ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 4 เที่ยวเมือง [1]

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 52


    บทที่ 4 เที่ยวเมือง

    [1]

                    เสียงกีบเท้าสัตว์กระทบพื้นอิฐดังขึ้นเรื่อย ๆ ฮารูสองตัวพร้อมเจ้านายวัยเยาว์จะมาหยุดอยู่ที่ลานโล่งบริเวณชานเมือง สถานที่แห่งนี้ใช้เป็นประชุมชนของย่านนี้ แต่เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีเหตุการณ์สำคัญใด ๆ จึงมีเพียงชาวเมืองสัญจรผ่านไปผ่านมาเท่านั้น

                    “คิดว่าคงหนีพ้นแล้วละนะ” เด็กชายเอามือลูบฮารูพาหนะอย่างอ่อนโยน เป็นการขอบคุณมันที่ช่วยเหลือ

                    ไมอาควบฮารูเข้ามาใกล้ “พวกพ่อค้าจากจินน์เจอตัวนายเข้าเหรอ ?” เธอถามแม้จะทราบคำตอบดีอยู่แล้ว

                    “อื้อ... ไม่นึกว่าพวกลุง ๆ จะแวะพักที่รูซอนนานขนาดนี้ อุตส่าห์หลบแล้วเชียว...”

                    โคเซฟกล่าวจบก็นึกทบทวนเหตุการณ์ ...เขาเรื่อยเปื่อยเถลไถลอยู่นอกเมืองตั้งหลายวัน ไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครออกตามหาเลยสักนิด แต่กลับถูกลุงเฮตเทฟเจอตัวในร้านอาหารท้องถิ่นเสียนี่ จะว่าเป็นความบังเอิญก็ไม่น่าใช่ ดูเหมือนลุงเฮตเทฟเตรียมตัวมาพร้อมสรรพเพื่อจับเขากลับไปโดยเฉพาะ คิดแล้วก็น่าสงสัยอยู่ว่าลุงเฮตเทฟรู้ที่อยู่ของเขาได้อย่างไร แล้วทำไมไมอาถึงไปอยู่ในโรงม้าได้ และถ้าเขาจำไม่ผิด พวกที่นั่งคุกเข่าอยู่นั่นเป็นคนงานในกองคาราวานด้วยนี่นา...

                    ทว่าก่อนโคเซฟจะเรียบเรียงความคิดและตั้งคำถามเสร็จ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ก็กล่าวขึ้นก่อนว่า

                    “นายนี่ดื้อจริง ๆ เลยนะ มีผู้ใหญ่มาตามกลับแล้วยังไม่ยอมกลับอีก แบบนี้ไม่ใช่นิสัยที่ดี รู้ไหม ?”

                    คำพูดประหนึ่งผู้มีอายุสูงกว่ากำลังตักเตือนเด็กเล็ก ๆ ของไมอา ทำให้โคเซฟฉุนขึ้นมาทันที

                    “อะไรกันเล่า ? เธอมาว่าฉันได้ไง ? ก็ขี่ฮารูมาด้วยกันแท้ ๆ นี่ อีกอย่าง...เธอไปทำอะไรในโรงฮารูนั่น ? รู้เรื่องของฉันได้อย่างไร ? แล้วพวกคนที่อยู่ในโรงม้ากับเธอเป็นใครกัน ?” เด็กชายยิงคำถามทั้งหมดรวดเดียวด้วยเสียงอันดัง

                    “ใจเย็นน่า ถามมากความเป็นผู้หญิงไปได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า เรามาทำความเข้าใจกัน ผลัดกันถามคนละคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา” ไมอายื่นข้อเสนอพลางบังคับฮารูให้เดินวนรอบลาน แสร้งว่ากำลังพาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่น ซึ่งที่ลานโล่งแห่งนี้ก็มีคนอื่นกำลังขี่ฮารูเล่นอยู่ก่อนหน้าพวกเขาแล้ว

                    “แน่นอนว่าห้ามถามประวัติเหมือนเดิม” เด็กหญิงย้ำ

                    ฮารูของโคเซฟก้าวเยาะ ๆ ตามมา “ได้ งั้นฉันเริ่ม...” โคเซฟยังไม่ทันพูด ‘ก่อน’ ไมอาก็ขัดขึ้นว่า

                    “ตามธรรมเนียมต้องสุภาพสตรีก่อนสิ” กล่าวจบ เธอก็ไม่รอช้าส่งคำถามมาทันที “เกิดอะไรขึ้นในร้านอาหาร ?”

                    ตามธรรมเนียมที่ไหนกัน ? ถ้าเป็นการเจรจากันฝ่ายที่ไม่ได้กำหนดกติกา ต้องมีสิทธิเลือกก่อนนี่นา...

                    โคเซฟเถียงในใจ แต่ยังก็ยอมเล่าวีรกรรมที่เพิ่งกระทำไปหยก ๆ ให้เด็กหญิงฟัง

                    “ลุงเฮตเทฟ - เพื่อนของพ่อที่มากับคาราวานด้วยน่ะ มาเจอฉันที่ร้านอาหาร มีคนคุ้มกันสินค้าหน้าตาน่ากลัวตามมาด้วย คงให้มาคุมไม่ให้ฉันหนีไปอีกนั่นแหละ ตอนแรกฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง ลุงเฮตเทฟและคนคุ้มกันปิดทางหนีหมดเลย แต่พอทบทวนรายการอาหารที่สั่งไปแล้วก็ได้แผนขึ้นมา เลยแกล้งนั่งซึม เออออไป ชวนลุงกินข้าว พูดเหมือนยอมแพ้แล้ว หลังกินเสร็จจะยอมกลับไปด้วยโดยดี ทำทีเป็นเสียดายของที่สั่งไปแล้วน่ะ

                    “พออาหารมาถึง ฉันก็ใส่เครื่องเทศรสเผ็ดลงไปเยอะแยะ หลอกถามลุงดูว่า รู้จักอาหารชนิดนี้ไหม แล้วก็อธิบายไปว่า นี่เป็นอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อของรูลน์ แต่ที่จินน์ไม่นิยมกันนักหรอก เพราะรสมันจัดจ้านเกินไป

                    “แล้วฉันก็ปาจานอาหารใส่หน้าลุง เปิดฝาขวดแล้วโยนเครื่องปรุงรสเหล่านั้นใส่คนคุ้มกัน ร้องป่าวประกาศว่า พวกนี้เป็นโจรลักพาตัวเด็กไปขายที่จินน์ แล้วรีบวิ่งหนีออกมา จนมาเจอเธอที่โรงม้านี่แหละ”

                    เมื่อเล่าจบ โคเซฟดูอารมณ์ดีขึ้น ไมอาคิดว่าเขาฉลาดที่รู้จักใช้สิ่งรอบตัวให้เป็นประโยชน์ แต่การลบหลู่ผู้อาวุโสกว่านั้นก็เกินไปหน่อย แต่อย่างไรนี่อาจเป็นเรื่องธรรมดาของมิตินี้ก็ได้

                    “เก่งนี่” เธอพูดเท่านั้น น้ำเสียงไม่ได้ฟังเหมือนชมจากใจจริงนัก หากแต่โคเซฟก็ไม่สนใจเช่นกัน เขาถามขึ้นบ้างว่า

                    “แล้วเธอไปทำอะไรในโรงฮารูนั่นล่ะ ?”

                    “ฉันเดินผ่านไปเห็นกลุ่มคนทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ ส่งเงินให้คนเฝ้าโรง แล้วซุบซิบอะไรบางอย่าง คิดว่าไม่น่าใช่พวกคนดี จึงแอบตามไปดู” ไมอาตอบรวบรัดตามจริง หากยังคงเว้นเรื่องที่ไม่อยากเล่าให้เขาฟังเอาไว้ เธอถามต่อทันทีว่า

                    “นายมีความแค้นอะไรกับพ่อหรือเฮตเทฟหรือเปล่า ?”

                    “ไหนเธอว่าห้ามถามเรื่องอดีตของแต่ละคนไง ?”

                    “ฉันถามเรื่องอดีตซะที่ไหนล่ะ ? ฉันถามปัจจุบันนี้ต่างหาก ถ้านายมีความแค้น ก็คือมีตอนนี้ ไม่ใช่มีในอดีต -- เอ้า ตอบมา”

                    โคเซฟอึ้งไปพักหนึ่ง พยายามหาทางแย้งเรื่องนี้แต่ก็หาไม่เจอ ความแค้นเกิดขึ้นในอดีตจริง แต่ถ้าเขายังเก็บความแค้นนั้นไว้ ก็คือมีความแค้นในตอนนี้ดังที่เธอว่า เขาจึงต้องตอบไปว่า

                    “ฉันไม่ได้แค้นอะไรพ่อ แค่เบื่อที่ต้องท่องหนังสือ นั่งคิดกำไรขาดทุน เตรียมตัวเป็นพ่อค้า เลยตั้งใจจะออกเดินทาง ถึงจะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง แต่คนเราควรหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ ? เกิดเป็นลูกพ่อค้าต้องเป็นพ่อค้าตามไปด้วยหรือ ? ฉันแค่อยากใช้ชีวิตในแบบของฉันเอง...ก็เท่านั้น”

                    เด็กหญิงได้ฟังก็คลี่ยิ้มมุมปาก โคเซฟอยากพิสูจน์ความเชื่อจึงออกเดินทาง

                    เด็กน้อยนี่ก็สมเป็นลูกผู้ชายอยู่บ้าง...

                    “แล้วเฮตเทฟล่ะ ?” คนถามยังไม่ลืมอีกคนที่ถามถึง

                    “ลุงเฮตเทฟไม่ค่อยถูกกับพ่อนัก เป็นคู่แข่งทางการค้ากันมาตลอด แต่พ่อฝากลุงให้ช่วยดูแลฉันระหว่างเดินทาง คงคิดว่าเจออะไรโหด ๆ คงช่วยให้ฉันเก่งขึ้นมั้ง ลุงก็คอยหาเรื่องจับผิดฉันตลอด สุดท้ายฉันทนไม่ไหวก็เลยตัดสินใจทำตามแผนที่วางไว้ หนีออกมาจากกองคาราวาน”

                    “ตาฉันตอบล่ะนะ”

                    “แต่ฉันยังไม่ได้...”

                    “คนเราควรหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบจะดีที่สุดไม่ใช่หรือ ?” เด็กหญิงแทรกขึ้นพร้อมรอยยิ้มพรายบนใบหน้า “ไม่ใช่ อาชีพที่ดีที่สุดของแต่ละคน พิจารณาจากสามปัจจัยคือ ทักษะความสามารถ ความชอบส่วนบุคคล และความต้องการของคนรอบข้าง ถ้ามีอาชีพเช่นนี้สำหรับนาย ก็จงทำมันเสียเถอะ”

                    คำตอบของคำถามที่ไม่ตั้งใจจะถามกลับเรียกให้เด็กชายคิด

                    การเดินทางออกผจญภัยเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ? ...

                    “แถมให้อีกคำถาม” ไมอากล่าวต่อ “เกิดเป็นลูกพ่อค้าต้องเป็นพ่อค้าตามไปด้วยหรือ ? ไม่ต้อง ถ้าหาสมดุลระหว่างสามปัจจัยนั้นไม่ได้ก็เป็นสิ่งที่นายอยากเป็นแหละดีแล้ว”

                    โคเซฟมองตาสีน้ำเงินเข้มของเด็กหญิง คราวนี้แม้จะคำของเธอจะเป็นเชิงสั่งสอนแต่เขาก็ไม่นึกโกรธ

                    “ขอบใจนะไมอา” เด็กชายส่งยิ้มให้จากใจจริง

                    “ขอบใจอะไร ฉันแค่ตอบคำถามของนายเฉย ๆ” ไมอายักไหล่ ก่อนถามต่อว่า “นายตั้งใจแน่วแน่จะออกเดินทางตามที่ฝัน ถึงแม้จะมีอุปสรรคยากเย็นเพียงไร ก็จะไม่หันหลังกลับใช่ไหม ?”

                    “ใช่แล้ว” เด็กชายยืนยันด้วยน้ำเสียงและแววตาสีน้ำตาลอำพันมุ่งมั่นดั่งเป็นคำสาบาน ชั่วขณะนั้นข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวเธอที่เคยคิดจะถามสลายหายไปสิ้น สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตัวเขาคือความตั้งใจแน่วแน่เท่านั้น

                    “ดี” ไมอาว่าสั้น ๆ “มีอะไรจะถามอีกไหม ?”

                    “...ไม่มีอะไรแล้วละ” โคเซฟตอบพลางยกมือขึ้นเกาหัว

                    ก่อนหน้านี้เหมือนเคยมีอยู่ แต่ตอนนี้นึกไม่ออกแล้วน่ะสิ...

                    “ฉันก็หมดคำถามแล้วเหมือนกัน” ไมอาตอบยิ้มแย้ม โคเซฟยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่ดี แกล้งให้ยินดีนิดหน่อยก็ลืมเรื่องที่เคยคิดจะทำแล้ว เธอเข้าใจดีว่าเด็กในวัยนี้เป็นเด็กเลือดร้อนไฟแรง ที่กระทำต่อเฮตเทฟก็พอมีเหตุจูงใจอยู่ สรุปแล้วโคเซฟก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

                    “แล้วจะเอาอย่างไรต่อดีล่ะ ?” เด็กชายถามความเห็น จากการสนทนาเมื่อครู่เขาพอเห็นแล้วว่าใครมีวุฒิภาวะมากกว่ากัน แม้ใจหนึ่งจะยังไม่อยากยอมรับว่าตนด้อยกว่าก็ตาม

                    “ก่อนอื่นก็ไปจากที่นี่ก่อน เรากับฮารูสองตัวนี่เดินวนอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ชาวเมืองจะผิดสังเกตเอา จากนั้นก็เอาฮารูไปขาย” ว่าจบไมอาก็ชักนำฮารูไปเส้นทางอื่น...ทางนั้นเป็นทางเข้าสู่ตัวเมือง

                    “ขายฮารูเหรอ ? แต่ฉันคิดจะใช้มันในการเดินทางนะ” โคเซฟประท้วง หากยังบังคับฮารูติดตามไป

                    “ฮารูสองตัวนี้มาจากเกวียนสินค้า ถ้าลุงเฮตเทฟของนายจะตามหานายในรูซอนก็คงหาจากฮารูเป็นอันดับแรก พอจะออกจากเมืองค่อยซื้อใหม่ก็ได้”

                    โคเซฟรับฟังแล้วก็เห็นด้วย แต่ก็ยังสงสัยบางจุดจึงถามขึ้นว่า “เราจะอยู่ในรูซอนกันต่อเหรอ ? ฉันคิดว่าจะหนีไปนอกเมือง”

                    “นายอยากหนีออกนอกเมืองก็ไปสิ ฉันจะอยู่ในเมืองต่อ พวกนั้นไม่ได้ต้องการตัวฉันสักหน่อย แล้วฉันก็ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะเดินทางไปกับนาย” ไมอากลับมาเป็นอย่างเดิมอีกครั้ง

                    “น่า... ไมอาก็” โคเซฟโอดครวญ “เดินทางไปด้วยกันก็ไม่เสียหายอะไรสักหน่อย ฉันยอมอยู่ในรูซอนต่อก็ได้”

                    “ถ้าอย่างนั้น... เราต้องรักษากฎเหมือนเดิม”

                    “ได้สิ” โคเซฟยอมรับโดยดุษฎี ถ้าห้ามความอยากรู้อยากเห็นได้ การรักษากฎก็ไม่ยากเย็นอะไร

                    “และ...” เด็กหญิงพูดค้างไว้ ราวกับกำลังคิดว่าจะตั้งเงื่อนไขอะไรเพิ่มเติมอีก

                    “อะไรเหรอ ?” โคเซฟถามเสียงหวั่น ๆ คงไม่ใช่ข้อห้ามมหาโหดหรอกนะ

                    “...นายต้องพาฉันเที่ยวเมือง” ไมอาต่อให้จบด้วยเสียงเรียบซ่อนอารมณ์เอาไว้

                    เป็นไมอาคนเดิมจริง ๆ ด้วยแฮะ...

                    “ได้อยู่แล้ว” เสียงตอบรับนั้นเปี่ยมไปด้วยความยินดี

    ----------------------

                    หลังจากต่อรองราคาม้าเสร็จเรียบร้อย ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ แล้ว ไมอาที่ยังไม่ได้ลองชิมอาหารของรูซอนเลยบังคับให้โคเซฟพาไปร้านอร่อย ๆ ทั้งสองตัดสินใจใช้บริการร้านเล็ก ๆ แต่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองแห่งหนึ่ง

                    บรรยากาศภายในร้านอบอุ่นเป็นกันเองดี ไมอาจำต้องปล่อยให้โคเซฟรับหน้าที่สั่งอาหาร เพราะเธอไม่รู้จักสักรายการ แต่เมื่ออาหารทั้งหมดผ่านลิ้นเธอแล้ว เด็กหญิงก็ต้องยอมรับว่ารสนิยมของเด็กชายไม่เลวเลยทีเดียว หรือไม่เช่นนั้น ร้านนี้ก็ทำอาหารได้อร่อยมาก

                    โคเซฟเห็นไมอาตักอาหารกินอย่างเรียบร้อย แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ ก็เริ่มหวั่น ๆ เขาเตรียมเงินสำหรับเดินทางไว้พอใช้คนเดียวระยะหนึ่งเท่านั้น ยิ่งตอนนี้ไม่มีสินค้าไว้ขายแล้วด้วย แต่ละมื้อที่เขาคำนวณไว้ก็ไม่ได้มีอาหารมากขนาดนี้ ทว่าพอเห็นไมอากินอย่างมีความสุขเช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่อาจเอ่ยขัดได้

                    “มีอะไรเหรอ โคเซฟ ? ทำไมไม่กินล่ะ ? อร่อยนะ” ไมอาเห็นเด็กชายไม่ค่อยแตะอาหารก็ผิดสังเกต เธอตักอาหารเข้ามาอีกคำ สีหน้าราวกับได้ลิ้มรสทิพย์ช่วยยืนยันคำพูดได้เป็นอย่างดี

                    “ไม่ละ ฉันไม่ค่อยหิว ตอนกลางวันฉันกินมานิดหน่อยแล้ว” โคเซฟปฏิเสธอย่างสุภาพ อย่างน้อยมื้อนั้นเขาก็ไม่ได้จ่ายละนะ

                    “เป็นเด็กกำลังโตต้องกินเยอะ ๆ สิ” เด็กหญิงไม่ว่าเปล่า ตักกับใส่จานเขาอีก

                    เพราะเธอเป็นเด็กกำลังโตใช่ไหม ถึงกินเยอะขนาดนี้ ?

                    เด็กชายที่มองยังไงก็สูงอายุกว่าแต่กลับถูกปฏิบัติอย่างกับเด็กเล็กได้แต่คิดในใจ ไม่ได้พูดออกมา

                    แล้วไม่นานนักอาหารทุกอย่างก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ โคเซฟต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อไมอาบอกว่าจะออกค่าอาหารด้วยครึ่งหนึ่ง แม้จะกินไปเกินกว่าครึ่ง ดูท่าทางเธอคงมีเงินติดตัวอยู่เยอะพอสมควร

                    ตอนชำระเงินโคเซฟสังเกตเห็นป้ายโฆษณาของที่นี่ว่ามีห้องพักให้เช่าเป็นรายวันด้วย สอบถามดูก็ทราบว่ายังมีห้องว่างเหลืออยู่สามห้อง โคเซฟจึงชวนไมอาพักที่นี่ไปเลย ทั้งคู่จองคนละห้อง เท่านี้ก็ไม่ต้องหาเดือดร้อนเรื่องที่พักแล้ว

                    “ไปไหนกันต่อดี ?” โคเซฟถามคนอยากเที่ยว ยังเหลือเวลาประมาณสองชั่วโมงเศษก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน

                    “ช็อปปิ้ง” ไมอาตอบโดยไม่เสียเวลาคิด แต่เมื่อเห็นเด็กชายทำหน้าฉงน เธอก็รู้เลยว่าเครื่องแปลภาษาทำงานบกพร่อง

                    “ช็อปปิ้งก็เดินตลาดไง” เด็กหญิงอธิบายพลางเดินนำออกจากร้านไป

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×