คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 5 ผู้กล้าและสหายจากต่างมิติ [2]
บทที่ 5 ผู้กล้าและสหายจากต่างมิติ
[2]
อักขระมนตราวาดตัวเป็นวงกลม ค่อย ๆ เรียงร้อยถักทอ แล้วปรากฏเด่นชัดขึ้นหน้าประตูวังหลวง อนุภาคสีเงินกระจายในรูปคลื่นออกจากวงเวทกระทบไปทั่วบริเวณ ทหารยามที่เฝ้าประตูอยู่ขณะนั้นต่างแตกตื่นตกใจ ทว่ามีทหารคนหนึ่งระลึกขึ้นได้ เขาบอกเพื่อนร่วมงานว่าเคยเห็นท่านที่ปรึกษาใช้วงเวทแบบนี้ในการเดินทาง ทหารยามหลายคนเริ่มจำได้เช่นกัน จึงคลายความหวาดระแวงลงไป
แสงสีแปลกประหลาดสว่างจ้าจนทุกคนต้องหลับตา เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแสงนั้นก็หายไปแล้ว ปรากฏร่างของคนสามคนขึ้นแทน หนึ่งในนั้นย่อมเป็นท่านที่ปรึกษา ส่วนอีกสองคนที่เหลือเป็นเด็กผมทองหนึ่งและผมน้ำตาลหนึ่ง
“ท่านที่ปรึกษามาไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน ทำเอาพวกเราตกใจหมด” ทหารยามผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้ากล่าวขึ้น
“หรือครับ ? ขอโทษด้วยนะครับ แต่พวกคุณก็ควรจะระมัดระวังเอาไว้นะครับ เผื่อวันหนึ่งอาจจะมีนักเวทฝีมือดีมาบุกวังหลวง” อาวีเนียสพูดเหมือนไม่ทราบว่าการมาเยือนของตนทำให้คนอื่นวุ่นวายเพียงใด แถมยังตักเตือนเหล่าทหารยามอีกด้วย
เนื่องจากทหารเหล่านี้ถูกฝึกมาให้เชื่อฟังผู้มียศสูงกว่าอยู่แล้ว ทุกคนจึงน้อมรับคำเตือนของอาวีเนียส
“ครับท่าน” ทหารยามทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“เด็กสองคนนี้เป็นแขกของผมนะครับ รบกวนพวกคุณช่วยอำนวยความสะดวกแก่พวกเขาด้วย” อาวีเนียสแนะนำโคเซฟและไมอากับเหล่าทหารยาม
“ครับท่าน” ทหารยามกล่าวโดยพร้อมเพรียงอีกครั้ง
“เอาละ พวกเราก็ไปกันได้แล้ว” อาวีเนียสกล่าวแล้วเดินนำเข้าประตูวังไป
เดินไปได้ระยะหนึ่ง ไมอาก็กล่าวขึ้นมา
“นี่ อาวีเนียส” เธอเรียกชายหนุ่ม “พวกเราจะไปพบพระราชากันเลยหรือ ?”
อาวีเนียสทราบถึงความกังวลใจของเด็กสาวในทันที เขาจึงกล่าวขึ้นว่า
“พวกคุณอยากอาบน้ำแต่งตัวก่อนใช่ไหมครับ ?” เขาคิดว่าไมอาคงรู้สึกอายที่แต่งตัวแบบนี้ไปพบพระราชา เด็กหญิงยังอยู่ในชุดที่ใช้ปลอมตัวเป็นเด็กรับใช้
“เปล่า ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันหมายถึง เราจะไม่ทานอาหารเย็นกันก่อนหรือ ?” ไมอายิ้มกว้างอย่างไม่ปิดบัง ที่จริงเธอไม่ได้หิวและตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็นของรูลน์ เธอแค่หมั่นไส้พวกนักเวทที่ชอบทำตัวเป็นผู้รู้ไปเสียทุกอย่าง การกลั่นแกล้งนักเวทให้หน้าแตกเล่นจึงเป็นอีกสิ่งที่เธอโปรดปราน
อาวีเนียสได้แต่ยิ้มเก้อ ส่วนโคเซฟอมยิ้ม อย่างไรไมอาก็ยังคงเป็นไมอา ไม่มีใครทำให้เธอสิ้นฤทธิ์ได้ตลอดหรอก
“เช่นนั้นเราไปทานอาหาร จากนั้นอาบน้ำแต่งตัว แล้วค่อยไปพบพระราชากันก็ได้ครับ” อาวีเนียสที่เดินนำอยู่ เดินเลี้ยวไปอีกทาง
“แต่ฉันไม่อยากเปลี่ยนชุดให้มากความ ฉันเป็นคนจากต่างมิติ แค่เปลี่ยนเป็นชุดจากมิติของฉันก็พอ นายว่าเหมาะสมไหม ?” ไมอาเสนอความคิดและสอบถามความเห็นจากอาวีเนียส
“หากคุณคิดว่าเหมาะสม ก็ย่อมเหมาะสม”
คำตอบอย่างไม่สนใจไยดีที่ได้รับมาทำให้ไมอาอยากกระโดดเตะคนข้างหน้าแทน หากไม่ติดที่ว่าที่นี่คือวังหลวงละก็คงได้รับชมศึกระหว่างสหายจากต่างมิติ กับที่ปรึกษาคนสำคัญไปแล้ว
เดินต่อไปได้ไม่นาน อาวีเนียสก็หยุดเดินปุบปับ
“ผมว่าพวกเราไปเข้าเฝ้าพระราชากันเลยดีกว่า” แล้วก็เปลี่ยนเส้นทางการเดิน โดยไม่รอเสียงตอบรับจากเด็กทั้งสอง
ไมอานึกแค้นขึ้นมาทันที เธอไม่คิดว่าอาวีเนียสจะกล้าแก้กลับด้วยวิธีนี้ เขาคงคิดจะทำให้เธออับอาย ชุดที่เธอใส่อยู่นี้ไม่เหมาะจะไปพบจ้าวผู้ครองอาณาจักรอย่างยิ่ง คงมีเพียงนักโทษรอการประหารเท่านั้นที่ใส่ชุดอย่างนี้ไป แม้ว่าเธอจะสามารถเปลี่ยนแบบเสื้อผ้าได้ทันทีตามที่ต้องการก็ตาม แต่นั่นก็จะเป็นการเปิดเผยพิรุธให้คนอื่นสงสัยขึ้นไปอีก โดยเฉพาะกับนักเวทตรงหน้านี่แล้ว ไม่มีทางเสียละที่เธอจะยอมให้ข้อมูลหลุดลอดออกกไปง่าย ๆ คิดแล้วก็รีบหาทางแก้ไขเร็วรี่...และแล้วเธอก็นึกแผนเล่นละครฉากหนึ่งขึ้นมาได้...
----------------------
ณ ท้องพระโรงใหญ่โตแสนโอ่อ่า กษัตริย์มาซาฮาที่สามทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ทอง ยกพื้นชั้นสูงสุดเป็นที่ตั้งของพระที่นั่งประจำพระองค์ ชั้นถัดลงมาเป็นที่ยืนของขุนนางตำแหน่งต่าง ๆ ไล่ไปตามฐานะและความสำคัญของหน้าที่ โดยรวมแล้วมีจำนวนไม่มากนัก เพราะนี่เป็นเพียงมีการประชุมย่อย
ที่ปรึกษาของพระราชาแห่งรูลน์กระซิบบอกทหารที่หน้าประตูให้รายงานเรื่องของเขาไป เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว อาวีเนียสก็เข้าไปถวายบังคม และแนะนำเด็กที่พามาด้วยให้คนทั้งห้องรู้จัก สายตาใคร่รู้หลายคู่ต่างจ้องมาที่โคเซฟและไมอา แต่ส่วนใหญ่เพ่งเล็งมายังสหายจากต่างมิติในคำทำนายมากกว่า เนื่องด้วยเครื่องแต่งกายที่ไม่เหมาะสมดังที่ไมอาคาดเดาไว้อยู่แล้ว เห็นดังนั้น อาวีเนียสจึงเปิดโอกาสให้ออกมาไมอาแนะนำตัวก่อน
ไมอาเดินออกไปอย่างมั่นใจทั้งที่อยู่ในชุดซอมซ่อ เธอถวายความเคารพตามแบบอย่างที่อาวีเนียสแนะนำไว้ ก่อนจะทูลขึ้นว่า
“ข้าแต่พระราชา อาณาจักรของพระองค์ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก หม่อมฉันกวาดสายตาไปทางไหนก็พบเห็นแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีความสงบสุขอยู่ทุกหย่อมหญ้า ประชาชนในอาณาจักรของพระองค์ก็ล้วนแต่มีจิตใจดีงาม ให้ความช่วยเหลือหม่อมฉันผู้ตกยาก จนหม่อมฉันที่พัดหลงจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไม่รู้สึกถึงความลำบากแต่อย่างใด
“ข้าแต่พระราชา ในอาณาจักรที่หม่อมฉันจากมา ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า อาณาจักรย่อมสะท้อนคุณลักษณะของผู้ปกครอง เช่นเดียวกับบ้านย่อมสะท้อนให้เห็นถึงนิสัยเจ้าของของมัน การที่อาณาจักรรูลน์ของพระองค์เจริญรุ่งเรือง ความเป็นอยู่ของราษฎรเฟื่องฟูเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะพระองค์ทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วยปัญญาอันชาญฉลาด และดำรงอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ทั้งนี้ย่อมต้องชมเชยเหล่าขุนนางที่ปรึกษาทั้งหลายด้วย หม่อมฉันเชื่อว่า กษัตริย์ถึงจะมีพระปรีชาสามารถเพียงใดก็ตาม หากขาดผู้ช่วยผู้พร้อมสนองพระราชดำรัสด้วยความจงรักภักดีแล้ว ก็คงไม่อาจบริหารบ้านเมืองให้ดีได้”
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มกวาดสายตามองอย่างยกย่องชื่นชมไปยังเหล่าขุนนาง ทุกคนเห็นอากัปนั้นก็ยิ้มรับ คงเว้นแต่เมื่องสบตาอาวีเนียสเท่านั้นที่ดวงตาคู่สวยเปลี่ยนไปมองอย่างหยามเหยียดหน่อย ๆ ก็จะกลับไปใช้สายตาเช่นเดิม
“ข้าขอบคุณสำหรับคำชมของเจ้า” กษัตริย์มาซาฮาตรัส แล้วทรงถามเรื่องที่หลายคนกำลังสงสัย “เมื่อเจ้าเห็นว่าอาณาจักรของข้าเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ ไม่ทราบว่าอาณาจักรที่เจ้าจากมาเป็นเช่นไร”
“ข้าแต่พระราชา อาณาจักรที่หม่อมฉันจากมากำลังอยู่ในภาวะสงคราม พวกปีศาจที่เคยอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสงบสุขลุกฮือขึ้นมาอาละวาดทำร้ายผู้คน ต่างฝ่ายต่างหวาดระแวงไม่ไว้ใจกัน ข้าวของเครื่องใช้ก็หายาก ชาวบ้านต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ชนวนสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบแน่ชัด ตอนนี้หม่อมฉันพลัดหลงมายังมิตินี้ หม่อมฉันเข้าใจว่าตนเองได้ตายไปท่ามกลางสนามรบแล้วเสียอีก หม่อมฉันดีใจยิ่งนักที่รอดชีวิตมาได้ แต่เมื่อทราบคำทำนายว่า จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายเช่นเดียวกับที่เกิดกับอาณาจักรของหม่อมฉันขึ้นที่รูลน์ในอนาคต หม่อมฉันก็ตัดสินใจว่าจะใช้ความรู้ความสามารถที่หม่อมฉันมี ให้เป็นประโยชน์กับอาณาจักรนี้ให้มากที่สุด ตอบแทนบุญคุณของพระองค์ และชาวประชาผู้เมตตาต่อหม่อมฉัน”
พระราชาและบรรดาขุนนาง ณ ที่นั้นสดับแล้วต่างนึกชื่นชมและเห็นใจเด็กหญิงยิ่ง น้ำเสียงและกิริยาท่าทางของเธอฟังดูน่าเชื่อถือ ลักษณะที่เหมือนเด็กบ้าน ๆ ทว่าชาญฉลาดและมีไหวพริบพอตัวก็ทำให้เรื่องที่เล่าผ่านปากเธอนั้นแลใสซื่อ ดั่งออกมาจากความนึกคิดที่แท้จริงของเด็กหญิง ไม่ได้เยินยอจนเกินเลยไป จากสายตาตำหนิติเตียนที่เคยมีอยู่บ้างในกลุ่มขุนนาง เปลี่ยนเป็นแสดงความเข้าใจและสงสารแทน ทุกคนเชื่อเรื่องของเธออย่างสนิทใจ จะมีแค่อาวีเนียสเท่านั้นที่ยังคงยืนยิ้มไม่บ่งบอกอารมณ์ ส่วนโคเซฟที่อยู่กับเด็กหญิงมานานกว่าใครในห้องก็ไม่ใคร่จะเชื่อเรื่องที่เธอเล่าเท่าไรนัก
“บ้านเมืองเจ้าอยู่ในภาวะสงครามเช่นนั้น” พระราชาขึ้นต้น “หลังจากเจ้าปฏิบัติหน้าที่สหายจากต่างมิติในคำทำนายของเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าเจ้าปรารถนาจะอยู่ที่รูลน์ต่อ ข้าก็ไม่ขัดข้อง ยินดีรับเจ้าไว้เป็นประชาชนผู้หนึ่ง”
“ข้าแต่พระราชา หม่อมฉันขอขอบคุณน้ำพระทัยของพระองค์อย่างสุดซึ้ง หากแต่หม่อมฉันยังคงระลึกอยู่เสมอว่า ยังมีที่ที่ต้องกลับไป หม่อมฉันมีผู้คนที่รักอยู่ในมิติที่จากมา และยังมีหน้าที่ที่ต้องกระทำอยู่ที่นั่น หากหน้าที่ในมิตินี้ของหม่อมฉันเสร็จสิ้นแล้ว หม่อมฉันยังคงตั้งใจจะเดินทางกลับไปมิติเดิม ขอพระองค์ทรงเข้าพระทัยเจตนาของหม่อมฉันด้วย”
“ข้าเข้าใจ ทำตามที่ใจเจ้าต้องการเถอะ”
ไมอากล่าวขอบพระทัย และเปลี่ยนให้โคเซฟแนะนำตัวบ้าง
เด็กชายผมทองก้าวอย่างเก้ง ๆ กัง ๆ เอามือลูบศีรษะเล็กน้อยก่อนกล่าวแนะนำตัว และประวัติความเป็นมาสั้น ๆ เรื่องของเขาฟังแล้วธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรโดดเด่นออกมาเลยเมื่อเทียบกับเด็กหญิงผู้มาจากต่างมิติ พูดไปได้สักพักโคเซฟก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว อาวีเนียสจึงต้องออกมาช่วยแก้สถานการณ์ พร้อมทั้งกล่าวทูลลา
“ทูลฝ่าบาท ท่านผู้กล้าและสหายจากต่างมิติเพิ่งเข้าวังมา ยังไม่คุ้นเคยกับกฎระเบียบในราชสำนัก และพวกเขาก็เหนื่อยกันมามากแล้ว กระหม่อมขออนุญาตนำพวกเขาไปยังที่พักก่อนพะยะค่ะ แล้วกระหม่อมจะรายงานให้ทราบถึงความคืบหน้าของคำทำนายในภายหลังพะยะค่ะ”
“ข้าอนุญาต พวกเจ้าไปเถอะ”
เมื่อพระองค์ตรัสจบ อาวีเนียสก็นำพวกเขาถวายบังคมลา
“พวกคุณไปพักผ่อนตามสบายได้แล้วละ ส่วนผมขอตัวไปทำธุระก่อน มื้อเย็นจึงจะมาหาพวกคุณอีกครั้ง” ท่านที่ปรึกษาบอกกับพวกเขาหลังออกจากท้องพระโรง
“อาวีเนียส” ไมอารั้งไว้ขณะที่เขากำลังจะเดินจากไป
“ครับ ?” อาวีเนียสหันกลับมา
“การกอบกู้อาณาจักรคืออะไร ?”
“เอ... ผมยังไม่ได้บอกพวกคุณอีกหรือนี่ ? ...” อาวีเนียสทำท่าทบทวนความทรงจำ เขาทำเหมือนไม่รู้ตัวว่าทำให้เด็กทั้งสองสงสัยเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้ว
ก็ใช่น่ะสิ... ไมอาและโคเซฟต่างนึกในใจ แล้วทำสีหน้าเซ็งเต็มอารมณ์เป็นคำตอบ
“...การกอบกู้อาณาจักรก็คือการปราบจอมปีศาจ ที่จะถือกำเนิดขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า ดังนั้นพวกคุณก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะถึงวันนั้น” ท่านที่ปรึกษากล่าว ก่อนเดินกลับไปทางเดิม ทิ้งให้เด็กทั้งสองจมอยู่ในห้วงความคิด
สองปี !
นี่ฉันต้องรออีกสองปีถึงจะได้ไปจากมิตินี้หรือนี่ !
ไม่น่าหลวมตัวไปตกปากรับคำนักเวทเจ้าเล่ห์นั่นเลย !
ไมอายิ่งคิดยิ่งอยากเอาหัวตัวเองโขกเสาให้รู้แล้วรู้รอดว่าตัวเองยังมีสติดีอยู่หรือเปล่า ถึงคิดไปเจรจาตกลงกับนักเวทนั่น
ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ !
ครั้นหันไปมองทางโคเซฟ เขาดูจะไม่เป็นทุกข์เท่าไรนัก ออกจะไม่เยแสสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แน่อยู่แล้ว อย่างไรเขาก็เป็นคนของที่นี่ ต้องอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตอยู่แล้ว ไม่เหมือนเธอที่มีภารกิจที่ต้องทำที่มิติอื่นนี่นา ท่าทางไม่ยินดียินร้าย เหมือนคนกำลังหลงอยู่ในฝันกลางวันของเด็กชายยิ่งทำให้ไมอาทุกข์หนักยิ่งขึ้น เธอมองไม่เห็นหนทางที่จะทำให้เด็กน้อยนี่เป็นผู้กล้าในตำนานได้เลย คราวนี้เธอนึกอยากลงนอนกลิ้งขลุกกับพื้นบ้างแล้ว
โคเซฟเห็นไมอามีท่าทางแปลก ๆ ก็อดขำไม่ได้
“ไมอา เป็นอะไรไปหรือ ?” เขาพยายามกลั้นหัวเราะ
“เป็นสิ จะไม่เป็นได้ไง ก็ฉันต้องติดอยู่ที่มิตินี้ตั้งสองปีนี่นา แล้วทำไมนายถึงไม่ทุกข์ร้อนเลยล่ะ ? นายเองก็ต้องเป็นผู้กล้าให้เจ้านักเวทนั่นตั้งสองปีเหมือนกันนะ”
“ก็มันสั้นกว่าเวลาที่ฉันคิดเอาไว้อีก...” เด็กชายหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “แล้วมิติของเธอเป็นอย่างที่เธอเล่าให้พระราชาจริง ๆ น่ะเหรอ ?”
“เปล่าหรอก มิติของฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักนิด”
อ้อ แปลว่าโกหกสินะ... โคเซฟคิดแล้วก็ยิ้ม เขาดีใจที่ไมอาไม่ได้มีชีวิตในอดีตที่เลวร้ายอย่างนั้น
“แต่เธอมาจากต่างมิติใช่ไหม ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันบอกนายไปตั้งนานแล้วนี่”
โคเซฟยิ้มกว้างขึ้นอีก เขาเชื่อว่าเธอมาจากต่างมิติมาตลอด ตั้งแต่วันนั้นที่เธอเล่าให้ฟังแล้ว
“แล้วนี่นายยิ้มอะไรของนายกัน ?” ไมอาที่กำลังเป็นทุกข์แสนสาหัส อดสงสัยในความยินดีของคนอื่นไม่ได้
“ก็ฉันเชื่อ... วันนั้นที่เธอบอกว่ามาจากต่างมิติ ฉันเชื่อจริง ๆ นะ ถึงตอนหลังเธอจะบอกว่าพูดเล่นก็เถอะ แต่ฉันก็ยังเชื่อเธอ”
ไมอาหยุดชะงัก เธอไม่คิดว่าโคเซฟจะเชื่อคำพูดของเธอในคราวนั้น
“ถ้างั้น ทำไมนายถึงย้อนถามอาวีเนียสล่ะว่า ฉันมาจากต่างมิติจริงไหม ?”
“ถึงฉันจะเชื่ออย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าฉันเชื่อแล้วเธอจะมาจากต่างมิติจริงนี่นา ถึงเธอจะทำตัวแปลกกว่าคนอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ยังสรุปไม่ได้นี่ ฉันเลยต้องถามอาวีเนียสให้แน่ใจ ว่าที่ฉันเชื่อนั้นเป็นความจริง”
ไม่มีคนเคยบอกนายหรือไงว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นความจริง
แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น เด็กหญิงก็ดีใจไม่น้อย...
“โคเซฟ ขอบใจนะ” ไมอาพูดขึ้น
“เรื่องอะไรหรือ ?”
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” ไมอาปิดบัง “ฉันว่านะ นายต้องเป็นผู้กล้าที่ดีได้แน่ แม้จะซื่อบื้อไปหน่อยก็เถอะ แต่ผู้กล้าส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้นี่”
“เธอคิดอย่างนั้นจริงหรือ ?”
“จริงสิ ฉันจะโกหกนายไปทำไมกัน ?” ไมอาพยายามทำสีหน้าให้ดูน่าเชื่อถือที่สุด แม้เธอจะไม่รู้ว่าสีหน้านั้นเป็นอย่างไรก็ตาม
“ก็ไมอาชอบหลอกฉันนี่นา... แล้วทำไมเธอถึงคิดว่าฉันจะเป็นผู้กล้าได้ล่ะ ?”
“เพราะความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าบ้าบิ่นของนายไง นั่นล่ะคุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้กล้าทั้งหลาย” ไมอาชี้แจง ครั้งนี้เธอพูดออกมาตามความคิดของเธอจริง ๆ ไม่ได้เสแสร้งปิดบัง
“เธอเคยพบผู้กล้าคนอื่นมาก่อนหรือ ?” โคเซฟอยากรู้อยากเห็น
“ก็ไม่เชิง...” ไมอาหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “นี่นายกำลังฝ่าฝืนกฎอยู่นะ”
“ฉันนึกว่ากฎนั่นถูกยกเลิกไปแล้วเสียอีก” โคเซฟบอก
“ยกเลิกได้ไง ตราบใดที่เรายังคงร่วมทางกัน เราก็ต้องทำตามกฎนั่นเหมือนเดิม” ไมอาว่า
“แต่ไมอาก็รู้อดีตของฉันไปเยอะแล้ว ส่วนฉันก็รู้ว่าไมอามาจากต่างมิติแล้วนะ”
ก็ใช่ แต่ฉันมีอดีตมากกว่านั้นนี่นา...
แล้วก็ยังมีเรื่องที่ไม่อยากให้นายรู้อยู่ด้วย...
“ที่นายรู้ว่าฉันมาจากต่างมิติก็เพราะอาวีเนียสบอก ฉันหรือนายไม่ได้เป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียหน่อยนี่ แต่ถ้านายอยากเล่าอดีตของตัวเองก็ไม่เป็นไร แค่อย่ามาถามอดีตของฉัน”
เมื่อเห็นว่าไมอายังคงตั้งใจรักษากฎเอาไว้ โคเซฟก็ไม่คิดขัดขวาง เธอคงมีเรื่องราวที่ยังไม่อยากบอกเขา แต่พอถึงเวลาที่เหมาะสม เธอคงจะบอกออกมาเอง เขาคิดเช่นนั้น จึงตอบออกไปว่า
“ตกลง พวกเรารักษากฎไว้ และร่วมเดินทางกันต่อไปนะไมอา”
คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มจากเด็กหญิง “ได้ ตกลง”
โดยมิได้นัดหมาย ทั้งสองตบมือกันกลางอากาศอีกครั้ง
“วันนี้เรามาเดินเที่ยวชมให้ทั่ววัง พักผ่อนตามอัธยาศัยตามที่เจ้านักเวทนั่นบอกก่อนดีว่า แล้วค่อยคิดกันต่อว่าจะสร้างนายเป็นผู้กล้าได้อย่างไร” ไมอาชักชวนพร้อมยืดตัวลุกขึ้น
“ครับผม” โคเซฟยิ้มรับแล้วเดินตามเธอไป
ความคิดเห็น