมื่อเขาเปิดประตูออกมา

                    “ไมอา ? เธอไปทำอะไรมาเนี่ย ?” เด็กชายเบิกตามองเพื่อนร่วมทางที่มีลักษณะเปลี่ยนไปด้วยความตกใจ

                    ใบหน้าของเด็กหญิงปื้อนคราบมอมแมม ผิดวิสัยคนรักสะอาดที่บังคับให้เขาไปอาบน้ำเมื่อวานหลังกลิ้งกับพื้น จากชุดเก่าที่เขาว่าทะมัดทะแมงอยู่แล้ว เปลี่ยนเป็นสมบุกสมบันกว่าเดิม และเสียงที่พูดก็แปร่งนัก หากไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาคงคิดว่าเธอเป็นเด็กผู้ชาย

                    “นายน้อยรีบอาบน้ำดีกว่า เดี๋ยวเราต้องไปเดินตลาดกัน” ไมอาไม่ตอบคำถาม กลับออกคำสั่งเขา

                    “ฉันว่าเธอนั่นแหละที่ควรจะไปอาบน้ำ อธิบายมาก่อนสิว่าไปทำอะไรมา ? แล้วทำไมต้องเรียกฉันว่านายน้อยด้วย ?”

                    “โธ่เอ๊ย นายนี่บื้อจริง ๆ เลย ไม่เห็นหรือไงว่าฉันปลอมตัวอยู่” ครั้งนี้ไมอาพูดด้วยเสียงปกติของเธอ “ฉันจะเป็นเด็กรับใช้ ส่วนนายก็เป็นนายน้อยผู้ร่ำรวยไป”

                    “ปลอมตัว ?” โคเซฟยังคงงงงวย เมื่อวานนี้พวกเขาไปเดินทั่วย่านการค้าโดยไม่ปิดบัง เปิดเผยโดยทั่วแล้ว ทำไมไมอายังต้องปลอมตัวอีก

                    “ใช่ อย่าสงสัยมากนักเลยน่า รีบไปแต่งตัวได้แล้ว วันนี้เราต้องไปซื้อของให้ครบตามรายการพวกนี้นะ” ว่าแล้วเธอก็หยิบม้วนกระดาษแผ่นยาวมาคลี่ให้เขาดู

                    โคเซฟเห็นแล้วก็นึกสยอง เมื่อวานแค่เดินสำรวจราคาก็ทำเอาเขาแทบก้าวขาเดินไม่ไหวแล้ว วันนี้ยังมีกองสินค้ามโหฬารต้องหิ้วอีก ชะตากรรมคงหนีไม่พ้นตายอนาถเป็นแน่... ภาพหลอนของความตายชัดเจนขึ้นมาในหัวของเขา

                    เห็นโคเซฟยังยืนนิ่ง ไมอาก็เร่งอีกครั้ง “นายน้อยเร็วหน่อยเถอะ ขืนชักช้าจะกลับมากินข้าวเที่ยงไม่ทันนะขอรับ”

                    เด็กชายค่อยนึกได้ว่าถ้าเขารับบทเป็นเจ้านาย และเด็กหญิงเป็นเด็กรับใช้ คนที่ต้องถือของก็ต้องเป็นเธอสิ คิดอย่างนี้แล้วค่อยสบายใจ เด็กชายจึงกลับเข้าห้องไปอาบน้ำแต่งตัวตามคำสั่ง

                    โคเซฟไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้หลงเข้ามาอยู่ในเกมเล่นสนุกของไมอาเสียแล้ว

    สองนายบ่าวเดินซื้อของตามรายการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพวกยา และสมุนไพรต่าง ๆ ของทุกอย่างเมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้ว โคเซฟก็จะส่งให้ไมอาถือ เขากำลังคิดอยู่ว่าเธอจะกลายเป็นกองภูเขาสิ่งของเมื่อใด แต่ไม่ว่าจะหันไปกี่ครั้ง ซื้อของเพิ่มเท่าไหร่ก็ตาม เจ้าเด็กรับใช้ก็ยังเดินตัวปลิวถือถุงกระดาษเบา ๆ อยู่ไม่กี่ใบ จนโคเซฟเริ่มสงสัย

                    “เธอคงไม่ได้เอาของทุกอย่างที่ซื้อไปทิ้งข้างทางหรอกนะไมอา ?” เขาถามขึ้นมาเมื่อส่งหีบห่อสินค้าของร้านที่สิบที่มาเดินซื้อให้เด็กหญิง

                    “ทำไมต้องทำเช่นนั้นด้วยขอรับ ?” ไมอาในคราบเด็กรับใช้ถามด้วยสีหน้าใสซื่อ

                    “แล้วเธอเอาของพวกนั้นไปไว้ที่ไหนกันล่ะ ?”

                    “ในกระเป๋า...” เด็กหญิงตอบด้วยน้ำเสียงปกติเบา ๆ พร้อมรอยยิ้ม

                    โคเซฟสังเกตมองเป้สะพายหลังของไมอาก็เห็นว่ามันไม่ได้ตุง หรือขยายขนาดเพิ่มแม้แต่น้อย เมื่อเดินอยู่ในเส้นทางที่คนไม่มากนัก เด็กชายจึงถามขึ้นมาอีกครั้งว่า

                    “เธอเอาทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ในนั้น ?” โคเซฟชี้ไปที่กระเป๋าเป้สะพายหลังของไมอา

                    “มันเป็นวัตถุเวทมนตร์น่ะขอรับ” เด็กหญิงยังไม่เลิกเล่นละคร

                    “แล้วเธอไปมีของวิเศษขนาดนั้นได้อย่างไร ?” เด็กชายยังคงเซ้าซี้ต่อ เขาเคยได้ยินมาว่า พวกพ่อมดมักมีอุปกรณ์ประหลาด รูปลักษณะภายนอกดูเหมือนสิ่งของธรรมดา แต่ที่จริงแล้วทำมีความลึกลับซับซ้อนอยู่ในนั้น วัตถุเวทมนตร์หาใช่สิ่งของที่คนทั่วไปหามาครอบครองได้โดยง่าย

                    “เรื่องมันยาวน่ะขอรับ แล้วคำถามนั้นก็ฝ่าฝืนกฎด้วย ไม่ขอเล่านะขอรับ”

                    เมื่อหัวข้อสนทนาวกกลับมายังกฎข้อนั้น โคเซฟก็ได้แต่พับความสงสัยเก็บไว้ในใจ

                    สถานที่ต่อมาที่พวกเขาไปกันคือ ร้านขายน้ำยาและผงเวทมนตร์ ร้านที่ไมอาเลือกเข้านั้นมีจุดเด่นที่น่าสนใจคือกระจกหลายสีที่ติดที่หน้าต่าง ช่องหน้าต่างหนึ่ง ๆ จะมีสีเฉพาะที่แตกต่างกันไป

                    “ร้านนี้อยู่มานั้น ตั้งแต่สมัยที่เมืองรูซอนเพิ่งก่อตั้งขึ้นมา” เด็กชายชาวจินน์เริ่มต้นเล่า “แล้วพ่อมดคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของร้านในสมัยนั้นก็ค้นพบวิธีเก็บรักษาน้ำยาและผงเวทมนตร์ให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นโดยบังเอิญ เขาพบว่าแสงสีต่าง ๆ มีผลต่อเวทมนตร์แปรรูปแต่ละชนิดแตกต่างกัน ก็เลยสร้างห้องเก็บของที่มีหน้าต่างกระจกสีขึ้นมาไว้เก็บสินค้า และแนวคิดนี้ก็เป็นที่มาของการเก็บยาและสมุนไพรในห้องกระจกสีชาด้วย

                    “...แต่สมัยนี้เขาเปลี่ยนวิธีมาเก็บของพวกนั้นในขวดบรรจุเฉพาะสีแล้วละ คนซื้อไปใช้จะได้ไม่ต้องยุ่งยากสร้างห้องเก็บเฉพาะ” เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนอธิบายเสริม “ถึงอย่างไร ร้านทั้งหลายก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมเอาไว้ ร้านเหล่านี้ก็เลยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมไปในตัวด้วย”

                    ไมอาที่กำลังเดินหยิบสินค้าใส่ตะกร้าของร้านตามรายการก็รับฟังด้วยความสนใจ พอนานเข้าก็อดถามไม่ได้ว่า

                    “ทำไมนายน้อยถึงรู้เรื่องของรูซอนดีจัง ? นายน้อยเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกไม่ใช่หรือขอรับ ?”

                    “ก็เพิ่งมาครั้งแรกน่ะแหละ” โคเซฟเอามือลูบศีรษะ ยิ้มรับคำชม “พ่อฉันชอบบังคับให้ท่องหนังสือนี่นา พ่อมีแนวคิดว่าการจะค้าขายให้ได้ผลกำไรดีต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของคู่ค้าด้วย คู่ค้าต่างวัฒนธรรมที่สำคัญของจินน์ก็คือรูลน์ ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับรูลน์และเมืองท่าสำคัญต่าง ๆ ตั้งหลายเล่มก่อนมาที่นี่ ตอนแรกก็น่าเบื่ออยู่ แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ ก็สนุกดี”

                    “นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นายน้อยอยากออกผจญภัยสินะขอรับ ?”

                    “ก็มีส่วนเกี่ยวอยู่ไม่น้อยละนะ”

                    ระหว่างที่สองนายบ่าวปลอม ๆ เดินซื้อสินค้ากัน โคเซฟก็เผลอตอบคำถามของไมอาในลักษณะนี้ไปหลายครั้งด้วยกัน ลืมเสียสนิทว่าที่บอกไปนั้นเกี่ยวกับประวัติของเขาด้วย เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ในภายหลังเมื่อพูดจบไปเนิ่นนานแล้ว แต่เมื่อคิดดูอีกที เขาก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องปิดบังเธอนี่นา มีเพียงไมอาเท่านั้นไม่อยากเล่าถึงความเป็นมาของตน

                    พอดวงอาทิตย์ใกล้ตรงเหนือศีรษะ โคเซฟและไมอาก็ซื้อของตามรายการได้ครบเรียบร้อย ทั้งคู่รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแถวนั้น การเล่นสนุกของไมอาเริ่มต้นอีกครั้ง เด็กหญิงในคราบเด็กชายกินเอากินเอาอย่างไม่รู้จักอิ่ม แถมยังพร่ำพูดขอบคุณนายน้อยที่เลี้ยงอาหารในมื้อนี้ด้วยเสียงดังให้ได้ยินไปทั้งร้าน โคเซฟไม่รู้ไมอาจะมาไม้ไหน ก็ได้แต่เออออตามไป โต๊ะของพวกเขาเลยเป็นจุดสนใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งถ้าหากคนที่โต๊ะรอบข้างมองมา ก็คงเห็นพวกเขาเป็นนายน้อยใจดี กับเด็กรับใช้จอมเขมือบกำลังคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน

                    ตอนแรกโคเซฟคิดว่า ไมอาแค่อยากเล่นบทบาทสมมติตามประสาเด็กเฉย ๆ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเธอดูเหมือนจะเป็นจริงเป็นจังกับมันมาก พูดและทำทุกอย่างดั่งเด็กรับใช้แสนซนตลอดเวลา พอถามถึงเหตุผล เธอก็ตอบว่า

                    “ก็เพื่อนายน้อยไงขอรับ นายน้อยถูกพวกโจรลักพาตัวหมายตาไว้อยู่ โจรพวกนั้นคงไม่ทราบว่านายน้อยมีกระผมติดตามมาด้วย และตามหาเด็กชายชาวจินน์ที่เดินทางคนเดียวแทน”

                    โคเซฟฟังเหตุผลของเด็กหญิง ก็แย้งขึ้นว่า

                    “เมื่อพวกนั้นตามหาฉันอยู่ ก็ควรจะเป็นฉันที่ต้องปลอมตัวสิ”

                    “นายน้อยไม่มีอุปกรณ์ปลอมตัวนี่นา” ไมอาอ้างเหตุผล “และนายน้อยไม่เคยได้ยินหรือว่า เราต้องซ้อนแผนศัตรู ถ้ามันคิดว่าเราจะปลอมตัว เราก็ไม่ปลอมตัว นี่ละแผนการชั้นเลิศ”

                    เด็กชายฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดอยู่บ้าง กลวิธีที่ไมอาว่ามา หากนำไปใช้กับคู่ต่อสู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมถึงขั้นคิดแทนเราได้ ก็คงประสบความสำเร็จอยู่ แต่นี่ก็แค่พ่อค้าชาวจินน์ธรรมดาคงไม่คิดลึกซึ้งขนาดนั้นหรอก ทว่าเรื่องที่เขาไม่มีอุปกรณ์ปลอมตัวก็ถูกต้องทีเดียว

                    “แล้วเธอเอาเสื้อผ้าพวกนี้มาจากไหนกันล่ะ ?”

                    “เป็นความลับขอรับ” เด็กหญิงผู้ชอบทำตัวลึกลับก็ยังไม่ยอมเปิดเผยอะไรอยู่ดี

                    จากเหตุผลประหลาดแต่ก็มีน้ำหนักที่ฟังมาทั้งหมด โคเซฟก็สรุปเอาว่าไมอาแค่อยากเล่นสนุกอย่างมีสาระหน่อยเท่านั้นเอง เมื่อมองในมุมนี้แล้วเธอก็คล้ายเด็กหญิงธรรมดาทั่วไป

                    หลังทานมื้อกลางวันเสร็จ เด็กรับใช้ก็ชักชวนเจ้านายกลับที่พักไปพักผ่อนสักระยะ นายน้อยที่ถูกคนในอาณัติบังคับให้เดินตะลอนทั่วเมืองตลอดเช้าย่อมเห็นดีด้วยเป็นธรรมดา

                    ไมอากลับเข้ามาในห้องพักก็นั่งศึกษาวิธีใช้ และสรรพคุณของสิ่งของที่ซื้อมาในวันนี้...

                    มีสมุนไพรรักษาบาดแผลประเภทต่าง ๆ ยาสมานแผล ยาถอนพิษและยาแก้พิษ ...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันต่างกันอย่างไร แต่ในเมื่อฉลากมันเขียนต่างกัน เธอเลยเรียกต่างกันไปด้วย... ผงเวทมนตร์หลากชนิด ทั้งผงหลับใหล ผงฟื้นพลัง ผงพรางตา ผงมายา ผงเมฆหมอก ผงเปลี่ยนสี และอีกมากมาย

                    ไมอาเองก็ไม่ทราบว่าซื้อมาทำไมเยอะแยะนัก คงคล้ายโรคบ้าชอบซื้อของของพวกผู้หญิงกระมัง แต่ในกรณีของเธอของที่ซื้อนั้นแตกต่างออกไป

                    ในเมื่อลงทุนซื้อมาใช้แล้ว ก็ต้องหาโอกาสใช้ นั่นคือกฎหลัก เพราะของที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ ก็คือของไร้ค่า ไม่มีคุณประโยชน์ และการที่จะนำออกมาใช้นั้น ก็ต้องศึกษาคุณสมบัติ สรรพคุณ และวิธีใช้ให้ดีเสียก่อน จึงจะสามารถนำของเหล่านั้นออกมาใช้ในโอกาสที่เหมาะสม

                    ผงเวทมนตร์เป็นสิ่งที่พบเห็นทั่วไปในเกือบทุกมิติที่มีการใช้เวทมนตร์ประยุกต์ แม้ชื่อเรียกและรูปลักษณะอาจแตกต่างกันไป บ้างเป็นน้ำยา บ้างเป็นผง ไมอาเน้นพกพาผงเวทมนตร์เป็นหลัก จึงเรียกรวมกันว่าผงเวทมนตร์ไปเลย วิธีใช้งานและสรรพคุณของผงเวทมนตร์ของแต่ละมิติคล้ายคลึงกัน เธอจึงไม่ต้องศึกษามากนัก เพียงแค่ศึกษาฤทธิ์บางอย่างที่แตกต่างก็พอ

                    ราคาของสินค้าจำพวกนี้ขึ้นอยู่กับอิทธิฤทธิ์และระดับความรุนแรงของมัน ยิ่งฤทธิ์มากรุนแรงมากยิ่งแพงเข้าไปใหญ่ แต่ผงเวทมนตร์เหล่านี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์และมีจำเป็นต้องต่อกรกับพวกนักเวท ไมอาเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ดังนั้นไม่ว่าราคาจะแพงขนาดไหน ก็ต้องซื้อหามาพกติดตัวไว้บ้าง เผื่อในยามคับขัน

                    ยาต่าง ๆ มีฉลากประกอบการใช้งานอย่างละเอียดอยู่แล้ว จึงไม่ต้องจดจำมากนัก ที่ยากกว่าคือสมุนไพร เพราะแต่ละมิตินั้นมีสมุนไพรที่ไม่แทบจะไม่เหมือนกันเลย ชื่อเรียก รูปลักษณะ สรรพคุณ บางอย่างคล้ายกัน บางอย่างต่างกัน ไม่มีเกณฑ์เป็นมาตรฐานที่แน่นอน ดังนั้นไมอาจึงใช้เวลากับสิ่งนี้อยู่นาน กว่าจะจัดเก็บบรรจุ ทำฉลากให้ตัวเองเข้าใจ จดบันทึกต่าง ๆ ลงสมุดโน้ต เวลาก็ผ่านไปมากแล้ว

                    ที่เหลือก็แค่... หาทางไปจากมิตินี้เท่านั้น...

                    ไมอานึกถึงวิหารเทพจันทราที่เข็มทิศชี้ไป ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสม ถ้าไปที่นั่นแล้วก็คงต้องบอกลาโคเซฟ และคงไม่โชคดี พบกันโดยบังเอิญอีกแน่ เด็กชายเป็นเพื่อนที่ดี ทำให้การเดินเที่ยวเมืองของเธอสนุกมาก ครั้งนี้คงต้องหาวิธีกล่าวลาดี ๆ หน่อย

                    ไม่เคยทำได้ดีเลย การบอกลานี่...

                    แต่ก็... ยังมีเวลาเหลืออยู่นี่นา...

                    ไปดูก่อนว่าการเดินทางข้ามมิติของที่นี่มีเงื่อนไขพิเศษอะไรรออยู่หรือเปล่าดีกว่า...

                    เด็กหญิงตัดสินใจเสร็จก็เดินไปเคาะประตูเรียกโคเซฟที่อีกห้อง

                    “นายน้อยขอรับ ผมจะไปเดินเที่ยวเมืองนะขอรับ”

                    “ไปไหนอีกล่ะ ?” เสียงโคเซฟตอบกลับมา โดยที่ประตูยังไม่เปิดออก “เราไม่ได้เดินกันทั่วเมืองแล้วหรือ ?”

                    “ผมจะไปวิหารเทพจันทรา นายน้อยจะไปด้วยกันไหมขอรับ ?”

                    “...ไปสิ” โคเซฟเปิดประตูออกมา ตอนแรกเขานึกว่าไมอาจะไปซื้อของอีกครั้งเสียอีก ถ้าไปเที่ยวชมสถาปัตยกรรมละก็ เขาก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ได้พักผ่อนเพียงพอแล้วด้วย

                    เด็กชายชาวจินน์และเด็กหญิงจากต่างมิติจึงเดินทางไปวิหารเทพจันทราด้วยกัน โดยไม่ทราบว่ามีคนผู้หนึ่ง รอคอยพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว...

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×