THUNDER AND THE WIND [yuri] - THUNDER AND THE WIND [yuri] นิยาย THUNDER AND THE WIND [yuri] : Dek-D.com - Writer

    THUNDER AND THE WIND [yuri]

    อีกหนึ่งเวอร์ชั่นของ ภาคต่อ Painter of the wind เพื่อแฟนๆ คู่รัก 5 เหรียญ

    ผู้เข้าชมรวม

    3,064

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    15

    ผู้เข้าชมรวม


    3.06K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    17
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ต.ค. 55 / 13:45 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สามปีหลังจากการพลัดพราก
      ตุ้บ ๆๆๆๆๆ เสียงฝีเท้าของชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง วิ่งตามร่างเล็กที่กำลังวิ่งหนีอย่างหัวซุกหัวซุน จนในที่สุดพวกเขาก็ตามร่างนั้นทันและเข้าล้อมร่างเล็กนั้นไว้ คนร่างเล็กสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
      “ยอมให้จับซะดีๆ ดีกว่าแฮวอน พวกข้าจะได้ไม่ต้องฆ่าเจ้า”
      แฮวอน ซินยุนบกจนมุมเหล่าชายฉกรรจ์หรือมือสังหารที่พระอัยยิกาของพระเจ้าจองโจส่งมาจากฮันยางเพื่อจับตัวเขาไปเล่นงานพระเจ้าจองโจ
      “ข้าไม่ยอมไปกับพวกเจ้าหรอก ถึงข้าจะตายก็จะไม่ยอมให้ใครมาใช้ประโยชน์จากข้าอีกแล้ว” ยุนบกกล่าวอย่างหวาดกลัวแต่แข็งกร้าว เตรียมพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อปกป้องพระเกียรติของพระราชา เขาคว้ากิ่งไม้ใกล้ตัวหมายจะเข้าต่อสู้ ทันทีกับที่มือสังหารเข้าโจมตีเขาเช่นกัน แต่ทันใดนั้นบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและเข้าขัดขวางการรุมสังหารนั้น
      “เฮ้ยๆ พวกเจ้านี่มันหมาหมู่จริงๆ เด็กตัวแค่นี้เจ้ายังจะทำมันได้ลงคอนะ ถามหน่อยมันไปขโมยกินปลาของเจ้าหรือไงถึงได้โมโหหิวกันซะขนาดนี้”
      “ไม่เกี่ยวกับเจ้า ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไป” พลั่ก! ตุ้บตั้บ!
      เขาโต้ตอบพวกมันด้วยมือเปล่าอย่างดุดัน ทั้งที่มือสังหารมีถึง4คน พร้อมดาบเป็นอาวุธ แต่ไม่สามารถต่อกรกับบุรุษ ผู้แข็งแกร่งคนนี้ได้ ยุนบกตื่นตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ในพริบตาเขากลับล้มพวกมันทั้งหมดลงได้
      “ฮ่าๆๆๆ ถ้าจะต่อสู้ต้องดูที่เท้าของคู่ต่อสู้ซิ เจ้าพวกโง่เอ๊ย” บุรุษไม่ทราบชื่อกล่าวอย่างอารมณ์ดีและหัวเราะลั่น
      “เป็นไง ข้าเก่งไหมเจ้าหนู ดูไว้เป็นตัวอย่างซะ ลูกผู้ชายมันต้องอย่างงี้” เขาหันไปพูดกับยุนบก ในขณะที่ยุนบกเองยังช็อกกับภาพตรงหน้าอยู่ เขารอดตายอย่างหวุดหวิดเพราะชายคนนี้แท้ๆ
      “ข้า..ขอบคุณท่านมาก พี่ชายข้าไม่รู้จะทดแทนท่านยังไงดี ข้า..ข้า” ยุนบกกล่าวขอบคุณอย่างตะกุกตะกัก
      “เอ้ยอย่าคิดมาก ลูกผู้ชายเขาไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กๆน้อยๆหรอก ว่าแต่ว่าเจ้ามีอะไรให้ข้าได้บ้างล่ะ อย่างเงินทองเล็กๆน้อยๆ” เขากล่าวอย่างเจ้าเล่ห์
      “หา...เออคือข้าไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัวเลย มีเพียงเงิน 5 เนียงเท่านั้น และก็อุปกรณ์เขียนภาพเท่านั้น” ยุนบกกล่าวตอบ
      “จิๆๆๆ อะไรกันไม่ใช่ว่าเจ้าขโมยเงินพวกมันมาหรอกหรอถึงได้ตามมาเล่นงานเจ้าแบบนี้ เอาน่าอย่าขี้งกนักเลย เงินทองเล็กน้อยก็แบ่งกันบ้าง ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้าไว้นะเจ้าหนู” เขาพูดพลางงัดหน้ายุนบกให้เงยมาจ้องตากับเขา พร้อมทำสายตาขู่เข็ญเอาความจริง
      “ข้าไม่มีจริงๆ ข้าเดินทางมาไกลเงินทั้งหมดก็หมดไปกับการเดินทาง ได้โปรดเถอะพี่ชายท่านจะให้ข้าตอบแทนท่านยังไงก็ได้แต่ข้าไม่มีเงินจริงๆ” ยุนบกอ้อนวอน ทำให้บุรูษผู้นั้นรู้สึกเหมือนกำลังรังแกคนอ่อนแอกว่าจึงเกิดความรู้สึกผิด
      “เออๆ ข้าเชื่อเจ้าแล้ว เฮ้อเซ็งจริงเว้ย ช่วยไม่ได้ในเมื่อเจ้าไม่มีเงินก็....” เขาหยุดพูด พลางมองดูย่ามที่ยุนบกบอกว่าเป็นอุปกรณ์เขียนภาพ
      “เจ้าเป็นช่างเขียนหรอ ใช่ไหมเจ้าเป็นใช่ไหม” เขาถามอย่างกระตือรือร้น
      “ครับ.. ข้าเป็นช่างเขียน แต่ก็ไม่ได้วาดเก่งกาจ” ยุนบกตอบพร้อมจะกลบเกลื่อนตัวว่าไม่ใช่ช่างเขียนที่เก่งกาจ หากแต่ถูกมือของชายผู้ช่วยชีวิตสวมกอดรอบคอเข้าทันที
      “ดี ดีมาก จานต้องชอบแน่ๆ มาเจ้ามากับข้า เจ้าไม่มีเงินนี่ เจ้าต้องไม่มีที่พักแน่ๆ น้องชาย” เขาลากยุนบกไปตามคำกล่าว ยุนบกได้แต่ตามเขาไปแต่โดยดี แม้จะรู้สึกงึนงงในท่าทีของชายผู้นี้เหลือเกินก็ตาม 

      ชายหนุ่มพายุนบกเดินเข้าไปในเมือง แม้จะดึกมากแล้วแต่ผู้คนยังพลุกพล่าน เขาเดินผ่านตลาดที่แม่ค้าพ่อค้ามากมายต่างกำลังขายของอย่างขะมักเขม้น ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นต่างร้องทักทายชายผู้นี้อย่างสนิทชิดเชื้อ
      “อ้าวท่านฟ้าคำราม ยังไม่นอนอีกหรอ ไม่อยู่บ้านยามวิกาลยังนี้เดี๋ยวก็ได้โดนดีหรอก ฮ่าๆๆๆ” พ่อค้าขายข้าวคนหนึ่งร้องทักเขา พร้อมหยอกล้อกับพ่อค้าคนอื่นๆ
      “ฮงจูเจ้าไม่ต้องมาแช่งข้าเลย เดี๋ยวปั๊ดเพิ่มค่าคุ้มครองซะหรอก” ชายหนุ่มโต้ตอบ หากแต่ก็ไม่คิดจริงจัง ยุนบกมองภาพดังกล่าวจึงยิ่งสงสัยในตัวชายผู้นี้ เขาดูเป็นคนมีชื่อเสียง ชาวบ้านรู้จักเขาเป็นอย่างดี ทันใดนั้นก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งวิ่งตรงมายังพวกเขาทั้งคู่ และเข้ามาล้อมพวกเขาไว้ ยุนบกตกใจยิ่งนักเพราะคิดว่ายังมีมือสังหารเหลืออยู่
      “พี่ฟ้าคำราม ท่านไปไหนมา เจ๊จานโมโหใหญ่แล้ว” ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้หาได้ประสงค์ร้ายต่อยุนบก หากแต่เป็นลูกสมุนของฟ้าคำรามบุรุษที่ลากเขามาตลอดทางต่างหาก แล้วทันใดนั้นก็ปรากฏร่างอันน่าเกรงขามข้างหลังกลุ่มลูกสมุน เดินตรงมายังชายหนุ่มที่เป็นศูนย์กลางของกลุ่ม ร่างนั้นช่างน่าหวาดหวั่นจนทำให้ฟ้าคำรามถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ยุนบกตกใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก แล้วร่างนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าฟ้าคำรามพร้อมกับมือเรียวที่ยืนออกมาบิดหูของชายหนุ่ม
      “โอ้ยๆๆ เมียจ้า พี่ผิดไปแล้ว พี่ออกมาเดินเล่นเฉยๆ ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยจริงๆ” ฟ้าคำรามพูดอย่างอ่อนน้อม ผิดกับท่าที ที่แสดงต่อคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ยุนบกรู้สึกอึ้งกับอาการดังกล่าวอย่างคาดไม่ถึง
      “ดึกดื่นปานนี้ สามีคนอื่นเขาเข้านอนกอดเมียกันหมดแล้ว มีแต่ท่านนี่แหละที่ข้าต้องเดินตามหา ออกไปหาเศษหาเลยมาใช่ไหม นี่แน่ะจะบิดให้หูขาดเลย ไหนท่านว่าจะดูแลข้าไง วันๆหายหัวไปไหนไม่รู้ ไม่บอกไม่กล่าว รู้ไหมว่าข้ารู้สึกยังไง” หญิงสาวพูดอย่างเหลืออด และกลั้นน้ำตาไม่อยู่ร้องไห้โฮออกมา
      “เออ ข้าขอโทษจ้ะ จานข้าแค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น ไม่คิดว่าจะทำให้เจ้า” เขาพูดเสียงอ่อนอย่างรู้สึกผิด
      “รู้ไหมว่าข้าห่วงท่าน ท่านนะชอบหาเรื่อง ทั้งที่ศัตรูก็มีอยู่มากมายอยู่แล้ว แต่ท่านก็ไม่ระวังตัว ข้ากลัวว่าสักวันข้าต้องเป็นหม้ายโดยไม่รู้ตัวแน่ๆ” นางกล่าวสะอึกสะอื่น
      “ข้าไม่ทิ้งเจ้าไปไหนหรอก ข้าบอกแล้วไงจะดูแลเจ้าตลอดไป” เขาพูดปลอบและโอบกอดนาง ยุนบกเฝ้ามองภาพของคน ทั้งคู่โดยตลอด และสัมผัสได้ถึงความรักที่พวกเขามีให้กัน มันทำให้เขาคิดถึงคนๆนึงขึ้นมา
      “อะแฮ่มๆ ลูกพี่ครับนี่มันกลางตลาดจะทำอะไรก็กลับไปทำที่บ้าน ดีไหม” ลูกสมุนคนหนุ่มกล่าวทักขึ้น ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเขินอาย ฟ้าคำรามจึงใช้มือตบศีรษะเจ้าลูกน้องสู่รู้คนดังกล่าวแก้เขิน และเหลือบไปเห็นยุนบกที่เขาเกือบจะลืมไปแล้วจึงได้กล่าวแนะนำ
      “จาน นี่.....เจ้าชื่ออะไรนะ” ฟ้าคำราจะแนะนำยุนบกให้ภรรยาของตนรู้จัก หากแต่ก็ยังไม่ได้ถามชื่อยุนบกก่อน
      “เออ ข้า ซิน เอ้ย ซอ ยุนบก ขอรับ” ยุนบกกล่าวทักทายพร้อมคำนับ
      “สวัสดีค่ะคุณชายซอ ข้าจาน ภรรยาของตาทึ่มนี่ค่ะ” นางพูดพร้อมตบศีรษะของสามีเบาๆ
      “ส่วนข้า ฟ้าคำราม” เขาพูดพร้อมหยุด ให้ลูกน้องประสานเสียงกัน “ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมาโป” ยุนบกยิ้มแหยๆกับการกระทำของพวกเขา และรู้สึกไม่แน่ใจนักว่าเขาโชคดีที่ได้บุรุษผู้นี้มาช่วย

      ยุนบกตามฟ้าคำรามมายังบ้านของของเขา ซึ่งเป็นร้านเหล้า ชื่อ เสน่ห์จันทรา ฟ้าคำรามเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลงที่คุมเขต มาโป แห่งเมือง หยางโจ เขาบังเอิญไปประลองกับ หูเหล็ก ซึ่งเป็นหัวหน้าคนก่อนของกลุ่มเข้า แต่ดันชนะแบบฟลุ๊กๆ แถม หูเหล็กยังต้องนอนสลบเป็นเจ้าชายนิทราไป 10 ปี ฟ้าคำรามจึงได้ตำแหน่งหัวหน้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว
      “เอาละเจ้าพักที่นี่ละกัน ไว้พรุ่งนี้ค่อยเริ่มงานของเจ้านะ” ฟ้าคำรามกล่าวขณะพายุนบกมาส่งยังห้องพักที่เขาจัดให้
      “เอ๋? งานหรือครับ ท่านจะให้ข้าทำอะไรหรือครับ?” ยุนบกถามอย่างฉงน
      “เจ้านี่จะให้ทำอะไรล่ะ ก็เขียนรูปนะซิ เจ้าเป็นช่างเขียนไม่ใช่หรือไง หรือเจ้าอยากซักผ้าละ เจ้าจะทำข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ” ฟ้าคำรามกล่าวกวน
      “เขียน...เขียนรูป!” ยุนบกอุทานด้วยความตกใจ
      “ใช่แล้ว รูปเหมือนของเมียข้ายังไงละ ข้าอย่างให้เป็นของขวัญครบรอบแต่งงานของเรา”
      “เออ..คือข้า...”ยุนบกอึกอัก
      “อะไรนี่เจ้าจะผิดคำพูดรึ เจ้าบอกจะทำทุกอย่างไง จิๆๆๆ หรือต้องให้ข้าทบทวนให้” ฟ้าคำรามพูดพลางจับคอเสื้อของยุนบก
      “ขะ..ข้าเข้าใจแล้วครับ”
      “ดีงั้นก็นอนซะ แล้วอย่าคิดหนีละไม่งั้นเจ้า...” ฟ้าคำรามทำท่าปาดคอให้ยุนบกสะอึกกลืนความกลัวลงคอ และเริ่มแน่ใจแล้วว่าตัวเองหนีเสือปะจระเข้ซะแล้ว เมื่อฟ้าคำรามออกจากห้องไป ยุนบกได้นั่งครุ่นคิดถึงทางออกกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ หากเขาเขียนภาพให้ตามที่ฟ้าคำรามบอก ย่อมมิเป็นผลดีแน่ๆ ผู้อื่นอาจจำเขาได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะหนีออกไปในคืนนี้
      เมื่อตกดึกยุนบกแน่ใจว่าคนในบ้านคงนอนกันหมดแล้ว จึงย่องออกจากห้องมุ่งหน้าออกจากบ้าน เมื่อออกมาพ้นตัวบ้านก็ตกใจที่พบเข้ากับฟ้าคำรามและชิลรองหัวหน้าของกลุ่มซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของฟ้าคำราม นั่งดื่มเหล้ากันอยู่นอกบ้าน ยุนบกจึงรีบถอยเข้าบ้านหากแต่ฟ้าคำรามก็เห็นเขาเสียก่อน
      “เอ้า นี่เจ้าช่างเขียน เจ้ายังไม่นอนอีกหรีอ มาๆนี่เร็ว มาดื่มเหล้าด้วยกันมาเร็วเซ่” ฟ้าคำรามกวักมือเรียก ยุนบกจึงต้องจำใจทำตามอย่างว่าง่ายมานั่งข้างๆฟ้าคำรามแล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
      “หือนี่เจ้าจะหอบสัมภาระเจ้าออกมาทำไม หรือเจ้าจะหนีหะ?”
      “เออไม่ใช่ครับ คือข้า ข้าเป็นห่วงกลัวมันจะหายนะครับ ข้า..กลัวมันหาย” ยุนบกแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
      “เหลวไหล บ้านนี้ไม่มีของหายหรอกไม่ต้องกลัว มาดื่มซะ เอา” ฟ้าคำรามยื่นจอกเหล้าให้ยุนบกและรินเหล้าให้ ยุนบก จึงจำใจร่วมวงเหล้าด้วย
      “รู้ไหมข้าดีใจมากนะ ที่ในที่สุดก็หาของขวัญให้จานได้แล้ว ข้ากังวลใจมาหลายวันว่าจะเอาอะไรให้นางดี นางดูแลข้าเป็นอย่างดีมาหลายปี ทนอยู่กับคนไม่เอาไหนอย่างข้า ให้กำเนิดลูกชายที่น่ารักและเลี้ยงดูเขาอย่างดี นางเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ข้าจึงอยากให้ของที่ดีที่สุดแก่นางเช่นกัน” ฟ้าคำรามพูดเหมือนคนเมาพร่ำเพ้อ แต่คำพูดของเขาก็สะกิดใจของยุนบกนัก เพราะเขาเองก็รู้จักผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมคล้ายดั่งภรรยาของฟ้าคำรามเช่นกัน จึงเข้าใจความรู้สึกของฟ้าคำรามที่อยากจะตอบแทนเมียของเขา แต่เขาก็ไม่อาจทำได้เพราะหากมีผู้ใดรู้ถึงฐานะที่แท้จริงผลเสียคงไม่ตกอยู่ที่เขาเพียงคนเดียวหากยังส่งผลถึงพระราชาที่เขาเคารพ และอาจารย์ที่เขาจำใจจากมาเป็นแน่ ยุนบกจึงตัดสินใจจะบอกฟ้าคำรามไปโดยตรงว่าไม่สามารถเขียนรูปให้ได้
      “เออ ท่านฟ้าคำรามครับ คือข้าคงจะ ตุบ!” ยังไม่ทันที่ยุนบกจะได้กล่าวอะไรฟ้าคำรามหัวหน้าใหญ่ผู้คุมเขตมาโปก็สลบเหมือดเพราะฤทธิ์เหล้าไปต่อหน้าต่อตา ยุนบกได้แต่อึ้งและเสียใจที่ไม่ได้บอกในสิ่งที่ตนคิด
      “เจ้าคงไม่อยากเขียนซินะ” ชิลรองหัวหน้ากลุ่มมาโปเอ่ยขึ้น
      “ครับ?” ยุนบกตอบรับอย่างงงๆ
      “รูปนะ เจ้าไม่อยากเขียนใช่ไหม” ชิลจึงถามย้ำอีกครั้ง
      “....ครับข้ามีเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถเขียนรูปให้ได้ครับ” ยุนบกกลั้นใจพูดออกไป
      “หึ...งั้นก็ให้เขาเขียนเองซิ” ชิลพูดพลางยกจอกเหล้าขึ้นจิบและยิ้มน้อยๆที่มุมปาก
      “เขา? ท่าน..ท่านหมายถึง ท่านฟ้าคำรามนะหรอครับ”
      “ใช่ แบบนั้นมันดีกว่าไม่ใช่หรอ ให้เขาเขียนรูปให้เมียเขา อีกอย่างข้ามั่นใจว่านางต้องชอบมันแน่ๆ”
      “แล้วเขาเขียนรูปได้หรือครับ” ยุนบกสงสัย
      “ฮึ..ไม่ซักกะนิด อักษรบางตัวยังอ่านไม่คล่องเลย” ชิลตอบ ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้ยุนบกเข้าไปอีกว่าจะให้ฟ้าคำรามเป็นผู้เขียนรูปได้อย่างไร
      “เจ้าก็สอนเขาซิ เจ้าเขียนรูปไม่ได้ แต่ไม่ใช่เขียนไม่เป็นใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างงั้นก็สอนเขาเท่าที่เจ้ารู้นั่นละ” ชิลแจง
      “สอน ข้าหรือครับสอนเขา” ยุนบกอุทานอย่างตกใจ เพราะเขาไม่เคยสอนใครเขียนภาพมาก่อน และไม่เคยคิดด้วยว่าต้องมาสอนใคร
      “ห้าวววว..ข้าง่วงแล้วละฝากเจ้าด้วยแล้วกัน” ชิลพูดพลางมองไปยังฟ้าคำราม ให้ยุนบกพาเขาเข้าบ้านแทนตน แล้วจึงเดินจากไปทิ้งให้ยุนบกนั่งครุ่นคิดหาคำตอบให้กับตัวเองอีกครั้ง
       
      รุ่งเช้าฟ้าคำรามตื่นนอนขึ้นมาพบอ่างน้ำและผ้าเช็ดหน้าที่เมียสุดที่รักเตรียมไว้ให้ทุกเช้าเช่นเดิม เมื่อล้างหน้าเสร็จเขาจึงออกมายังหน้าบ้าน ซึ่งตอนนี้กำลังพลุ่กพล่านไปด้วยผู้คนที่มาใช้บริการ ร้านเสน่ห์จันทรา ด้วยติดใจรสอาหารของยายเฒ่าเกลิมแม่ของฟ้าคำรามผู้ก่อตั้งร้านแห่งนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะติดใจใบหน้างามๆของ จาน ฮูหยินของ ฟ้าคำรามหัวหน้าใหญ่เขตมาโปเป็นแน่ แต่วันนี้ไม่เหมือนกับทุกวันที่มีเพียงยายเฒ่าเกลิม จาน และลูกน้องของฟ้าคำรามอีกสองสามคน หากแต่มีหนุ่มร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มอีกคนที่มาเป็นผู้ให้บริการด้วย ฟ้าคำรามมองภาพที่ยุนบกขะมักเขม้นช่วยงาน ก็รู้สึกเอ็นดูอยู่ในใจพร้อมทั้งขำกับท่าทางงกๆเงิ่นๆของเขาด้วย
      “เฟี่ยว.....เพล้ง!” เสียงขวดเหล้าผ่านหน้าของฟ้าคำรามและแตกลงหลังเขา
      “แม่! ถ้าโดนข้าจะทำไง ข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มมาโปนะ” ฟ้าคำรามโวยวายทันที
      “จะเป็นหัวหน้าหรือหัวเน่า ก็ต้องทำงาน ถ้ายังอยากอยู่ในบ้านหลังนี้ ไปๆอุ่นเหล้าลูกค้ารอจะแย่แล้วเร็ว” ยายเฒ่าเกลิมยังคงเข้มงวดกับลูกชายเหมือนเดิม แม้ว่าเขาจะมีสถานะที่เปลี่ยนไปเช่นไร ทำให้ยุนบกอดขำกับเหตุการณ์นี้ไม่ได้จึงต้องแอบหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่พ้นสายตาที่แหลมคมของฟ้าคำรามไปได้
      “นี่เจ้าหัวเราะเยาะข้าหรอเจ้าช่างเขียน” ฟ้าคำรามเดินเข้ามาประชิดตัวยุนบก
      “ข้าๆเปล่าครับ” ยุนบกทำหน้าลนลาน
      “แล้วว่ายังไงจะเริ่มได้รึยัง” ฟ้าคำรามทวงถาม
      “เออ...”ยุนบกอ้ำอึ้ง
      “นี่! พวกเจ้าอยากจะโดนจริงๆใช่ไหม ยืนคุยกันอยู่ได้” เป็นจานนั่นเองที่ร้องเอ็ดใส่ชายสองคนที่ซุปซิปกันอยู่ ฟ้าคำรามจึงดึงยุนบกเข้าไปยังหลังร้านเพื่ออุ่นเหล้าด้วยกัน
      “เจ้าจะเริ่มเมื่อไหร่ละ” ฟ้าคำรามถามพลางพัดเตาให้ไฟลุก
      “คือข้ามาคิดดูแล้วครับ ข้าว่าข้าคงเขียนรูปให้ท่านไม่ได้” ยุนบกยืนถือถาดขวดเหล้าก้มหน้าไม่กล้ามองฟ้าคำราม
      “อะไรนะเจ้าจะผิดคำพูดหรอนี่เจ้า”ฟ้าคำรามโมโหทันทีที่ได้ยิน จึงลุกไปกระชากคอเสื้อยุนบกหมายจะต่อยเขาทำให้ยุนบกต้องทิ้งถาดเหล้าและเอาแขนป้องพร้อมพูดห้าม
      “เดี๋ยวๆท่านข้าหมายถึงนางคงไม่อยากได้ของข้าหรอก นางอยากได้จากท่านมากกว่า” ฟ้าคำรามหยุดกำปั้นของเขาไว้
      “ฮะ..ของข้ารึ?”เขาสงสัยจึงคลายมือออกจากยุนบก
      “ใช่ๆ หากท่านเขียนให้นางข้าว่านางต้องชอบแน่ๆ ข้าจะสอนท่านเอง” ยุนบกอธิบาย เมื่อได้ฟังดังนั้นฟ้าคำรามก็หัวเราะ ดีใจ 
      “ดีๆๆ ดีมากสอนข้า” เขาเข้าไปกอดยุนบกพร้อมเขย่าตัวด้วยความดีใจ ทันใดนั้นยายเฒ่าเกลิมซึ่งเดินตามเสียงแตกของขวดเหล้ามาดู ก็ยืนจังก้ามือถือทัพพีไม้อยู่ ทั้งสองจึงหยุดการกระทำและหันไปยังคนที่ปล่อยไอเย็นเพชฌฆาตออกมา
      “พวกเจ้าเป็นคนทำใช่ไหม ผัวะ ตุบๆ” ยายเฒ่าเกลิมเข้าโจมตีชายหนุ่มทั้งสองโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ต่างวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น แต่กลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นแก่คนทั้งคู่ ฟ้าคำรามยิ้มพอใจในสิ่งที่ยุนบกบอก และยุนบกเองที่รู้สึกว่าที่นี่ช่างมีสีสันแม้จะวุ่นวายแต่กลับอบอุ่นแน่นแฟ้น

      ณ หอนางโลม นารีแดง กีเซงชื่อดังจาก เปียงยาง ผู้มีดวงหน้าแห่งเทพธิดา และบรรเลงดนตรีได้จับใจหรือ จองฮยาง เพิ่งเดินทางมาถึง หลังจากที่นางหนีไปจากฮันยาง นางกลับไปที่เปียงยาง และสมัครเจ้าเข้าไปอยู่ในหอนางโลม เพื่อสร้างชื่อให้ตนในฐานะนักดนตรี และตระเวนไปยังหอนางโลมเมืองต่างๆ มิใช่เพื่อไปเล่นดนตรีหากแต่นางกำลังตามหาใครคนหนึ่งที่หัวใจของนางคิดถึงอยู่ตลอดเวลา จนครั้งนี้นางถูกเชิญมายัง นารีแดง เขตพีล ในเมืองหยางโจแห่งนี้ โดยคำเชิญของ มันดึก เจ้าของหอและหัวหน้ากลุ่มผู้คุมเขตพีล ห้องพักของจองฮยางถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้สมกับกีเซงชื่อดังแห่งเปียงยาง
      “โอ้จองฮยองเจ้าช่างงดงามดั่งเทพธิดา ดั่งที่ร่ำลือกันยิ่งนัก ไม่ซิ คำร่ำลือนั้นน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ข้าอยากจะ....” มันดึกเข้าไปในห้องจองฮยางอย่างพรวดพราด และพูดเจื้อยแจ้วจนนางต้องขัดขึ้น
      “ขอโทษนะคะท่าน ข้าเดินทางมาเหนื่อยนักอยากพักผ่อนซักหน่อย คงไม่เป็นการเสียมารยาทต่อท่านนะคะ” จองฮยางกล่าวขึ้นตัดบท
      “เช่นนั้นเจ้าจงพักผ่อนเถอะแม่นาง ข้าและเหล่าบุรุษแห่งหยางโจจะเฝ้าค่อยเจ้าบรรเลงเพลงอันไพเราะ” มันดึกพูดจบจึงออกมา
      “ฮึ นางกีเซงจองหอง คิดรึว่าเพราะเจ้าเป็นอิสระ แล้วจะมาจองหองกับข้าได้ เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าไม่กล้าขัดขืนข้าอีกเลย เจ้าจะต้องเป็นของข้า จองฮยาง” มันดึกพึมพำกับตัวเอง เพราะเขาตั้งใจที่จะครอบครองจองฮยางไว้แต่ก่อนที่นางจะมาแล้ว เพราะหลังจากพ่ายแพ้ให้แก่ฟ้าคำรามเมื่อหลายปีก่อน เป็นเหตุให้เสียสตรีที่ตนหมายปอง ลูกสมุนที่เคยสนับสนุน ก็ตีจาก แถมขุนนางที่เคยช่วยเหลือยังโดนขับอีก มันดึกจึงตกต่ำอย่างมากแม้นจะยังได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าเขตพิลอยู่ก็เป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้น ต่างจากฟ้าคำรามที่มีผู้นับหน้าถือตาทั้งจากชาวบ้านในเขตและเหล่าหัวหน้าเขตต่างๆในหยางโจก็ต่างยกย่องฟ้าคำรามให้เป็นเหมือนตั้งหัวหน้าของพวกเขา จึงทำให้สถานะของมันดึกไม่ต่างอะไรกับเจ้าของหอนางโลมธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งตอนนี้หอของเขาก็ซบเซาไปมากไม่มีผู้นิยมชมชอบหอเขาเหมือนแต่ก่อนเช่นเดียวกับตัวเขาเอง แต่หากได้ กีเซงชื่อดังอย่างจองฮยางมาครอบครองหอของเขาต้องเฟื่องฟูขึ้นมามากแน่ และนางคงทำเงินให้เขาได้ไม่น้อย
      เวลาล่วงเลยไปหลายเดือน ยุนบกกำลังปวดหัวกับการสอนฟ้าคำรามเขียนรูป ดูราวกับสอนสิงห์ให้บินก็ไม่ปาน
      “นั่นไม่ใช่พู่กัน นั่นมันแปรง โธ่เมื่อไหร่ท่านจะจำได้สักที” ยุนบกพูดอย่างเหลืออด
      “ก็มันเหมือนกันนี่ ใครจะจำได้” ฟ้าคำรามแก้ต่าง
      “มันต่างกันนะท่าน ดูขนาดมันซิ ดูซิแปรงนะใหญ่กว่า พู่กัน เห็นไหมๆ” ยุนบกอธิบาย
      “เฮ้อเจ้านี่หยุมหยิมจริงๆ ทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้ จะแปรงหรือพู่กันมันก็เขียนรูปได้เหมือนกันนั่นละ”
      “มันเขียนได้เหมือนกันแต่เขียนออกมาต่างกันนะท่าน โธ่ข้าจะทำยังไงท่านถึงจะเข้าใจนะเนี่ย” ยุนบกจนปัญญาที่จะอธิบายให้ฟ้าคำรามเข้าใจ
      “พอ เบื่อละ ออกไปกินเหล้ากันดีกว่า” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งโยนแปรงใส่ยุนบกซึ่งรับแทบไม่ทัน เขาลุกขึ้นแล้วจับ คอเสื้อด้านหลังของยุนบกให้ลุกตามเขาออกไปด้วย ยุนบกจึงต้องเดินตามอย่างอ่อนใจ
      “อาจารย์หากท่านเป็นข้าจะทำเช่นไร” ยุนบกพึมพำกับตัวเอง เขาสอนฟ้าคำรามมาหลายเดือนแล้วแต่ยังไม่คืบหน้าแยกพู่กันกับแปรงยังไม่ได้ แถมฝนหมึกก็ยังเลอะเทอะและแทะไม่เป็นท่า เขาจึงอ่อนใจกับการสอนของเขาเหลือเกิน ยุนบกอยู่ที่นี่ ในฐานะอาจารย์ผู้สอนฟ้าคำรามเขียนรูปและยังเป็นอาจารย์แก่เด็กในละแวกนั้นอีกด้วย เขาสอนทั้งหนังสือและการเขียนรูป ลูกศิษย์ของยุนบกมีเยอะขึ้นเรื่อยๆและทุกคนก็ล้วนมีพรสวรรค์ในแบบของตน หากแต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ดั่งใจเขาก็คือฟ้าคำรามนั่นเอง
      “นี่เจ้าช่างเขียน เจ้าแทงตัวไหนเอาเร็ว” ฟ้าคำรามพายุนบกมายังบ่อนไก่ชน
      “นี่เจ้าได้ยินข่าวหรือเปล่า ที่นารีแดงนะ เขาว่ามีกีเซงสวยหยาดฟ้าเชียวนะ” ชายคนหนึ่งในวงพนันกล่าวกับเพื่อนซึ่งมาด้วยกัน แต่บังเอิญที่ยุนบกไปได้ยินเข้า เขาจึงละความสนใจจากไก่ชนตรงหน้ามายังชายสองคนข้างๆ
      “จริงรึ นารีแดงเนี่ยนะ มันเจ๊งไปแล้วไม่ใช่รึไง แล้วจะมีกีเซงชื่อดังอย่างที่เจ้าว่าจริงๆรึ” ชายอีกคนถาม
      “เฮ้ยมีแน่ เพื่อนข้าจากเขตพีลมาเล่าให้ฟัง มันนะหนีเมียไปฟังนางเล่นพิณทุกคืนเลย” ชายผู้เริ่มหัวข้อสนทนาตอบ
      “พิณหรอ จองฮยาง!” ยุนบกครุ่นคิดก่อนจะโพล่งถามคนแปลกหน้าทั้งสองออกไป
      “แล้วนางชื่ออะไร!” ชายทั้งสองหันหน้างงมาทางเขาที่แทรกบทสนทนาขึ้น เป็นเหตุให้ฟ้าคำรามหันความสนใจมาที่พวกเขา
      “อะไรเจ้าช่างเขียน มีอะไรกันหรอ” ฟ้าคำรามเอ่ยถามอย่างสงสัย
      “ท่านฟ้าคำรามเจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน อยู่ดีๆก็มาถามข้า” ชายคนนึงกล่าวขึ้น
      “เขาเป็นอาจารย์ข้าเอง” ฟ้าคำรามตอบ
      “หา! เป็นอาจารย์ของท่านหรือครับโอ้ ยินดีที่ได้รู้จักครับท่านอาจารย์” พวกเขาทั้งสองต่างก้มคำนับยุนบกกลัวเกรง เพราะคิดว่าเขาเป็นอาจารย์ที่สอนการต่อสู้ให้แก่ฟ้าคำราม ยุนบกรู้สึกงงๆกับท่าทางพวกเขาแต่อยากจะรู้มากกว่าว่ากีเซง ที่พูดถึงเป็นใคร
      “เออ พี่ชายพอจะทราบไหมครับว่ากีเซงคนนั้นชื่ออะไร” ยุนบกถามชายทั้งสอง
      “แหมไม่ต้องเรียกข้าว่า พี่หรอกครับท่านอาจารย์ พวกข้าไม่รู้หรอกครับว่านางชื่ออะไร รู้เพียงว่านางเป็นกีเซงชื่อดังจากเปียงยาง ที่เล่นพิณกายาได้ไพเราะจับใจ” ชายคนนึงตอบ
      “จองฮยางต้องเป็นเจ้าแน่ๆ”เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงถามต่ออีก
      “นางอยู่ที่ไหนนะครับ”
      “หอนางโลม นารีแดง เขตพีลโน่นแนะ” เมื่อทราบดังนั้นเขาจึงออกวิ่งทันที ฟ้าคำรามเห็นดังกล่าวจึงวิ่งตาม
      “นี่เจ้าจะไปไหนนะเจ้าช่างเขียน” ฟ้าคำรามตะโกนถามพลางวิ่งตามยุนบก
      “ข้าจะไปหอนารีแดงครับ” เมื่อได้ยินดังนั้น ฟ้าคำรามจึงรีบวิ่งนำขึ้นไปขวางเขา จึงทำให้ยุนบกวิ่งไปไม่ได้
      “เจ้าไปไม่ได้” ฟ้าคำรามยืนขว้าง
      “แต่ข้า ข้าต้องไปนะครับ” ยุนบกยืนยัน
      “เจ้าไปไม่ได้!” ฟ้าคำรามตวาดใส่ยุนบก ดุจเสียงฟ้าคำรามดั่งชื่อของเขา ทำให้ยุนบกถึงกับผงะ แต่ก็ยังยืนยันที่จะไป
      “ข้าต้องไปจริงๆครับ” เขาพูดพลางก้มหน้าลง และเงยหน้าขึ้นสบตาฟ้าคำรามอย่างแน่วแน่
      “ข้าต้องไป เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างครับ ข้าต้องไปพบนาง” ยุนบกสบตาฟ้าคำรามอย่างแน่วแน่
      “หากเจ้าตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว ข้าคงเปลี่ยนไม่ได้ แต่ก่อนไปข้าว่าเจ้าควรรู้เกี่ยวกับที่ ที่เจ้าจะไปก่อนดีกว่านะ” ฟ้าคำรามกล่าวอย่างอ่อนใจ ก่อนจะพายุนบกกลับบ้าน ไปพบ จาน ภรรยาของเขาซึ่งเคยอยู่ที่ หอนารีแดงมาก่อน
      ยุนบกบอกเล่าเรื่องราวของจองฮยางให้แก่ทุกคนฟัง ทุกคนต่างร้องไห้เมื่อได้ฟังเรื่องของทั้งคู่ที่ต้องพลัดพรากกัน ด้วยบรรยากาศที่แปลกๆ
      “พวกเจ้าช่างน่าสงสารจริงๆ” ชิลชายผู้สุขุมกล่าวพร้อมหลั่งน้ำตา สะอื้น
      “ทำไมโชคชะตาเล่นตลกกับพวกเจ้าเช่นนี้” ยายเฒ่าเกลิมก็เป็นไปกับเขาด้วย พร้อมทั้งลูกสมุนคนสนิทอีกสองสามคน ที่ร่วมฟังด้วย
      “เรื่องราวของเจ้า ก็ไม่ต่างกับเราเลยนะ ท่านพี่” จานกล่าวพร้อมซับน้ำตาของตน
      “ข้าเข้าใจเจ้าแล้ว น้องชายช่างเขียน ข้าจะพาเจ้าไปเอง” ฟ้าคำรามเองก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน เขากล่าวพร้อมดึงยุนบกลุกขึ้นยืนเตรียมจะก้าวออกจากห้อง หากแต่พัดจากมือของจานก็บินผ่านหน้าพวกเขาแล้วไปปักอยู่ข้างประตู
      “เดี๋ยว พวกท่านจะไปโดยที่ไม่รู้อะไรของศัตรูเลยยังงั้นหรือ” จานกล่าวทักขึ้น ฟ้าคำรามจึงต้องดึงยุนบกกลับมานั่งตามเดิมด้วยความเกรงใจภรรยา
      “นารีแดงนะไม่ใช่จะเข้าง่ายๆนะ ท่านลืมไปแล้วหรอท่านพี่ว่าท่านทำอะไรกับมันดึกไว้” จานพูดเตือนสติสามี
      “หลังจากเหตุการณ์นั้นคนของกลุ่มมาโปก็ไม่เคยไปที่นารีแดงอีก แม้จะไม่มีการบอกกล่าวแต่ก็รู้กันว่า ไม่ควรไป ข้าเอง ไม่แน่ใจนักว่าเขาจะรู้จักคุณชายซอหรือไม่ แต่ถ้าหากเขารู้จักย่อมไม่มีทางที่จะให้ท่านเข้าไปแน่” เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างครุ่นคิด
      “งั้นก็ให้ข้าไปคนเดียว” ยุนบกพูดขึ้น
      “ไม่ได้ หากมันรู้ว่าเจ้าเป็นคนของกลุ่มมาโปมันไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ ข้าจะไปด้วย” ฟ้าคำรามกล่าวขึ้น
      “ท่านพี่ มันดึกไม่ให้ท่านเข้าไปแน่แล้วคง..” ฟ้าคำรามยกมือทำเป็นปางห้ามญาติเป็นสัญญาณบอกภรรยาให้หยุดพูด
      “ข้าจะ ปลอมตัวเข้าไป” ฟ้าคำรามกล่าวความคิดอันปราดเปรื่องของตน
      “ใช่ ปลอมตัวพวกมันจำไม่ได้แน่ ข้าทำมาบ่อยไป” ยุนบกกล่าวอย่างลืมตัว จนทุกคนต่างมองเขาอย่างสงสัย
      “เออข้าหมายถึงมันเป็นความคิดที่ดีนะครับ” ยุนบกแก้
       
      ขณะเดียวกันนั้นฝั่งนารีแดง ก็คึกคักไปด้วยเหล่าบุรุษผู้หลงใหลในเสียงเพลงและใบหน้าอันงดงามของจองฮยาง คืนนี้ ดูเหมือนว่าคนจะเยอะกว่าทุกวัน อาจเพราะข่าวเรื่องกีเซงโฉมงามได้แพร่สะพัดไปทั่วหยางโจแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้มีบุรุษมากมายหลั่งไหลมายังหอนางโลมนารีแดงแห่งนี้ และหนึ่งในนั้นก็คือ ช่างเขียนหนุ่มอนาคตไกล ฮงอินอุก ซึ่งมาจากฮันยางเพื่อพเนจรท่องไปหาแรงบันดาลใจในการเขียนภาพ เขาเป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ ราชเลขาฮงกุกยอง คนสนิทของพระราชาจองโจ โดยก่อนที่เขาจะเข้าสอบเป็นช่างเขียนหลวงเขาได้ขอออกมาหาแรงบันดาลใจก่อนจึงจะกลับไป เขาเดินทางมาแล้วหลายเมืองแต่ละเมืองล้วนมีเสน่ห์ในตัวของมัน หากแต่ดูเหมือนว่าหยางโจคงจะเป็นเมือง ที่มีเสน่ห์ที่สุดสำหรับเขาแล้วละมั้ง เพราะเป็นเมืองที่เขาได้พบหญิงที่งามที่สุด จองฮยาง เขามาเป็นแขกประจำที่นี่ทุกคืนนับตั้งแต่ได้พบกับนางเป็นครั้งแรกเขาก็มาไม่หยุด เพียงเพื่อจะได้ชมโฉมซึ่งซ่อนอยู่หลังม่านนั่นและเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงที่นางบรรเลง
      “แปะๆๆๆ เจ้าบรรเลงได้ไพเราะเช่นเคย แม่นางจองฮยาง” อินอุกกล่าวชม
      “ท่านชมเกินไปแล้วค่ะคุณชายฮง” จองฮยางกล่าวอย่างถ่อมตัว
      “ไม่หรอก ดูจากจำนวนผู้ที่อยากมาฟังเจ้าบรรเลงแล้ว ข้าคงกล่าวน้อยไปด้วยซ้ำ” เขาพูดเสริมทัพ
      “จริงซิ ข้าขอเขียนรูปเจ้าได้ไหม ใช้เวลาไม่นานหรอก ข้าร่างมาแล้ว” เขาพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
      “เอ๊ะข้าหรือคะ? เออ..คือ”นางครุ่นคิด
      “ได้โปรดเถอะแม่นางจองฮยาง ข้าจะเขียนให้ดีที่สุดรับรองได้ เจ้าจะต้องออกมางดงามแน่นอน และข้าจะมอบรูปนี้ให้แก่เจ้าด้วย” เขาอ้อนวอน นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
      “ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะคุณชาย แต่คงไม่มีใคร จะสามารถเขียนรูปของข้าได้อีกแล้ว ข้าขอตัวค่ะ” นางพูดตัดรอน อย่างนุ่มนวล ก่อนจะเดินจากไปทางหลังม่านนั่น ทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดในหัวใจแก่ฮงอินอุก ที่ไม่สามารถจะเห็นใบหน้าของคนที่ตนรักอย่างชัดตา เช่นเดียวกับหัวใจของนางเช่นกัน
      “ม่านนั่นคงไม่ได้กั้นเพียงใบหน้าของเจ้าซินะ หากแต่เป็นหัวใจของเจ้าด้วยแม่นางจองฮยาง” เขาพูดอย่างปวดใจก่อนจะกระดกเหล้าจอกสุดท้ายและเดินออกจากห้องไป เมื่อออกมาภายนอกจะเห็นถึงความคึกคักได้อย่างชัดเจน ทั้งนางโลม เศรษฐี และขี้เมา ต่างนัวเนียกัน อยู่ทุกที่ บ้างร้องรำ บ้างดื่มเหล้า และบ้างก็ไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง หากแต่กอดรัดเล้าโลม เหล่านางโลม อินอุกเดินไปตามระเบียงเพื่อตรงไปยังทางออกแต่เขาชนเข้ากับชายอ้วนผอมสองคนที่เดินสวนมาอย่างเร่งรีบ
      “โอะ ข้าขอโทษครับพี่ชาย พวกข้ารีบไปหน่อย” ชายคนผอมเอ่ยขอโทษอย่างลนลาน และช่วยอินอุกเก็บสัมภาระของเขา ที่ร่วงลงพื้น ส่วนมากเป็นอุปกรณ์เขียนภาพ หากแต่มีชิ้นหนึ่งที่สะดุดตาชายร่างผอมผู้นี้นัก นั่นคือภาพเขียน ของสาวยามที่กำลังเล่นพิณอยู่นั่งเอง เขาหยิบมันขึ้นมาดูและแน่นิ่งไปนาน จนอินอุกและเพื่อตัวอ้วนอีกคนมองเขาอย่างสงสัย อินอุกจึงดึงภาพนั้นออกจากมือชายแปลกหน้า และทำท่าไม่พอใจ
      “เจ้านี่ช่างไม่มีมารยาทจริงๆ เดินชนคนอื่นแล้วยังมาดูภาพเขียนของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก” อินอุกต่อว่าอย่างโมโห ทำให้ชายร่างอ้วนผู้มากับชายร่างผอมไม่พอใจ
      “เฮ้ยนี่เจ้า เพื่อนข้าก็ขอโทษเจ้าไปแล้วยังไงล่ะ เจ้าจะเอาอะไรอีก แค่ดูรูปหน่อยเดียวไม่เห็นจะเสียหาย รูปเจ้ามันห่วยมาก จนไม่อยากให้ใครดูรึไง” ชายร่างอ้วนพูดหาเรื่อง
      “นี่เจ้า เจ้าปากเสียเอ้ย” อินอุกเหลืออดหมายเข้าต่อยตี แต่ถูกชายร่างผอมเข้าห้ามไว้
      “ข้าขอโทษทีพี่ชาย ข้าผิดไปแล้วต้องขอโทษท่านจริงๆ และขอโทษแทนเพื่อนข้าด้วยเขาปากเสียไปหน่อย อย่าได้ถือสาเลย” ชายร่างผอมพูดอย่างนอบน้อม จึงทำให้อินอุกไม่ถือความ
      “เออ ข้าขอถามสักอย่างได้ไหมครับพี่ชาย” ชายร่างผอมถามขึ้น
      “ในภาพนั้นน่ะ นางคือใครกันหรือครับ” เขาถามพลางมองไปยังภาพในมืออินอุก อินอุกคิดสักครู่ก่อนจะตอบออกไป
      “คนรักของข้า นางเป็นคนรักของข้า เจ้ามีปัญหาอะไร” เขาพูดอย่างอวดดี ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ผู้รับคำตอบนิ่งอึ้ง กับคำตอบนั้น จนผู้มาด้วยอีกคนทนไม่ไหวต้องเอ่ยทักเขา
      “เฮ้เจ้าช่างเขียน นี่เจ้าจะเข้าไปไหม ยืนอยู่ตรงนี้มันสะดุดตานะเจ้าบ้าเอ้ย” ชายร่างอ้วนหรือฟ้าคำรามนั่นเอง เขาปลอมเป็นชายร่างอ้วนเพื่อให้คนของมันดึกจำเขาไม่ได้ เขาพูดพร้อมเขย่าร่างของยุนบกที่ยืนแข็งอยู่
      “เข้าไปเร็วๆซิเจ้าช่างเขียน” เขาดึงร่างยุนบกให้เดินตาม แต่ยุนบกกลับขืนร่างเขาไว้
      “กลับ..กลับกันเถอะครับ” ยุนบกพูดขึ้นก่อนจะหันหลังกลับและเดินไป ฟ้าคำรามได้แต่ยืนงง สักพักจึงวิ่งตามยุนบกไป
      “นี่เจ้าช่างเขียนบ้า ข้าอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตมากับเจ้าแล้วเจ้าเปลี่ยนใจง่ายๆแบบนี้หรอ” ฟ้าคำรามเดินมาจากด้านหลังและตบ เข้าที่หัวยุนบกอย่างแรง แต่เขากลับไม่โต้ตอบได้แต่เดินคอตกออกจากหอนารีแดงต่อไป ฟ้าคำรามรู้สึกงงกับพฤติกรรมของ ยุนบกยิ่งนัก แต่ก็รู้สึกถึงความเศร้าของยุนบกได้ แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็เดินตามยุนบกกลับบ้านแต่โดยดี เมื่อกลับถึงบ้านฟ้าคำรามหงุดหงิดยิ่งนัก โวยวายใหญ่โตที่ยุนบกเปลี่ยนใจกลับทั้งที่ยังไม่ได้เข้าไปพบจองฮยาง เขารู้สึกว่าความพยายามของเขาเสียเปล่า แต่จานก็เป็นผู้ห้ามไว้ไม่ให้เขาโวยวายมากนักและบอกให้ทุกคนเข้านอน ยุนบกเองเมื่อมาถึง ก็เข้านอนเลยโดยไม่ได้อธิบายอะไรให้ใครฟัง
      “ดีแล้วซินะ...แบบนี้นะดีแล้ว” เขาพึมพำในขณะนอนเอามือก่ายหน้าผาก
      วันต่อมายุนบกจึงอธิบายเรื่องราวให้ฟ้าคำรามและทุกคนฟังว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน
      “เจ้าบ้า เจ้าขี้ขลาด นี่เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า ทำไมเจ้าถึงหนีกลับทั้งที่ยังไม่ได้สู้” ฟ้าคำรามตะคอกใส่ยุนบกสุดเสียง หลังจากที่ฟังเหตุผลของยุนบกว่าเขาไม่อยากจะพบจองฮยางแล้ว เพราะหากเป็นนางจริงนางก็คงมีคนใหม่แล้ว คือชายผู้นั้นที่ดีเหมือนคุณชายลูกขุนนาง และเขาเองก็อยากให้นางได้เจอคนดีๆเช่นนั้น
      “ลุกขึ้นเจ้าคนขี้ขลาดมากับข้าเดี๋ยวนี้ ไปพบนางดูให้มันแน่ใจกันไปเลย” ฟ้าคำรามลากยุนบกลุกขึ้นและเดินตามเขาแต่ถูก ยุนบกสะบัดเต็มแรง จนผละออก
      “รู้แล้วจะได้อะไรล่ะ ถ้าเป็นนางแล้วยังไงล่ะ ข้าไม่คู่ควรกับนางหรอก ให้นางสมหวังกับผู้ชายที่ดีกว่าเถอะ” ยุนบกพูดเหมือนจะร้องไห้ ฟ้าคำรามได้ยินดังนั้นจึงเดินมาต่อยหน้ายุนบกจนลงไปนอนกับพื้นเลือดกลบปาก
      “เจ้าหมาขี้แพ้เอ้ย เพราะยังงี้ไงล่ะเจ้าถึงไม่คู่ควรกับนางแค่จะพยายามเจ้ายังไม่ทำเลย อย่าว่าแต่จองฮยางของเจ้าเลย ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนเจ้าก็ไม่คู่ควรทั้งนั้น ลูกผู้ชายนะถ้าขาดความกล้าและความพยายามแล้วจะเรียกว่าลูกผู้ชายได้ยังไง” ฟ้าคำรามพูดอย่างเหลืออด แล้วจึงเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของยุนบก
      “ต่อไปนี้เจ้าก็เลิกเพ้อ เลิกฝัน เลิกคิด เลิกรักนางซะ เจ้าทำได้ไหม” ฟ้าคำรามตะคอกใส่หน้ายุนบกก่อนจะโยนเขาลงพื้น อีกครั้ง ยุนบกได้แต่ร้องไห้ฟูมฟาย เขาครุ่นคิดถึงคำพูดฟ้าคำรามและความทรงจำแห่งรักที่เขามีต่อจองฮยาง
      “แต่ข้าไม่คู่ควรกับนาง ไม่สามารถทำให้นางมีความสุขได้เหมือนชายคนอื่นๆ ข้า....”เขาพูดพร้อมฟูมฟาย ทำให้ฟ้าคำรามเหลืออดอีกครั้งหมายจะเดินเข้ามาเตะให้หนำใจ แต่จานเข้ามาหยุดขาเขาไว้
      “อุ้ยเมีย!” ฟ้าคำรามจึงหยุดการกะทำด้วยความเกรงใจภรรยา จานเข้ามากอดยุนบกอย่างอ่อนโยน
      “ยุนบก ผู้หญิงนะไม่ต้องการอะไรมากมายนักหรอกนะ แค่ได้อยู่กับคนที่รักก็พอแล้วละ เจ้าคือคนที่นางรักหรือเปล่า” จานถามยุนบกอย่างอ่อนโยน เขามองนางด้วยน้ำตาเอ่อล้นและพยักหน้า แล้วนึกถึงใบหน้าของจองฮยางที่บอกรักเขา
      “แล้วเจ้ารักนางไหม” จานถามต่อ ยุนบกก็นึกถึงความทรงจำและความรู้สึกที่มีกับจองฮยางก่อนจะพูดว่า
      “ข้ารัก....ข้ารักนาง ฮือๆๆๆ” เขาฟูมฟายยกใหญ่ คนทุกคนได้แต่มองเขาอย่างอ่อนใจ ยุนบกร้องไห้จนหลับไปคงเพราะบาดเจ็บจากการถูกหมัดเหล็กของฟ้าคำรามเข้า จานจึงใส่ยาทำแผลให้เขาก่อน
      “นิสัยเขาเหมือนเจ้าไม่มีผิด รักแต่ปากแข็งทำเป็นเล่นตัว” ฟ้าคำรามพูดประชดใส่ภรรยา
      “ฮึ ใครบอกว่าข้าปากแข็ง ตอนนั้นนะข้าไม่ได้รักท่านจริงๆ ใครจะไปรักลง คนขี้แพ้ แถมไม่เจียมตัวอย่างท่านล่ะ” นางจึงพูดประชดใส่ ฟ้าคำรามหมั่นไส้จึงเข้าไปกอดรัดนางเค้นความจริง
      “จริงหรอ เจ้าไม่รักข้าจริงหรอ ข้าออกจะหล่อบาดใจ หญิงใดพานพบ สยบทุกราย” เขาพูดโอ้อวด นางจึงหยิกแขนเขา ซะเขียว จนเขาต้องคลายวงแขน
      “หลงตัวเองไม่เปลี่ยนเลย”
      “แค่กๆ” เสียงยุนบกไอ ก่อนที่จะรู้สึกตัว จานจึงเข้าไปช่วยพยุงตัวเขาขึ้นมา
      “ตื่นแล้วเรอะ เจ้าขี้ขลาด โดนแค่หมัดเดียว เสี่ยวจริงๆนะเจ้าเนี่ย” ฟ้าคำรามพูดถากถาง จึงถูกจานข่มด้วยสายตา
      “เป็นอย่างไรน้องยุนบก เจ้าเจ็บที่ใดหรือไม่” จานถามเสียงหวาน
      “ข้าขอบใจเจ๊จานมากครับ ข้าไม่เป็นไร” ยุนบกตอบ ก่อนที่เขาจะมองไปที่ฟ้าคำรามอย่างแน่วแน่ จนทำให้ฟ้าคำรามเข้าใจผิดคิดว่ายุนบกแค้นเคือง
      “อะไรนี่เจ้าจะ โกรธข้ารึ ไม่พอใจก็เข้ามาเลยเจ้าช่างเขียน ข้าจะสอนความเป็นลูกผู้ชายให้เจ้าเอง” ฟ้าคำรามทำท่าตั้งการ์ด ยุนบกทำท่าจะลุกขึ้นหากแต่เขากลับนั่งคุกเข่า
      “ได้โปรดช่วยพาข้าไปหานางอีกครั้งเถอะครับ” การกระทำของเขาทำให้สามีภรรยาทั้งสองถึงกับอึ้ง แล้วจึงแย้มยิ้ม
      “ให้มันได้ยังงี้ซิไอ้น้องชาย” ฟ้าคำรามเข้าไปตบไหล่ยุนบกอย่างแรงด้วยความพอใจ ยุนบกถึงกลับเซแต่ก็ยิ้มออก
      ขณะเดียวกันที่นารีแดง จองฮยางเห็นสมควรแก่เวลาที่นางต้องจากที่นี่ไปแล้ว เพราะนางแน่ใจแล้วล่ะว่าที่หยางโจนี้ ช่างเขียนของนางคงไม่อยู่ที่นี่เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นนางคงได้พบเขานานแล้ว นี่ก็เดือนกว่าหากแต่ก็ไร้วี่แววคนที่ถวิลหา อีกทั้งดูเหมือนว่านางจะอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วจนทำให้อะไรหลายๆอย่างยุ่งยากขึ้น นั่นคือคุณชายฮงนั่นเอง นางเกรงว่าจะเป็นเหตุให้เขาต้องเสียใจเพราะนางอีกเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจพูดกับมันดึกถึงกำหนดการในการจากไป
      “ท่านมันดึกค่ะ ข้าเกรงว่าคงจะถึงเวลาที่ข้าควรไปได้แล้ว” จองฮยางกล่าวกับมันดึกขณะที่ทานอาหารเที่ยงร่วมกับเขา ซึ่งมันดึกเป็นผู้จัดเลี้ยง
      “อะไรกัน เจ้าเพิ่งมาไม่นาน เหตุใดจึงจากไปเร็วนัก มีสิ่งใดที่เจ้าไม่พอใจยังงั้นหรือแม่นางจองฮยาง” มันดึกถามหยั่งเชิง
      “มิได้ค่ะ ท่านดูแลข้าดีทุกอย่าง ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ต้อนรับข้าดีเช่นนี้” จองฮยางตอบ
      “ถ้าเช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ต่อเถอะ ยังมีบุรุษอีกมากมายที่อยากจะฟังเสียงเพลงของเจ้านะ” มันดึกพูดหว่านล้อม
      “จริงดั่งท่านว่า มีบุรุษอีกมากนักที่ต้องการข้า ข้าจึงปล่อยให้พวกเขารอนานไม่ได้ จึงต้องรีบไปหาพวกเขายังไงล่ะคะ” จองฮยางเล่นลิ้น มันดึกได้แต่กำจอกเหล้าของตนเก็บอาการเคืองกับคำพูดของนาง
      “เช่นนั้นข้าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้นะค่ะ ข้าอิ่มแล้วขอตัวค่ะ” นางเดินออกจากห้องด้วยรอยยิ้มน้อยๆแต่เย็นชา เมื่อจากห้องมันดึกจึงระเบิดอารมณ์ออกมา เขาเขวี้ยงจอกเหล้าทิ้ง
      “นางจองหอง เชอะ..ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าหลุดมือไปแน่ ทำเป็นเล่นตัว ไอ้นั่นก็ไม่เอาไอ้นี่ก็ไม่เอา คิดว่าคนอย่างข้าจะชนะใจเจ้าไม่ได้รึ นางกีเซง” เขาพูดอย่างกระแทกอารมณ์ หากเป็นเช่นดั่งจองฮยางคิดคืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่นางจะอยู่ที่นี่ มันดึกจึงพยายามคิดแผนการที่จะได้ครอบครองนาง จองฮยางก็เตรียมเก็บข้าวของเพื่อการเดินทางในวันพรุ่งนี้ ฮงอินอุกเองก็คิดหาวิธีที่จะเอาชนะใจหญิงที่ตนหมายปอง และยุนบกกับฟ้าคำรามกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวเพื่อมาหอนารีแดงอีกครั้ง อ่า....ช่างเป็นคืนที่สำคัญยิ่ง
      “เจ้าเสร็จหรือยังเจ้าช่างเขียน นี่ขนาดเจ้าไม่ได้ปลอมตัวนะยังแต่งตัวนานขนาดนี้เลย ให้ตายเหอะนิสัยผู้หญิงจริงๆ” ฟ้าคำรามบ่นยกใหญ่ที่ต้องรอยุนบกแต่งตัว ทั้งที่ตนต้องปลอมตัวเป็นชายร่างอ้วนยังแต่งเสร็จไวกว่ายุนบกที่ไม่ต้อง ปลอมตัวอะไรเลย หากแต่เขาคงไม่รู้กระมังว่ายุนบกตื่นเต้นเพียงใดที่จะได้พบหน้าของจองฮยางอีกครั้ง มันทำให้เขา ไม่พอใจการแต่งตัวของตนซักที เพราะเขาต้องการดูดีที่สุด เขาอยากให้นางตกหลุมรักเขาอีกครั้ง เมื่อส่องกระจกจนพอใจเขาก็เปิดประตูออกมาอย่างพรวดพราด ทำให้ผู้รอด้านนอกหันมาทางเขาเป็นตาเดียว
      “เอาล่ะ ข้าพร้อมแล้วครับ” ยุนบกกล่าวอย่างกระตือรือร้น
      “โธ่เอ้ย ข้านึกว่าจะออกมาหล่อขนาดไหน ที่แท้ก็เดิมๆ” ฟ้าคำรามพูดใส่ ทำให้ยุนบกไม่มั่นใจ จะถอยหลังกลับเข้าห้อง
      “จริงหรอครับ” หากแต่ถูกฟ้าคำรามดึงไว้ และลากให้ออกจากบ้านสักที ระหว่างทางที่เดินยุนบกเฝ้าครุ่นคิด
      “เจ้าจะเป็นเช่นไรน้องจองฮยาง นี่ตั้งสามปีแล้ว เจ้าจะเปลี่ยนไปไหมนะ แต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะยังคงงดงามอยู่เป็นแน่ อ่า...เจ้าต้องตกใจแน่ๆ ที่เห็นหน้าข้าเป็นแบบนี้ ฮ่าๆ” ยุนบกนึกจินตนาการถึงใบหน้าของจองฮยางที่เห็นสภาพใบหน้าของยุนบก ซึ่งถูกฟ้าคำรามต่อยจนหน้าเขียวปากแตก เขายังรู้สึกเจ็บอยู่มากทีเดียวหากแต่ก็ไม่มากเท่าความคิดถึงและความรักที่มีต่อนางเป็นแน่
      ฝั่งทางฮงอินอุกก็นั่งเศร้าสร้อยนับแต่ถูกตัดรอนเมื่อคืน เขาก็เฝ้าครุ่นคิดว่าทำไมจองฮยางถึงได้ตัดรอนเขาถึงเพียงนี้ ทั้งที่เขาก็ดีพร้อมทุกอย่าง ทั้งรูปงาม มีความรู้ ชาติตระกูลและฐานะ เขาไม่เข้าใจเลยว่านางต้องการสิ่งใดอีก เขาทนนั่งกลัดกลุ้มอยู่ไม่ไว้ จึงตัดสินใจไปพบนางอีกครั้งพร้อมกับภาพเขียนนั้น
       
      ขณะเดียวกัน ณ หอนารีแดง ได้มีการจัดการแสดงครั้งสุดท้ายของจองฮยางขึ้น คืนนี้นางจะบรรเลงพิณเป็นคืนสุดท้าย ต่อหน้าบุรุษมากมายทุกคนที่มาในคืนนี้ และมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะได้ฟังบทเพลงสุดท้ายจากนางเพียงลำพัง ซึ่งจะต้อง ให้ราคาสูงที่สุด นี่เป็นแผนโกยเงินครั้งสุดท้ายของมันดึกเพราะเขายังไม่สามารถคิดหาหนทางทำให้นางเป็นของเขาได้ ไม่นานนักบุรุษมากมายก็หลั่งไหลมายัง หอนารีแดงแห่งนี้เพื่อชมการแสดงครั้งสุดท้ายของจองฮยาง
      “ทำไมคนมันเยอะอย่างงี้ นี่มันเยอะกว่าเมื่อคืนซะอีกนะ” ฟ้าคำรามกล่าวอย่างสงสัย
      “นั่นซิครับ ต้องมีอะไรแน่ๆเลย เออ.ขอโทษนะครับพี่ชาย วันนี้มีอะไรกันรึครับคนถึงได้มากมายนัก” ยุนบกถามกับชาย คนหนึ่งในบริเวณนั้น
      “อ้อวันนี้จะเป็นการแสดงวันสุดท้ายของแม่นางจองฮยางนะ” ชายคนนั้นตอบ ทำให้ยุนบกสะดุดกับชื่อที่เขาเอ่ยขึ้น “ จองฮยาง” ยุนบกเริ่มมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นนางแน่ๆ เขาจึงรีบดึงฟ้าคำรามให้เข้าไปหาโต๊ะนั่งชมการแสดง แต่ด้วยความ รีบร้อนจึงทำให้ทั้งคู่ไปชนเขากับชายคนหนึ่ง
      “โอ๊ะ ข้อขอโทษครับ” ยุนบกกล่าวขอโทษโดยที่ยังไม่มองหน้าผู้ฟัง
      “นี่เจ้าอีกแล้วหรอ เจ้าคนซุ่มซ่าม” เป็นอินอุกนั่นเอง ยุนบกถึงกับอึ้งที่เจอเขาอีกครั้ง แต่ฟ้าคำรามก็เตือนสติเขาโดยการเขย่าแขนและรีบดึงยุนบกไปหาที่นั่ง
      “ไปกันเถอะเจ้าหนู” อินอุกยิ่งรู้สึกไม่ชอบหน้าพวกเขามากขึ้นไปอีก ยุนบกและฟ้าคำรามได้ที่นั่งที่ห่างไกลจากจุดแสดง ยิ่งนัก แทบจะมองไม่เห็นหน้าเลยทีเดียว เพราะพวกเขาไม่มีเงินซื้อโต๊ะแพงๆแถวหน้า ผิดกับอินอุกที่ได้นั่งหน้าสุด พร้อมการต้อนรับอย่างดี เขาเป็นลูกค้าประจำที่นี่นับแต่จองฮยางมาและจ่ายหนักอยู่เสมอ
      “เฮ้ดูเจ้าคุณชายหน้าจืดนั่นซิ นั่งซะหน้าสุดเลย ข้าว่าเจ้าไม่เห็นต้องไม่กลัวมันเลย มันคงจะเป็นแค่ลูกเศรษฐีอีกคนที่หลง กีเซงนั่นล่ะ เหอะพวกกระจอก ซื้อผู้หญิงด้วยเงิน” ฟ้าคำรามพูดนินทา
      “อย่าว่าคนอื่นลับหลังซิครับพี่ฟ้าคำราม ไม่แน่เขาอาจจะเป็นมากว่าแค่ลูกเศรษฐีก็ได้” ยุนบกพูดปรามเสียงอ่อน จนทำให้ ฟ้าคำรามต้องสะกิดเขาด้วยการชนไหล่ เพื่อให้กำลังใจไม่ให้เขาคิดมาก ไม่นานนักการแสดงก็เริ่มขึ้น จองฮยางเดินออกมายังจุดแสดงและยังคงมีม่านกั้นดั่งเดิม ด้วยระยะที่ไกลทำให้ยุนบกไม่สามารถมั่นใจได้นักว่าคือนาง จนเมื่อเสียงเพลงดังขึ้นเขาก็มั่นใจได้ทันที ว่าคือนางแน่นอน หัวใจของเขามันลิงโลดดังจะกระโดดไปหานางซะให้ได้ เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ หูฟังเสียงเพลง ตามองผ่านม่าน หัวใจคิดคำนึงถึงแต่ความทรงจำเก่าๆ จนไม่รู้ตัวว่ามือของเขานั้นจิกอย่างแรงที่หน้าขาของ ฟ้าคำราม จนทำให้ฟ้าคำรามเจ็บจึงหันมาทางเขาเพื่อจะต่อว่า หากแต่เมื่อเห็นสีหน้าของเขาฟ้าคำรามก็ไม่อาจจะเอ่ยคำใดได้ ได้แต่นั่งเฉยๆฟังเสียงเพลงของจองฮยางไป จนเมื่อการแสดงจบลงมันดึกจึงกล่าวเปิดประมูลเพื่อให้ผู้โชคดีได้ฟังบทเพลงสุดท้ายจากจองฮยางโดยลำพัง เหล่าบุรุษต่างๆจึงประชันขันแข่งให้ราคาทับกันจนสูงลิ่ว ฟ้าคำรามเห็นท่าไม่ดีจึงจะลุกขึ้นประมูล
      “เดี๋ยวท่าน ท่านจะทำอะไรนะ” ยุนบกถามพร้อมดึงรั้งให้ฟ้าคำรามกลับลงมานั่ง
      “ถามได้เจ้าโง่ เจ้าจะปล่อยให้ผู้หญิงของเจ้าโดนแย่งไปหรอ” ฟ้าคำรามพยายามลุกขึ้น
      “แต่เราไม่มีเงินนะ” ยุนบกท้วง ในขณะนั้นราคาขึ้นไปสูงถึง พันเนียงโดยฮงอินอุกเป็นผู้เสนอ จึงทำให้ฟ้าคำรามทนไม่ไหวลุกพรวดขึ้น
      “สองพันเนียง”เขาตะโกน สายตาทุกคู่จับไปที่เขาหนึ่งนั้นเพราะราคาที่เขาเสนอและอีกอย่างคือเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของเขาเพราะถูกยุนบกดึง เผยให้เห็นว่าเขาไม่ได้อ้วน และนั่นเองทำให้มันดึกจำเขาได้
      “เจ้า..เจ้าฟ้าคำราม จับมัน” มันดึกโมโหใหญ่สั่งลูกน้องจับฟ้าคำรามทันที จึงทำให้ฟ้าคำรามรับดึงยุนบกขึ้นและวิ่งหนี นั่นทำให้จองฮยางเห็นยุนบกได้ถนัดตาเมื่อเขาลุกขึ้น
      “ช่างเขียน!”นางอุทานออกมา ทำให้อินอุกสังเกตเห็น
      มันดึกงวดอยู่กับการไล่จับฟ้าคำรามจึงสั่งให้คนจัดการนำอินอุกและจองฮยางเข้าห้องแทนเขา เมื่อเข้ามาในห้องแทนที่นางจะแสดงให้เขาดู แต่กลับมาท่าทีรีบร้อน
      “ขอประทานโทษคุณชายฮงด้วยค่ะ ข้าไม่สามารถแสดงให้ท่านดูได้ ข้ามีธุระด่วนขอตัวก่อนค่ะ นางพยายามจะเดินจากไปแต่เขาทนไม่ได้ที่จะให้นางเดินหนีจึงเข้าเดินผ่าม่านเข้าไปขวางทางนางไม่ให้จากไป
      ทางฝั่งฟ้าคำรามกับยุนบกก็หนีหัวซุกหัวซุน ฟ้าคำรามจึงตัดสินใจเข้าต้านพวกของมันดึกให้ยุนบกรีบหนีไปหาจองฮยางซะและพานางหนีไปเขาจะตามไปทีหลัง เมื่อตกลงได้ดังนั้นยุนบกจึงรีบวิ่งหนีไป และเข้าไปหาจองฮยางยังห้องต่างๆ ตอนนี้บรรยากาศภายในหอวุ่นวายไปหมด ยุนบกเปิดผิดไปหลายห้องจนในที่สุดก็เปิดเข้ามาเจอจองฮยาง ซึ่งถูกเกาะกุมมือ โดย ฮงอินอุก เขาอึ้งกับภาพที่เห็น
      “ช่างเขียน!” จองฮยางตกใจเมื่อเห็นยุนบก จึงรีบสะบัดมืออินอุกออก และเดินตรงไปหายุนบก
      “เป็นท่านจริงๆ ช่างเขียน ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน” นางระบายความรู้สึก แต่นั่นกับสร้างความแสลงใจให้อินอุกยิ่งนัก
      “จองฮยางข้า..”ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรมันดึกและลูกน้องก็มาออกันที่หน้าประตูแล้ว
      “จับมัน มันเป็นลูกน้องของเจ้าฟ้าคำราม” มันดึกสั่งการคนของตนทันที ยุนบกถูกล็อกตัวไว้
      “ไม่อย่านะ อย่าทำเขา” จองฮยางอ้อนวอน แต่มันดึกไม่ฟัง ลูกน้องเขาลากยุนบกออกจากห้องไป จองฮยางจะวิ่งตามแต่ถูกอินอุกขวางไว้ นางโมโหที่เขาเข้ามายุ่งเรื่องนี้จึงตบหน้าเขาไปฉาดใหญ่ และวิ่งตามยุนบกไปโดยไม่ไยดี อินอุกรู้สึกคับแค้นใจยิ่งนักที่ถูกหญิงที่รักทำเช่นนี้ เขาเกลียดยุนบกนักที่มาแย่งของรักเขาไป
      มันดึกจับยุนบกมายังสวนหลังหอ
      “เจ้าเป็นอะไรกับมัน เจ้าหนู” มันดึกถามโดยเข้าไปเชยคางของยุนบก หากแต่ก็ไม่ได้คำตอบ เขาจึงสะบัดหน้ายุนบก อย่างแรง
      “ปากแข็ง” มันดึกส่งสัญญาณให้ลูกน้องซ้อมยุนบก พวกมันทั้งเตะทั้งต่อย จนเขาลงไปกองกับพื้น เมื่อจองฮยางวิ่งมาถึง ก็พบกับสภาพของยุนบก นางรีบวิ่งเข้าไปห้าม
      “ม่ายยยย อย่าทำเขา ได้โปรดเถอะ” นางร้องไห้ฟูมฟาย เข้าไปกอดรัดร่างยุนบกไว้ นั่นทำให้มันดึกสังเกตเห็นความรู้สึกพิเศษที่นางมีต่อยุนบก จึงคิดแผนชั่วๆขึ้นมาได้
      “ได้ซี ข้าจะไม่ทำอะไรมัน แต่เจ้าจะยอมเป็นของข้าได้ไหมล่ะจองฮยาง” เขายืนข้อเสนอด้วยน้ำเสียงเลือดเย็น ทำให้นาง นิ่งอึ้งไปซักครู่ มันดึกเห็นท่าทีนั้นก็ไม่พอใจจะสั่งให้ลูกน้องซ้ำ นางจึงรีบตอบตกลง
      “ได้ ข้าตกลง” นางพูดอยางเฉียบขาด ตอนนี้นางคิดอะไรไม่ออกนอกจากความปลอดภัยของยุนบกเท่านั้น คำตอบนั้นทำให้มันดึกเสยะยิ้มออกมา ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองนางอย่างตั้งใจ เขาคิดว่าคงตั้งตัดใจซะแล้วแต่โชคก็เข้าข้างเขาซะนี่กระไร มันดึกเข้าไปดึงนางและลากนางไปที่ห้อง พร้อมสั่งการให้ลูกน้องนำยุนบกไปทิ้งข้างนอก จองฮยางได้แต่เหลียวหลังมองอย่างอาลัย เมื่อถึงห้องมันดึกผลักนางเข้าไป นางรู้สึกกลัวเล็กน้อยหากแต่ก็พร้อมรับมือ
      “ไม่ต้องห่วงข้าไม่กินอาหารที่ทำไว้ขายหรอก ไม่งั้นราคาของเจ้าคงตกกันพอดี” เขาเข้าไปเชยคางนางขึ้น แต่นางก็สะบัดหน้าหนี หลังพูดเสร็จเขาก็เดินจากห้องไป จองฮยางได้แต่โทษตัวเองแต่เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ทั้งที่ได้เจอช่างเขียนที่นาง ถวิลหาอีกครั้งแต่ก็ต้องทำให้เขามาอยู่ในสภาพแบบ นางโทษตัวเองที่ยุนบกถูกซ้อม
      “ช่างเขียนท่านเป็นอย่างไรบ้าง นานเหลือเกินที่ไม่ได้พบหน้าท่าน ข้าขอโทษเป็นเพราะข้าอีกแล้วที่ท่านต้องมาเจ็บตัวเช่นนี้” นางรำพึงถึงเขา คืนนี้นางคงจะนอนไม่หลับเป็นแน่เพราะใจของนางไม่อยู่ที่นี่ซะแล้วหากแต่ล่องลอยไปตามสายลม มายังที่ที่คนรักนางอยู่
      ลูกน้องของมันดึกจับยุนบกลากมาจากหลังหอ และโยนเขาทิ้งดั่งเศษขยะไว้หน้าหอ เมื่อพวกมันปิดประตูแล้วเดินจากไป ฟ้าคำรามก็ปรากฏตัวขึ้น รีบวิ่งเข้าไปประคองยุนบกทันที
      “เฮ้เจ้าช่างเขียน เจ้าเป็นไงบ้าง โธ่เอ๊ย ข้าบอกให้เจ้าหลบดีๆยังไงเล่า” เขากล่าวอย่างเป็นห่วงยุนบก หากแต่ตอนนี้ยุนบก ไม่สามารถรับรู้อะไรได้แล้ว เขาบอบช้ำเกินที่จะมีสติอยู่ ได้แต่เพ้อเรียกชื่อของจองฮยาง
      “จองฮยาง...จองฮยาง..” เขาปัดป่ายมือในอาการ ฟ้าคำรามทนเห็นสภาพนี้ได้ไม่นาน เขาก็แบกยุนบกขึ้นหลังและมุ่งหน้า ไปยังเสน่ห์จันทรา
      เมื่อมาถึงทุกคนที่เฝ้าคอยการกลับมาของทั้งคู่ก็ตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า รีบเข้าไปช่วยพยุงยุนบกทันที
      “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันค่ะ ท่านพี่” จานเอ่ยความอย่างสงสัย
      “ข้าก็ไม่แน่ใจ ข้าพลัดกับเขา แล้วก็มาเจออีกทีในสภาพนี้นั่นล่ะ” ฟ้าคำรามพูดพลางส่ายหน้า จานจึงรีบให้คนนำเขาเข้าห้องเพื่อรักษาโดยด่วน นางให้ลูกน้องของฟ้าคำรามเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ และบอกชิลรองหัวหน้าให้นำยามาให้ที นางจึงได้เช็ดเนื้อตัวที่เปื้อนเลือดของยุนบกและถอดเปลี่ยนให้เขา แต่ก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าแท้จริงนั้นน้องยุนบกของนางเป็นหญิง
      “อะไรกันนี่ นี่มัน..”ตอนนี้นางคิดอะไรไม่ออกเลย แล้วชิลก็นำยามาให้นางจึงรีบใส่เสื้อกลับให้เขา และไล่ทุกคนออกไป

      รุ่งเช้า ณ พระราชวัง ตำหนักของพระอัยยิกา
      “นี่มันก็สามเดือนแล้วนะ ทำไมไม่ได้ข่าวจากมือสังหารกลุ่มนั้นอีก” พระอัยยิกากล่าวอย่างเกรี้ยวกราด
      “ขอประทานอภัยด้วยพะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าจะถูกขัดขวางการปฏิบัติภารกิจนะพะยะค่ะ” ขุนนางคนสนิททูล
      “อะไรกัน นี่พระราชา ยังส่งคนไปคุ้มกันมันอีกหรอ” นางถาม
      “มิได้พะย่ะค่ะ หม่อมฉันได้ส่งคนไปสืบดูแล้ว ไม่ใช่คนของพระราชาอย่างแน่นอน และตอนนี้แฮวอนก็ยังอยู่ที่หยางโจ พะย่ะค่ะ” เขาตอบ ทำให้นางคิดแผนชั่วๆขึ้นมาได้ แต่ก็ยังอยากได้ข้อมูลอีกเล็กน้อย
      “ทำไมเขายังอยู่ที่นั่น ทั้งที่มือสังหารตามฆ่าเขา ปรกติเขาจะรีบหนีไปยังเมืองอื่นทันทีนี่” นางถาม
      “ทูลฝ่าบาท แฮวอนอยู่กับนักเลงผู้คุมเขตมาโปแห่งหยางโจนะพะย่ะค่ะ” เขาตอบ
      “นักเลงหรอ หยางโจ? ถ้าข้าจำไม่ผิด นั่นเป็นที่วิ่งเล่นของพระราชาเมื่อสมัยยังเป็นรัชทายาทนี่...ดีส่งคนของเราไปประจำ ที่นั่น ข้าอยากจะรู้เรื่องของที่นั่นมากขึ้น” นางออกคำสั่ง ให้นำขุนนางฝ่ายของตนลงไปปกครองหยางโจ
      “แฮวอน เจ้าก็ได้แต่วิ่งหนีอยู่บนอุ้งมือของข้านี่ละนะ ฮึๆๆ” นางกล่าวอย่างพอใจ
      ขณะเดียวกัน ณ เสน่ห์จันทรา วันนี้ร้านก็เปิดเหมือนเช่นเคย ขาดแต่ยุนบกที่ไม่ได้ออกมาให้บริการเท่านั้น และจานเองก็ดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
      “เพล้ง” เสียงจานชามที่นางเก็บจากโต๊ะที่คิดเงินแล้วแตกกระจายเต็มพื้น ฟ้าคำรามจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วยนางทันที
      “นี่เจ้าเป็นอะไรนะเมียจ้า วันนี้ดูแปลกๆชอบกล” เขาพูดเสียงเล็กเสียงน้อย ทำให้จานระคายหูยิ่งนัก นางจึงเอามือดันศีรษะของเขาที่ยื่นมาใกล้หน้านางให้พ้นๆไปซะ
      “น่ารำคาญจริงไม่ต้องมายุ่งกับข้า ท่านจะไปทำอะไรก็ไป” นางตวาดเขา จนเขาน้อยใจเดินคอตกเข้าหลังร้านไปอุ่นเหล้าตามเดิม นางนั่งเก็บเศษจานที่แตกอยู่พลางครุ่นคิดถึงเหตุผลที่ยุนบกต้องปลอมตัวเป็นชาย หากแต่ก็คิดไม่ออกซักที จึงทำให้นางหงุดหงิด พาลไม่อยากทำอะไรจึงเรียกลูกน้องของฟ้าคำรามมาเก็บเศษจานแทนนาง จากนั้นนางจึงเดินเข้าบ้านไปเพื่อไปห้องของยุนบก ดูอาการของเขาว่าเป็นอย่างไรแล้ว จะได้ฟื้นขึ้นมาตอบปัญหาคาใจนางซักที นางเปิดประตูเข้าไปนั่ง ข้างๆร่างที่นอนอยู่บนฟูก นางนิ่งมองหน้าเขาอยู่นาน
      “มิหน้า หน้าตาเจ้าถึงได้งดงามเกินชายหนุ่มทั่วไป ข้าคิดว่าเจ้าหน้าหวานซะอีก ที่แท้ก็...”นางหยุด ก่อนจะถอนหายใจ
      “เจ้าเป็นใครกันน้า น้องยุนบก ข้าอยากจะรู้จริงๆ” นางพูดพลางลูบหน้าผากเขาอย่างเอ็นดู
       
      ณ นารีแดง มันดึกได้นำผ้าแพรและไหมมากมายมาให้จองฮยาง เพื่อให้นางตัดชุด ก็ในเมื่อนางต้องอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วนางควรจะมีชุดที่งดงามสวมใส่อยู่ตลอดเวลา
      “เจ้าชอบผืนนี้ไหมจองฮยาง ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้ามาก” มันดึกกล่าวพร้อมเพียบผ้ากับตัวจองฮยาง หากแต่นางไม่ตอบ และไม่มีอาการใดๆทั้งสิ้น มันทำให้เขาหมดอารมณ์สุนทรีย์ เขาเชยคางนางหมายจะจุมพิต หากแต่นางสะบัดหน้าหนี และมองเขาอย่างเคียดแค้น เขาโมโหเงื้อมือจะตบนาง แต่นางไม่สะทกสะท้านหรือหลบหน้า เขาจึงหยุดมือไว้เพราะหากทำเช่นนั้นสินค้าของเขาคงมีตำหนิ ราคาก็จะไม่งามดังที่เขาตั้งใจ เขาจึงเดินจากไป ทิ้งให้จองฮยางนั่งนองน้ำตาด้วยความ เป็นห่วงยุนบก นางกลัวว่าเขาจะเป็นอะไร สภาพเมื่อคืนนั้นน่ากลัวยิ่งนักร่างบางๆของเขาจะรับมันได้หรือ
      “ช่างเขียนท่านเป็นอย่างไรบ้าง ปลอดภัยหรือไม่ ข้าเป็นห่วงท่านนัก” นางอาวรณ์
      ฝ่ายอินอุกเมื่อรู้ข่าวว่านางที่รักจะอยู่ต่อก็รีบมาหานางทันที
      “ท่านมันดึกข้าอยากพบนาง ให้ข้าเข้าพบได้หรือไม่” อินอุกกล่าวอย่างรีบร้อน
      “ได้ซี สำหรับคุณชายฮง แต่ว่าตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดีซักเท่าไหร่ ข้าเกรงว่า...” มันดึกพูดยังไม่ทันจบอินอุกก็สวนขึ้น
      “ข้าให้ห้าร้อยเนียง” ข้อเสนอนี้ทำให้มันดึกยิ้มออก และผายมือเชื้อเชิญเขาไปยังห้องที่จองฮยางอยู่ เขาเปิดประตูเข้าไป โดยที่ไม่มีผู้ใดบอกกล่าวแก่นางว่าจะมีแขก นางจึงยังอยู่ในสภาพร้องห่มร้องไห้ อินอุกตกใจกับภาพที่เห็น เช่นเดียวกับจองฮยางที่ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดเข้ามา นางจึงรีบเปลี่ยนอิริยาบถทันที
      “แม่นางจองฮยางเจ้าเป็นอะไรหรือ ผู้ใดทำเจ้ากัน” เขาถามด้วยความเป็นห่วง
      “บอกธุระของท่านมาเถอะ ท่านอยากดื่มเหล้าหรือฟังเพลงล่ะ” นางทำหน้าที่กีเซงทันที แต่นั่นทำให้ใจอินอุกเจ็บแปลบ นี่เขาเป็นได้แค่นี้สำหรับนางจริงๆรึนี่
      “ข้า..ข้าเพียงอยากพบหน้าเจ้าเท่านั้น ข้าดีใจนักที่เจ้าจะอยู่ต่อข้า...” ไม่ทันที่อินอุกจะพูดจบ เขาก็ไปสะกิดใจจองฮยางเข้า กับคำว่าอยู่ต่อ ทำให้นางหลั่งน้ำตาออกมา ตอนนี้อินอุกทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นน้ำตาของคนที่รัก
      “เอ่อ..แม่นาง..”อินอุกพยายามจะพูดปลอบ
      “ท่านกลับไปซะเถอะค่ะ” นางกล่าวเสียงสั่น แม้อินอุกจะไม่เต็มใจนักแต่ก็ยอมกลับแต่โดยดี
      “แล้วข้าจะมาใหม่” เขากล่าวทิ้งท้าย
      กลางดึกคืนหนึ่งชายหนุ่มร่างเล็กกำลังวิ่งกระหืดกระหอบ มือของเขากำที่ห้อยรูปผีเสื้อตรงไปยังหอนางโลม
      “ต้องรีบไป พรุ่งนี้เจ้าก็จะถูกขายไปแล้วจองฮยาง รอข้าก่อนนะ” เมื่อเข้ามาสู่ด้านในเขารีบตรงไปยังห้องของหญิงสาวที่ดวงใจเขาถวิลหา แล้วก็มาหยุดอยู่หน้าประตู เขาพักหอบซักครู่แล้วจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็น ห้องว่างเปล่า เขาหมุนตัวเพื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ หากแต่ไร้วี่แววของคนที่เขาอยากพบ เขาทรุดตัวลงคร่ำครวญด้วยความเสียใจแล้วก้มมองที่ห้อยรูปผีเสื้อในมือ น้ำตาของเขาหยดลงไปยังผีเสื้อทันในนั้นมันก็แตกละเอียดคามือเขา
      “จองฮยาง!” ยุนบกสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย จึงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจทำให้จานที่เฝ้าดูอาการเขาอย่างใกล้ชิด รีบเข้ามาประคองเขาลูกขึ้น
      “ยุนบก เจ้าเป็นอะไร” นางถามด้วยความเป็นห่วง
      “จองฮยาง..จองฮยางนาง นางอยู่ที่ไหน จองฮยาง” เขาแตกตื่นและพยายามลุกขึ้นเพื่อหาจองฮยาง
      “นางไม่ได้อยู่ที่นี่” จานตอบและจับเขาให้นั่งดังเดิม ยุนบกนิ่งอึ้งไปกับคำตอบ นี่ในฝันเขาเป็นจริงรึนี่ ทันใดนั้นฟ้าคำราม ก็โผล่มา
      “นางยังอยู่นารีแดงไม่ต้องห่วง แต่จะว่าไป นั่นล่ะที่ต้องห่วงที่สุด ข้าให้ลูกน้องไปสืบมาแล้ว เจ้ามันดึกนี่ ไม่เปลี่ยนเลย ข้าพอจะเดาเหตุการณ์เมื่อคืนออกแล้วล่ะ มันจับเจ้าแล้วใช้เจ้าข่มขู่นางให้เป็นของมัน ตอนนี้มันครอบครองนางได้ อย่างถูกต้องแล้ว” ฟ้าคำรามอธิบาย
      “ท่านหมายความว่ายังไง” ยุนบกยังไม่เข้าใจ
      “แต่เดิมนางเป็นกีเซงอิสระ ไม่มีผู้ใดครอบครองนาง นางตระเวนเล่นพิณไปยังเมืองต่างๆจนมาที่นี่ยังไงล่ะ” ฟ้าคำรามเสริม นั่นทำให้ยุนบกเข้าใจทุกอย่าง ว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้นางต้องเสียอิสรภาพ เป็นเพราะเขาที่ทำให้นางต้องมาเจอชะตากรรมเช่นนี้อีก
      “โธ่เว้ย ข้าน่าจะตายๆไปซะ” ยุนบกพูดพร้อมตีอกชกหน้าตัวเอง จานจึงรีบหยุดการกระทำของเขา
      “ข้ามัน..คนไม่ได้เรื่อง สร้างแต่ปัญหา เป็นภาระของผู้อื่นเสมอ” เขาพูดซ้ำเติมตัวเอง ฟ้าคำรามมองอย่างเวทนา
      “ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นคนไม่เอาไหน ก็อย่ามัวแต่นั่งร้องไห้ ลุกขึ้นอย่างลูกผู้ชาย ข้าจะสอนเจ้าเอง” ฟ้าคำรามกล่าว ยุนบก หันมามองเขาด้วยน้ำตานองหน้า สร้างความขบขันให้ฟ้าคำรามยิ่งนัก เขาจึงเดินเข้าไปเช็ดหน้ายุนบกด้วยชายเสื้อของเขา พร้อมตบหลังยุนบกเบา
      “เอ้าลุกได้แล้วไม่มีเวลานอนแล้วเจ้าโง่” ฟ้าคำรามกล่าวพร้อมร้อยยิ้ม ยุนบกเองก็ยิ้มสู้เช่นกัน
      “ครับ!” ทันใดนั้นชายหนุ่มที่พวกเขาไม่คาดคิดก็ปรากฏตัวขึ้น
      “ข้าเห็นด้วยดังที่ท่านพูด” เป็นอินอุกนั่นเองที่สืบถามคนจนมาถึงบ้านของฟ้าคำรามได้
      “เจ้าไม่มีเวลามานั่งร้องไห้ เพราะนางเองก็ร้องไม่แพ้เจ้าเช่นกัน ได้โปรดช่วยนางด้วย” เขาพูดพร้อมคุกเข่าลง สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ยุนบกและฟ้าคำราม
      “มีแต่เจ้าเท่านั้น ที่จะทำให้นางมีความสุขได้ ข้า..ตัวข้านะ..ทำไม่ได้” เขาพูดหลบตาอย่างละอายใจที่ไม่สามารถทำอะไร ให้หญิงที่ตนรักได้เลย
      หลายสัปดาห์นับจากนั้น ณ พระราชวัง ห้องทรงงานของพระราชา
      “ท่านว่าอย่างไรนะ ท่านเสนาขวาส่งคนไปประจำยังเมืองหยางโจรึ” พระราชาจองโจตรัสถาม
      “พะยะค่ะ กระหม่อนเห็นว่า ทางฝ่ายพระอัยยิกาหยุดการเคลื่อนไหวไปนาน จึงเกรงว่าการโยกย้ายครั้งนี้จะมีแผนร้าย ซ่อนอยู่” ราชเลขาฮงกุกยองทูล
      “เมืองหยางโจ? ฟ้าคำรามอยู่ที่นั่นนี่ คงจะไม่มีอะไรหรอกมั้ง” พระราชาเชื่อมั่นในสหายเก่า แต่เดิมนั้นเมื่อสมัยยังเป็น รัชทายาทได้ทรงปลอมพระองค์เป็นจอมยุทธ์ไร้นาม ท่องเที่ยวไปยังเมืองต่างๆ และได้ประมือกับฟ้าคำรามและได้ผูกสัมพันธ์กันฉันมิตร เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระองค์จับขุนนางฉ้อโกงได้และได้ช่วยเหลือฟ้าคำรามและแม่นางจานไว้ นับแต่นั้นพระองค์ก็ไม่ได้มีโอกาสไปที่นั่นอีกเลย
      “ฝ่าบาทหม่อนฉันเห็นว่า ส่งคนไปสืบเพื่อความไม่ประมาทจะดีกว่านะพะยะค่ะ” ราชเลขาฮงกล่าว
      “ท่านนี่รอบคอบเสมอ เอาตามนั้นก็แล้วกัน” เมื่อได้ยินรับสั่ง ราชเลาขาฮงจึงได้ส่งองค์รักษ์พิเศษไปสืบเรื่องนี้

      ณ หอนารีแดงวันนี้มีงานเลี้ยงใหญ่ เพื่อต้อนรับผู้ว่าการคนใหม่ของหยางโจ มันดึกเป็นเจ้าภาพในการต้อนรับครั้ง เขาหวัง ที่จะเอาขุนนางคนนี้เป็นพวกเพื่อทำกิจการผิดกฎหมาย เหมือนดั่งที่เคยทำเมื่อสมัยก่อน และแน่นอนในงานนี้ย่อมขาด จองฮยางกีเซงลือชื่อซึ่งตอนนี้เป็นของ นารีแดงไปแล้วไม่ได้
      “เชิญครับใต้เท้าฮยอน เชิญนั่งตรงนี้เลยครับ” มันดึกกล่าวเชื้อเชิญอย่างออกนอกหน้า
      “เป็นยังไงครับ สาวๆของนารีแดงถูกใจท่านมั่งไหมครับ” มันดึกกระซิบข้างหูใต้เท้าฮยอน หลังจากนั่งลงข้างๆเขา
      “อืมหญิงที่นี่งามนั่ง” ใต้เท้าฮยอนพูดพลางยกจอกเหล้าขึ้นจิบ ขณะที่หญิงสาวมากมายกำลังร่ายรำ
      “นี่ยังไม่ถึงที่เด็ดของข้าหรอกนะครับ ยังมีหญิงที่งดงามที่สุดอยู่” มันดึกแย้ม ใต้เท้าฮยอนหันมามองเขาและทำสีหน้าพอใจ เมื่อการร่ายรำจบ เหล่านางรำก็เดินหลบฉากไป ทันใดจองฮยางก็ปรากฏตัวพร้อมพิณของนาง นางนั่งลงอย่างสำรวมและเริ่มบรรเลง ทันทีที่ใต้เท้าฮยอนเห็นนางเขาก็ตกหลุมรักนางซะแล้ว และเมื่อได้ฟังเสียงพิณเขาก็แทบถอนตัวไม่ขึ้น เขามองนางอย่างลุ่มหลงพอดีกับที่มันดึกจับสายตาของเขาได้ มันดึกอ่านออกทันทีว่าขุนนางผู้นี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองนางเป็นแน่ มันดึกจึงเสยะยิ้มอย่างพอใจพร้อมกระดกเหล้าเข้าปาก
      ฝั่งยุนบกนั้นเมื่อเขาหายดีจากอาการบาดเจ็บ ฟ้าคำรามก็ฝึกให้เขาเป็นลูกผู้ชายที่แข็งแกร่ง ฟ้าคำรามสอนการต่อสู้ ทั้งการ จู่โจมและตั้งรับให้แก่ยุนบก พร้อมฝึกความอดทน เขาให้ยุนบกทำงานบ้านทุกอย่าง ทั้งผ่าฟืน แบกน้ำ ทำความสะอาดบ้าน บวกกับการฝึกหนักเยี่ยงทหาร ฟ้าคำรามกล่าวว่า “หากเจ้ายังทำงานบ้านไม่ได้ใยเจ้าจะฝึกการต่อสู้ได้” ยุนบกเชื่อในคำนั้นเขาจึงทุ่มเทเต็มที่กับการฝึกนี้ ฟ้าคำรามจะให้ยุนบกประลองกับเขาทุกเย็นเพื่อดูความก้าวหน้า
      “ข้าบอกให้เจ้ามองที่เท้าคู่ต่อสู้ไง เจ้าโง่เอ๊ย” ฟ้าคำรามพูดก่อนจะสวนหมัดใส่ท้องยุนบกเต็มแรง จนเขาทรุดลงกับพื้น ฟ้าคำรามส่ายหัวให้กับความอ่อนแอของยุนบก
      “แค่กๆ ข้าขออีกครั้งครับ” ยุนบกพูดอย่างยากลำบาก ทำให้ฟ้าคำรามยิ้มออก และเดินเข้าไปลูบหัวยุนบก
      “ถึงเจ้าจะยังสู้ใครไม่ได้ แต่ก็คงไม่ตายง่ายๆแล้วล่ะ เจ้าโดนหมัดข้าทุกวันแบบนี้ยังทนได้ รับรองเจ้าไม่ล้มง่ายๆด้วยหมัด คนอื่นหรอก” ฟ้าคำรามพูดให้กำลังใจ ก่อนจะตบที่หลังยุนบกเบา ๆ
      “น้องยุนบก ได้เวลาทำอาหารแล้ว”เป็นจานนั่นเองที่เรียกเขา ให้ไปทำอาหาร เขาจึงพักการต่อสู้และเดินตามนางเข้าครัว นางมองเขาอย่างเห็นใจ หลังจากที่นางรู้ความจริงนางก็ไม่มีโอกาสได้ถามเขาเลย ในขณะที่ยุนบกกำลังก่อไฟอยู่ นางจึงถามขึ้น
      “เจ้าไหวแน่หรอ ยุนบก เจ้านะ..” นางถามเสียงอ่อน หากแต่ยุนบกก็ให้คำตอบทันควัน
      “ไม่ต้องห่วงเจ๊จาน ข้าไหว ต้องขอบคุณท่านกับพี่ฟ้าคำรามมาก ตอนนี้ข้าเริ่มปรับตัวกับการฝึกได้แล้วล่ะ ฝีมือทำอาหาร ของข้าก็ดีขึ้นแล้วด้วย เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องมาคอยดูข้าแล้วล่ะ ท่านไม่ต้องห่วงหรอก” เขาพูดก่อนจะหยิบหม้อขึ้นเตาลงมือทำอาหาร นางได้แต่มองอย่างถอนใจ รู้สึกสงสารที่ลูกผู้หญิงเช่นเดียวกับนางต้องมาฝึกโหดแบบนี้ ไม่ทันที่นางจะได้ คิดนานก็ได้ยินเสียงโวยวายนอกบ้านทำให้ทั้งคู่ออกจากครัวมายังแหล่งเสียงนั่น
      “แย่แล้ว มันดึกจัดงานต้อนรับใต้เท้าใหม่ของหยางโจ ข้าเกรงว่ามันจะให้นาง” เป็นอินอุกนั่นเองที่วิ่งหอบมาบอกข่าว ยุนบกออกมาได้ทันทราบข่าวนั่นพอดี เขาทำสีหน้าวิตกยิ่งนัก จานจึงกล่าวขึ้น
      “ไม่ต้องห่วงหรอก คนอย่างมันดึกน่ะยังไม่ปล่อย ตัวทำเงินทำทองของมันไปง่ายๆ อย่างน้อยก็คงซักพัก ให้มันหาเป้าหมายใหญ่ๆได้ก่อน” จานบอกให้ทุกคนเบาใจเพราะนางรู้จักมันดึกดี นางเองก็เคยตกอยู่ในสภาพของจองฮยางมาก่อน
      “นั่นสิเจ้าช่างเขียน ไม่ต้องห่วงไปหรอก ถ้ามันคิดจะทำอะไรนางละก็ ข้านี่แหละจะจัดการมันเอง” ฟ้าคำรามเสริม ทำให้ ยุนบกยิ้มออกมาได้
      “คุณชายฮง ข้าขอฝากนางไว้ที ข้าไม่สามารถไปพบนางได้ แต่อยากฝากให้ท่านบอกนางด้วยว่า ให้รอข้าอีกหน่อย ข้าจะไปรับนางมาแน่ๆ” ยุนบกฝากฝังกับอินอุก นับจากวันที่อินอุกตัดสินใจจะช่วยนางและทำทุกอย่างเพื่อนางที่ตนรัก เขาก็เป็นพันธมิตรที่ดีต่อยุนบก ไปมาหาสู่ระหว่างจองฮยางและยุนบก คอยส่งข่าวให้พวกเขา รวมถึงจดหมายรักด้วย วันนี้ก็เช่นกัน ยุนบกได้ฝากเขาให้เอาไปให้นางอีกตามเคยเมื่อมาถึงนารีแดง อินอุกก็ได้ขอพบจองฮยางเช่นเดิม
      “นี่เป็นจดหมายของเขา” อินอุกยื่นให้นาง นางรีบรับและเปิดดู ก่อนจะหลั่งน้ำตาด้วยความรักใคร่ ในจดหมายไม่มีตัวอักษรใดหากแต่มีเพียงภาพเขียนผีเสื้อเคียงคู่ดอกไม้เท่านั้น เหมือนจะสื่อว่าอีกไม่นานพวกเขาจะได้พบกัน อินอุกมองนางอันเป็นที่รักหลั่งน้ำตาให้ชายอื่น เขาเจ็บปวดยิ่งนักหากแต่ก็ยังดีกว่าที่จะให้นางเกลียดเขา เขายอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้นางยอมพบเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าที่นางพบเขาเพื่อต้องการรู้ข่าวชายอันเป็นที่รักของนางเท่านั้น
      “วันนี้เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง มันดึกบังคับเจ้าให้ทำอะไร ฝืนใจเจ้าไหม ใต้เท้าฮยอนนั่น...”เขาถามด้วยความเป็นห่วง นางจึง รีบตอบ เพื่อไม่ให้เขาเข้าใจผิด
      “ข้าไม่เป็นไร เขาเพียงแต่ให้ข้า ต้อนรับใต้เท้าฮยอนด้วยเสียงเพลงเท่านั้น” อินอุกโล่งใจเมื่อได้ยินดังนั้น
      “แล้ว...เอ่อ ช่างเขียน..”นางพยายามจะถามถึงคนรัก อินอุกจึงชิงตอบก่อน
      “เขาดูสบายดี กำลังง่วนอยู่กับการฝึก ข้ารู้สึกว่าตัวเขาดูกำยำขึ้นนะ ผิวก็คล้ำขึ้นด้วย” อินอุกพูดพรางหัวเราะเล็กน้อย จองฮยางมีความสุขยิ่งนักที่ได้รู้ว่าคนรักของนางสบายดีและกำลังตั้งใจฝึกฝนตัวเพื่อมาช่วยนาง นางจึงเผลอยิ้มพิมพ์ใจออกมาโดยไม่รู้ตัว จนทำให้อินอุกถึงกับตกอยู่ในภวังค์แห่งดวงหน้านั้น เขามองนางตาไม่กะพริบก่อนที่นางจะรู้สึกตัว รีบเปลี่ยนอิริยาบถทันที อินอุกจึงหลุดจากภวังค์นั้น
      “เอ่อ..เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน” เขาพูดพร้อมลุกขึ้นเดินจากห้องไป จองฮยางโค้งให้เขาเล็กน้อย เมื่ออยู่ลำพังนางก็เอาภาพเขียนขึ้นมากอดแนบอกไว้
      “ช่างเขียนข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน” นางรำพึง ขณะเดียวกันกับที่ยุนบกมองดูดวงจันทร์ และรำพึงถึงนาง
      “จองฮยางข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
       
      ผ่านไปเดือนกว่าราชองครักษ์ได้นำข่าวมาถวายแด่พระราชา
      “ทูลฝ่าบาท จากการสืบในเมืองหยางโจ ได้ความว่าใต้เท้าฮยอนที่ส่งไปที่นั่น สนิทสนทกับเจ้าของหอนางโลม นารีแดง คนหนึ่ง และดูเหมือนว่าเขาทั้งสองจะร่วมมือกันทำเรื่องฉ้อฉลบางอย่าง พะย่ะค่ะ” องครักษ์กล่าว
      “แค่นั้นเองรึ ข้าไม่คิดว่าพระอัยยิกาจะส่งคนลงไปทำแค่เรื่องพวกนี้หรอกนะ” พระราชาสงสัย
      “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมยังได้พบกับ...เอ่อบุตรชายราชเลาขาฮงด้วยพะย่ะค่ะ” องครักษ์เสริม
      “ลูกข้านะหรอ” ราชเลาขาฮงอุทาน
      “แล้วข้าก็ได้พบกับ.....แฮวอนด้วยพะย่ะค่ะ” องครักษ์กลั้นใจทูล
      “อะไรนะ แฮวอนยังงั้นหรือ”พระราชาตกใจเมื่อทรงทราบ และครุ่นคิดซักพัก
      “นี่ต้องเป็นเหตุผลที่แท้จริงของพระอัยยิกาเป็นแน่ เจ้าจงลงไปสืบข่าวมาให้ละเอียด และเสริมกำลังเข้าไปด้วย ข้าเกรงว่า ต้องเกิดอันตรายกับแฮวอนเป็นแน่....แต่อย่าให้ใครรู้ล่ะแม้กระทั่งแฮวอน” พระราชาออกคำสั่ง
      “รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ” องครักษ์รับบัญชาก่อนจากไป ราชเลาขาฮงรู้สึกสงสัยยิ่งนักจึงตามองครักษ์ออกมาเพื่อสั่งการเพิ่ม
      “นำลูกข้ากลับมา ข้าไม่อยากให้เขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” ราชเลาขาฮงออกคำสั่ง
      “เอ๊ะ แต่เขารู้จักกับแฮวอนนะครับ” องครักษ์กล่าว
      “อะไรนะ ให้ตายเถอะ....เช่นนั้นก็บอกเขาว่าข้าเรียกให้เขากลับบ้านโดยด่วนโดยไม่ต้องบอกอะไรเขา” องครักษ์รับคำ และจากไป
      ฝั่งตำหนักของพระอัยยิกาเอง ก็ได้รับข่าวจากขุนนางที่ตนส่งไปเช่นกัน
      “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันได้ทำการสืบอย่างลับๆระหว่างประจำการอยู่ แฮวอนได้อยู่ที่นั่นจริงพะยะค่ะ เขาอยู่กับฟ้าคำราม ซึ่งคุมเขตมาโป” ใต้เท้าฮงซึ่งเดินทางมาจากหยางโจเพื่อทูลความคืบหน้า
      “แล้วตอนนี้เขาทำอะไรอยู่” พระอัยยิกาถาม
      “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษนะพะย่ะค่ะ” เขาทูล
      “เช่นนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อกับพระราชาแล้วนะซิ” นางถาม
      “พะย่ะค่ะ หากแต่...” เขาตอบ
      “อะไรรึ” นางสงสัย
      “จากที่ให้คนของหม่อนฉันไปเฝ้าดูฟ้าคำรามและแฮวอนนั้น พวกเขาได้มีการติดต่อกับคุณชายฮง บุตรชายของราชเลขาฮงด้วยพะยะค่ะ” เขากล่าวอย่างกังวล
      “หม่อนฉันจึงไม่มั่นใจนักว่า แฮวอนได้ขาดการติดต่อกับพระราชาไปแล้ว” เขาเสริม
      “บุตรชายของราชเลขาฮงยังงั้นรึ?” นางฉงน
      “เรื่องนี้ดูจะซับซ้อนซะแล้ว จำจงไปสืบดูว่าเขาติดต่อกันเรื่องอะไร ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้พระราชาต้องเกี่ยวข้องแน่ๆ” นางออกคำสั่ง ใต้เท้าฮยอนรับคำและเร่งเดินทางกลับหยางโจทันที พอดีกับที่ราชเลขาฮงสังเกตเห็นเขาออกมาจากตำหนักพระอัยยิกา
      ณ เสน่ห์จันทรา ยุนบกและฟ้าคำรามกำลังต่อสู้กันอย่างเอาจริงเอาจัง ฟ้าคำรามเตะยุนบกด้วยขาขวาเข้ากลางลำตัว หากแต่ ยุนบกรับลูกเตะนั้นด้วยฝ่ามือทั้งสอง และใช้แขนซ้ายสับลงขาเขา ฟ้าคำรามจึงชักมันกลับ และโต้ตอบด้วยหมัดเหล็ก อันหนักหน่วงที่ใบหน้า แต่ยุนบกกลับหดตัวหลบและสวนเขาด้วยหมัดขวาเข้าที่ท้อง ฟ้าคำรามถึงกับเซ เขาจึงคิดเผด็จศึกด้วยการกระโดดเข้าหายุนบกและสับข้อศอกใส่ศีรษะของเขา แต่ยุนบกอ่านฝีเท้าเขาออกจึงสวนกลับด้วยหมัดเสยคาง จนฟ้าคำรามปากแตกลงไปกองกับพื้น
      “พี่ฟ้าคำรามท่านเป็นไงบ้าง” ยุนบกตกใจกับผลที่เห็น เขารีบเข้าไปพยุงตัวฟ้าคำราม ฟ้าคำรามได้ทีจับคอเสื้อยุนบกแล้วโยนเขาข้ามตัว ยุนบกลงไปนอนกับพื้นโดยที่ฟ้าคำรามค่อมเขาอยู่ ยุนบกจึงสวนด้วยท่าไม้ตายที่จานสอนให้ คือเตะผ่าหมาก นั่นละจึงทำให้ฟ้าคำรามสิ้นลาย
      “เก่งมากน้องยุนบก แปะๆๆๆ” จานนั่นเองที่เป็นคนพูดขึ้นและดีใจที่ยุนบกใช้สิ่งที่นางสอนให้เป็นประโยชน์
      “ให้ตายเถอะเจ้าช่างเขียน นี่เจ้าจะฆ่าข้าหรือไงกัน โอ๊ยจุก” ฟ้าคำรามกุมส่วนสงวนร้องโอดโอย
      “เอ่อ..ข้าขอโทษครับ แต่มันจวนตัวข้าก็เลย ไม่เจ็บมากใช่ไหมครับ” ยุนบกเดินเข้าไปประคองเขา
      “เจ้าบ้า ไม่เจ็บอะไรล่ะ เจ้าก็น่าจะรู้” เขาสะบัดมือหนีการช่วยเหลืออย่างงอนๆ จานจึงเดินเข้ามา
      “อย่าไปสนใจคนบ้าเลย ยุนบกไปกินข้าวกันเถอะเร็ว” จานชวนเขาพลางคล้องแขนเข้าบ้านไป ยุนบกได้แต่ทำหน้างงๆกับสามีภรรยาคู่นี้ เดี๋ยวนี้ยุนบกไม่ต้องทำงานบ้านแล้ว ฟ้าคำรามให้เขาฝึกการต่อสู้อย่างเต็มที่ แม้จะผ่านมาแค่สองเดือนแต่ฝีมือเขาก้าวหน้าขึ้นมาก ตอนนี้สามารถเป็นคู่มือกับฟ้าคำรามได้แล้ว
      “นี่ก็สองวันแล้วคุณชายฮงไม่ได้มาที่นี่เลย ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับจองฮยาง” ยุนบกกล่าวขณะกินข้าว
      “เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า นางไม่เป็นอะไรหรอก คนของข้าก็เฝ้าอยู่ที่นั่นเหมือนกัน หากเกิดอะไรขึ้นเขาต้องรีบมาบอกข้าแน่” ฟ้าคำรามพูดเพื่อไม่ให้ยุนบกกังวลมาก อินอุกก็ปรากฏตัวขึ้นทันใด
      “เรากำลังเอ่ยถึงเจ้าพอดี” ฟ้าคำรามกล่าวทักขึ้น
      “คุณชายฮงมีข่าวอะไรบ้างหรือครับ”ยุนบกรีบร้อนถาม
      “ตอนนี้ยังไม่มีอะไร เพราะใต้เท้าฮยอนไม่อยู่ แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าเมื่อใต้เท้าฮยอนกลับมา ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ๆ” อินอุกกล่าวอย่างกังวล
      “ข้าว่าเขาและมันดึกกำลังวางแผนอะไรกันซักอย่าง ข้าไม่แน่ใจนัก” เขาเสริม
      “แผนหรือครับ ท่านหมายถึงอะไรหรือครับ” ยุนบกถาม
      “ข้าก็ไม่แน่ใจ” เขาตอบ
      “เอาเถอะๆ มันจะมาไม้ไหนเราก็เตรียมรับมือไว้ ถ้าเราพร้อมมันก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก” ฟ้าคำรามพูดตัดบท หากแต่ความกังวลใจไม่จางหายไปจากยุนบก หลังจากที่อินอุกกลับไปเขาก็คิดทบทวนถึงคำพูดของอินอุก และเป็นห่วงจองฮยางกลัวนางต้องมาเป็นเครื่องมือของคนชั่วๆอีก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทีนทีกับที่จานเดินเข้ามานั่งข้างๆเขา
      “มีอะไรกวนใจเจ้าหรอน้องชาย” จานถามเสียงใส
      “เอ่อ..เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เขาบ่ายเบี่ยง
      “เจ้านี่ล่ะน้า มีอะไรก็ชอบเก็บไว้คนเดียว ระวังความลับมันจะคับอกเจ้านะ” นางพูดพลางชี้นิ้วไปที่หน้าอกของยุนบก และหัวเราะคิกๆ อย่างมีเลศนัยและเดินจากไป ยุนบกถึงกับหน้าซีดตกใจกลัวว่านางจะรู้ความลับของเขาเข้า อ่า....คืนนี้เขา คงนอนไม่หลับแน่ๆ มีแต่เรื่องคาใจเขาเต็มไปหมด
      ฝั่งมันดึกนั้น เขาได้แอบทำธุรกิจเถื่อนที่มีใต้เท้าฮยอนคอยหนุนหลังอยู่ นั่นก็คือเหล้าเถื่อนนั่นเอง เขาเคยทำมันมาก่อน จึงไม่ยากนักที่เขาจะทำอีก เหล้างวดแรกบ่มพร้อมจำหน่ายแล้ว และเขาจะใช้มันในงานมงคลของใต้เท้าฮยอนกับจองฮยาง ที่จะมีขึ้นหลังจากที่ใต้เท้าฮยอนกลับมา วันนี้เขาจึงมารอรับไต้เท้าฮยอนอย่างสบายใจ
      “การเดินทางเป็นเช่นไรบ้างครับใต้เท้าฮยอน” มันดึกการถามเมื่อเห็นหน้าใต้เท้าฮยอนลงจากเกี้ยว
      “โอ้ท่านมันดึก มารับข้าถึงนี่เชียวรึ ลำบากท่านจริงๆ” ใต้เท้าฮยอนตอบ
      “มิได้ๆ เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วครับ” มันดึกกล่าว
      “เช่นนั้นเชิญเข้าบ้านเถอะท่าน” ใต้เท้าฮยอนกล่าวเชิญ ทั้งคู่จึงเดินเข้ายังบ้านของใต้เท้าฮยอน
      “เหล้าบ่มได้ที่ รอฉลองงานมงคลแล้วนะครับ” มันดึกกล่าวขึ้นทันทีที่นั่งลง ทำให้ใต้เท้าฮยอนยิ้มออกมาน้อยๆ
      “เช่นนั้นก็คงลำบากท่านแล้ว ข้าขอฝากเรื่องการจัดงานด้วย” ใต้เท้าฮยอนกล่าวไหว้วาน
      “ยินดียิ่งครับใต้เท้าฮยอน” มันดึกแสยะยิ้มที่ธุรกิจของเขาจะเฟื่องฟูอีกครั้ง ความจริงนั้นใต้เท้าฮยอนรู้เรื่องทุกอย่างดีแล้ว ทั้งเรื่อง แฮวอน คุณชายฮง จองฮยาง ฟ้าคำรามและมันดึก แต่เขากลับเลือกที่จะไม่พูดให้มากไปเท่านั้น เพื่อเป็นผู้รับผลประโยชน์ทั้งหมดนี้ ทั้งได้หญิงที่ตนหมายปอง เงินใต้โต๊ะจากมันดึก และทำงานให้กับพระอัยยิกาไปในตัว สมเป็น ขุนนางที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ
      “รอให้ผ่านงานมงคลของข้าไปก่อน แล้วค่อยจัดการแฮวอนและฟ้าคำรามที่หลัง ถึงตอนนั้นข้าก็จะได้รางวัลจากพระอัยยิกาอีกเป็นแน่ ฮึๆๆๆ” เขาคิด
      ฝ่ายองครักษ์เมื่อได้รับคำสั่งให้เสริมกำลังก็นำองครักษ์มาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง โดยแบ่งกันทำหน้าที่ พวกหนึ่งเฝ้าจวนใต้เท้า อีกพวกเฝ้าเสน่ห์จันทราไว้ และที่นารีแดง โดยองครักษ์ซึ่งมาสืบเรื่องนี้คนแรกได้ปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อไปหาคุณชาย ฮงซึ่งตอนนี้พักอยู่ในโรงเตี๊ยมเขตพีล เมื่อครั้นคุณชายฮงออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปหาจองฮยาง เขาก็ถูกชายคนหนึ่งขวางไว้
      “คุณชายฮง ข้าได้รับคำสั่งจากราชเลขาฮงให้มาส่งข่าวแก่ท่าน ราชเลขาฮงเรียกให้ท่านกลับบ้านโดยด่วน” เขาพูดอย่าง อ่อนน้อม หากแต่สร้างความสงสัยให้อินอุกยิ่งนัก ที่จู่ๆพ่อของเขาก็เรียกตัวด่วน
      “มีเรื่องอะไรรึ ถึงได้เรียกตัว ข้ากำลังท่องเที่ยวอยู่” อินอุกถาม
      “ข้าไม่ทราบได้ ท่านฝากมาบอกแค่นี้เท่านั้น เชิญคุณชายกลับเถอะครับ” เขาผายมือไปยังประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมซึ่งมีม้าสองตัวรออยู่ นั่นกลับยิ่งสร้างความแคลงใจต่ออินอุกยิ่ง เขาครุ่นคิดซักครู่แล้วจึงตอบ
      “ไม่ล่ะ หากท่านพ่อมีเหตุผลจริงคงให้คนที่ข้าไว้ใจส่งข่าวมาแล้ว” อินอุกพูดเสร็จแล้วจึงเดินออกไป สร้างความหนักใจให้แก่องครักษ์ผู้นี้ยิ่งนักที่ทำงานไม่สำเร็จ เพราะตัวอินอุกเองก็เป็นคนระวังตัว เขาย่อมไม่ไปกับคนแปลกหน้าง่ายๆแน่ เพื่อกันไม่ให้คนพวกนั้นใช้ประโยชน์จากเขามาข่มขู่พ่อเขาได้ แต่ถ้าหากมีผู้ใดหมายปองชีวิตเขาก็พร้อมยอมตายเพื่อไม่ให้ตนเป็นตัวถ่วงแก่พ่อของเขาเอง ประหนึ่งว่า “เจ้าฆ่าข้าได้ แต่จะใช้ประโยชน์จากข้าไม่ได้” นั่นเอง
      ฝั่งเสน่ห์จันทรา ก็ได้ทราบข่าว จากลูกน้องของฟ้าคำรามที่ไปเฝ้าอยู่นารีแดงว่าจะมีงานมงคลจัดขึ้นอีกสองวัน
      “อะไรนะใจแน่ใจนะว่าข่าวไม่ผิดแน่” ฟ้าคำรามถามย้ำกับลูกน้อง
      “ไม่ผิดแน่ครับ ข้าได้ยินมาจากปากของคนรับใช้นางเลย” ลูกน้องยืนยัน นั่นสร้างความวิตกแก่ยุนบกยิ่งนัก
      “เราจะทำเช่นไรดีๆ จองฮยางๆ” เขาลนลาน จนฟ้าคำรามต้องตบเตือนสติ
      “ใจเย็นๆซิ ถ้าเจ้าไม่มีสติแล้วนางจะพึ่งใครล่ะ” ฟ้าคำรามตะคอกใส่ยุนบก ทันทีกับที่อินอุกเข้ามาสมทบ
      “แย่แล้วอีกสองวันจองฮยางต้อง..” ฟ้าคำรามยกมือทำปรางห้ามญาติใส่อินอุกด้วยหน้าเครียด เป็นสัญญาณประหนึ่งว่าข่าวที่เขาบอกนั้นช้าไปแล้ว เขาจึงทำท่าสำรวม ทุกคนได้แต่ครุ่นคิดที่จะช่วยจองฮยาง ทันใดนั้นยุนบกก็พูดขึ้น
      “ข้ารู้แล้วจะช่วยนางยังไง” ทุกคนหันไปหาเขา
      “ข้าจะปลอมตัวเข้าไป” ทุกคนอึ้งกับคำตอบเขา
      “ครั้งที่แล้วเจ้ายังไม่เข็ดอีกใช่ไหม” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้น
      “ไม่..ครั้งนี้รับรองพวกเขาจับไม่ได้แน่ แต่ข้าต้องขอแรงท่านด้วยนะคุณชายฮง” ยุนบกหันไปหาอินอุก
      “ข้ารึ?” เขาทำเสียงงงๆ
       
      วันถัดมาในช่วงเย็นนารีแดงยังเปิดให้บริการเหมือนทุกวัน หากแต่วันนี้มันดึกไม่ให้จองฮยางรับแขกเหมือนเคยเพราะต้องเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว แต่คุณชายฮงยังคงมาที่นารีแดงเหมือนเดิม
      “คุณชายฮงครับ วันนี้จองฮยางไม่รับแขกนะครับ” เด็กหน้าประตูกล่าวเมื่อเห็นอินอุกเดินเข้ามา
      “ยังงั้นรึ ดีนะที่ข้าพาผู้หญิงมาด้วย แย่จังเจ้าเลยไม่ได้ฟังนางเล่นพิณเลยนะ” เขาพูดพลางหันไปหยอกล้อกับผู้หญิงที่เขานำมาด้วยวันนี้ ไม่บ่อยนักที่แขกจะนำผู้หญิงข้างนอกเข้ามาแต่นารีแดงก็ไม่ได้มีกฎห้ามไว้เด็กหน้าประตูจึงให้ทั้งคู่เข้าไปแต่โดยดี พวกเขาเข้าไปในห้องรับรองห้องหนึ่งหลังจากเหล้าและกับยกมาเสร็จแล้ว จึงได้อยู่กันตามลำพัง
      “โอ้ยนี่ท่านเลิกกอดข้าได้แล้ว” ยุนบกสลัดตัวออกจากการเกาะกุมของอินอุก
      “ข้าก็แค่ทำให้มันสมบทบาทน่า แต่ตัวเจ้านี่ก็นุ่มนิ่มดีเหมือนกันนะ เหมือนผู้หญิงเลย” เขาแซว
      “นี่..นี่ท่าน ฝากไว้ก่อนเถอะ ถ้าท่านต้องปลอมตัวเป็นผู้หญิงบ้างนะ ข้าจะ..ข้าจะ.”ยุนบกหยุดไว้เพราะคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรเขาดี นั่นยิ่งสร้างความขบขันให้แก่อินอุก ไม่รู้เมื่อไหร่ที่อินอุกรู้สึกเอ็นดูชายคนนี้ ดังกับเขาเป็นน้องชายตัวเล็กๆที่เขาอยากได้มานาน ก่อนที่จะออกนอกเรื่องไปมากยุนบกก็ทำหน้าเครียดให้อินอุกกลับมายังแผนของเขา
      “ไหนล่ะ ห้องนางอยู่ไหน” เขาถามอินอุกพลางแง้มประตูน้อยๆ
      “เดินเข้าไปด้านในแล้วเลี้ยวขวาห้องที่สามจากซ้ายมือ” เขาบอกได้อย่างแม่นยำจนยุนบกหมั่นไส้ หันไปมองหน้าเขา
      “อะไร...ก็ข้ามาบ่อยนี่” เขาตอบหน้าตาย จากนั้นยุนบกก็ออกจากห้องไป เขาเดินไปอย่างราบเรียบเพื่อไม่ให้สะดุดตา เมื่อมาถึงบริเวณหน้าห้องของจองฮยาง เขาก็เห็นชายสองคนเฝ้าอยู่ เขาจึงคิดหาวิธีเข้าไป
      “น้ำโสมค่ะ ท่านมันดึกบอกให้ข้านำมาบำรุงนาง” ยุนบกนั่นเองเขาไปหยิบถาดน้ำชามาเพื่อหาข้ออ้างเข้าไป
      “หือ?” ชายสองคนมองเขาอย่างแปลกใจ แต่ก็ให้เข้าไป เมื่อเขาเดินเข้าไปก็เห็นเงาหญิงสาวด้านหลังม่าน นางกำลังนั่งร้องไห้อยู่
      “ข้านำน้ำโสมมาให้ค่ะ” เขาพูดเสียงเล็กแบบผู้หญิง แต่นางไม่ทันได้สังเกตเสียงนั้น
      “ข้าไม่กินเอาออกไป” นางบอกปัด
      “เช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไรล่ะ” เขากลับมาใช้เสียงเดิมของเขา นั่นทำให้นางหยุดร้องไห้ได้และรีบถลาเข้าหาเขา
      “ช่างเขียน!” จองฮยางเรียกอย่างถวิลหา
      “จุๆๆ เบาจองฮยาง เดี๋ยวพวกข้างนอกได้ยิน” เขาปรามนาง พร้อมกับลูบไล้ไบหน้าของนางเพื่อเช็ดหยดน้ำตา
      “เจ้ายังงดงามเหมือนเดิมคนงามของข้า แม้ว่าเจ้าจะมีคราบน้ำตาติดเต็มหน้าก็ตาม” เขาพูดเย้า นางจะตีเขาเบาที่ไหล่
      “ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบท่านอีกแล้ว” นางกล่าว
      “ต่อให้ข้าต้องตายก็จะมาพบเจ้าให้ได้” เขาตอบแต่นั่นทำให้นางคิดมาก
      “อย่าพูดเช่นนั้น หากท่านเป็นอะไรไปข้าคงอยู่ไม่ได้” นางพูดพลางจับใบหน้าของเขาอย่างรักใคร่
      “วันนี้ท่านสวยมาก”นางเย้าเขามั่ง นั่นทำให้ยุนบกถึงกับเขิน เขาไม่คิดมาก่อนว่านางจะเป็นคนอารมณ์ขันในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงรีบอธิบายแผนการให้นางฟัง
      “เดี๋ยวเจ้าเปลี่ยนชุดกับข้า แล้วเดินออกไปที่ห้องหัวมุมด้านนอก คุณชายฮงรอเจ้าอยู่” เขาอธิบายแผนให้นางฟัง
      “แล้วท่านล่ะค่ะ” นางถาม
      “เจ้าสาวห้ามออกจากห้องนี่” เขาตอบเสียงอ่อย
      “ไม่..ข้าไม่ไป ข้าจะทิ้งท่านได้...”นางพูดไม่ทันจบก็ถูกยุนบกใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากนางไว้
      “แล้วข้าจะตามไป ข้าสัญญา” เขาให้คำมั่นแก่นางก่อนที่นางจะหลั่งน้ำตาอีกครั้ง จากนั้นทั้งคู่จึงรีบสลับชุดกัน ในระหว่างนั้นมีบ้างที่ทั้งคู่จะแอบมองอีกฝ่ายโดยที่ไม่ให้รู้ตัว และต่างก็รู้สึกหวั่นไหวไม่แพ้กัน หากแต่ต้องแข่งกับเวลาจึงสลัดเรื่องไม่เป็นเรื่องทิ้งไป เมื่อทั้งคู่แต่งตัวเสร็จแล้ว จองฮยางจึงเดินถือถาดออกมา น่าอัศจรรย์ที่ยามทั้งสองไม่สงสัยเลย นางจึงเดินไปยังห้องที่ยุนบกบอก เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบอินอุกนั่งรออยู่
      “แม่นางจองฮยาง!” เขาอุทานเมื่อเห็นนาง จนนางต้องจุปากให้เขาเงียบ เขาจึงได้สติและนำชุดผู้ชายออกมาให้นาง
      “เอ่อ แม่นางจองฮยางท่านจงเปลี่ยนชุดเป็นชุดนี้เถิด แบบนี้เด็กหน้าประตูจะได้จำไม่ได้” เขายื่นให้นางพร้อมกับหันหลังให้เพื่อให้นางเปลี่ยนชุด ในขณะที่นางเปลี่ยนชุดนั้นมีหลายทีอยู่เหมือนกันที่เขาอยากจะหันไปมองแต่ด้วยความรักที่เขามีต่อนางมากจนไม่อาจเอาเปรียบนางได้ จึงต้องหักห้ามใจไว้ด้วยหัวใจที่เต้นระทึก เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จเขาจึงเดินนำนางออกมา มุ่งไปยังประตูทางออก เมื่อมาถึงประตูเด็กหน้าประตูคนเดิมก็ถามเขา
      “คุณชายฮง กลับแล้วรึครับ” ชายคนนั้นถามเขา เขาจึงตอบรับด้วยการพยักหน้า ทันทีกับที่ชายคนนั้นหันไปเห็นหนุ่มน้อย ที่เดินก้มหน้าอยู่ข้างหลังเขา
      “เอ๊ะแล้วผู้หญิงของท่านไปไหนซะล่ะครับ” เขาถามอย่างสงสัย
      “ฮ่าๆ นั่นซิ สงสัยข้าคงจะโดนฉกผู้หญิงไปซะแล้วล่ะ อยู่ดีๆนางก็หายไป” เขาพูดติดตลก
      “เช่นนั้นหนุ่มน้อยนี่เป็นใครกันครับข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” คำถามนี้ทำให้ทั้งคู่ถึงกับหนาวสั่น แต่ด้วยความฉลาดของอินอุกจึงบอกออกไปว่า
      “คนรับใช้ข้านะ มันเข้ามาเรียกข้า ข้าถึงต้องออกไปนี่ไงล่ะ ไม่งั้นข้าก็ไม่รีบกลับหรอก เอาล่ะข้าไปก่อนนะ” อินอุกรีบพูดและเดินจากไป แม้เด็กหน้าประตูจะแน่ใจว่าไม่เห็นหนุ่มน้อยคนนั้นเดินเข้ามา แต่ก็คงเพราะคนเยอะมากทำให้เขาไม่สามารถเห็นทุกคนได้ จึงปล่อยให้ทั้งคู่ออกไปแต่โดยดี
      เขาพานางมาที่เสน่ห์จันทรา แต่ระหว่างทางก็พบกับชายคนเดิมที่หมายจะให้เขากลับฮันยาง
      “เจ้าอีกแล้วรึ ข้าบอกแล้วไงว่าไม่กลับ”อินอุกยืนยัน
      “คุณชายฮงครับ แต่ท่านพ่อท่านให้ข้อมาตามท่านกลับจริงๆนะครับ”เขายืนยัน
      “ยังไม่ได้ เพื่อนข้ายังอยู่ในนารีแดง ข้ายังกลับไม่ได้ ข้าต้องช่วยเขาออกมาให้ได้ก่อน” อินอุกให้เหตุผล ทำให้ชายคนนั้น หันไปมองหน้าผู้ชายร่างบางข้างหลัง และต้องตกใจเมื่อไม่ใช่ยุนบก
      “ท่านหมายถึงใครกันครับ” เขาถามอย่างสงสัย
      “เพื่อนข้า ยุนบกยังอยู่ในนั้น” คำตอบนี้ทำให้เขาถึงกับผงะ และรีบเดินจากไป ทิ้งให้อินอุกกับจองฮยางงงกับอาการของเขา
      นั่นเป็นเพราะแฮวอนอยู่ในอันตราย เขาซึ่งได้รับคำสั่งโดยตรงจากพระราชาจึงต้องเร่งช่วยเหลือ หากแม้นเขาทำพลาด ย่อมส่งผลถึงพระราชาเป็นแน่จึงรีบกลับไปบอกองครักษ์ที่เหลือเพื่อวางแผนกัน
      อินอุกจึงนำจองฮยางเดินมาจนถึงเสน่ห์จันทรา ที่ๆทุกคนรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อปรากฏเงาทั้งคู่ ทุกคนก็ต่างโล่งใจ เข้ามาแสดงความยินดีกันยกใหญ่
      “ท่านทำได้ดีมากคุณชายฮง” ฟ้าคำรามกล่าวชมอินอุก
      “มิได้ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ยุนบกเท่านั้นที่เสี่ยงชีวิตของตน” เขาถ่อมตัว
      “เจ้าคงจะเป็นแม่นางจองฮยางที่เขาพูดถึงซินะ” จานเดินเข้ามาทำความรู้จัก
      “ข้าจานและนี่สามีข้าฟ้าคำราม” นางแนะนำ
      “เจ้าช่างเขียนเอ้ย ยุนบกน่ะ เป็นอาจารย์ของข้าเอง ก็นะเวลาอาจารย์เดือดร้อน ศิษย์ก็ต้องช่ว..จริงไหม” ฟ้าคำรามกล่าว แม้ว่านางจะไม่รู้จักคนพวกนี้แต่ก็สัมผัสได้ว่าพวกเขาเป็นคนดีและรู้สึกดีใจแทนยุนบกที่มีคนดีๆแบบนี้อยู่เคียงข้าง เมื่อทำความรู้จักกันซักพักทุกคนจึงเข้ามาภายในบ้านเพื่อนั่งวางแผนชิงตัวยุนบกในวันพรุ่งนี้
      “แล้วถ้าคืนนี้ พวกมันรู้ตัวก่อนล่ะ” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้น
      “ไม่อย่างแน่นอน คืนนี้คงไม่มีใครมาหาข้าแน่ จะมีก็แต่คนรับใช้ข้าเท่านั้น ซึ่งข้าบอกนางไว้แล้วว่าคืนนี้ไม่ต้องเข้ามา จะมาหาข้าในเช้ามือวันพรุ่งนี้เพื่อเตรียมตัวให้ข้า” จองฮยางอธิบาย
      “เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าตรู่พวกนั้นก็คงรู้”ฟ้าคำรามเอ่ย
      “ไม่หรอกข้ามันใจว่านางจะไม่บอก” จองฮยางกล่าว
      “ใช่ครับนางไม่บอกแน่ นางก็สงสารท่านเหมือนกัน นางบอกกับข้า...” ลูกน้องฟ้าคำรามที่ไปสืบข่าวที่นารีแดงสวนขึ้นนั่นทำให้ทุกคนรู้ว่าเขากับนางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน จึงมองมาทางเขาเป็นตาเดียว
      “เช่นนั้นเราจะเข้าจู่โจมตอนส่งตัวเจ้าสาว ระหว่างทางไปจวนใต้เท้าฮยอนเหมือนดั่งที่ยุนบกว่าไว้” ฟ้าคำรามเสนอ
      “ทำเช่นนั้นจะไม่เสี่ยงเกินไปหรือครับ” อินอุกเอ่ย
      “ไม่หรอกครับคุณชายฮง เพราะพวกที่ไปส่งเจ้าสาวคงจะมีแต่ลูกน้องของมันดึก รึไม่ก็อาจมีคนของใต้เท้าฮยอนไม่กี่คนนัก พวกเรารับมือได้อยู่แล้ว” ชิลร้องหัวหน้าผู้สุขุมอธิบาย
      “แล้วถ้าหาก...”อินอุกยังค่องใจ
      “เออ เอาน่าๆ ต่อให้มันมีเป็นร้อย คนอย่างฟ้าคำรามก็ไม่กลัวหรอกเว้ย” ฟ้าคำรามตัดบท ทำให้ทุกคนหมดข้อสงสัย เพราะหากถามไปคงจะไม่ได้คำตอบที่มีสาระจากคนๆนี้เป็นแน่
      ทางฝั่งพวกองครักษ์เมื่อทราบข่าวว่าแฮวอนอยู่ในนารีแดง ก็แตกตื่นตกใจ
      “แฮวอนเข้าไปอยู่ในนั้นได้อย่างไร มันอันตรายมากนะ มันดึกเป็นพวกของใต้เท้าฮยอน เขาไม่ปล่อยแฮวอนไว้แน่” องครักษ์ผู้ได้ความจากอินอุกเป็นคนเอ่ยถาม
      “แต่ข้าเฝ้าอยู่ที่นารีแดงทั้งคืนไม่เห็นเขาเข้าไปที่นั่นเลย เห็นแต่คุณชายฮงเท่านั้น เขาเข้ามาพร้อมหญิงงามและกับออกไปพร้อมกับหนุ่มน้อย นั่นไม่ใช่แฮวอนหรอกหรือ” องครักษ์ผู้เฝ้านารีแดงเอ่ย
      “ไม่ใช่..นั่นไม่ใช่แฮวอน ข้าเห็นมากับตา แล้วทางฝั่งจวนใต้เท้าฮยอนล่ะ” องครักษ์ผู้พบอินอุกถาม
      “พวกเขากำลังเตรียมงานมงคลอยู่ ที่นั่นไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรนอกจากนี้” องครักษ์ผู้เฝ้าจวนกล่าว
      “เช่นนั้นแฮวอนยังคงอยู่ในนารีแดงเป็นแน่ เราต้องรีบเร่งมือชิงตัวแฮวอนกลับมาให้เร็วที่สุด” องครักษ์ผู้ที่พบอินอุกเอ่ย
      ก่อนที่จะเช้ามืดองครักษ์ทุกนายได้มารวมกันที่นารีแดง เพื่อบุกเข้าชิงตัวแฮวอน พวกเขาทำงานกันอย่างมืออาชีพ เข้าไปอย่างเงียบเชียบ หากมีคนขวางก็จัดการได้ในดาบเดียวโดยไม่มีเสียงใดๆ ทั้งหมดเข้าสำรวจพื้นที่ และพบว่าห้องด้านในมีการวางเวรยาม จึงสรุปได้ว่าต้องเป็นที่ๆแฮวอนถูกขังอยู่เป็นแน่ จึงบุกเข้าไป และปะทะกับยามหน้าห้องจึงเกิดเสียงอึกทึกขึ้น มันดึกจึงออกจากห้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกน้องมากมายต่างกรูกันเข้าต่อสู้กับองครักษ์ มันดึกคิดว่าเป็นพวกของ ฟ้าคำราม จึงเข้าต่อสู้ด้วย ยุนบกได้ยินเสียงเอะอะหน้าห้องจึงเปิดประตูออกมา ทำให้มันดึกเห็นว่าแท้จริงหญิงในห้องไม่ใช่จองฮยาง และองครักษ์ก็พบเป้าหมายของพวกเขาแล้ว จึงชิงตัวยุนบกและหลบหนีไป องครักษ์ทั้งหลายต่างหายตัวไปอย่างว่องไว ทิ้งไว้แต่ความโกรธเกรี้ยวให้มันดึกผู้พ่ายแพ้ องครักษ์คนหนึ่งพายุนบกมาถึงที่ปลอดภัยจึงเปิดโอกาสให้เขาได้ถาม
      “นี่มันอะไรกันเนี่ย ท่านเป็นใครกัน” ยุนบกโวยวาย
      “ท่านปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะออกจากเมืองไปซะ” องครักษ์คนหนึ่งกล่าว
      “อะไรนะ นี่ท่านเป็นใครกันแน่ ท่านต้องการอะไร” ยุนบกซัก
      “ข้าจะส่งท่านลงเรือเอง เรือพร้อมแล้ว” องครักษ์คนนั้นพยายามจะดึงเขาไปท่าเรือ แต่เขาสะบัดตัวออก และรีบวิ่งหนีไป เขาวิ่งไม่คิดชีวิต วิ่งเร็วเท่าที่จะเร็วได้ การฝึกของฟ้าคำรามช่วยได้มากทีเดียว อย่างน้อยมันก็ทำให้องครักษ์วิ่งตามเขาไม่ทันแม้จะยังสลัดเขาไม่หลุดก็ตาม นี่ก็รุ่งเช้าแล้วยุนบกจึงไปยังจุดที่นัดหมายกับฟ้าคำรามไว้ว่าจะเข้าชิงตัว เมื่อยุนบกโผล่มาทุกคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ถึงกับงง และออกมาจากที่ซ่อนตัว ทันทีกับที่องครักษ์ตามยุนบกมาติดๆ ฟ้าคำรามจึงชักดาบจ่อไปที่คอของเขา
      “เจ้าเป็นใคร ตามน้องข้ามาทำไม” ฟ้าคำรามรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่พวกมันดึกแน่แต่ก็จนปัญญาที่จะรู้ว่าเป็นใคร
      “เจ้าอีกแล้วหรอ” อินอุกเอ่ยขึ้น
      “ท่านรู้จักเขาหรือคุณชายฮง” ยุนบกถาม
      “ข้าไม่แน่ใจ แต่เขาอาจจะเป็นคนของพ่อข้า” อินอุกตอบไม่เต็มคำนัก
      “จริงรึเจ้าเป็นใครกันแน่ห่ะ?” ฟ้าคำรามกระชับดาบให้ใกล้คอของเขาเข้าไปอีก ทันใดนั้นองครักษ์ก็ปัดมันออกด้วยดาบในมือ หากแต่ไม่ตั้งขึ้นมาต่อสู้ แล้วถอยไปหนึ่งก้าว
      “ข้ารับคำสั่งจากพ่อท่านให้มาพาตัวท่านกลับ และคำสั่งจากผู้อื่นให้มาดูแลท่าน ท่านแฮวอน” เขาพูดพลางหันหน้าไปทาง ยุนบก นั่นทำให้อินอุกถึงกับช็อกที่ช่างเขียนอัจฉริยะผู้หายสาบสูญคือ ยุนบก คนนี้
      “แฮวอนหรอ ท่าน..ท่านคือแฮวอนหรอ” อินอุกถามตะกุกตะกัก ยุนบกทำอะไรไม่ถูกเมื่อความแตกแก่ทุกคนเช่นนี้ แต่ทันใดนั้นลูกน้องที่ฟ้าคำรามให้เฝ้าบ้านไว้ก็วิ่งกระหืดกระหอบมา
      “แย่...แย่แล้วครับ พี่ฟ้าคำราม มัน..มันดึกมันยกพวกมาทล่มมาโปซะเละเลยครับ”
      “อะไรนะ! จาน แม่” ฟ้าคำรามได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปที่เสน่ห์จันทราทันที ทุกคนจึงวิ่งตามเขามา รวมถึงองครักษ์คนนั้นด้วย
      เมื่อมาถึงบ้านฟ้าคำรามก็ตกใจกับสภาพที่เห็น ทุกอย่างกรจัดกระจาย จานชามแตกละเอียด เขาเห็นแม่ของเขากองอยู่กับพื้น จึงรีบเข้าไปช่วยพยุงนาง
      “ท่านแม่..ท่านแม่” เขาเรียกนางพลางร้องไห้ น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน โชคยังดีที่นางไม่ตายหากแต่ก็สาหัสอยู่ ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างเด็กน้อยยืนอยู่ตรงระเบียงบ้าน เป็นลูกชายของเขานั่นเอง จานซ่อนเขาไว้ในตู้เก็บของเมื่อรู้ว่ามันดึกบุกมา เขาเห็นนางถูกลากไปต่อหน้าต่อตา แต่เขาก็ได้แต่ร้องไห้โดยไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไป หนูน้อยกลัวจนตัวสั่นรีบวิ่งเข้ามาหา ผู้เป็นพ่อ
      “ท่านพ่อๆ ท่านแม่..ข้าช่วยท่านแม่ไม่ได้” เขาร้องไห้แทบขาดใจ ฟ้าคำรามได้แต่กอดลูกชายของตนและร้องไห้ร่วมกัน เด็กน้อยพยายามเล่าเรื่องให้ผู้เป็นพ่อฟังทั้งน้ำตา ยุนบกได้ฟังเหตุการณ์ดังกล่าวก็สะท้อนในใจว่าชั่งเหมือนกับเขาเมื่อตอนเด็กๆ ยังดีที่เด็กคนนี้ไม่ต้องเห็นแม่ตนถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ไม่เช่นนั้นเขาคงจะมีชีวิตไม่ต่างจากยุนบกเป็นแน่ ฟ้าคำรามตั้งใจฟังเรื่องทั้งหมดจากลูกชายจึงรู้ว่า ภรรยาและจองฮยางถูกมันดึกเอาตัวไป
      “บัดซบ!” เขาระบายด้วยการต่อยเสาไม้เต็มแรง จนมันยุบตามรอยมือเขา และมือเขาเองก็มีเลือดออก ยุนบกทนรับกับสภาพที่เห็นไม่ได้ จึงนั่งคุกเข่า
      “พี่ฟ้าคำราม ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง ได้โปรดลงโทษข้าเถอะ ข้าทำให้เจ๊จานโดนจับตัวไปเพราะข้ามันถึงออกมาเป็นเช่นนี้” ยุนบกโทษตัวเองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้นฟ้าคำรามจึงเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของยุนบก องครักษ์เห็นดังนั้นก็จะเข้าไปขว้างแต่ถูกชิลล็อกตัวไว้ หากแต่ฟ้าคำรามหาได้ทำอันตรายแก่ยุนบกไม่ เขาเพียงจับคอเสื้อของยุนบกขึ้นมาและพูดใส่หน้าว่า
      “เช่นนั้น ก็จงไปเอานางกลับมา เอาพวกนางกลับมา!” เขาตะคอกใส่ยุนบก ก่อนจะสะบัดตัวยุนบกลงใส่พื้น จากนั้นทุกคนต่างก็ช่วยกันเก็บข้าวของให้เข้าที่ และรักษาผู้บาดเจ็บ ฟ้าคำรามนั่งเฝ้าแม่ของเขาตลอดพร้อมทั้งกล่อมลูกชายให้หลับ หนุนตักเขา ชิลยืนมองภาพนั้น จึงได้เดินเข้าไปคุยกับองครักษ์
      “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร แต่เจ้าต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คือศัตรูของพวกเราด้วย” ชิลกล่าวอย่างราบเรียบ องครักษ์ได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ซักครู่
      “งานของข้าจบแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก” นั่นทำให้ชิลผู้เงียบขรึมถึงกับเลือดขึ้นหน้ากระชากคอเสื้อเขาทันที
      “เช่นนั้นข้าก็จะไม่กลับบ้าน งานของเจ้าก็คงยังไม่เสร็จแน่” อินอุกได้ยินการสนทนาจึงแทรกเข้ามา
      “ข้าด้วย ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะไปช่วยจองฮยางและเจ๊จานกลับมา” ยุนบกเสริมทัพ นั่นทำให้องครักษ์ถึงกับทำหน้าเครียดเมื่อผู้ที่เป็นดั่งงานของเขาเกิดดื้อด้านขึ้นมา เขาครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะผลักชิลออกจากตัว
      “ได้ แต่ต้องทำตามแผนของข้านะ”
       
      ณ พระราชวัง ตำหนักของพระราชา
      “วันนี้พระอัยยิกาเสด็จมาเยี่ยมหม่อมฉันด้วยพระองค์เอง รู้สึกยินดียิ่งนัก” พระราชาตรัส
      “มิได้ฝ่าบาท เราก็คนกันเองไปมาหาสู่กันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”พระอัยยิกาแย้ง
      “แล้วทรงมีเรื่องอันใดให้หม่อมฉันรับใช้หรือพะยะค่ะ” พระราชาตรัสถาม
      “หม่อมฉันมิบังอาจ เอ่ยใช่พระราชาแห่งโชซอนหรอกพระพะยะค่ะ ในทางกลับกันหม่อนฉันตะหากที่ควรจะเป็นผู้รับใช้” พระอัยยิกาตอบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
      “เห็นว่าฝ่าบาททรงกำลังหา ใครบางคนอยู่รึเพคะ” นางถาม
      “หม่อนฉันรึ ไม่นี่ หม่อนฉันไม่ได้หาใครอยู่ เป็นท่านเองรึเปล่าที่หาอยู่..หาอยู่ตลอด” พระราชาตรัสอย่างเย้ยหยัน นางจึงหลุดตาเขียวใส่แต่ก็ได้สติกลับมาวางมาดนุ่มนวลเหมือนเดิม
      “หม่อนฉันก็นึกว่าพระองค์ทรงหาใครอยู่ หม่อนฉันจะได้...ให้คนจับมาให้” นางพูดใส่ เขาถึงกับหยุดกึกกับคำพูดนั้น เกรงว่ายุนบกจะถูกนางจับได้แล้ว หากแต่ก็ทำใจดีสู้เสือ
      “มิได้ หม่อมฉันมิบังอาจรบกวนพระอัยยิกาหรอกพะย่ะค่ะ” พระราชาตอบเสียงเรียบ จากนั้นพระอัยยิกาจึงกลับมายังตำหนัก
      “ฮึยังอวดดีเหมือนเดิม...พระองค์เยือกเย็นเช่นนั้นแสดงว่าต้องพบตัวแฮวอนแล้วเป็นแน่ บอกให้ใต้เท้าฮยอนจับตัวแฮวอนได้เลย” นางสั่งการกับซังกุงคนสนิท
      ฝั่งตำหนักพระราชาองครักษ์ที่พระองค์ส่งไปหยางโจก็นำความมาทูล
      “อะไรกันเรื่องยุ่งยากใหญ่โตถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่” พระราชาตรัส
      “พะยะค่ะ หม่อมฉันจึงได้รีบมากราบทูล ขออนุญาตร่วมมือกับแฮวอนพะยะค่ะ”เขากราบทูล
      “เช่นนั้นก็ทำตามที่เขาต้องการเถอะ แฮวอนน่ะรั้นนัก ดั่งที่ท่านทันวอนพูดไว้ไม่มีผิด แต่ว่าเจ้าจะจัดการเช่นไรกับ ใต้เท้าฮยอน” พระองค์ตรัสถาม
      “ขอประทานอภัยพะยะค่ะ หม่อมฉันโง่เขลานัก” เขากล่าวอย่างละอาย พระราชาจึงนิ่งคิดครู่หนึ่ง
      “เจ้าจงจัดการตามแผนของเจ้าเถอะเรื่องใต้เท้าฮยอนนะเดี๋ยวข้าจัดการเอง” องครักษ์รับคำแล้วจึงมุ่งหน้ากลับหยางโจ
      “ต้องขอประทานอภัยที่บุตรชายของหม่อมฉันสร้างเรื่องวุ่นวายพะย่ะค่ะ” ราชเลขาฮงกล่าวอย่างละอาย
      “อะไรกันลูกชายของท่านไม่ได้ทำอะไรเลยสักหน่อย ข้ากับคิดว่าดีซะอีกที่แฮวอนมีเขาอยู่ เขาจะได้มีเพื่อนดีๆเพิ่มมาอีกคน” พระราชากล่าวพร้อมยิ้มอย่างพอใจ
      กลางดึก ณ นารีแดง มันดึกขังจองฮยางและจานไว้ด้วยกัน จองฮยางรู้สึกกลัวยิ่งนักจานจึงพูดปลอบใจ
      “ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่นานฟ้าคำรามและยุนบกจะมาช่วยเรา พวกขามาแน่” นางพูดด้วยดวงตาวาว ทันทีกับที่มันดึกเดิน เข้ามาได้ยินเข้า
      “ฮึ ก็ดีนะซิข้าจะได้ฆ่ามันทั้งคู่ ฮิฮิฮิ” เขาหัวเราะด้วยเสียงน่ารังเกียจ จากนั้นจึงเดินเข้าไปเชยคางจาน
      “จานเจ้ายังงดงามเหมือนเดิม” เขาก้มลงหมายจะจุมพิตนาง หากแต่นางกลับถมน้ำลายใส่หน้าเขา เขาโมโหมากจึงตบหน้านางจนลงไปกองกับพื้น และฉีกทึ้งเสื้อผ้าของนางหมายจะขืนใจ จองฮยางเห็นดังนั้นจึงหยิบแจกันใกล้มือ เดินไปฟาดหัวเขาเต็มแรง เขากลับไม่สลบแต่ก็หยุดการกระป่าเถื่อนนั้นได้ หากแต่มันกลับเพิ่มอารมณ์โกรธให้เขายิ่งขึ้น เขาจึงเปลี่ยนมาเล่นงานจองฮยาง เขาจึงลุกขึ้น นางพยายามวิ่งหนี เขาก็จิกผมของนางและตบนางเต็มแรงจนลงไปกองกับพื้น เขาหมายจะซ้ำ
      “หยุดนะ นางเป็นผู้หญิงของใต้เท้าฮยอนไม่ใช่รึไง ท่านกล้าทำให้นางมาริ้วรอยรึ” จานพูดเพื่อหยุดการกระทำของเขา นั่นช่วยเตือนสติเขาได้
      “จริงสิ แย่จัง ข้าตบนางไปซะแล้ว ไหนดูซิ” เขาเชยคางจองฮยางขึ้น เพื่อดูริ้วมือแดงบนหน้านาง ก่อนจะสลัดหน้านางทิ้ง ก่อนจะเดินจากไป เมื่อผ่านหน้าประตู เขาก็สั่งลูกน้อง
      “เอาน้ำมาประคบหน้านางด้วย” จากนั้นก็เดินหายไป หญิงสาวทั้งสองได้แต่นั่งกอดกันร้องไห้ จองฮยางคิดถึงยุนบกจับใจ เช่นเดียวกับจานที่ถวิลหาอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของสามี
      มันดึกกลับไปยังห้องของตน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อใครรอเขาอยู่ เป็นใต้เท้าฮยอนนั่นเอง เขาเดินเข้ามาตบหน้ามันดึกทันที
      “นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน เจ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร” ใต้เท้าฮยอนโมโหมากที่เจ้าสาวเขาไม่มาตามกำหนด
      “มันจะไม่เกิดขึ้นอีกครับ และคราวนี้ข้าขอเป็นผู้จัดงานมงคลให้ท่านเอง ที่นี่ นารีแดงแห่งนี้ พร้อมกับข้า เราจะได้เข้าหอพร้อมกันพรุ่งนี้ แล้วพวกมันต้องมาช่วยพวกนางแน่ เราจะได้ ฆ่ามันพร้อมๆกัน ฮ่าๆๆๆๆ” เขาพูดเหมือนคนเสียสติ
      รุ่งเช้าอินอุกกำลังนั่งดูเหล่าลูกน้องของฟ้าคำราม ง่วนอยู่กับการเตรียมอาวุธและเสบียง ระหว่างรอการมาถึงขององครักษ์ ยุนบกเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆเขา
      “พวกเขาแข็งขันดีนะ”ยุนบกเอ่ย
      “ข้าว่าเงอะงะมากกว่า” อินอุกแย้ง
      “อาจจะจริงของท่าน” ยุนบกหัวเราะออกมาเมื่อเห็นชายคนหนึ่งดึงสายธนูดีดหน้าตัวเอง นั่นทำให้อินอุกหันไปมองเขา
      “เจ้า เป็นคนที่ต่างจากที่ข้าคิดไว้” อินอุกเอ่ยกับยุนบก
      “ท่านเองก็เช่นกัน ข้าขอบใจในน้ำใจของท่านมาก” ยุนบกพูดอย่างซาบซึ้ง
      “ให้ตายเถอะ ข้าไม่อยากจะพูดเลย ว่า...ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงรักเจ้า” อินอุกพูด ยุนบกถึงกับอึ้งในประโยคนั้น จากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก แต่ดูเหมือนความเข้าใจกลับไหวเวียนอยู่กับคนทั้งคู่ และทั้งคู่คงไม่รู้ว่าตนนั้นกำลังคิดเหมือนกันอยู่ “บางทีเอาอาจจะเป็นเพื่อนกันได้” หากแต่ในความคิดของอินอุกเสริมขึ้นมาว่า “แค่อาจจะนะ อาจจะ” ไม่นานนักองครักษ์ผู้ไปกราบทูลพระราชาก็มาถึงเสน่ห์จันทรา เช่นเดียวกับคำสั่งจากพระอัยยิกาที่ไปถึงใต้เท้าฮยอนเช่นกัน และการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นแล้ว


      ณ นารีแดง มันดึกจัดงานมงคลอยู่ตรงลานกว้างของหอ พร้อมเหล่าลูกสมุนและทหารของใต้เท้าฮยอนวางกำลังอย่าง แน่นหนา หมายที่จะใช้กำลังมากกว่าจัดการพวกฟ้าคำราม
      “เอาล่ะๆ ได้ฤกษ์แล้วมาเริ่มกันเลยดีกว่า เอาเจ้าสาวออกมา” มันดึกกล่าวเริ่มงาน เจ้าสาวทั้งสองจึงเดินออกมาด้วยใบหน้าที่หมองเศร้า ดนตรีก็บรรเลงไปด้วยจังหวะคึกคัก ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งมาบอกว่าฟ้าคำรามมาแล้ว นั่นทำให้หญิงสาวทั้งสองดีใจยิ่งนัก พวกนางยิ้มอย่างมีความหวัง ฟ้าคำรามเปิดประตูเข้ามาพร้อมด้วยยุนบก ชิล และอินอุก มันดึกเห็นดังนั้นจึงหัวเราะออกมา
      “นี่พวกเจ้ายกกันมาแค่นี้เหรอ ฮ่าๆๆๆ ให้ตายเถอะอยากจะตายกันมากใช่ไหมเดี๋ยวจัดให้ ฆ่ามัน” ลูกน้องมันดึกและเหล่าทหารจึงกรูเข้าใส่ทั้งสี่ ทันใดนั้นก็มีห่าศรธนูยิงใส่พวกมัน มันดึกถึงกับผงะรีบหลบเข้าศาลาพิธีพร้อมกับใต้เท้าฮยอนและหญิงสาวทั้งสอง ลูกน้องของฟ้าคำรามที่ซ่อนอยู่จึงลงมาจากหลังคาซึ่งโอบล้อมบริเวณนั่นอยู่ การต่อสู้ตอนนี้ฝั่งฟ้าคำรามเป็นต่อแล้ว ทันใดนั้นก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในตัวเรือนของนารีแดง มันดึกเห็นดังนั้นก็แทบคลั่ง เขาจึงต้องทำอะไรบางอย่างก่อนที่จะสิ้นท่า
      “แกไอ้ฟ้าคำราม” มันดึกจิกผมจานและกดร่างนางให้คุกเขาพร้อมตะโกนลั่น
      “ฟ้าคำราม ดูนี่” มันดึกเอาดาบจี้คอจานไว้
      “ยอมแพ้ซะไม่งั้นข้าฆ่าเมียเจ้าแน่” มันดึกพูดพลางลงดาบแนบคอนาง ฟ้าคำรามเห็นภาพนั้นถึงกับผงะหยุดการต่อสู้ทันที แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ใต้เท้าฮยอนใช้ดาบแทงทะลุมันดึกจากด้านหลัง ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น
      “ท่าน...ท่าน..”มันดึกไม่สามารถพูดอะไรได้ก็สิ้นลมไป ใต้เท้าฮยอนจึงหันดาบใส่จานอีกครั้ง
      “ฟ้าคำราม เราไม่มีเรื่องบาดหมางกัน ข้ามาที่นี่แค่มาทำงานของข้าเท่านั้น เรื่องนี้มันจะจบแล้วข้าจะจากไปโดยดี เจ้าจะได้เมียเจ้าคืนไป ส่วนข้าขอแค่” ใต้เท้าฮยอนหันดาบชี้ไปทางยุนบก “แฮวอนเท่านั้น แลกกับเมียของเจ้า เป็นข้อเสนอที่ดีไหมล่ะ” เขายิ้มออกมาเมื่อยื่นข้อเสนอ ใบหน้านั้นช่างเลือดเย็น เขาได้คำนวณดูแล้วว่าเหตุการณ์มันบานปลายไปไกลกว่าที่จะควบคุมได้ จึงพยายามทำงานที่ได้รับคำสั่งจากพระอัยยิกาให้ได้เท่านั้น และเขารู้ดีว่าฟ้าคำรามนั้นเป็นหัวหน้าของทุกคน หากฟ้าคำรามตัดสินใจเช่นไรทุกคนย่อมทำตาม และแน่ล่ะเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ฟ้าคำรามต้องเลือกภรรยาของเขาแน่
      เมื่อฟ้าคำรามได้ฟังข้อเสนอดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก อีกคนก็ภรรยา อีกคนก็เป็นดั่งน้องชาย เขาจะทำเช่นไรดี ยุนบกทนเห็นสภาพแบบนี้ไม่ไหวเขาจึงเป็นฝ่ายตัดสินใจอย่าง เขาจึงจะก้าวออกมาหากแต่จองฮยางเห็นดังนั้นนางจึงเข้ามาหมายจะแย่งดาบของใต้เท้าฮยอน แต่ก็ถูกเขาซัดไปกองกับพื้นให้ได้ใช้เป็นตัวประกันอีกคน ยุนบกตกใจยิ่งนักกับภาพที่เห็น
      “ว่ายังไงล่ะแฮวอน เจ้ายังจะยืนอยู่ตรงนั้นได้อีกหรอ ต้องให้ข้าฆ่าผู้หญิงสองคนนี้ก่อนหรือไง” ใต้เท้าฮยอนตะโกน ยุนบกเห็นดังนั้นจึงกลั้นใจเดินออกมา เขาเดินเข้าไปใกล้ใต้เท้าฮยอนเรื่อยๆ
      “ไม่ช่างเขียน” จองฮยางกล่าวห้ามพร้อมน้ำตา เขาไม่มีทางเลือกเขาไม่ยอมให้ใครต้องเอาชีวิตมาทิ้งเพราะเขาอีกแล้วโดยเฉพาะจองฮยาง หากนางต้องตายเพราะเขา เขาคงให้อภัยตัวเองไม่ได้ แต่ทันใดนั้นก็มีกองทหารกลุ่มหนึ่งมาถึงพวกเขาเข้าล้อมที่นี่ไว้ ทุกคนต่างตกใจ บุรุษบนหลังม้าผู้นำของกองทหารกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้น เขาคือ ทันวอน คิมฮงโด นั่นเอง หากแต่ฮงโดไม่ทันเห็นยุนบก
      “ใต้เท้าฮยอน รับราชโองการ” เขาลงจากหลังม้าและอ่านราชโองการ ทุกคนในที่นั้นจึงคุกเข่าลงรวมถึงใต้เท้าฮยอนด้วย
      “ท่านประพฤติตัวฉ้อฉล ฉ้อราชบังหลวง ร่วมมือกับมันดึกค้าเหล้าเถื่อน และของผิดกฎหมาย ทำร้ายรังแกราษฎร มีความผิดใหญ่หลวงนัก ให้ปลดออกจากตำแหน่ง ทำการจับกุมและนำตัวไปลงโทษที่ฮันยาง” เมื่ออ่านจบทุกคนต่างกล่าว ทรงพระเจริญ เหล่าทหารจึงเข้าจับกุมตัวใต้เท้าฮยอนแต่โดยดี และนั่นทำให้ฮงโดมองเห็นยุนบก
      “ยุนบก เจ้า...ยุนบก” เขาเรียกชื่อยุนบกพลางวิ่งเข้าไปหาพร้อมน้ำตา ทั้งคู่กอดกันอย่างอาวรณ์
      “ฮื่อๆ..อาจารย์” ยุนบกเองก็ร้องไห้เช่นกัน
      “เจ้าสบายดีนะ เจ้าหายไปไหนมาข้าเป็นห่วงเจ้ามากรู้ไหม” ฮงโดจับใบหน้าของยุนบกขึ้นดูอย่างสำรวจ ภาพนี้สร้างรอย บาดลึกให้แก่หญิงสาวที่เฝ้าดูอยู่ด้านหลังยิ่งนัก แม้ว่านางจะรอดจากคมดาบมาได้ นางก็ไม่ยินดีเลย ตอนนี้นางคิดอยากจะตายด้วยดาบนั้นอีกครั้งเผื่อคนที่หันหลังให้นางอยู่นี้จะรู้สึกถึงความมีตัวตนของนางบ้าง ทันใดนั้นอินอุกก็เดินเข้ามาหานาง เขานำเสื้อมาคลุมให้นาง
      “แม่นางจองฮยางเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากแต่ไม่มีเสียงตอบจากนาง นางยังคงมองภาพทำร้ายจิตใจนั้นไม่วางตา อินอุกจึงหันไปมองตามแต่เขากลับรู้สึกงงๆ แน่นอนเขารู้จักท่านทันวอนดี เช่นกันกับที่เขารู้แล้วว่ายุนบกคือแฮวอน และรู้ด้วยว่าทั้งคู่เป็นศิษย์อาจารย์ แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมนางต้องมองพวกเขาอย่างเจ็บปวด ไม่นานนักนางก็เดินออกมาจากจุดนั้นอินอุกจึงเดินตาม เรื่องราววุ่นวายจบลงได้ด้วยดีทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังเสน่ห์จันทรา


      ณ พระราชวัง ตำหนักพระอัยยิกา
      “ฝ่าบาทเสด็จมาเยี่ยมหม่อมฉัน รู้สึกยินดียิ่งนัก” พระอัยยิกากล่าว
      “มิได้การเยี่ยมเยียนฝ่าบาทถือเป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเช่นกัน” พระราชาตรัส
      “พระองค์มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้รึเพคะ” พระอัยยิกาถาม
      “มิได้ฝ่าบาท หม่อมฉันตะหากที่จะมาถวายการรับใช้พระองค์” พระราชาตรัส นางได้ยินดังนั้นก็ทำหน้างง
      “บังเอิญว่าคนของหม่อมฉัน จับคนๆนึงมาได้ ไม่ทราบว่าใช่คนที่พระองค์ทรงหาอยู่ไหม” พระราชาตรัสพลางแย้ม พระสรวล
      “อะไรกันเพคะ หม่อมฉันก็ไม่ได้หาใครอยู่ซักหน่อย คงไม่ต้องลำบากพระองค์หรอก” นางตอบ
      “เช่นนั้นรึ แต่แปลกจังเขาเอ่ยถึงฝ่าบาทด้วย ไม่ทราบว่าพระองค์รู้จักเขาไหม ใต้เท้าฮยอนนะ” พระราชาตรัสพลางมองปฏิกิริยาของพระอัยยิกา เมื่อนางได้ยินชื่อใต้เท้าฮยอนก็ถึงกับตาโต แต่ก็กลับมาอยู่ในอาการสำรวมอีกครั้ง
      “ใต้เท้าฮยอนที่ไปอยู่เมืองหยางโจรึเพคะ” นางถาม
      “พะย่ะค่ะ” พระราชาตอบ
      “ไม่เลยเพคะ แปลกจังที่เขาเอ่ยถึงหม่อมฉัน” นางตอบสีหน้าเรียบ และทั้งสองจึงนั่งดื่มชาร่วมกัน

      จบภาคแรก โปรดติดตาม
      Thunder and the wind: After war

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×