คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Shot Fic Spock x Kirk : You are important to me.
One Shot Fiction : You are important to me.
Couple : Spock x Kirk, Spirk
Rate : PG
สป็อคกำลังยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ในห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในโรงพยาบาลของสตาร์ฟลีท ดวงตาสีดำไม่สื่ออารมณ์ใดๆ กำลังทอดมองไปยังคนป่วยที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา คนป่วยที่กำลังใช้น้ำเสียงและสีหน้างุนงงคุยกับคนเป็นหมออยู่
คนป่วยที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย…
“ถ่ายเลือดทำให้ร่างกายอ่อนเพลียน่ะ คุณหมดสติไปสองอาทิตย์” คำบอกกล่าวของหมอทำให้คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงต้องขมวดคิ้วมุ่น
“ถ่ายเลือดเหรอ?”
“เซลล์คุณโดนรังสีรุนแรง เราไม่มีทางเลือก”
“ข่านเหรอ?...”
“พอจับเขาได้ ผมก็สังเคราะห์เซรั่มจากเลือดสุดเจ๋งของเขา ถามหน่อย รู้สึกอยากฆ่าคนบ้างมั๊ย? บ้าอำนาจ? เผด็จการ?”
“ไม่มากกว่าของเดิม… จับเขาได้มั๊ย?” คนเป็นหมอยกยิ้มให้กับคำถามนั้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“ผมเปล่า” ตอบออกไปแค่นั้น แล้วเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของเตียงเพื่อตรวจดูค่าบางอย่างจากหน้าจอของเครื่องมือแพทย์
สป็อคที่ยืนอยู่ห่างๆ ค่อยๆ ก้าวตรงไปยังเตียงของคนป่วยที่กำลังมองมาที่เขา…
…ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกำลังสบมองเขาอยู่ ริมฝีปากซีดเซียวยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่น้ำเสียงอ่อนแรงจะเอ่ยคำพูดเปิดบทสนทนา
“คุณช่วยชีวิตผมไว้…”
”อูฮาร่ากับผมก็มีส่วนด้วยนะ” แต่คำตอบกลับเป็นเสียงจากบุคคลที่สามที่ยังคงก้มๆ เงยๆ อยู่กับหน้าจอของเครื่องมือแพทย์ข้างเตียง ฟังดูไม่ถูกกาลเทศะซักเท่าไหร่ แต่สป็อคก็คิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเลือกที่จะไม่ใส่ใจในคำพูดที่จงใจไร้มารยาทนั้น
“คุณเคยช่วยชีวิตผม กัปตัน และชีวิตของลูกเรือ…”
“สป็อค แค่… ขอบคุณ”
มันเป็นคำพูดประโยคสั้นๆ…
คำพูดที่พูดขัดไม่ให้เขาได้พูดจนจบประโยค แต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงและแววตานั้น มันกลับทำให้สป็อคต้องชะงักไป…
อะไรบางอย่างที่มันทำให้เขา… รู้สึก?
“ด้วยความยินดี… จิม”
คำตอบแรกที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่ด้วยเหตุผล
ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงได้รู้สึก?...
…ทำไมถึงได้รู้สึกทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าคนคนนี้?
ความเงียบค่อยๆ โรยตัวเชื่องช้า ในขณะที่ดวงตาของคนสองคนก็ยังคงสบมองกันอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มบางเบาระบายอยู่บนใบหน้าอ่อนล้าของคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง แม้ว่าใบหน้าของชาววัลแคนจะยังคงเรียบเฉยไม่มีรอยยิ้มใดๆ ตอบกลับมาก็ตาม
“อะแฮ่ม!”
แล้วเสียงกระแอมไอจากบุคคลที่สามที่ยังคงอยู่ในห้องก็ทำลายความเงียบลงราวกับจงใจ เสียงกระแอมไอที่เรียกให้จิม เคิร์ก ต้องเลิกคิ้วขึ้นนิดก่อนจะหันไปมองคุณหมอต้นเหตุอย่างติดจะงงๆ
“ผมรู้ว่าตอนนี้มันไม่ใช่บทของผม และ… โอเค ผมควรจะออกไปข้างนอกใช่มั๊ย?”
“ไม่มีเหตุผลที่คุณจะต้องออกไปข้างนอกคุณแมคคอย”
“ไม่ สป็อค มันมีเหตุผลมากๆ เลยแหละ เพราะผมไม่อยากถูกใครหาว่าเป็น กขค. ถึงแม้ว่าความจริงแล้วผมอยากจะเป็นมากๆ ก็ตาม”
พูดจบก็มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที ก่อนหมอแมคคอยจะกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตรงไปที่ประตูห้อง เปิดมันและเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลงอีกครั้ง
การกระทำที่ทำให้สป็อคที่มองตามต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันมาส่งคำถามให้กับคนป่วยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อะไรคือ กขค?”
“เอ่อ… ช่างเถอะๆ คุณอย่ารู้เลย” คำตอบปัดๆ ที่ฟังดูไม่ค่อยสมเหตุผลซักเท่าไหร่นัก แต่สป็อคก็เลือกที่จะไม่คาดคั้นเอาคำตอบจากคนตรงหน้า เมื่อสิ่งที่เขาสนใจมากกว่ากลับเป็นเรื่องอื่น
“คุณ… หายกลัวรึยัง?”
คำถามที่ทำให้จิม เคิร์ก ต้องเลิกคิ้วขึ้นนิด ดวงตาสีฟ้าสบมองคนถามด้วยความแปลกใจ เพราะมันเป็นคำถามที่เขาไม่คิดว่าจะถูกถาม…
…โดยเฉพาะจากชาววัลแคนคนตรงหน้านี่
ภาพเหตุการณ์และความรู้สึกใกล้ตายกลับเข้ามาฉายในหัวอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มันกลับทำร้ายเขาไม่ได้มากเท่ากับตอนนั้น
ความตาย... หนักเหมือนขุนเขา แต่ก็เบาราวกับปุยนุ่น
แม้แต่เขาเองก็ยังไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแบบนี้
ไม่เคยคิด ไม่มีแม้แต่โอกาสให้ได้คิดด้วยซ้ำ…
…คงต้องขอบคุณคนตรงหน้าที่มอบโอกาสนั้นให้กับเขาอีกครั้ง
ความคิดที่ทำให้จิมต้องขยับยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ดวงตาสีฟ้ายังคงสบมองกับดวงตาคู่เข้มของชาววัลแคนที่ยังคงไม่สื่ออารมณ์ใดๆ ให้เขาเห็น แต่อะไรบางอย่างมันกลับทำให้จิมคิดว่า เขารู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้ไร้ความรู้สึกอย่างที่ใครๆ บอก
“ไม่… ไม่มากเท่ากับตอนนั้น”
คำตอบที่สร้างความเงียบให้เกิดขึ้นอีกครั้ง…
สป็อคได้แต่มองหน้าคนพูดอยู่อย่างนั้น พยายามที่จะคิดหาคำพูดที่ฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมาเป็นบทสนทนา แต่สิ่งที่เด่นชัดอยู่ในหัวก็กลับมีเพียงแค่ภาพของคนตรงหน้าที่ค่อยๆ หลุดลอยจากเขาไปในวันนั้น…
เสียงของลมหายใจอ่อนล้าที่แผ่วลงช้าๆ
ภาพของมือข้างนั้นที่ค่อยๆ เลื่อนหลุดลงไปจากบานกระจก
รวมถึงแววหวาดกลัวในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น…
…ภาพที่มันทำให้เขารู้สึกกลัว กลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
กลัว… แม้แต่ในตอนนี้
“แต่ผมกำลังรู้สึก… กลัว”
คำพูดแผ่วเบาจากชาววัลแคนผู้ไม่เคยมีความรู้สึก คำพูดเบาแสนเบาที่ไม่เคยมีจากคนคนนี้…
…คำพูดที่มันทำให้คนฟังต้องเบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง!
“คุณว่าไงนะ?!”
“ผมบอกว่าผมกำลังรู้สึกกลัว กัปตัน”
คำย้ำที่ทำให้คนเป็นกัปตันแทบจะตาถลนออกจากเบ้า หากแต่คนพูดกลับยังคงยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เรียบสนิทอย่างที่ไม่เข้ากับประโยคที่เพิ่งจะพูดออกมาเลยซักนิด
“เอ่อ… เอ้อ… คุณกลัวอยู่ โอเค ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แปลว่าคุณเรียนรู้ที่จะมีความรู้สึกในแบบมนุษย์บ้างแล้ว”
“…”
“ว่าแต่คุณกลัวอะไรวะ?” ส่งคำถามอย่างติดจะงงๆ ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าทึ่งสุดๆ หากแต่วัลแคนก็เพียงแค่ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้เตียงอีกนิด
“ที่จริงมันฟังดูไม่สมเหตุผลนัก แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมกำลังกลัวอยู่จริงๆ กัปตัน”
“อ่าฮะ ความรู้สึกมันก็ต้องอยู่เหนือเหตุผลอยู่แล้ว คุณพูดไม่ผิดหรอก”
“…”
“แล้ว?...”
“มันเป็นความกลัวแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน…”
“ที่จริงคุณก็ไม่เคยรู้สึกอะไรอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ”
“กัปตัน”
“โอเค… โอเค พูดต่อเถอะ ผมจะไม่ขัดคุณแล้ว”
“…”
“ผมไม่ขัดแล้วจริงๆ น่า พูดต่อสิ เร็วเข้า นี่ผมกำลังตั้งใจฟังอยู่นะ” คำเร่งที่ทำให้สป็อคได้แต่จ้องหน้าคนพูดอย่างที่บอกชัดว่าไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดต่อ
“มันเป็นความกลัวที่ไม่เหมือนกับตอนที่ผมเสียแม่หรือเสียดาววัลแคน มันไม่ใช่ความหวาดกลัวแบบในตอนนั้น แต่มันกลับเป็นความกลัวที่ต่างออกไป…”
คนพูดยังคงสบมองดวงตาสีฟ้าของคนฟังอยู่อย่างนั้น…
ชาววัลแคนไม่ถนัดที่จะแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นได้เห็น ไม่เก่งที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจถึงความรู้สึกของตน แต่สิ่งที่เขาพยายามพูดอยู่ในตอนนี้ ก็คือสิ่งที่เขาอยากให้คนตรงหน้าได้รับรู้
“และผมก็ได้พยายามหาเหตุผลเพื่ออธิบายถึงความแตกต่างนั้น…”
“ก็บอกแล้วไง ว่าความรู้สึกมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลสนับสนุนน่ะ”
“…”
“โอเค ผมบอกว่าจะไม่ขัดสินะ พูดต่อเลยๆ”
“…”
“…”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่เมื่อคนที่ถูกสั่งให้พูดต่อ กลับหยุดพูดไปเสียอย่างนั้น แต่คนสั่งก็ไม่ได้เอ่ยเร่งรัดอะไรอีก ทำได้แค่นอนรอเงียบๆ อยู่อย่างนั้น…
“ผมพยายามที่จะหาเหตุผลเพื่ออธิบายถึงความแตกต่างระหว่างความกลัวทั้งสองแบบ และผมก็พบว่าความกลัวที่เกิดขึ้นในวันที่ผมเสียดาวและแม่ไป… มันคือความหวาดกลัว”
“…”
“แต่ในตอนที่ผมมองคุณค่อยๆ หมดลมหายใจ… มันกลับเป็นแค่ความกลัว”
“…”
“…แค่คำว่ากลัว”
คำอธิบายที่ทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นนิดอย่างติดจะไม่เข้าใจ แต่อะไรบางอย่างในแววตาคู่นั้นมันกลับตรึงให้จิมได้แต่นิ่งฟัง เพียงแค่ฟังและรับรู้ถึงความรู้สึกบางเบาที่มันมาพร้อมกับคำพูดเหล่านั้น…
“ผมกลัวว่าจะสูญเสียคุณไป…”
“…”
“และแม้แต่ในตอนนี้ความกลัวนั้นก็ยังคงมีอยู่ ทั้งๆ ที่ตามหลักแล้ว มันควรจะหายไปตั้งแต่ที่ผมพบว่าคุณฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง”
จิมได้แต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น…
อันที่จริง ต้องบอกว่าเขากำลังอึ้งอยู่ถึงจะถูก…
ดวงตาสีฟ้าได้แต่กระพริบปริบๆ มองใบหน้าเรียบเฉยของชาววัลแคนตรงหน้า ริมฝีปากอ้าค้างเล็กน้อย อาการช็อคเล็กๆ จู่โจมที่สมองอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่ความร้อนบนใบหน้าจะพุ่งปรี๊ดอย่างควบคุมไม่ได้
“คุณไข้ขึ้น?”
คำถามงี่เง่า จากวัลแคนงี่เง่าที่ทำให้ จิม เคิร์ก รู้สึกว่าอยากจะลุกขึ้นต่อยมันซักหมัดสองหมัด ถ้ามีแรงมากกว่านี้อีกซักนิดล่ะก็นะ!
“ผมควรจะเรียกหมอแมคคอยให้เข้ามาดูอาการคุณ”
“ไม่… ไม่ต้อง ผมไม่ได้ไข้ขึ้น”
“แต่คุณหน้าแดงมาก”
“เออ ช่างมันเถอะน่า!” บอกปัดๆ อย่างเริ่มจะปลงตกกับความตายด้านของพวกวัลแคน สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจน้อยๆ ก่อนความรู้สึกขำขันจะวิ่งเข้ามาในหัวจนต้องหลุดหัวเราะเบาๆ
“สรุปว่าคุณกลัวว่าผมจะตายว่างั้น?”
“จากการวิเคราะห์ของผม คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”
“ฮ่าๆ นี่ถ้าไม่รู้ว่าคุณกำลังคบกับอูฮาร่าอยู่ ผมคงต้องคิดว่าคุณกำลังบอกรักผมอยู่แน่ๆ สป็อค” คำพูดกลั้วหัวเราะที่ทำให้สป็อคต้องเลิกคิ้วขึ้นนิด ก่อนจะเอ่ยคำปฏิเสธ
“ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูสมเหตุผลที่จะคิดแบบนั้นได้ แต่ผมคงต้องขอชี้แจงให้ทราบว่า ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะสื่ออย่างนั้น กัปตัน”
“ผมก็ว่างั้น ฮ่าๆ”
“แต่สิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกก็คือ… คุณสำคัญ”
“หือ?”
“…”
“…”
“คุณมีความสำคัญสำหรับผม จิม”
จิมยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น…
เขายังคงสบมองดวงตาอ่านยากคู่นั้นอย่างไม่คิดที่จะหลบ ก่อนจะพยักหน้าเนิบๆ เพื่อบอกว่ารับรู้ แล้วส่งคำถามกวนๆ กลับไปให้คนพูด
“สำคัญมาก?”
“คิดว่ามาก”
“ชาววัลแคนไม่โกหกใช่มั๊ย?”
“ยืนยัน”
รอยยิ้มกว้างระบายอยู่บนใบหน้าของกัปตันแห่งยานเอนเตอร์ไพรส์ รอยยิ้มสดใสที่ยิ่งแย้มกว้างมากขึ้นไปอีก เมื่อเจ้าตัวพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน
แม้จะเป็นแค่รอยยิ้มบางๆ แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นจากคนคนนี้มาก่อน…
จิมเคยคิดว่าชาววัลแคนเป็นพวกตายด้าน ไร้ความรู้สึก ไม่มีหัวใจ
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาคิดผิด…
ชาววัลแคนมีความรู้สึก เพียงแค่พวกเขาแสดงออกมาไม่เก่งนักก็เท่านั้น และเมื่อต้องแสดงมันออกมา มันก็กลับเป็นความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เป็นความซื่อตรงกับความรู้สึกของตนเอง ในแบบที่มนุษย์น้อยคนนักจะทำได้แบบนี้…
…บางทีมันอาจจะเป็นผลมาจากไอ้นิสัยขวานผ่าซากตามแบบฉบับชาววัลแคนก็ได้
“เวลายิ้มคุณดูดีมากเลยนะ รู้ตัวมั๊ย?”
คำถามที่ทำให้คนไม่เคยยิ้มต้องหุบยิ้มฉับ จนคนพูดต้องโวยวายลั่น
“เฮ้ หุบยิ้มทำไมเนี่ย? ยิ้มอีกสิ ผมชอบดู”
“ผมไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น”
“จำเป็นสิ ก็ผมอยากเห็นไง”
“…”
“ไม่เอาน่าสป็อค แค่ยิ้มเอง ผมป่วยอยู่นะ แล้วเมื่อกี้คุณเพิ่งจะบอกรัก เอ่อ… หมายถึง บอกว่าผมเป็นคนสำคัญอยู่หยกๆ ขอแค่นี้ทำให้กันหน่อยไม่ได้รึไง”
“ถึงเวลาที่ผมคงต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว”
“สป็อค…”
น้ำเสียงอ้อนๆ ที่ไม่ได้ทำให้สีหน้าของคนถูกอ้อนเปลี่ยนไปเลยซักนิด สป็อคกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินตรงไปยังประตูห้อง
“…”
“…”
ร่างสูงๆ ยังคงหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู นานจนคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงต้องขมวดคิ้วมุ่น แต่ยังไม่ทันที่จิมจะได้ส่งคำถามออกไป ใบหน้าเรียบเฉยของชาววัลแคนก็ค่อยๆ หันกลับมามองที่เขาอีกครั้ง ก่อนที่ความเรียบเฉยนั้นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง…
…รอยยิ้มที่อ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ที่ผมยิ้มก็เพราะคุณบอกว่าอยากเห็น”
“…”
“และยานเอนเตอร์ไพรส์ก็ยังต้องการกัปตัน เพราะฉะนั้น หวังว่าคุณคงจะหายดีในเร็ววัน”
และนั่งก็เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนที่ร่างสูงๆ ของชาววัลแคนจะเดินออกจากห้องไป…
…ในขณะที่คนที่ถูกทิ้งไว้ในห้องก็ได้แต่อ้าปากค้าง เบิกตากว้าง พร้อมๆ กับการรับรู้ถึงความร้อนที่พุ่งปรี๊ดบนใบหน้า และจังหวะการเต้นของหัวใจที่ดังระรัวราวกับว่ามันพยายามจะกระโดดออกมานอกอกให้ได้
เป็นครั้งแรกที่ จิม ไทบีเรียส เคิร์ก กัปตันแห่งยานเอนเตอร์ไพรส์ ได้เรียนรู้ว่า…
อย่าออกคำสั่งให้วัลแคนยิ้มเด็ดขาด…
…ถ้าไม่อยากหัวใจวายตายก่อนวัยอันควร!
End.
**********************************************************************************
ฟิค สป็อคxเคิร์ก เรื่องแรกที่เขียนจบแบบมึนๆ งงๆ ก่งก๊ง (?) มาก ฮ่าๆ
ออกจะไม่ค่อยมั่นใจกับบทสนทนาในแบบวัลแคนสไตล์เท่าไหร่นัก
ถ้าผิดพลาดอะไรยังไง ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ *โค้ง
ส่วนตัวแล้วอยากจะเขียนฟิคเรื่องนี้ให้ออกมาเป็นแนว bromance มากกว่าจะเป็นความรักแบบคนรักค่ะ
เพราะคิดว่าช่วงจังหวะเวลามันยังเร็วเกินไปที่สองคนนี้จะได้รู้สึกว่ารักกัน
สป็อคเพิ่งจะเรียนรู้ที่จะมีความรู้สึกในแบบมนุษย์ ในขณะที่จิมเองก็ยังมีแค่ความรักในแบบเพื่อนให้กับสป็อค
ไอวิชก็เลยคิดว่า ตอนนี้มันคงจะเป็นช่วงรอยต่อที่ต่างคนต่างก็เพิ่งจะเปิดใจ ยอมให้คนอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น มากกว่าที่จะมีความรู้สึกรักใคร่แบบรุนแรงหรืออะไรทำนองนั้นค่ะ :)
ถ้ามีพล็อตแว๊บเข้ามาในหัวอีก ก็คงจะได้พบกันใหม่อีกครั้งกับฟิคของคู่นี้
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะ
ไอวิชรักคนอ่านน้า ^3^
ความคิดเห็น