ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The fell in flirting

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 146
      0
      10 ก.พ. 57






    You philanderer and masher.










     

    ปลายนิ้วที่ชาแบบไร้ความรู้สึกเริ่มกระตุก ร่างกายเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่ มาทับเอาไว้ ก่อนที่ความรู้สึกเจ็บร้าวจะแล่นไปทั่วร่างกาย  


     

              ฉันรู้สึกมึนตึบที่หัว ปวดหนึบๆราวกับจะระเบิด หนังตาก็หนักอึ้งจนไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ในนาทีนี้ แม้จะพยายามหลายครั้งแล้วก็ตาม แขนขาก็อ่อนแรงซะจนยกไม่ขึ้น

     

     

              ให้ตายเหอะ!!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายฉัน

     

     

              “โอ้ย!!!.....”  แต่พอฉันพยายามจะยกศีรษะตัวเองขึ้นเท่านั้นแหละ แสงสีขาวก็วูบเข้ามาในโสตประสาทก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บแปล๊บแล่นเข้ามาแทนจนต้องล้มศีรษะลงนอนตามเดิม

     

              “อย่าเพิ่งลุก” เสียงทุ้มต่ำดังอยู่ไกลๆ มันเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคยเอาซะเลย      หรือฉันหูฟาดไป ไม่ก็ประสาทหลอน จะลืมตาขึ้นมองก็ไม่ได้อีก



              ฉันยกมือขึ้นมากุมขมับตัวเอง แต่แล้วก็รู้สึกตึงๆที่หลังมือ ก่อนจะพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นให้ได้ ภาพทุกอย่างพร่ามัวจนฉันต้องหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะกระพริบตาถี่ๆแล้วพยายามปรับสายตาให้คุ้นกับแสง สิ่งแรกที่เห็น คือ.....

     

     

              สายน้ำเกลือ!

     

     

              ความงงแทรกเข้าซีรีบรัมทันที ทำไมสายน้ำเกลือถึงมาติดอยู่บนหลังมือฉัน พอนึกขึ้นได้ฉันก็รีบยกมืออีกข้างขึ้นมาสำรวจดู แล้วคล้ำที่หน้าผากตัวเอง เหมือนมันจะมีผ้าอะไรสักอย่างพันเอาไว้

     

     

              ฉันเพ่งสายตาไปข้างหน้าก็พบแต่เพดานสีขาว ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อความแน่ใจว่าฉันไม่ได้คิดไปเอง แต่ยิ่งมองมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นว่านี่คือโรงพยาบาล

     

     

              เอ๊ะ!!! หรือว่าโรงฆ่าสัตว์-.-

     

     

              ไม่ ไม่ ไม่....  มันไม่ใช่หรอก ตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาลแน่นอนพันเปอร์เซ็น ว่าแต่ฉันอยู่มาอยู่โรงพยาบาลได้ไง แล้วมาทำไม แล้วฉันเป็นอะไร โอ้ยยยยย! ปวดหัว


              “ส่ายหัวขนาดนั้น ถ้ามันหลุด ฉันไม่ไปซื้อกาวมาติดให้หรอกนะ”

     

     

              เสียงใครวะ -.-?

     

     

              ฉันรีบมองหาแหล่งกำเนิดเสียงอย่างรวดเร็วว่ามันมาจากทางไหนและเพื่อให้มั่นใจว่านี่คือเสียงคนไม่ใช่เสียงสัมภเวสี แต่แล้วฉันก็จ๊ะเอ๋เข้ากับร่างสูงโปร่งหัวดำตรงโซฟาตัวยาวที่ตั้งอยู่ติดกับผนังสีครีม

     

     

    O.O วินาทีนี้หัวใจฉันแทบจะหยุดเต้นก่อนจะเริ่มเต้นรัวจนนับจังหวะไม่ได้

     

     

    ร่างสูงโปร่งในชุดกางเกงยีนขายาวกับเสื้อเชิ๊ดสีขาวพับแขนขึ้น นั่งเอนหลังพิงกับพนักโซฟาด้วยท่าทางที่สบายอย่างกับมานั่งกินลมชมวิว สิ่งที่เตะตาเป็นอันดับแรกคือผิวที่ขาวจั๊ว ขาวแบบมีออร่า สว่างจ้าเหมือนมีแสงในตัวเอง(คนหรือหิ่งห้อยวะ-_-!) สงสัยตอนเด็กแม่ให้กินหลอดไฟ

     

     

    เส้นผมที่ดำสนิทตัดกับผิวขาวถูกซอยสั้นให้พอประมาณ จมูกโด่งเป็นสันรับกับรูปหน้าที่เรียวเล็ก ริมฝีปากหนาหยักลึกอย่างน่าจูบ เฮ้ย! ไม่คิดๆๆ....  และที่สำคัญ ดวงตาคมเฉียว ดุดัน เหมือนจิ้งจอกแต่นัยน์ตากลับมีประกายสุกใสเหมือนผิวน้ำสะท้อนแสง

     

     

    รวมๆแล้วก็...... หล่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกก><

     

     

    ที่มันคนหรือเทพบุตรวะเนี่ย แต่ช่างเถอะ! เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้มานั่งทำซากอะไรที่นี่ หรือเขารู้จักฉัน แต่ฉันไม่รู้จักเขาว่ะ

     

     

    ฉันจ้องหน้าเขานิ่งเพื่อพยายามนึกว่าเรารู้จักกันมั้ย เคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า นึกให้ตายก็นึกไม่ออก จะถามก็ไม่กล้า แล้วประเด็นคือมันก็จ้องกลับมาแบบตาไม่กระพริบด้วยนี่สิ

     

     

    คือก่ะว่าจ้องจนฉันท้องได้ว่างั้น

     

     

    แล้วจู่ๆเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะคว้าเอากระเป๋าผู้หญิงใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างๆมาถือไว้ในมือ แล้วก้าวมาทางฉันอย่างเชื่องช้าเหมือนคนขี้เกียจเดินหรือไม่ก็คนเส้นเอ็นอ่อนแรง(มีด้วยเหรอ)



    เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงที่ฉันนอนอยู่ก่อนจะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะข้างหัว เตียงอย่างรุนแรง เรียกว่าโยนดีกว่าเหอะ ไอ้บ้านี่ไร้มารยาทชะมัด หน้าตาก็ดี เสียแรง ที่แอบชมในใจ รู้สึกเริ่มไม่ชอบขึ้นมาตงิดๆ

     

     

    “ของเธอน่ะ ทำหน้าเป็นควายงงอยู่ได้” อ้าว! ไอ้นี่ปากแพนกวินจัง ก็เล่นเดินเข้ามาแบบไม่พูดไม่จาแบบนี้เป็นใครก็ต้องงงสิ ปากน่าฟาดด้วยฝ่าเท้าจริงๆ ว่าแต่.....

     

              “ของฉัน?” ฉันชี้นิ้วมาที่ตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ กระเป๋าใบนั้นเป็นของฉันงั้นเหรอ ทำไมไม่คุ้นเลยอ่ะ

     

              “เออสิ.. แล้วชื่ออะไร เธอน่ะ...” เขาถามฉันต่อด้วยใบหน้าที่ยียวนกวนประสาทมาก เห็นแล้วอยากจะเอาเล็บข่วนแรงๆสักร้อยรอบให้หน้าพังไปเลย เฮอะ!!

     

              “ฉันชื่อ........”  ชื่อไรวะ-_-!! ฉันชื่ออะไร  ชื่ออะไร ฉันชื่ออะไร เฮ้ย!... บ้าน่า นี่ฉันไม่รู้ชื่อตัวเองได้ไง

     

              “ว่าไงครับ”

     

              “ฉัน......   ฉัน..”   บ้าจริง ทำไมฉันคิดชื่อตัวเองไม่ออกวะ ฉันหลับตาลงแน่นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อตั้งสติทำสมาธิ

     

     

              ฉันชื่ออะไร?


     

    ฉันเป็นใคร?


     

    ฉันมาจากไหน?

     

     

    ให้ตายสิ! คิดไม่ออกสักอย่าง นี่ฉันโดนทุบหัวมารึไงหรือว่าใครแอบขโมยสมองฉันไปต้ม โอ้ย!!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ ใจเย็นก่อนนะเรา ใจเย็นๆ ฉันจะพยายามตั้งสติแล้วคิดให้ออกว่าตัวเองเป็นใคร

     

     

    “เธอจะวิปัสสนาจนบรรลุก่อนมั้ย แล้วค่อยตอบ” ผ่านไปกว่าครู่ใหญ่ที่ฉันนั่งหลับตาเงียบอยู่คนเดียว จนกระทั่งมีเสียงอันกวนบาทาดังขึ้นมาขัดจังหวะการทำสมาธิ

     

    “ไม่รู้”

    “หืม.......”

     

    “ฉันไม่รู้ว่าฉันชื่ออะไร” ฉันตอบทุกอย่างตามความจริง ตอนนี้ฉันปวดหัวตุบๆเหมือนมีคนเอาค้อนมาทุบอยู่ด้านใน ฉันนึกอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ออกเลย ทำไงดี

     

    “เวรชิบ!!” เขาทึ่งหัวตัวเองพร้อมกับสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มเรียกหมอ

     

    “แล้ว...  แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่กับนาย”

     

    “นี่เธอจำไม่ได้จริงๆเหรอวะ” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้กับหน้าฉัน จนปลายจมูกแทบจะชนกัน พร้อมกับจ้องลึกเข้ามาในดวงตาฉันเหมือนพยายามจะค้นหาคำตอบ

     

     

    แต่.... มาทำแบบนี้ฉันหายใจไม่สะดวกเอาซะเลย ไอ้บ้านี่หล่อชะมัด! ยิ่งมาใกล้จนลมหายใจรดหน้าแบบนี้นะ เอาขวานมาฟันฉันเลยดีกว่า ใจเต้นโว้ยยยย>O<

     

     

    “อะ อืม” ฉันเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยแล้วเบี่ยงหน้าหนี แต่ไอ้ความรู้สึกถูกจ้องนี่สิมันทำให้อึดอัด

    “หรือเธอแกล้งจำอะไรไม่ได้ เพื่อจะเลี่ยงการจ่ายค่าเสียหาย”

     

    “ค่าเสียหาย?” ฉันร้องออกไปอย่างตกใจปนกับความงงงวยเมื่อได้ยินคำว่าค่าเสียหาย

     

     

    ค่าเสียหายอะไร?

     

     

    ฉันไปทำอะไร ให้ใคร ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไอ้บ้านี่ถึงมาเรียกร้องค่าเสียหาย หรือฉันเกิดสติแตกแล้วไปบีบคอจิ้งจกบ้านมัน บ้าเอ้ย!! ตอนนี้ฉันปวดหัวมากเลย คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง จับต้นชนปลายไม่ถูกสักเรื่อง และประเด็นคือฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครนี่สิ ปัญหาใหญ่เลยล่ะ

     

     

    “เธอเป็นต้นเหตุทำให้รถฉันพัง เพราะฉะนั้นเธอต้องจ่ายค่าเสียหาย” เขาอธิบายให้กระจ่างขึ้น แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

     

    “รถพัง?” ฉันเผลอขึ้นเสียงสูงอย่างตกใจ นี่สรุปว่าฉันไปทำรถไอ้บ้านี่พังงั้นเหรอ ตอนไหนวะ? ไม่เห็นจะจำได้

     

    “พูดเบาๆไม่เป็นรึไง ยัยโง่”

     

    “นายว่าใครโง่ ห๊ะ! ไอ้เปรต” รู้สึกปรี๊ดแตกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำดูถูก กล้าดียังไงมาว่าฉันโง่

     

    “ว่าใคร”

     

     

    ไอ้คนตัวสูงเอนตัวมาคร่อมโดยเอาสองแขนยันกับเตียงกั้นตัวฉันไว้พร้อมกับกดเสียงต่ำเหมือนกำลังขู่ โชคยังดีที่มันไม่ปีนขึ้นเตียงมาด้วย ไม่งั้นฉันต้องได้กระโดดถีบคนจนคอหักตายแน่

     

     

    แต่ไอ้สถานการณ์ตอนนี้มันก็ถือว่าไม่ได้โชคดีเลยนะ

     

     

    “ไอ้บ้า ทำอะไรของนาย ออกไปนะโว้ย” ฉันรีบยกมือขึ้นดันแผงอกของคนตัวใหญ่แต่เรี่ยวแรงที่มีมันน้อยกว่ามดซะอีก แล้วแบบนี้ฉันจะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับไอ้คนประสาทนี่

     

    “แล้วคิดว่าฉันจะทำอะไร” เขาหรี่ตามองฉันอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาใกล้เรื่อยๆ จนฉันต้องกลั้นหายใจเพราะอาการเกร็งสุดขีด

     

    “มะ... ไม่รู้ ออกไป!!” ฉันเบี่ยงหน้าหนีก่อนจะตะคอกเสียงสั่น ฉันทำตัวไม่ถูกเลย ให้ตายสิ!

     

    “ทำอะไรดีนะ” ฉันลอบมองหน้าเขาทางหางตา ก็พบว่ามันยกยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย สายตาแพรวพราวเป็นประกายบ่งบอกได้ถึงความเจ้าชู้ตัวพ่อ และรู้สึกว่ามันคงไม่ได้มีแค่ความเจ้าชู้หรอก มันมีมากกว่านั้น

     

    ><” ฉันหลับตาปี๋ เมื่อไอ้คนประสาททำท่าจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีก ลมหายใจอุ่นๆรดรินอยู่ที่พวงแก้มจนฉันร้อนผ่าวไปทั้งตัว หัวใจก็เต้นอย่างกับชาตินี้ทั้งชาติไม่เคยเต้น ถ้ามันจะเต้นแรงขนาดนี้นะ

     

    “หึ! เชิญครับหมอ”



    พอสิ้นเสียง ฉันก็รู้สึกถึงเงาวูบไหวห่างออกไปก่อนจะรีบลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว ณ ตอนนี้รอบเตียงของฉันถูกล้อมไปด้วยเหล่าพยาบาลสองสามคนและหมออีกหนึ่งคน พร้อมกับไอ้บ้าหน้ากวนตรีนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก



    มันยักคิ้วให้ฉันทีนึงอย่างน่าหมั่นไส้ และรอยยิ้มกรุ่มกริ่มแบบนั้น เห็นแล้วอยากอ้วกออกมาจริงๆ ฉันส่งสายตาค้อนให้ทีนึงก่อนจะมุ่งความสนใจไปที่หมอ

     

     

              แต่เดี๋ยวนะ......

     

     

              หมอเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไอ้เหตุการณ์เมื่อกี้หมอจะเห็นมั้ย แล้วถ้าเห็นล่ะO_O ไม่นะเว้ย.... ต้องไม่มีใครมาเห็นภาพอุบาทว์แบบนั้น เพราะฉันเสียหายนะรู้มั้ย

             


              ผ่านไปกว่าครู่ใหญ่ที่หมอทำการตรวจโน่น นี่ นั่น และยังทำการซักถามข้อมูลอะไรมากมายก็ไม่รู้ ซึ่งฉันตอบไม่ได้สักอย่าง นึกจนหัวจะระเบิดก็นึกไม่ออก ผลสุดท้ายฉันก็เห็นหมอทำหน้านิ่งแล้วเดินออกไปพร้อมกับไอ้ประสาทนั่น จนกระทั่งมันเดินกลับเข้ามาอีกรอบด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูก

     

     

              แล้วในตอนนี้ฉันก็ลุกขึ้นนั่งได้สักที ฉันอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเงียบๆเหมือนเด็กหลงทางไม่มีที่ไป ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเองที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่กลับเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง

     

     

    บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันสับสนมาก ไม่รู้จะคิดอะไรดีเพราะคิดไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ไม่มีอะไรอยู่ในหัวฉันเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างมันว่างเปล่าจนหน้าใจหาย

     

     

    “ทำหน้าอย่างกับปลาดุกเครียด” ไอ้นี่ก็ช่างเปรียบเทียบเหลือเกินนะ จะเปรียบ ให้มันดีๆกว่านี้หน่อยไม่ได้ไง คนกำลังเครียดไม่มีอารมณ์มาเล่นหรอก

     

    “ปลาดุกบ้านนายสิเครียด” ฉันก้มหน้าพูดประชดคนตัวสูงที่ตอนนี้มายืนประชิดขอบเตียงเรียบร้อยแล้ว

     

    “บ้านฉันเลี้ยงปลาทอง” เออ-_-!! เอากับมันสิ จะรู้บ้างมั้ยว่ากุประชด

     

    “จะปลาอะไรก็เรื่องของนาย ออกไปได้แล้ว รำคาญ!” ฉันเงยหน้าเอ็ดใส่คนบ้าหน้ากวนตรีนอย่างหงุดหงิดก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วตะแคงหันหลังให้เขาอย่างจงใจ

     

    “อยากเห็นปลาทองฉันมั้ย” โว้ย>O< มันยังไม่หยุดอีก

     

    “ออกไป!!!

    “ฉันจะออกไปก็ต่อเมื่อเธอจ่ายเงินให้ฉันล้านห้า เป็นที่เรียบร้อยแล้วเท่านั้น”

     

     

    ล้านห้าO_O!!!!! 

     

     

    ฉันเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้งอย่างอัตโนมัติเมื่อได้ยินจำนวนเงินมหาศาลที่ฉันจะต้องจ่ายให้กับเขา ว่าแต่มันค่าอะไรล่ะ ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง ไอ้นี่ต้องเป็นมิจฉาชีพมาหลอกเอาเงินแน่เลย

     

     

    “ค่าอะไรของนาย”

     

    “ก็ค่าที่เธอทำลูกรักฉันพัง ตอนนี้แอ้งแม้งอยู่ในอู่” ลูกรัก.... แอ้งแม้งอยู่ในอู่   ตัวอะไรวะ? ปลาทองเหรอ หรือว่ารถ

     

    “ฉันไปทำตอนไหน” ฉันเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงแม้จะคิดไม่ออกว่าตัวเองเป็นใครก็ตาม แต่ฉันมั่นใจว่าคนอย่างฉันต้องไม่มีนิสัยไปทำลายข้าวของของคนอื่น

     

    “เมื่อสามวันที่แล้ว เธอเดินมาปาดหน้ารถฉัน จนฉันต้องหักหลบแล้วไปอัดกับเข้าต้นไม้ โชคดีที่ฉันไม่เป็นอะไร แต่เธอเป็น” อืม -_- นายน่ะโชคดีมาก แต่คนซวยคือฉันต่างหากเล่า

     

    “จริงเหรอ.....” ฉันถามย้ำเพราะไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่ ก็หน้าตาคนเล่ามันไม่น่าเชื่อถือนี่หว่า

     

    “ไม่จริงมั้ง... งั้นเธอก็คงไม่มาอยู่ในสภาพนี้หรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ใบหน้ายังกวนเบื้องล่างเหมือนเดิม สิ่งที่เกลียดที่สุดคือสายตาอันแพรวพราวของมันต่างหาก ดูก็รู้ว่าเจ้าชู้สุดๆ

     

     

    เชอะ! ฉันเกลียดคนเจ้าชู้ว่ะ

     

     

    ฉันก้มสำรวจตัวเอง มันก็จริงอย่างที่เขาพูด นี่สินะเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องมาอยู่ในสภาพนี้ แล้วยังไงล่ะ เขาก็ทำให้ฉันได้รับบาดเจ็บเหมือนกันหนิ ฉันจำเป็นต้องจ่ายให้เขาฝ่ายเดียวหรือไง

     

     

    “ไม่ต้องมาทำสายตาแบบนั้น” เขารีบชิงพูดขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปากเถียง “เพราะฉันหักลบค่าที่ทำเธอบาดเจ็บออกเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือล้านห้าไง”

     

     

    นี่มันหักลบออกแล้วเหรอ..... ถ้าจำนวนเต็มมันจะเท่าไหร่วะ ฉันไม่ต้องขายทั้งชีวิตเพื่อมาชดใช้ค่าทำลูกรักเขาพังเลยรึไง บ้าเหอะ!! โกงกันหรือเปล่า หน้าตาฉันดูเหมือนคนมีอันจะกินหรือไง ถึงมาไถเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นจากฉัน

     

     

    “ไม่มี”

     

    “หืม อะไรนะ.....” หูตึงหรือไงวะ

     

    “ฉันบอกว่าไม่มี ไอ้ล้านห้าอะไรของนายน่ะ”

     

    “เธอคิดจะชิ่งเหรอ”

     

    “...............” ชิ่ง เชิ่ง อะไรของนายวะ ก็คนมันมีจริงๆจะให้เอาที่ไหนมาให้

     

    “อ้อ.... ลืมไปว่าเธอความจำเสื่อม เธออาจจะมีเงินก็ได้ แต่เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองมี” เขาพูดอย่างหน้าตาย ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำให้ฉันตกใจเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง ถ้าตกใจอีกรอบฉันคงได้หัวใจวายตายแน่

     

    “ความจำเสื่อม!!!” ฉันเผลอขึ้นเสียงสูงอย่างลืมตัว จนคนฟังต้องเอามือปิดหูแล้วทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ฉัน

     

    “เธอจะเอ็ดทำไมวะ พูดดีๆไม่เป็นไง?

     

    “เมื่อกี้นายบอกว่าฉันความจำเสื่อมงั้นเหรอ นายไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย พูดจริงใช่มั้ย ฉันไม่เล่นนะ” ฉันจับแขนอันกำยำของเขาเขย่าอย่างร้อนรนเมื่อได้ยินว่าตัวเองความจำเสื่อม

     

     

    บ้าเหอะ!! มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ ให้ฉันตายไปเลยดีกว่าที่ตื่นมาแล้วต้องมารู้ว่าตัวเองความจำเสื่อม ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน พระเจ้าอย่าเล่นตลกกับฉันแบบนี้T^T

     

     

    “โอ๋ๆๆๆ อย่าเพิ่งร้องนะ จุ๊บ”

    “เฮ้ย!!!......ไอ้บ้า”

     

     

    เพี้ยะ!

     

     

    ฉันรีบดึงมือออกมาจากการเกาะกุมก่อนจะตวัดฟาดลงบนแก้มอันขาวเนียนของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อไอ้หื่นนี่ทำเนียนดึงมือฉันเข้าไปจุ๊บ เหมือนเป็นการปลอบขวัญ แต่สำหรับฉันมันคือการหลอกหลอนชัดๆ

     

     

    “เอางวงมาฟาดฉันทำไมเนี่ย” เขารีบโวยวายทันทีเมื่อได้ลิ้มรสฝ่ามืออรหันต์ของฉันไป แต่ไอ้คำพูดเมื่อกี้มันทำให้ฉันอยากจะแถมให้อีกสักรอบ

     

    “นายหลอกแต๊ะอั่งฉัน ไอ้คนลามก ทุเรศ ไอ้หื่น ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ไอ้เสือผู้หญิง ไอ้นรก บ้า แม่ง! บ้าที่สุด” ฉันด่าเขาแบบไม่มีหยุดพักหายใจกันเลยทีเดียว

     

    “ทำไมเธอรู้นิสัยฉันดีจัง เป็นเมียฉันเหรอ” แต่เชื่อเหอะ! ว่าเขาไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด

     

    “ใครเมียนาย พูดให้มันดีๆนะ ไม่งั้นฉันจะตบปากให้ฟันร่วงเลย คอยดู”

    “แล้วอยากเป็นมั้ย”

     

    “หืม...?

     

    “เมียฉันน่ะ”

     

    “ไอ้.....................”   ความอดทนขาดผึ่งทันที ฉันรีบกระโจนใส่คนตัวสูงแล้วเอาเล็บข่วนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งทุบทั้งตีโดยไม่สนใจเสียงร้องท้วงของเขา

     

    “อะ โอ้ย!!! ฮ่าๆๆๆ ยัยหมาบ้า คิก..   หยุดนะโว้ย โอ้ย......”

     

    “อ๊ะ! ปะ.. โอ้ย! ปวดหัว” แต่แล้วจู่ๆก็มีแสงสีขาววาบเข้ามาพร้อมกับอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดอีกแล้ว ฉันต้องหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วกุมศีรษะตัวเองไว้ เมื่อมันรู้สึกเหมือนมีมือเหล็กมาบีบสมองก่ะจะให้แหลก

     

    “เฮ้ย!! เป็นไรวะ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาแว่วๆ แต่ฉันกลับยังหลับตาปี๋ด้วยอาการปวดหนึบที่หัว

    “ฉัน..... โอ้ย”  ให้ตายเหอะ เหมือนสมองกำลังจะระเบิดเลย มันเต้นตุบๆอย่างหนักจนฉันแทบจะร้องกรี๊ดออกมา

     

    “เป็นอะไรก็พูดสิวะ ร้องโอ้ยๆอยู่ได้ ถ้าครางว่าไปอย่าง”

     

    “ไอ้บ้า..... ฉะ ฉันปวดหัว” ยังจะมีอารมณ์มาเล่นอีก ไอ้บ้าเอ้ย! เล่นไม่ดูเวล่ำเวลา ผีเจาะปากมันมาพูดรึไงกัน

     

     

    เพียงครู่เดียวฉันกลับรู้สึกว่ามีวงขาอันแข็งแกร่งมาตวัดเอาร่างฉันเข้าไปแนบกับหน้าท้องแกร่งของใครสักคน อ้อมแขนนั้นกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับฝ่ามือหนาที่คอยลูบหลังอย่างเชื่องช้า

     

     

    “หายใจเข้าลึกๆ” เสียงกระซิบที่แผ่วเบาดังอยู่ริมหู แต่ฉันกลับได้ยินมันชัดเจนเหมือนมันดังก้องอยู่ในหัว และฉันก็ดันทำตามที่เสียงนั้นบอกซะด้วยสิ นี่ฉันโอนเอนง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ แต่มันก็ได้ผลจริงๆแหละ ฉันทำแบบนี้ซ้ำๆจนกระทั่งอาการปวดหัวทุเลาลง

     

    “ปะ ปล่อย....” ฉันรีบดันตัวเองออกเมื่อรู้สึกตัว ถึงแม้จะยังมีอาการมึนๆอยู่บ้างก็ตาม บ้าเหอะ! หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเอาซะเลย เดี๋ยวสมองเต้น เดี๋ยวหัวใจเต้น ฉันจะช็อกตายเข้าสักวัน

     

    “หวั่นไหวเหรอ” เขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ อีกแค่เพียงคืบเดียวจะจูบกันอยู่แล้ว ไอ้บ้านี่ทำอะไรของมัน อย่าทำแบบนี้นะเว้ย>.< เดี๋ยวได้ตบตีฟาดงวงฟาดงากันอีกรอบแน่

     

    “พะ พูดอะไรของนาย มั่ว!” ทำไมปากมันสั่นอย่างนี้วะ

     

    “หึ! ตงลงจะจ่ายมั้ย ล้านห้าอ่ะ ถ้าไม่จ่าย ก็คงต้องเอาตัวเธอมาเป็นค่ามัดจำ” เห็นฉันเป็นตัวอะไร ถึงจะเอาไปมัดจำแทนเงินน่ะ ห๊ะ!! เดือดค่ะเดือด

     

    “ฝันไปเหอะ” ฉันตวาดกลับไปอย่างเหลืออด พูดแบบนี้ดูถูกกันชัดๆ ฉันยอมไม่ได้

     

    “งั้นก็เอามาล้านห้า ตอนนี้เลย”

     

    “นายจะบ้าเหรอ ขะ.. ขอเวลาหน่อย” ฉันต้องกัดฟันพูดขอร้องออกไปทั้งที่ไม่อยากทำเลยสักนิด

     

    “ว้า!! ฉันมีเวลาไม่มากซะด้วยสิ ให้ห้านาทีแล้วกัน”

     

    “นาย!!!.............” ฉันอยากจะต่อยหน้ากวนๆนั่นสักทีจริงๆ หาเงินล้านห้าภายในห้านาที เทวดาก็ยังหาไม่ทัน เอาอะไรคิดว่า

     

    “วิลด์  คือชื่อฉัน ส่วนเธอชื่อนิฟตี๊ ชื่อกระแดะดีเน้อะ” เขาแนะนำตัวเองโดยที่ฉันไม่อยากรู้สักนิด แต่ประโยคถัดมานี่สิน่าสนใจ ส่วนประโยคสุดท้ายนี่น่าถีบ

     

    “ฉันชื่อนิฟตี๊เหรอ นายรู้ได้ไง”

     

    “ก็ค้นกระเป๋าเธอ แล้วเจอบัตรประชาชน แต่มันไม่ได้ระบุชื่อเล่นเอาไว้ ฉันเลยค้นต่อจนเจอบัตรพนักงานในผับแห่งหนึ่ง” ใจความสำคัญอยู่ประโยคสุดท้ายแล้วมันจะร่ายยาวทำเผือกอะไร

     

    “ไร้มารยาท”

    “ก็ดีกว่านั่งหน้าโง่ แล้วไม่คิดจะค้นหาอะไรที่เกี่ยวกับตัวเอง” มันด่าฉันหรือเปล่า-_-‘

     

    “นายด่าฉัน?

     

    “เปล๊า ฉันพูดลอยลอย” เขายักไหล่อย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ากางเกงออกไปหน้าตาเฉย ยอมรับว่าหล่อจริงไรจริง แต่นิสัยแบบนี้ ไม่ไหวนะ บอกเลย

     

     

    ไอ้ประสาท!!!!

     

     

     

    .........................................................................................................................................................
    อัพแล้วคร้าาาาาาา>.< The fell in flirting.
    เปิดตัวไปได้สักพักแล้วนะคะสำหรับเรื่องนี้
    หลังจากเปิดตัว ไรท์ก็หายหัวไปเลย เหมือนหายไปจากโลก
    ความจริงคือไม่ได้หายไปไหนน้าาาาา.... 
    แค่ช่วงนี้ยุ่งมากๆเลยค่ะ ต้องขอโทษรีดเดอร์ทุกคนที่ให้รอ(เอ๊ะ!! รอกันรึเปล่านะ)

    เพิ่งเจอกันก็โดนจู่โจมซะแล้วนางเอกของเรา
    พอจะเดากันได้รึยังเอ่ย ว่าพระเอกมีนิสัยยังไง.....
    ต้องติดตามกันไปเรื่อยๆนะคะ
    เรื่องนี้รับรองมันส์(อะไรมันส์) ไม่แพ้เรื่องที่ผ่านมาแน่นอน
    อย่าลืม เม้นๆๆๆๆ ให้เค้าด้วยน้าาาาา^.^







     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×