เรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้ว (ห้ามแอบร้องไห้คนเดียวนะ) - เรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้ว (ห้ามแอบร้องไห้คนเดียวนะ) นิยาย เรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้ว (ห้ามแอบร้องไห้คนเดียวนะ) : Dek-D.com - Writer

    เรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้ว (ห้ามแอบร้องไห้คนเดียวนะ)

    อ่านกี่ครั้งก็................รู้สึก...อยู่เสมอ..........T_T คนที่เป็นพี่สาว อย่าน้ำตาไหลนะ

    ผู้เข้าชมรวม

    433

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    433

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ต.ค. 49 / 21:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      che ery

      พี่-น้อง
      >
      > ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
      > แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
      > ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3ปี
      > วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
      > ของฉันมีกัน
      >
      > จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
      >
      > พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
      > โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
      > "ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
      >
      > ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
      > พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
      > "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
      > ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
      >
      > พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
      >
      > ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
      > แล้วพูดว่า
      > "ผมขโมยเองครับ"
      >
      > ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
      > พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
      > จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
      > พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
      > "ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
      > แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
      >
      > คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
      > หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
      > แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
      >
      > กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
      >
      > น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
      > "พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
      >
      > ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
      > ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
      >
      > หลายปีผ่านไป
      > แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
      >
      > ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
      > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
      >
      > เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
      > เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
      > ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
      > ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
      >
      > คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
      >
      > ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
      > เรียนดีมากนะ"
      >
      > แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
      > "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
      > ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
      >
      > ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
      > "ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
      >
      > พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
      > "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
      > ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
      > พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
      >
      > คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
      > ทั่วทั้งหมู่บ้าน
      > เพื่อขอยืมเงิน
      >
      > ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
      > "ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
      > ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
      >
      > แต่ในขณะเดียวกัน
      > ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
      > ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
      > น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
      > และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
      >
      > ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
      > ขณะฉันกำลังหลับ
      > "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
      > ผมจะไปหางานทำ
      > แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
      >
      > ฉันนั่งอยู่บนเตียง
      > อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
      > ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
      > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
      >
      > ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
      > รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป ็นกรรมกรแบกหามที
      > ่
      > ไซท์ก่อสร้าง ...
      > ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
      >
      > วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
      > เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
      > อยู่ข้างนอกแน่ะ"
      >
      > ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
      > ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
      > ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
      > ...
      > ฉันถามเขาว่า
      > "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
      >
      > น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ
      > สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
      > ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
      > ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
      >
      > ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
      > และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
      > "พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
      > เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
      >
      > จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
      > เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
      > แล้วพูดว่า
      > "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
      >
      > ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
      > ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานา
      > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20ปี ส่วนฉันอายุ 23ปี .
      >
      > วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
      > ฉันสังเกตเห็นว่า
      > หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
      >
      > เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
      >
      > หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
      > "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
      > เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
      >
      > แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก
      > น้องชายลูกต่างหาก
      > วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
      > ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
      > น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี ่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
      >
      > ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
      >
      > ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
      >
      > ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"
      > ฉันถาม
      >
      > "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
      > มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
      > แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
      > และ..."
      >
      > น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
      > เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
      > น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
      > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23ปี ส่วนฉันอายุ 26ปี...
      >
      > หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
      > หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
      > ...
      > แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
      >
      > ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
      > แต่เมื่อออกไปแล้ว
      > ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
      > จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
      >
      > น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
      > ...
      > เขาบอกกับฉันว่า
      > "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
      > ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
      >
      > สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
      > เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
      > ...
      > แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
      > เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
      >
      > วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
      > และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
      > เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
      >
      > ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
      > น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
      > ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
      >
      > "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
      > ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต ้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
      > ดูตัวเองซิ
      > เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
      >
      > คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
      > ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
      > "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
      > ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
      > ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
      > คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
      >
      > น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
      > ฉันบอกกับน้องว่า
      > "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
      >
      > "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
      > น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
      > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29ปี...
      >
      > เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30ปี
      > เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
      >
      > ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
      > "ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
      >
      > น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .
      > และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
      >
      > "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
      > เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
      > และเดินกลับบ้าน
      > วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
      > พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
      > และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
      > เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
      > เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้น
      >
      > ผมสาบานกับตัวเอง
      > ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
      > และจะทำดีกับเธอ"
      >
      > เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
      > สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
      >
      > คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
      > คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
      >
      > ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี
      > น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
      >
      > จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
      > วันในชีวิตของคุณและเขา
      > คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
      > น้อยๆ
      > แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
      > ..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
      > พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
      > หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม
      ที่มา forward mail
      che ery
      c m


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×