ย้อนวันวาน เรื่องวุ่นวาย reply 2528: "ตอนค่ายลูกเสือผีป่วน" - ย้อนวันวาน เรื่องวุ่นวาย reply 2528: "ตอนค่ายลูกเสือผีป่วน" นิยาย ย้อนวันวาน เรื่องวุ่นวาย reply 2528: "ตอนค่ายลูกเสือผีป่วน" : Dek-D.com - Writer

    ย้อนวันวาน เรื่องวุ่นวาย reply 2528: "ตอนค่ายลูกเสือผีป่วน"

    ย้อนเวลาสู่ปี 2528 ค่ายลูกเสือสุดป่วน! ฮากระจายกับวีรกรรมสุดแสบของนักเรียน ครู และวิทยากรสุดฮอต ความรักวุ่นๆ กิจกรรมชวนขำ และเรื่องผีชวนขนหัวลุก ใครว่าค่ายลูกเสือจะน่าเบื่อ? เตรียมตัวหัวเราะจนท้องแข็ง

    ผู้เข้าชมรวม

    65

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    65

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ตลก-ขบขัน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ส.ค. 67 / 09:40 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เสียงเพลงชาติไทยดังกึกก้องไปทั่วบริเวณค่ายลูกเสือเก่าคร่ำคร่า ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องลงมา ทิวเขาเขียวขจีรายล้อมค่ายแห่งนี้ราวกับกำแพงธรรมชาติ แต่กลับมีบรรยากาศวังเวงแฝงอยู่

    เหล่าลูกเสือ-เนตรนารี ม.ต้น จากโรงเรียนบ้านหนองอีแร้ง ยืนตัวตรงเคารพธงชาติอย่างพร้อมเพรียง ชุดลูกเสือสีกากีและชุดเนตรนารีสีน้ำเงินเข้มดูเชยสุดๆ เมื่อเทียบกับแฟชั่นวัยรุ่นยุคใหม่ แต่ก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

    “ต่อไป เชิญทุกคนสวดมนต์ไหว้พระ” เสียงประกาศจากโทรโข่งดังขึ้น

    “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต...” เสียงสวดมนต์ดังขึ้นพร้อมกัน แต่เสียงของ 'กระแต' สาวน้อยขี้กลัว กลับดังสั่นเครือราวกับกำลังจะร้องไห้

    “กระแต แกเป็นอะไร” น้ำหวาน เพื่อนสาวห้าวเอ่ยถาม

    “ฉันกลัวผี” กระแตตอบเสียงสั่น “ได้ยินมาว่าค่ายนี้มีผีนางรำด้วยนะ”

    “โธ่เอ๊ย! กระแต อย่าไปเชื่อเลย เรื่องผีๆ น่ะ มันก็แค่เรื่องเล่า” ทิวา หัวโจกประจำกลุ่มพูดขึ้น

    “แต่พี่ต้น วิทยากรลูกเสือ บอกว่าเมื่อคืนเขาเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนอยู่หน้าห้องน้ำ” น้อยหน่า สาวน้อยช่างฝันเสริม

    “กรี๊ดดด!” กระแตกรีดร้องเสียงหลง ทำเอาเพื่อนๆ หัวเราะกันลั่น

    “ฐานป่วน ก๊วนฮา”

    หลังจากพิธีเปิดค่าย เหล่าลูกเสือ-เนตรนารีก็ถูกแบ่งกลุ่มและเริ่มทำกิจกรรมฐานต่างๆ

    “ฐานแรก ฐานผูกเงื่อน” ครูอารีย์ ครูสาวสวยประจำโรงเรียนประกาศ

    “เงื่อนบ่วงสายธนู ผูกยังไงนะ” ทิวาเกาหัวแกรกๆ

    “ฉันก็จำไม่ได้” น้ำหวานทำหน้ามุ่ย

    “ให้ฉันผูกให้ไหมจ๊ะ” เสียงเล็กแหลมดังขึ้นจากด้านหลัง ทุกคนหันไปมอง

    “พี่ต้น!” ครูอารีย์ร้องเสียงหลง พร้อมกับหน้าแดงก่ำ

    พี่ต้น วิทยากรลูกเสือสุดหล่อ เดินเข้ามาช่วยผูกเงื่อนให้เด็กๆ อย่างคล่องแคล่ว

    “ว้าว! พี่ต้นเก่งจังเลยค่ะ” ครูอารีย์ส่งสายตาหวานเยิ้ม

    “ขอบคุณครับครู” พี่ต้นยิ้มรับ

    ครูสุชาติ ครูหนุ่มเจ้าสำอาง เห็นภาพบาดตานั้นก็รีบเดินเข้ามาแทรกกลาง

    “เอ่อ... พี่ต้นครับ ผมว่าเงื่อนนี้มันยังไม่แน่นนะครับ” ครูสุชาติแกล้งจับผิด

    “ไม่แน่นตรงไหนครับครู” พี่ต้นเลิกคิ้ว

    “ตรงนี้ไงครับ” ครูสุชาติชี้นิ้วไปที่เงื่อน “มันต้องผูกแบบนี้ต่างหาก”

    ครูสุชาติพยายามแกะเงื่อนที่พี่ต้นผูก แต่กลับยิ่งทำให้เงื่อนพันกันยุ่งเหยิงไปหมด

    “ครูครับ ผมว่าครูยิ่งทำให้มันแย่ลงนะครับ” พี่ต้นพูดอย่างสุภาพ

    “นี่! นายกำลังจะบอกว่าฉันโง่หรือไง” ครูสุชาติขึ้นเสียง

    “เปล่าครับ ผมแค่...” พี่ต้นพยายามอธิบาย

    “พอๆ ทั้งสองคน” ครูอารีย์รีบเข้ามาห้ามทัพ “เราไปฐานต่อไปกันเถอะค่ะ”

    “ฐานปฐมพยาบาลอลเวง”

    ที่ฐานปฐมพยาบาล พี่แพรว วิทยากรเนตรนารีสาวสวย กำลังสาธิตวิธีการทำแผล

    “ถ้าโดนมีดบาด ต้องล้างแผลด้วยน้ำสะอาดก่อน แล้วค่อยใส่ยาฆ่าเชื้อ” พี่แพรวอธิบาย

    “แล้วถ้าแผลใหญ่ล่ะคะ ต้องทำยังไง” น้อยหน่าถาม

    “ถ้าแผลใหญ่ ต้องรีบห้ามเลือด แล้วพาคนเจ็บไปโรงพยาบาลทันที” พี่แพรวตอบ

    “แล้วถ้าเป็นแผลใจล่ะครับ ต้องทำยังไง” ครูสุชาติถามเสียงอ่อน

    “แผลใจเหรอคะ” พี่แพรวขมวดคิ้ว “อันนี้คงต้องให้คุณครูไปถามหมอรักษาโรคหัวใจนะคะ”

    ครูสุชาติหน้าเจื่อน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

    “เอ่อ... พี่แพรวครับ ผมว่าวิธีพันผ้าพันแผลของพี่มันยังไม่ถูกต้องนะครับ” ครูสุชาติแกล้งทักท้วง

    “ไม่ถูกตรงไหนคะ” พี่แพรวเลิกคิ้ว

    “ตรงนี้ไงครับ” ครูสุชาติชี้นิ้วไปที่ผ้าพันแผล “มันต้องพันแบบนี้ต่างหาก”

    ครูสุชาติพยายามแกะผ้าพันแผลที่พี่แพรวพัน แต่กลับยิ่งทำให้ผ้าพันแผลพันกันมั่วไปหมด

    “ครูคะ ฉันว่าครูยิ่งทำให้มันแย่ลงนะคะ” พี่แพรวพูดอย่างใจเย็น

    “นี่เธอ! เธอกำลังจะบอกว่าฉันโง่หรือไง” ครูสุชาติขึ้นเสียง

    “เปล่าค่ะ ฉันแค่...” พี่แพรวพยายามอธิบาย

    “พอได้แล้วทั้งสองคน” ครูอารีย์รีบเข้ามาห้ามทัพอีกครั้ง “เราไปฐานต่อไปกันเถอะค่ะ”

    “ฐานสังเกตธรรมชาติสุดหรรษา”

    ที่ฐานสังเกตธรรมชาติ เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับพืชและสัตว์ต่างๆ ในป่า

    “ต้นนี้เรียกว่าต้นอะไร” พี่ต้นชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

    “ต้นมะม่วง!” ทิวาตอบอย่างมั่นใจ

    “ผิดแล้วจ้ะ” พี่ต้นส่ายหัว “ต้นนี้เรียกว่าต้นยางนา”

    “แล้วต้นนี้ล่ะครับ” ครูสุชาติชี้ไปที่ต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่ง

    “ต้นมะขาม!” ครูสุชาติตอบอย่างภาคภูมิใจ

    “ผิดอีกแล้วค่ะครู” พี่แพรวหัวเราะ “ต้นนี้เรียกว่าต้นเฟิร์น”

    ครูสุชาติหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย

    “เอาล่ะ ใครตอบคำถามนี้ได้บ้าง” พี่ต้นถามต่อ “นกชนิดใดที่ชอบกินปลีกล้วย”

    “นกกินปลี!” กระแตตอบเสียงดังฟังชัด

    ทุกคนหัวเราะกันลั่น แม้แต่กระแตเองก็ยังอดขำไม่ได้

    “ถูกต้องจ้ะกระแต” พี่ต้นยิ้มให้

    “รอบกองไฟสุดป่วน”

    ตกเย็น หลังจากทำอาหารและรับประทานอาหารร่วมกัน ก็ถึงเวลาของกิจกรรมรอบกองไฟ

    “คืนนี้เราจะมาสนุกกันกับการแสดงของแต่ละหมู่” พี่ต้นประกาศ

    หมู่แรกขึ้นแสดงละครตลกเรื่อง “เจ้าหญิงกบ” แต่ดันเล่นผิดๆ ถูกๆ ทำเอาคนดูขำกลิ้ง

    หมู่ที่สองร้องเพลงประสานเสียง แต่เสียงเพี้ยนจนนกกาบินหนี

    หมู่ที่สามเต้นประกอบเพลง แต่ลืมท่าเต้นกันเกือบหมด

    “โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว ฉันขำจนท้องแข็งแล้วเนี่ย” น้ำหวานบ่น

    “ฉันก็เหมือนกัน” ทิวาหัวเราะจนน้ำตาไหล

    แม้การแสดงจะไม่ค่อยเป็นท่า แต่ทุกคนก็สนุกสนานและมีความสุข

    “เสียงกรีดร้องยามค่ำคืน”

    หลังจากกิจกรรมรอบกองไฟ ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน

    กลางดึกคืนนั้น เสียงกรีดร้องดังขึ้นปลุกทุกคนให้ตื่น

    “กรี๊ดดดด! ช่วยด้วย!” เสียงกรีดร้องนั้นมาจากห้องน้ำหญิง

    เด็กผู้หญิงกรูกันออกจากเต็นท์ด้วยความตกใจ

    “เกิดอะไรขึ้น” ครูอารีย์ถาม

    “มีผี! มีผี!” กระแตพูดเสียงสั่น

    “ผีอะไร” ครูอารีย์ถามต่อ

    “ผีนางรำ! ฉันเห็นผีนางรำอยู่ในห้องน้ำ” กระแตตอบ

    “ใจเย็นๆ นะกระแต”

    ครูอารีย์พยายามปลอบกระแต แต่เด็กสาวก็ยังคงตัวสั่นเทา ครูอารีย์จึงตัดสินใจไปตรวจสอบห้องน้ำด้วยตัวเอง

    “ครูจะไปดูเอง” ครูอารีย์พูดอย่างกล้าหาญ

    “ครูระวังด้วยนะคะ” น้อยหน่าพูดด้วยความเป็นห่วง

    ครูอารีย์เดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างระมัดระวัง ไฟฉายในมือส่องไปรอบๆ ห้องน้ำเก่าๆ นี้ดูน่ากลัวขึ้นเป็นกองในยามค่ำคืน เธอเดินไปที่ห้องสุดท้าย ห้องที่กระแตบอกว่าเห็นผีนางรำ

    ครูอารีย์เปิดประตูห้องน้ำช้าๆ แสงไฟฉายส่องไปทั่วห้อง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

    “ไม่มีอะไรนี่นา” ครูอารีย์พึมพำกับตัวเอง

    ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง ครูอารีย์หันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว

    “ใครน่ะ!” ครูอารีย์ร้องถาม

    ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงความเงียบสงัด ครูอารีย์รู้สึกขนลุกซู่ เธอรีบเดินออกจากห้องน้ำและกลับไปหาเด็กๆ

    “ครูคะ เจออะไรไหมคะ” กระแตถามอย่างร้อนรน

    “ไม่เจออะไรจ้ะ” ครูอารีย์ตอบ “อาจจะเป็นแค่น้องกระแตตาฝาดไปเองก็ได้นะ”

    “แต่หนูเห็นจริงๆ นะคะ” กระแตยืนยัน

    “ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวครูจะไปบอกพี่ต้นให้มาตรวจดูอีกที” ครูอารีย์พูดปลอบ

    “วิทยากรหายตัว”

    ครูอารีย์เดินไปหาพี่ต้นที่เต็นท์วิทยากร แต่กลับพบว่าพี่ต้นไม่อยู่

    “พี่ต้นไปไหนนะ” ครูอารีย์พึมพำ

    เธอเดินไปถามวิทยากรคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าพี่ต้นไปไหน ครูอารีย์เริ่มรู้สึกกังวล

    “หรือว่าพี่ต้นจะเป็นอะไรไป” ครูอารีย์คิดในใจ

    เธอตัดสินใจไปบอกครูสุชาติ

    “ครูสุชาติคะ พี่ต้นหายตัวไปค่ะ” ครูอารีย์พูดอย่างร้อนรน

    “อะไรนะ!” ครูสุชาติตกใจ “หายไปไหน”

    “ไม่รู้ค่ะ หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ” ครูอารีย์ตอบ

    “งั้นเราไปตามหากันเถอะ” ครูสุชาติพูด

    ครูอารีย์และครูสุชาติช่วยกันตามหาพี่ต้นทั่วค่าย แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ

    “พี่ต้นไปไหนของเขานะ” ครูอารีย์พูดอย่างกังวล

    “หรือว่าเขาจะโดนผีหลอก” ครูสุชาติพูดเสียงสั่น

    “อย่าพูดแบบนั้นสิคะ” ครูอารีย์ดุ

    ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง

    “กรี๊ดดดด! ช่วยด้วย!” เสียงกรีดร้องนั้นมาจากห้องน้ำชาย

    ครูอารีย์และครูสุชาติรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ

    “เกิดอะไรขึ้น” ครูอารีย์ถามเด็กผู้ชายที่ยืนออกันอยู่หน้าห้องน้ำ

    “ครูสุชาติหายตัวไปครับ” เด็กผู้ชายคนหนึ่งตอบ

    “อะไรนะ!” ครูอารีย์ตกใจ

    “ตามหาคนหาย”

    ตอนนี้ทั้งพี่ต้นและครูสุชาติหายตัวไป ทำให้ทุกคนในค่ายแตกตื่น

    “เราต้องรีบตามหาพวกเขานะคะ” ครูอารีย์พูด

    “แต่เราจะไปตามหาที่ไหนล่ะ” พี่แพรวถาม

    “ฉันว่าเราลองไปดูที่ศาลพระภูมิเก่าสิ” น้อยหน่าเสนอ “ฉันเคยได้ยินมาว่าถ้ามีคนหายตัวไปในค่ายนี้ ให้ไปขอพรที่ศาลพระภูมิเก่า”

    “งั้นเราไปกันเถอะ” ครูอารีย์พูด

    ทุกคนรีบเดินทางไปที่ศาลพระภูมิเก่า ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่า

    “ศาลพระภูมินี่น่ากลัวจัง” กระแตพูดเสียงสั่น

    “ไม่ต้องกลัวนะกระแต” น้ำหวานพูดปลอบ

    เมื่อถึงศาลพระภูมิเก่า ทุกคนก็ช่วยกันจุดธูปเทียนและขอพรให้พบพี่ต้นและครูสุชาติโดยเร็ว

    ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลัง

    “ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะนั้นฟังดูน่าขนลุก

    ทุกคนหันไปมองตามเสียงหัวเราะ

    “ใครน่ะ!” ครูอารีย์ร้องถาม

    ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงความเงียบสงัด

    “ความจริงเปิดเผย”

    ทันใดนั้น พี่ต้นและครูสุชาติก็เดินออกมาจากพุ่มไม้

    “พวกคุณไปไหนมา!” ครูอารีย์ถามอย่างโมโห

    “พวกเราแค่แอบไปเที่ยวตลาดกันน่ะ” พี่ต้นตอบ

    “เที่ยวตลาด!” ครูอารีย์โกรธจัด “แล้วทำไมไม่บอกใคร”

    “ก็พวกเราเบื่อกิจกรรมในค่ายนี่นา” ครูสุชาติพูด

    “พวกคุณนี่มัน!” ครูอารีย์ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

    “ขอโทษครับ/ค่ะ” พี่ต้นและครูสุชาติรีบขอโทษ

    “เอาเถอะ คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ” ครูอารีย์พูด

    “ปิดค่ายหรรษา”

    เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ถึงเวลาปิดค่าย

    “การเข้าค่ายครั้งนี้ ถึงแม้จะมีเรื่องวุ่นวายบ้าง แต่ทุกคนก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง” ครูใหญ่กล่าว

    “ขอให้ทุกคนจดจำประสบการณ์ดีๆ ที่ได้รับจากค่ายนี้ไปตลอดนะ”

    หลังจากพิธีปิดค่าย ทุกคนก็ช่วยกันเก็บของและทำความสะอาดค่าย

    “พี่ต้นคะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยสอนอะไรหลายๆ อย่าง” ครูอารีย์พูด

    “ด้วยความยินดีครับครู” พี่ต้นยิ้ม

    “พี่แพรวครับ ผมขอโทษนะครับที่ทำตัวไม่ดีใส่” ครูสุชาติพูด

    “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ” พี่แพรวยิ้ม

    “ความทรงจำมิรู้ลืม”

    การเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีครั้งนี้ ถึงแม้จะมีเรื่องวุ่นวายและน่ากลัวบ้าง แต่ก็เป็นความทรงจำที่น่าจดจำและตลกที่สุดในชีวิตของทุกคน

    “ฉันจะไม่มีวันลืมค่ายนี้เลย” ทิวาพูด

    “ฉันก็เหมือนกัน” น้ำหวานเสริม

    “แม้แต่เรื่องผีๆ ก็ยังตลกเลย” กระแตหัวเราะ

    “ใช่ไหมล่ะ” น้อยหน่ายิ้ม

    เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังก้องไปทั่วบริเวณค่าย เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขและความทรงจำอันแสนวิเศษ

    “ย้อนวันวาน เรื่องวุ่นวาย reply 2528: ตอนค่ายลูกเสือผีป่วน” จบ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×