ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 เด็กชายผู้ช่วยชีวิต [2]

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 52


    บทที่ 2 เด็กชายผู้ช่วยชีวิต

    [2]

     

     

                    “อืม... เริ่มยังไงดีละ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ทะเลสาบโนเมส ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากแม่น้ำติติกะ หนึ่งในหกแม่น้ำสายหลักของอาณาจักรรูลน์ ส่วนเรื่องราวของอาณาจักรรูลน์ -- เอาเท่าที่เคยได้ยินมาก็มี...” โคเซฟตั้งต้นอธิบาย โดยไม่คิดติดใจเลยสักนิด

                    ขอบใจนะที่นายเป็นเด็ก และขอโทษที่เกือบจะว่านายซื่อบื้อ

                    เด็กหญิงไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ที่คนที่พบคนแรกในมิตินี้เป็นคนที่ ‘ซื่อ’ กว่าที่คิด

                    “รูลน์เป็นอาณาจักรที่มีอำนาจมาก ในดินแดนภาคกลางแทบนี้ มีอำนาจพอ ๆ กับอาณาจักรจินน์มหาอำนาจทางตอนเหนือเลย...”

                    “นายมาจากจินน์สินะ” ไมอาขัดขึ้น

                    “ใช่ เธอรู้ได้ไง ?”

                    “ก็นายบอกว่า ‘เอาเท่าที่เคยได้ยินมา’ ก็น่าจะตีความได้ว่านายไม่ใช่คนอาณาจักรนี้ เพียงแค่เคยได้ยินเรื่องราวมาเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็คาดเดาเอา”

                    โคเซฟประทับใจในความเฉลียวฉลาดของเด็กหญิงอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาจึงกล่าวต่อ

                    “จุดเด่นของรูลน์อยู่ที่ความเจริญทางด้านวัฒนธรรม ผู้คนที่นี่ยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด ประพฤติตนตามหลักศาสนา กษัตริย์จึงสามารถปกครองให้เกิดความสงบสุขได้โดยง่าย สินค้าหลักส่วนใหญ่เป็นพวกผลผลิตทางการเกษตร หัตถกรรม และงานฝีมือ มีเหมืองแร่และสินค้าแปรรูปอยู่บ้าง แต่ไม่เด่นมากนัก...

                      “จุดเด่นอีกจุดของที่นี่คือระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาทั่วไป หรือการศึกษาทางด้านเวทและการยุทธ์ คนในอาณาจักรจินน์ที่มีฐานะหน่อยมักจะส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่ แต่เรื่องพวกนี้ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่”

                      ไมอาพยักหน้ารับไปตลอดการบรรยาย โคเซฟถือได้ว่ามีความรู้ดีทีเดียว ให้ข้อมูลได้มากกว่าที่เธอคิดไว้ด้วยซ้ำ แม้จะรวบรัดไปบ้างและข้อมูลที่ได้ก็ไม่ได้มากพอที่จะเอาไปประเมินความเหลื่อมล้ำทางมิติก็เถอะ แต่อย่างไรก็ดีกว่าไม่มีข้อมูลอะไรเลย

                      “แล้วอาณาจักรจินน์ล่ะ ?” ไมอาถามต่อ

                      “พื้นที่ส่วนใหญ่ของจินน์เป็นหุบเขาสูง ต่างจากพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำของรูลน์ จินน์เลยทำการสู้รบเพื่อแย่งชิงพื้นที่กับอาณาจักรอื่นมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว พื้นที่ของอาณาจักรในขณะนี้จึงมีขนาดใหญ่พอสมควร ใหญ่กว่ารูลน์ประมาณเท่าครึ่งได้ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ทุกอย่างสงบเรียบร้อย อาณาจักรห่างเหินจากการสู้รบมาเป็นเวลาเกือบสองทศวรรษ...” เด็กชายหยุดพูดเล็กน้อยจึงกล่าวต่อ

                      “สินค้าหลักของจินน์เป็นพวกปศุสัตว์ การทำเหมืองแร่ ป่าไม้ และการประดิษฐ์ ตอนนี้จินน์กำลังเน้นยุทธการทางการค้า ครอบครัวของฉันจึงได้รับการสนับสนุนไปด้วย รูลน์เด่นเรื่องความสงบสุข ส่วนจินน์เน้นความมั่งคั่ง หากให้ฉันเปรียบเทียบรูลน์กับจินน์แล้ว ฉันคิดว่าทั้งสองอาณาจักรมีทรัพยากรสูสีกันในตอนนี้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ปกครองอาณาจักรใดจะพัฒนาอาณาจักรได้ดีกว่ากันเท่านั้นเอง...”

                      เห็นไมอายังคงมีสีหน้าสงสัยใคร่รู้ โคเซฟจึงอธิบายต่อ

                      “ผู้ปกครองของอาณาจักรรูลน์ในขณะนี้ คือองค์กษัตริย์มาซาฮาที่สาม มีนโยบายรอมชอมและถ่วงดุลอำนาจของขุนนางฝ่ายต่าง ๆ สำหรับจินน์นั้น กษัตริย์มาจากนักรบ ดังนั้นจึงมีอำนาจและเป็นที่ยำเกรงของเหล่าขุนนาง”

                      หลังจากฟังการบรรยาย และการวิเคราะห์ของโคเซฟจบแล้ว ไมอาก็ต้องขอโทษโคเซฟในใจอีกครั้ง

                      ฉันขอโทษจริง ๆ ที่ ‘เกือบ’ ว่านายว่าซื่อบื้อไปแล้ว

                      โคเซฟเห็นไมอานั่งนิ่งไปนาน จึงกล่าวถามว่า

                      “เป็นไง ? พอจะนึกอะไรออกบ้างยัง ?”

                      “ก็พอจะรู้อะไรมากขึ้นแล้วละ แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่” ไมอายิ้มแห้ง ๆ กลับไป

                      “มีอะไรสงสัยก็ถามได้นะ แล้วถ้านึกอะไรออกแล้วอย่าลืมบอกกันด้วยละ” โคเซฟยิ้มยิงฟันให้

                     “ได้เลย” ไมอายิ้มรับ “ตอนนี้ที่สงสัยก็คือ... เราจะพักแรมกันยังไง ?”

                      ทั้งสองเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดคุยกันมายาวนาน ภูมิทัศน์รอบข้างมืดสลัวไปหมด หากปราศจากแสงสว่างจากกองไฟแล้ว คงจะยิ่งมืดกว่านี้

                      แม้ไมอาจะมีทางออกสำหรับปัญหานี้ให้ตัวเองอยู่แล้ว แต่เพื่ออำพรางไม่ให้คนข้างกายสงสัย และเป็นการหาข้อมูลไปในตัว เธอจึงตัดสินใจอยู่กับโคเซฟไปอีกสักระยะ ด้วยเหตุผลที่ว่า

                    เจ้านี่หลอกง่ายดี ข้อมูลก็พอมี ถึงฉันจะต้องแกล้งโง่บ้างก็เถอะ...

                    “เธอมาพักในกระโจมของฉันก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันนอนบนเกวียนเอง” โคเซฟตอบหลังจากใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง

                      “เอ๊ะ ! เอางั้นหรือ ? จะไม่เป็นการรบกวนนายหรือ ?” ไมอารีบเปลี่ยนท่าทีการวางตัวทันที

                      นึกว่าเป็นพ่อค้าแล้วจะมีที่พักเยอะเสียอีก

                      “ไม่เป็นไร ฉันว่างอยู่แล้ว เธอจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะนึกเรื่องราวทั้งหมดออกก็ได้”

                      นี่ฉันถูกตีตราเป็นคนความจำเสื่อม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้วสินะ

                    คิดแล้วช่างน่าเศร้า แต่กระนั้นเธอก็ยังคงยิ้มแหย ๆ พลางตอบกลับไปว่า

                      “...งั้นคืนนี้ขอรบกวนก่อนก็แล้วกันนะ”

                      ไม่น่าทำให้คนอื่นลำบากด้วยเลยเรา

     

     

                    สรุปแล้วไมอาก็ต้องพักค้างคืนในกระโจมของโคเซฟ ที่จริงเนื้อที่ภายในกระโจมมีอยู่พอสมควร แต่โคเซฟผู้แสนดีก็เลือกที่จะออกไปนอนที่เกวียนข้างนอก โชคยังดีที่มีผ่าห่มและหมอนอยู่อีกชุดหนึ่ง

                    เมื่อเข้าสู่ที่พักเรียบร้อย ไมอาสำรวจสัมภาระของเธอทันที เข็มทิศและกระเป๋าเป้ยังอยู่ครบ เท่านี้ก็คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว ถ้าหากของพวกนี้หายไป เธอคงต้องลงไปดำน้ำเล่นที่ก้นทะเลสาบเพื่อตามหาเป็นแน่ เพราะเป็นของสำคัญที่จะปล่อยให้หายไปไม่ได้

                    กลางดึกของคืนนั้น ช่วงเวลาที่คำนวณว่าเด็กชายเจ้าของที่พักต้องหลับสนิทแล้ว ร่างเล็กก็เดินออกมาจากกระโจมที่พัก แล้วเริ่มต้นตั้งสมาธิ กำหนดเป้าหมายให้แก่เข็มทิศอีกครั้ง เธอต้องทำเช่นนี้เสมอเมื่อมาเยือนมิติใหม่ ถึงจะไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่คิดว่าน่าจะเป็นผลกระทบจากการเดินทางข้ามมิติ ขนาดร่างกายยังสูญเสียพลัง อุปกรณ์วิเศษก็คงได้รับผลกระทบบ้างไม่มากก็น้อย

                    สิ้นสุดกระบวนการ ปลายเข็มสีแดงชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เด็กหญิงไม่อาจทราบว่าทิศทางนั้นมีอะไร และคิดว่าเป้าหมายคงอยู่ไกลเกินกว่าระยะที่สายตาจะมองเห็นได้ เพราะมองไปทางทิศนั้นก็เห็นเพียงต้นไม้ใบหญ้า เข็มทิศวิเศษนี้มีข้อเสียอยู่ นั่นคือมันไม่สามารถบอกระยะทางได้ในทันที ต้องอาศัยการคำนวณซึ่งใช้เวลาพอสมควรจึงจะทราบได้

                    แผนที่ดินแดนในมิตินี้ก็ยังไม่มีเสียด้วยสิ ไว้ค่อยไปถามข้อมูลจากโคเซฟเอาในตอนเช้าดีกว่า

                      เมื่อนึกถึงเด็กชาย ไมอาก็ตัดสินใจแวะไปเยี่ยมดูสักหน่อย...

                      โคเซฟหลับอยู่บนเกวียนท่ามกลางกองสินค้าของเขา ซึ่งคงไม่สะดวกสบายนักสำหรับการนอน แต่เขาก็หลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้า เขาเป็นคนพาเธอขึ้นมาจากกลางทะเลสาบนี่นา

                      เป็นเด็กนี่สบายดีจัง... ไมอาคิดในใจอย่างลืมตัว

                      มือเล็กควานหาของจากกระเป๋าเป้อีกครั้ง สิ่งที่หยิบออกมาเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก พอเหมาะสำหรับพกใส่กระเป๋าเสื้อ เด็กหญิงหยิบผงสีทรายจากในกล่องนั้นขึ้นมาหยิบมือหนึ่ง แล้วโปรยมันลงเหนือศีรษะโคเซฟ

                      “ถือว่าเป็นของตอบแทนที่ช่วยชีวิตแล้วกัน หลับฝันดีนะ” เด็กหญิงกระซิบแผ่วเบา ก่อนจะก้าวเท้ากลับเข้ากระโจมไป

    ----------------------

                      เด็กชายตื่นขึ้นมา รู้สึกสดชื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ อาการเหนื่อยล้าเหมือนจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทั้งยังไม่มีอาการปวดเมื่อยตามตัวจากการนอนบนเกวียนอีกด้วย คงเป็นเพราะเมื่อคืนฝันดี ความฝันที่เขาจำไม่ค่อยได้แล้ว แค่รู้สึกว่าเป็นฝันที่ดีเท่านั้น

                      เขาคิดจะไปปลุกเด็กหญิง แต่ปรากฏว่าเธอตื่นเช้ากว่าเขาเสียอีก

                      “ตื่นเช้าจัง” โคเซฟส่งเสียงทักทายไมอาที่กำลังนั่งมองทะเลสาบอยู่

                      “อยากดูพระอาทิตย์ขึ้น” ไมอาตอบห้วน ๆ กลับไป

                      “แล้วเป็นไงบ้าง สวยไหม ?” โคเซฟถามย้อนดู ตอนนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้าเรียบร้อยแล้ว

                      “ก็มองไม่ค่อยเห็นหรอก เมฆบัง” ไมอาตอบเสียงเรื่อย ๆ ไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ

                      “แล้วนายล่ะ นอนบนเกวียนเป็นไงบ้าง ?”

                      ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่สวยละจากทิวทัศน์ของทะเลสาบแล้วเปลี่ยนมามองหน้าเด็กชายแทน ในตอนนี้สามารถมองเห็นสีตาของเขาได้ชัดเจนแล้ว ตาของเขาเป็นสีน้ำตาลอำพัน คล้ายน้ำตาลในบางขณะ และเปล่งประกายสีทองยามต้องแสง เป็นสีที่สวยแปลกตาดี

                      “สบายมาก รู้สึกจะหลับสบายกว่านอนในกระโจมเสียอีก” โคเซฟตอบพลางทำท่าบิดขี้เกียจยืนยันคำพูดของตน

                     หากไม่รู้ความจริง คงต้องคิดไปว่าประโยคนั้นโกหกเพื่อให้เธอสบายใจ

                      “งั้นหรือ ดีจังเลย” ไมอาคลี่ยิ้มบาง โคเซฟยิ้มตามไปด้วย

                      เงียบกันไปพักหนึ่ง ทั้งสองต่างซึมซับความงามของธรรมชาติยามเช้า

                      “นี่โคเซฟ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีอะไร ?” ไมอาส่งเสียงทำลายความเงียบ

                      “อืม... ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเมืองรูซอนนะ” โคเซฟนึกภาพแผนที่อาณาจักรขึ้นมาในหัว

                      “เมืองรูซอน ?”

                      “เมืองเอกทางภาคเหนือของที่นี่...” เด็กชายตอบพร้อมตั้งท่าจะอธิบายต่อ แต่พอนึกอีกเรื่องที่สำคัญกว่าขึ้นมาได้เขาก็เปลี่ยนไปถามอีกเรื่องหนึ่ง

                      “แล้วนี่เธอพอจะจำอะไรได้แล้วหรือ ?”

                      จำอะไรได้แล้วหรือ...

                     ก็จำได้หมดแหละ...

                     เอาไงดีล่ะ ? ไม่อยากแกล้งความจำเสื่อมตลอดไปหรอกนะ...

                      มโนภาพในหัวของไมอาก็นำไปสู่ความเป็นไปได้หลากหลายรูปแบบ ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางหนึ่งซึ่งมีปลายทางที่น่าสนุกรออยู่

                      “ก็พอจะจำได้บ้างแล้ว” ไมอาตอบเรียบ ๆ

                      ได้ยินดังนั้นโคเซฟก็ยิ้มระรื่นอย่างกับว่าเขาคือคนที่ความจำฟื้นกลับมาเสียกระนั้น ไม่รับรู้ถึงความเรียบเฉยผิดปกติของน้ำเสียงไมอา

                      “แล้วจำอะไรได้บ้างล่ะ ?”

                      “ฉันมาจากอีกมิติ” ไมอายังคงตอบเรียบ ๆ เสมือนว่าที่คุยอยู่นี่เป็นการสนทนาทั่วไป

                      หากคำพูดของเธอกลับทำให้สีหน้าของโคเซฟเปลี่ยนไปทันที ตอนแรกเขาแค่คิดว่าเธอคงจะโดนเวทเคลื่อนย้ายอะไรบางอย่าง ทำให้มาตกเหนือทะเลสาบ เมื่อวานเห็นเธอยังไม่อยากตอบ เขาเลยตามใจเธอ คิดว่าพอถึงเวลาเธอก็คงยอมบอกเอง แต่การที่เธอมาจากต่างมิตินั้น ช่างเหนือความคาดหมายของเขาเสียเหลือเกิน คำว่า ‘มิติ’ อาจเป็นคำที่ยากจะเข้าใจสำหรับเด็กวัยเดียวกันในจินน์ แต่สำหรับโคเซฟที่มีความรู้รอบตัวดีเยี่ยมแล้ว เขาคิดว่าตัวเองซาบซึ้งถึงความหมายในคำพูดของไมอาได้อย่างถ่องแท้ทีเดียว

                      เมื่อเห็นเด็กชายทำหน้ารับไม่ได้เช่นนั้นแล้ว... ไมอาก็ดำเนินแผนการต่อ...

                      “แล้วเมื่อวานที่บอกว่าจำอะไรไม่ได้น่ะ ที่จริงฉันจำได้หมดแหละ แค่ไม่รู้เรื่องราวของมิตินี้เท่านั้น ขอโทษด้วยที่หลอกนาย” สีหน้าคนพูดนั้นนิ่งสงบ ปิดปังอารมณ์เอาไว้มิดชิด

                      โคเซฟยังคงนิ่ง อยากจะพูดอะไรออกไปก็อยากอยู่ แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีนี่สิ

                      เด็กหญิงจ้องหน้าเด็กชายอยู่นาน...

                     สงสัยจะรับไม่ได้จริง ๆ ...

                      “นายนี่หลอกง่ายจัง เรื่องแบบนี้ก็ยังเชื่อด้วย” ไมอากลั้นอารมณ์ขันไว้ไม่อยู่ เสียงหัวเราะใสหลุดลอดออกมา คละเคล้าไปในคำพูดของเธอ นั่นยิ่งทำให้โคเซฟนิ่งอึ้งไปใหญ่

                      “เอาเป็นว่าฉันจำได้แล้วก็แล้วกัน เพียงแต่ฉันยังไม่รู้เรื่องราวของอาณาจักรนี้เลย ส่วนเรื่องที่บอกไปเมื่อกี้ ก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วละว่าจะเชื่อหรือไม่ เพราะถึงฉันจะบอกว่าเป็นความจริง นายก็คงไม่เชื่ออยู่ดี”

                      ฉันบอกความจริงไปแล้วนา...

                      นายก็เลือกเอาเองแล้วกัน...

                      อาการสดชื่นหลังตื่นนอนของโคเซฟถูกทำลายเสียสิ้น ตอนนี้เขากำลังใช้สมองขบคิดอย่างหนัก

                      “ฉัน...” เด็กชายพูดขึ้นมาในที่สุด “โอย... ไม่รู้ละ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น...”

                      โคเซฟล้มตัวลงไปกลิ้งขลุกอยู่กับพื้น ปฏิกิริยาตอบรับจากเขาในครั้งนี้ อยู่เหนือความคาดหมายของไมอาเสียอีก และนั่นก็ทำให้ไมอานึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปอยู่ไม่น้อย

                      ขอโทษนะเด็กน้อย นี่คงเป็นเรื่องซับซ้อนเกินกว่าที่เธอจะรับได้...

                      เด็กชายยังคงนอนเอามือกุมศีรษะ กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นดิน ทำท่าราวกับมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหัวของเขา

                      “แต่ว่า...” จู่ ๆ โคเซฟก็ผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง ประจันหน้ากับเด็กหญิง ไมอาสะดุ้งเฮือกในใจ แต่กิริยาภายนอกยังคงรักษาไว้ได้ดี อย่างน้อยเจ้าคนที่เพิ่งพรวดขึ้นมาก็ไม่สังเกตเห็น

                      “เมื่อคืนก่อน ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะช่วยเธอ แล้วฉันก็จะทำตามนั้นด้วย -- เธอบอกว่าไม่รู้เรื่องราวของอาณาจักรนี้นี่...

                      “ฉันเชื่อนะ ว่าที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง -- ไม่ว่าเธอจะมาจากต่างมิติหรือเป็นปีศาจจากที่ไหนก็ตาม ฉันก็ไม่สน... แค่คิดว่าอยากช่วย และได้ลงมือทำอย่างสุดกำลังก็พอแล้วนี่นา...” โคเซฟส่งยิ้มให้ ผมสีทองของเขากระเซิงยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเก่า อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเศษดินและเศษหญ้า

                      “นายนี่ตลกดีจัง...” ไมอาหัวเราะออกมาเต็มเสียง เธอไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะได้พบเจอคนแบบโคเซฟ

                      โคเซฟเห็นเธอหัวเราะไม่หยุดก็หัวเราะตามไปด้วย

                      ไม่ได้หัวเราะอย่างเต็มที่แบบนี้มานานแล้วสินะ...

                      เด็กหญิงเพิ่งรู้ตัวว่ามิติที่เธอไปเยือนช่วงหลัง ๆ มานี้ไม่ค่อยมีเรื่องน่าอภิรมย์เท่าใดนัก

                      บางทีมิตินี้อาจจะมีเรื่องสนุก ๆ รออยู่ก็ได้...

                      “ตกลง” ไมอากล่าวขึ้นหลังจากหยุดหัวเราะ “เราจะไม่ถามถึงประวัติของกันและกัน แต่จะร่วมเดินทางไปด้วยกัน จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการแยกตัวไป”

                      “ได้” โคเซฟตอบพลางยิ้มยิงฟันให้

                      มือของเด็กทั้งสองชูขึ้นและกระทบกันกลางอากาศ พวกเขาตบมือกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งยังไม่แน่ใจว่าฝ่ายใดชูมือขึ้นก่อนกัน

                      ไมอาคิดว่ามันเป็นบางสิ่งที่พิเศษ ที่แม้จะมาจากต่างมิติต่างวัฒนธรรมกัน ก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้มนุษย์สื่อสารกันได้เข้าใจเมื่อได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน

                      อย่างไรก็ตาม เมื่อมองเห็นสภาพของอีกฝ่ายอย่างแจ่มชัด เด็กหญิงก็จำต้องทำลายบรรยากาศด้วยการเอ่ยเตือนเด็กชายอย่างขำ ๆ ว่า

                      “แต่ก่อนอื่น นายต้องไปอาบน้ำก่อนนะ ดูสิทำอะไรไม่รู้ เลอะเทอะไปหมดแล้ว”

                      ดวงตาสีน้ำตาลอำพันชายตามองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในน้ำ...

                      ไม่น่าเครียดจนลงไปนอนกลิ้งแบบนั้นเลยเรา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×