ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 3 สู่รูซอน [1]

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 52


    บทที่ 3 สู่รูซอน

    [1]

     



                    เกวียนสินค้าวิ่งเรื่อยด้วยความเร็วที่ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป เด็กชายเป็นผู้บังคับเกวียน ผมสีทองที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วของเขาสะท้อนประกายแดดเจิดจ้า... คงดูดีอยู่ หากมันไม่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม ด้วยแรงลมที่พัดโกรกตลอดทาง

                    เด็กหญิงผมสีน้ำตาลตัดสั้นในชุดทะมัดทะแมงนั่งอยู่ข้าง ๆ เด็กชาย เมื่อตอนเช้าเธอได้สอบถามเขาถึงลักษณะเครื่องแต่งกายของรูลน์ หลังจากหายเข้าไปในกระโจมพักหนึ่ง เธอก็กลับออกมาพร้อมชุดที่สวมอยู่นี้ เขาลงความเห็นว่ามันทำให้เธอคล้ายผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เธอได้ยินดังนั้นก็เพียงยิ้มเล็กน้อย ไม่คิดจะเปลี่ยนเป็นชุดอื่น ทั้งยังปฏิเสธข้อเสนอของเขาที่จะให้ยืมเครื่องแต่งกายด้วย

                    แม้จะสงสัยว่าไมอาเอาเสื้อผ้าพวกนั้นมาจากไหน สัมภาระของเธอก็ไม่มีอะไรนอกจากเป้เพียงใบเดียว แต่เมื่อนึกถึงกฎที่ตั้งเอาไว้ โคเซฟก็ไม่ปริปากถาม เก็บงำความสงสัยไว้ในใจเท่านั้น...

                    การเดินทางช่วงแรกเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อเทียบกับความยากลำบากก่อนที่มันจะเริ่มต้น แม้เด็กหญิงจะเป็นคนเอ่ยปากเองก็ตามว่าจะเดินทางไปด้วยกันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องการแยกตัวไป แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นเกวียน คนพูดก็เหมือนจะเปลี่ยนใจ ไม่อยากร่วมทางกับเขาแล้ว

                    แค่เหตุผลที่ว่าเมืองรูซอนเป็นทางผ่านของเขาอยู่แล้วยังไม่มากพอสำหรับเธอ โคเซฟต้องชักแม่น้ำยูฟากาและติติกะมาโน้มน้าวกว่าจะทำให้ไมอายอมร่วมทางกับเขา แน่นอนว่าไมอาไม่รู้จักทั้งแม่น้ำและสำนวน ทว่าหลังจากฟังเด็กชายพรรณนาความงามของสองสายนทีที่มาบรรจบกันที่เมืองรูซอนแล้ว ก็ทำให้เธอคิดอยากเดินทางไปให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้นกว่าเดิม เลยตัดสินใจไปกับเขาด้วย...

                    เจ้าม้ามีเขาวิ่งได้เร็วยิ่งนัก ไมอาสงสัยว่าเจ้านี่คือตัวอะไรกันแน่แต่ก็ยังไม่กล้าถามคำถามแสดงความไม่รู้ออกไป เธอได้ยินโคเซฟเรียกมันว่า ‘ฮารู’ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อชนิดพันธุ์ หรือชื่อที่เขาตั้งให้สัตว์พาหนะเอง ฮารูตัวใหญ่และแข็งแรงกว่าม้าที่ไมอารู้จัก เกวียนของโคเซฟใช้ฮารูเทียมตั้งสองตัว วิ่งได้ฉิวทีเดียว

                    ถนนก้อนกรวดสายแคบ ๆ มุ่งออกจากทะเลสาบ มาบรรจบกับถนนที่กว้างขึ้นตามลำดับ เด็กชายฮัมเพลงเบา ๆ ขณะบังคับฮารู เด็กหญิงนั่งเงียบรับฟังไปสักพักก็รู้สึกเพลิดเพลินอยู่ไม่น้อย

    หิมะขาวโปรยพลิ้วริ้วทิวผา

    สายฝนซาหลั่งรินไล้หินแข็ง

    ใบไม้หม่นหล่นร่วงอ่อนโรยแรง

    ใจเคยแกร่งหลอมละลายหายสิ้นไป

     

    ทอดตามองขอบฟ้าอันเวิ้งว้าง

    รู้ทางสิ้นสุดตรงจุดไหน

    สุดสายตาปลายรุ้งพุ่งโพ้นไกล

    จะอีกนานสักเท่าไรใฝ่เผชิญ

     

    สายลมพัดพาใจให้เหน็บหนาว

    สายธารยาวเหือดแห้งแล้งตื้นเขิน

    ห้วงหุบเหวลึกลับยากหยั่งเดิน

    ถ้ามัวเพลินเพียงครู่ใจปลิดไปตาม

     

    ตะวันเคลื่อนเลือนลับกับสันเขา

    สรรพสิ่งทอดเงาพ้นขวากหนาม

    แสงราตรีเยื้องย่ำเขตคร่ำคราม

    ฟังหมู่ดาวแว่วถามความฝันใคร

     

    ที่ปลายฟ้าดาราร่วงลงละลิ่ว

    ประกายปลิวพุ่งพราวสกาวใส

    คนเดินทางคว้างเคว้งวังเวงใจ

    อย่าหวั่นไหวราตรีนี้อีกนาน

     

    ยินเสียงลมแว่วไหวในยามค่ำ

    คะนึงถึงท่วงทำนองเคยร้องขาน

    บรรเลงเศร้าโศกซึ้งก้องกังวาน

    หลงเสน่ห์ชั่วกาลมิรู้เลือน

     

    จุดมุ่งหมายแม้ไกลเกินไขว่คว้า

    แม้อ่อนล้ายังมีหวังเป็นดั่งเพื่อน

    เป็นกำลังคอยหนุนกระตุ้นเตือน

    คือแสงเดือนส่องสว่างทางแห่งใจฯ

     

                    โคเซฟฮัมเพลงต่ออีกสักพัก เนื้อเพลงท่อนหลังนี่เธอฟังไม่ออก จนกระทั่งเสียงเพลงเงียบไป เด็กหญิงจึงถามขึ้นว่า

                    “เพลงอะไรน่ะ ? เพราะดีจัง”

                    “เพลงนี้เป็นเพลงที่ใช้ภาษาท้องถิ่นของจินน์ขับร้อง เป็นเพลงโปรดของฉันเลย...” โคเซฟอธิบายเสียงระรื่น ดีใจที่ไมอาสนใจเพลงที่เขาร้อง พลางอธิบายเสริมว่า “เนื้อเพลงกล่าวถึงการเดินทางอันยาวไกล ที่พบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย มีทั้งเรื่องสุขเรื่องเศร้า”

                    ภาษาท้องถิ่นของจินน์ยากเกินว่าที่เครื่องแปลภาษาจะถอดความได้... ข้อมูลยังน้อยเกินไป... ดวงตาสีน้ำเงินเข้มทอประกายครุ่นคิดวูบหนึ่ง ก่อนจางหายไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันเห็น

                    “อืม... เป็นเนื้อเพลงที่ดีนะ แล้วเพลงนี้ชื่ออะไรล่ะ ?” เด็กหญิงถามต่อ

                    “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เคยได้ยินมาตอนเด็ก ๆ จำเนื้อทั้งหมดไม่ได้ด้วยซ้ำ เลยไม่รู้ว่าตอนจบของเรื่องราวในเพลงเป็นอย่างไร แต่ก็เคยได้ยินคนเรียกมันว่า ‘บทรำพึงของคนเดินทาง’ อยู่นะ”

                    “ท่าทางนายจะชอบการเดินทาง...” เด็กหญิงทิ้งท้ายประโยคไว้เป็นเชิงสอบถาม

                    “ใช่ มันเป็นความฝันของฉันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ฉันอยากเดินทางผจญภัยไปยังสถานที่ต่าง ๆ ค้นพบความมหัศจรรย์ใหม่ ๆ ไปยังดินแดนที่ผู้คนไม่เคยไป” ดวงตาสีน้ำตาลอำพันของผู้พูดทอประกายสว่างสดใส

                    ความฝันก็ดีอยู่หรอกนะ...

                    แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นเสมอไป...

                    “เป็นความฝันที่ดีจัง ฉันก็ชอบชีวิตแบบนั้นเหมือนกัน” เธอยิ้มกว้าง “แต่นายก็เป็นพ่อค้าอยู่แล้วนี่ เดินทางเอาสินค้าไปขายหลาย ๆ ที่ก็คงคล้ายกันแหละ”

                    “ฉันไม่ได้ฝันแบบนั้นนี่” โคเซฟส่ายหน้าปฏิเสธ “เป็นพ่อค้าน่าเบื่อจะตาย ต้องคอยเอาอกเอาใจลูกค้า ไปไหนมาไหนก็ต้องระวังโจรผู้ร้าย ไม่กล้าเดินทางเสี่ยง ๆ หรือใช้เส้นทางอันตราย รักตัวกลัวตายและกลัวขาดทุนอยู่เสมอ แล้วชีวิตแบบนั้นจะเรียกว่าเดินทางผจญภัยได้อย่างไร ?”

                    “ก็จริงของนาย...” ไมอาใช้ความคิดครู่หนึ่ง จึงค่อยกล่าวต่อ “นายเลยไม่อยากเป็นพ่อค้า...”

                    “ถูกต้อง แต่พ่อกลับเคี่ยวเข็ญให้ฉันเป็นผู้สืบทอดกิจการ ที่บ้านฉันมีแต่พี่สาวน่ะ”

                    ที่นี่ให้ลูกชายเป็นผู้สืบทอดกิจการ...

                    โคเซฟไม่อยากเป็น...

                    “งั้นที่นายออกเดินทางมาถึงรูลน์นี่ก็ไม่ใช่เพื่อที่จะฝึกฝนเป็นพ่อค้า... หรือว่า...”

                    เด็กชายถอนหายใจออกมาเสียงดัง “ปิดเธอไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เธอยิ่งฉลาดอยู่ด้วย ตอนนี้คงเดาเรื่องได้หมดแล้วสิ”

                    ไมอาเพียงพยักหน้าช้า ๆ ไม่ได้พูดอะไร

                    “ฉันหนีออกมาจากคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากจินน์ด้วยกัน” โคเซฟเฉลยอย่างภาคภูมิใจ “เป็นวีรกรรมที่ตื่นเต้นมากเลยละ ถึงจะง่ายไปหน่อยก็เถอะ”

                    ให้ตายสิ... นายนี่ซ่ากว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยนะเด็กน้อย...

                    แล้วเอาเรื่องของตัวเองมาประกาศแบบนี้... ลืมกฎไปแล้วหรือ...

                    แต่ถ้านายอยากเล่า ฉันก็ไม่ขัดขวางละ...

                    ไมอาซ่อนยิ้มพราย “แล้วนายคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ ?”

                    “ก็คง... ส่งเธอกลับบ้านหรือพาไปที่ไหนก็ได้ที่เธออยากไป จากนั้นก็เดินทางไปเรื่อย ตามที่ฝันไว้”

                    “ฉันคงไม่ได้รบกวนนายอยู่หรอกนะ ?” คนร่วมทางชักเริ่มเกรงใจ

                    “เปล่าเลย มีเพื่อนร่วมทางด้วยต้องสนุกว่าเดินทางคนเดียวอยู่แล้ว และก็เป็นไปตามกฎไง เราจะแยกจากกันเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการเท่านั้น ตอนนี้ฉันยังอยากเดินทางไปกับเธออยู่” เด็กชายยิ้มยิงฟันให้

                    “นึกว่านายลืมกฎนั้นไปแล้วซะอีก เห็นเล่าประวัติตัวเองไม่หยุดเลย”

                    “ฉันไม่ลืมหรอก แต่มันก็ไม่ผิด ที่จะเล่าเรื่องของฉันให้เธอฟังนี่ อีกอย่างนะ ประวัติของฉันก็ไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องปิดบัง แม้การหนีออกมา... เดินทางตามความฝันของตน จะไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจนักก็ตาม”

                    “ไม่กลัวหรือไงว่าจะพบอุปสรรค หรือต้องผิดหวัง ? แล้วก็นะ นายจะเอาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางกัน ?”

                    “ไม่ละ” โคเซฟปฏิเสธ “มีอุปสรรคฉันก็จะฟันฝ่าไป นี่เป็นความฝันของฉันจะทำให้ผิดหวังได้อย่างไร แล้วเงินแค่เดินทางก็ทำงานรับจ้างเล็กน้อยระหว่างทางก็น่าจะพอแล้ว -- ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนี่ ก็ต้องทำให้ถึงที่สุดสิ” ท้ายความนั้นกล่าวด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม

                    ไมอาได้ยินแล้วไม่นึกอยากทำลายมัน

                    เป็นเด็กก็ดีอย่างนี้แหละ...

                    “พยายามต่อไปละกัน เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่” เธอให้กำลังใจ

                    รักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดให้ได้แล้วกันนะ เด็กน้อย...

                    “แน่นอนอยู่แล้ว” เด็กชายขานรับหนักแน่น เสมือนกับจะตอบเสียงในใจเธอไปด้วย...

     

     

                    ระหว่างการเดินทางไมอาสอบถามเรื่องราวภายในอาณาจักรกับโคเซฟไปพลาง ทำให้ได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นพอสมควรทีเดียว อาณาจักรนี้คล้ายกับอาณาจักรในมิติอื่นที่เธอเคยไปในหลายส่วน ดังนั้นความเหลื่อมล้ำทางมิติโดยรวมจึงอยู่ในเกณฑ์ที่เธอปรับตัวเข้าหาได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญในตอนนี้คือเงิน ถ้าต้องอยู่ที่ใดสักแห่ง สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนถือเป็นของที่ควรหามาครอบครองเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดทำหน้าที่แลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างมิติ ไมอาจึงเลือกพกพาสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นที่ยอมรับกันในเกือบทุกมิติแทน ...นั่นคือทองคำ

                    ด้วยธรรมชาติของมนุษย์นั้น นิยมชมชอบสิ่งที่หายากและสวยงาม และที่รูลน์นี่ก็ยังหนีไม่พ้น จากการสอบถามทำให้ทราบว่าทองคำสามารถนำมาแลกเป็นเงินได้มูลค่าสูง แค่ทองคำบริสุทธิ์แท่งหนึ่งก็เพียงพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้เป็นปี ๆ ในกระเป๋าของเธอนั้นมีอยู่หลายแท่งเสียด้วย เท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มีเงินใช้หรือจะต้องพึ่งพาโคเซฟอีกต่อไปแล้ว

                    เดินทางมาเป็นเวลาชั่วโมงเศษ จึงเริ่มพบเห็นสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไป ข้างทางที่ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เป็นผืนป่า และหมู่ไม้ยืนต้นสูงใหญ่ บัดนี้กลายสภาพเป็นทุ่งหญ้า สลับกับพืชสวนไร่นาต่าง ๆ พวกเขาเดินทางผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ สองแห่งด้วยกัน แต่ก็ยังไม่ได้หยุดแวะพัก

                    โคเซฟบอกว่าน่าจะไปถึงเมืองรูซอนตอนประมาณเที่ยงเศษ ๆ และก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริง เพราะไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านขนาดใหญ่ พอตะโกนถาม ชาวบ้านที่นั่นป้องปากตอบมาว่า

                    “รูซอน ขี่ฮารูอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว” ถึงตอนนี้ไมอาจึงรู้ว่า ฮารูเป็นชื่อทั่วไปของม้ามีเขา สัตว์พาหนะในมิตินี้

                    เส้นทางชมธรรมชาติเลาะเลียบชนบทของโคเซฟต้องมาบรรจบกับถนนใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแล้วตัวเมืองรูซอนปรากฏแก่สายตาในที่สุด กำแพงเมืองสูงใหญ่สีน้ำตาลไหม้ทอดตัวยาวบ่งบอกอาณาเขต ทั้งยังแสดงถึงประวัติความเป็นมาอันยาวนานได้เป็นอย่างดี เกวียนสินค้าเคลื่อนที่ไปอีกระยะหนึ่ง ก็เห็นประตูเมืองได้ชัดเจน มีคณะเดินทางคณะอื่นต่อแถวรอเข้าเมืองอยู่สองสามคณะ

                    ถ้าเข้าเมืองแล้ว... ก็คงถึงเวลาต้องบอกลากันสักที...

                    เด็กหญิงครุ่นคิดหาวิธีเอ่ยลาที่เหมาะสม หากถึงเมืองแล้วเธอก็ต้องปฏิบัติภารกิจต่อ แม้สิ่งที่ตามหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อย่างไรเมืองนี้ก็คงมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แค่ไปแลกเงินมาซื้อเสบียงอาหารและพาหนะเดินทางก็พอแล้ว มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยวด้วยจะเกะกะการทำงานเสียเปล่า ๆ ไมอาต้องการให้เด็กชายส่งถึงเมืองนี้เท่านั้น

                    “ส่งฉันแค่ในเมืองก็พอนะ” ไมอากล่าวเมื่อเกวียนหยุดเคลื่อนที่เพื่อต่อแถวรอเข้าเมือง

                    “...ทำไมล่ะ ?” โคเซฟอึ้งไปในทีแรก เขาไม่นึกว่าจะต้องจากกันเร็วขนาดนี้

                    “เดินทางไปด้วยกันอีกระยะหนึ่งก็ได้นี่ ให้ฉันพาเที่ยวเมืองก็ได้นะ” เด็กชายพยายามต่อเวลาออกไป เขาชอบคุยกับเด็กหญิง เธอฉลาด แม้จะไม่รอบรู้ แต่ก็คุยสนุก เข้าใจความคิดเขาดีด้วย ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ดูเหมือนเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเพิ่มขึ้นเลย

                    “ไม่ละ” ไมอาตอบปัดสั้น ๆ โคเซฟนึกว่าเธอจะตกลง เพราะถ้ากล่าวถึงความงามของสถานที่ทีไร เด็กหญิงคนนี้มักจะให้ความสนใจทุกครา

                    เนื่องจากคิดว่าคำบอกลาแลดูง่าย ๆ ไป เด็กหญิงจึงกล่าวเสริมว่า

                    “และก็... ขอบใจนะ... สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างเลย” เธอส่งยิ้มหวานให้แถมท้าย

                    โคเซฟไม่พูดอะไร เขาไม่รู้จะพูดอะไร เด็กหญิงคนนี้เป็นคนที่พอได้พูดคุยกันแล้วเขาก็รู้สึกถูกชะตา มันไม่ใช่เพียงความประทับใจในรูปร่างหน้าตาน่ารักเมื่อแรกพบ เขาอยากผูกมิตรกับเธอ อยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้ เธอกำลังจะจากเขาไป เขาไม่มีวาจาใดจะยื้อเธอไว้ได้แม้สักคำ ได้แต่รอเวลาเท่านั้น มันเป็นไปตามกฎ

                    แล้วกาลนั้นก็มาถึงโดยที่เด็กชายไม่ทันได้ตั้งตัว เกวียนสินค้าของเขาเคลื่อนที่ผ่านประตูเข้ามาเรียบร้อย

                    “ไปละนะ” แว่วเสียงเด็กหญิงที่ด้านข้าง เมื่อหันมามองก็เห็นเธอกระโดดคล่องแคล่วลงจากเกวียนไป เธอส่งยิ้มให้ โคเซฟยิ้มตอบอย่างเสียมิได้ หากยังคงไร้ถ้อยคำ

    ----------------------

                    มหานครเอกแห่งดินแดนทางเหนือของรูลน์ ‘รูซอน’ เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่คับคั่งไปด้วยเหล่าพ่อค้าแม่ขาย รวมทั้งนักเดินทางท่องเที่ยวทั้งหลาย เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ เชื่อมต่อระหว่างดินแดนภาคกลางและภาคเหนือ ที่ตั้งของเมืองยังอยู่ตรงบริเวณที่แม่น้ำยูฟากาและแม่น้ำติติกะ แม่น้ำสองสายหลักทางภาคเหนือของอาณาจักร ไหลมาบรรจบกัน ซึ่งจุดนี้ก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมได้เป็นอย่างดี นี่ยังไม่รวมถึงสถาปัตยกรรมอันมีเอกลักษณ์ และเทศกาลประจำเมืองที่ไม่เหมือนใคร

                    เด็กหญิงเดินชมเมืองอย่างสำราญใจ พลางนึกทบทวนเรื่องราวที่ได้รับฟังมาอีกครั้ง ก่อนจะนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่พบเห็นด้วยตาตนเอง...

                    อาคารสถานในนครแห่งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ลักษณะของประตู และหน้าต่าง กรอบของพวกมันเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดกับรูปครึ่งวงกลมด้านบน กระจกหน้าต่างส่วนใหญ่เป็นสีชา มีบ้างที่เป็นสีใสธรรมดา

                    ‘...รูซอนมีสมุนไพร ยารักษาโรค และผงและน้ำยาเวทมนตร์ต่าง ๆ เป็นสินค้าที่ขึ้นชื่อ ซึ่งของพวกนี้มักจะไม่ถูกกับแสงอาทิตย์ จึงต้องใช้กระจกสีชาเป็นเครื่องกั้น มันจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไป แม้บ้านที่ไม่ได้ค้าขายของพวกนี้ ก็นิยมติดกระจกสีชา...’

                    คำพูดของโคเซฟลอยเข้ามาย้ำเตือนในโสตประสาท ตอนนั้นเธอสอบถามเขาถึงเอกลักษณ์ของรูซอน เด็กชายเล่าถึงสินค้าตามพื้นฐานความรู้ของคนถูกปลูกฝังให้เป็นพ่อค้า ก่อนจะมาจบลงที่ด้านสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้อง

                    กระจกเป็นสีชาจริง ๆ ด้วย...

                    นึกถึงคำพูดของโคเซฟแล้วก็พานไประลึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด เธอรู้ตัวว่าบอกลาได้ไม่ดี แต่มันก็คงไม่เสียหายอะไรนักนี่ ขืนอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ เด็กน้อยนั่นคงไม่หลงเหลือความรู้สึกดี ๆ กับเธอ จะกลายเป็นเกลียดเธอเสียมากกว่า

                    จากกันตอนนี้แหละดีแล้ว...

                    คิดจบเด็กหญิงก็หันความสนใจไปยังอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญกว่า ร่างเล็กหลบเลี่ยงฝูงชน เดินเข้าซอยแคบ ที่นั่นว่างเปล่า ไม่มีใครอื่นอยู่

                    ไมอาหยิบเข็มทิศออกมา กลไกการทำงานที่ดูเรียบง่ายหากแฝงความซับซ้อนไว้ทุกขั้นตอนเริ่มต้นขึ้น วงแหวนสีทองและเงินอยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ แต่กลับไม่เห็นแม้ปลายเข็มสีแดง ...มันหายไป

                    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เธอไม่น่าชะล่าใจเลย การที่เข็มสีแดงหายไปแสดงว่าสิ่งที่ตามหานั้นไม่อยู่ในมิตินี้แล้ว

                    มือเล็กกำเข็มทิศไว้แน่น ผิวกายสัมผัสได้ถึงขอบคมของวงแหวนที่บาดอยู่ เรียกสติให้หวนกลับคืนมาทำหน้าที่ จะโศกเศร้าหรือผิดหวังไปในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ โอกาสของเธอยังมี ขอเพียงไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเท่านั้น

                    ฉันไม่ยอมแพ้หรอกน่า...

                    เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แค่นยิ้มให้กับเวิ้งสีครามอันปลอดโปร่งนั้น เธอเองก็ยังไม่ละทิ้งความฝัน แม้การไปให้ถึงปลายฝันนั้นจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×