คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9 Brust
ครึก...ครึก
ไฟในกองเริ่มสว่างขึ้นอีกครั้งทันทีที่ฉันโยนกิ่งไม้เข้าไป
‘จากนี้ไปจะทำอะไรต่อ’
คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของฉันไม่รู้กี่รอบ หลังจากที่ฉันเจออะไรที่อธิบายไม่ได้มาหลายครั้งในระยะเวลาไม่นานทั้งตัวประหลาด การหลุดผ่านมิติ และ…
สายตาของฉันเลื่อนไปมองชายที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามของกองไฟ มือข้างนึงเลื่อนไปจับตาข้างขวาที่หายไปเมื่อไรก็ไม่รู้
‘พลังนั่น’
ตอนที่ช่วยชายคนนั้น...เสียงที่คุยกับฉัน...มันคืออะไร แล้วที่บอกว่าชายคนที่เราช่วยนั้นได้กลายเป็นคนที่ต้องรับใช้เราไปตลอด...มันหมายถึงอะไรกัน...ที่บอกว่าคำสั่งไม่ได้นั้นหมายถึงแบบไหน?
หมายถึงความนึกคิดของเขาจะเหมือนโดนเราควบคุม หรือ หมายถึงความคิดยังคงเหมือนปรกติแต่ไม่สามารถขัดคำสั่งได้?
“เฮ้อ”
‘นี่...ได้ยินรึเปล่า...เฮ้’
ฉันพยายามเรียกเสียงลึกลับนั้นในใจแต่ก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด ตั้งแต่ตอนที่ช่วยต้นแล้วเสียงนั้นก็เงียบหายไปเลย
...มีแต่เรื่องไม่เข้าใจทั้งนั้น
...ทุกๆอย่าง
...การคิดช่วยคนโดยไม่คิดหน้าคิดหลังมันผิดอย่างนั้นรึ
ไม่ใช่แค่ตัวฉันเองเท่านั้นที่สูญเสียดวงตาไป แต่คนที่ฉันช่วยก็สูญเสียอิสรภาพไปด้วย อย่างนี้มันดีแล้วหรือ...ถ้าเขารู้เขาจะคิดยังไง
‘อยากขอโทษ’
...ถ้าเราบอกให้เขาไม่ต้องคอยอยู่กับเรา ไม่ต้องคอยมารับใช้จะได้หรือไม่ เขาจะคืนสภาพปางตายนั้นหรือไม่
แล้วถ้าเจอคนที่ใกล้ตายอีก เจอคนที่ขอความช่วยเหลือต่อหน้าเราอีก เราจะยังมีความกล้าเหลือพอที่จะช่วยพวกเขาได้หรือไม่…
...ไม่รู้
“!...”
ไม่รู้ว่าต้นลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่เมื่อไร สงสัยฉันคงจะมันคิดอะไรหลายอย่างมากเกินไปหน่อย...จะลองพูดเรื่องทั้งหมดดูดีหรือไม่นะ
=================================
“นอนไม่หลับหรอ?”
ทันทีที่ผมลุกขึ้นนั่งอาซากิก็หันมาถามด้วยความแปลกใจ
“พึ่งตื่นน่ะครับ”
ผมก้มลงมองนาฬิกาของตนเองแต่อาซากิบอกเวลากลับมาให้ก่อน
“อีกเกือบครึ่งชั่วโมง จะหกโมงเช้าน่ะ”
นี่ผมหลับไปราวๆหนึ่งชั่วโมงได้สินะ ถึงตอนแรกจะคิดว่าไม่สามารถหลับได้เพราะเสียง และ แสงที่รบกวนนั้นแต่สุดท้ายก็หลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ก็ถูกปลุกด้วย...
“ว่าแต่ได้ยินเสียงอะไรรึเปล่าครับ”
“หือ”
พวกเราต่างเงียบไปพยายามแยกเสียงแปลกปลอมออกจากเสียงแมลง และ นกร้อง ตอนที่ผมหลับอยู่นั้นอยู่ๆรู้สึกราวกลับได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาเดินเข้ามาใกล้ที่พักทำให้สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาแต่ไม่แน่ใจว่าหูฝาดไปเองหรือไม่จึงต้องถามอาซากิเพื่อความแน่ใจ
แซ่ก แซ่ก
เสียงของอะไรบางอย่างจำนวนมากเคลื่อนไหวในบริเวณใกล้ๆจุดที่พัก แต่ก็เพียงแค่ฝั่งเดียวเพราะอีกฝั่งของที่พักนั้นเป็นหน้าผา ตอนแรกผมยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวอะไรด้วยสภาพแวดล้อมที่ยังคงมืด ประกอบกับสิ่งนั้นยังเข้ามาไม่ถึงรัศมี 5 เมตรของผม แต่ไม่นานพวกมันก็ค่อยๆเดินเข้ามาในอาณาเขตของผมทีละตัวสองตัว
“หมาป่างั้นหรอ?...แย่ละสิหลายตัวด้วย”
“เอ๊ะ ต้นรู้ได้ยังไง”
ผมไม่รู้จะอธิบายความสามารถรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิต ให้อาซากิรับรู้ดีหรือไม่ (ตอนแรกผมคิดว่าเป็นการรับรู้ความร้อน แต่ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าไม่ใช่เพราะพอผมหลับตากลับไม่รู้สึกถึงกองไฟแต่อย่างใด)
“ก็พอจะฟังเสียงฝีเท้าออกน่ะครับ”
“โห”
เฮ้ยอย่าเชื่ออะไรง่ายๆสิ จริงอยู่ที่ผมโกหกเธอไป แต่พอเธอเชื่อง่ายๆแบบนี้ทำเอาลำบากใจยังไงก็ไม่รู้
แซ่ก แซ่ก
ครู่นึงพวกมันก็เริ่มปรากฎตัวในระยะที่แสงไฟจากกองไฟส่องถึง สิ่งที่โผล่ออกมานั้นตอนแรกผมคิดว่าจะเป็นหมาป่าแต่แล้วพอเห็นรูปร่างมันถึงรู้ว่าไม่ใช่ หน้าตาของมันดูคล้ายกับสุนัขทั่วไปในเมืองไทย แต่มีลายคล้ายเสือบนหลัง บางที่อ้าออกมากว้างกว่าสุนัขทั่วไป...นี่มัน
“เสือทัสมาเนีย!”
“เสือทัสมาเนีย?”
ใช่รูปร่างของมันเหมือนเสือทัสมาเนียมากแม้ผมจะไม่เคยเห็นมันตัวเป็นๆแต่ก็เคยเห็นในหนังสือภาพ แต่ว่าพวกมันแต่ละตัวใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้มาก ตัวของผมนั้นสูง 175 เซนติเมตรพวกมันสูงราวๆครึ่งตัวของผมนี่แสดงว่าสูงถึง 80 - 90 เซนติเมตร
“ใช่ครับ แต่ว่าพวกมันน่าจะสูญพันธ์ไปแล้ว สงสัยไม่เราหลุดมาในป่าหลุดสำรวจก็...”
“คงจะย้อนเวลาไปในอดีตสินะ”
อาซากิพูดราวกับว่าตนเองรับรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว...ทำไมกัน
“แล้ว...”
“อะไรนะครับ”
“ฉันถามว่าไอ้พวกนี้มันกินได้รึเปล่า”
“อ่า...ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะไม่มีพิษนะครับ แต่รสชาตินี่รู้สึกจะไม่มีคนกินกัน”
กร๊อบ กร๊อบ!
“สรุปคือกินได้สินะ...”
สิ้นเสียงเธอก็วิ่งเข้าหาฝูงเสือทัสมาเนียทันที แววตาของอาซากิเปลี่ยนไปจากเดิมที่ดูอบอุ่นราวกับคนมองโลกในแง่ดีตลอดเวลา กลับกลายเป็นแววตาแหลมคมคล้ายนักล่าทำเอาผมเย็นยะเยือกจนร้องห้ามเธอไม่ทัน
แต่ดูเหมือนว่าอาซากิไม่ต้องการความช่วยเหลือด้วยซ้ำ ทันทีที่เธอวิ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว ด้วยอาการตกใจ หรือเหตุอื่นใดก็ไม่ทราบ พวกเสือทัสมาเนียต่างหยุดชะงัก พออาซากิหยุดเท้าใกล้ตัวที่เข้าใกล้ที่พักมาที่สุด เสือทัสมาเนียตัวนั้นก็พุ่งสวนเข้าใส่เธอทันที
อาซากิหลบฉากออกมาได้ โดยจับขาข้างนึงของเสือตัวนั้นแล้วทุ่มข้ามไหล่ลงกับพื้นเหมือนท่ายูโด ไม่ให้โอกาสกลับมาสู้ได้อีก อาซากิหยิบมีดพับออกมาจากในกระเป๋าแล้วเฉือนลงไปบริเวณคอของเสือทัสมาเนียจนเลือดพุ่งขึ้นมาโดยสีหน้าเธอไม่เปลี่ยนซักนิด
การโจมตีกระทันหันของอาซากิทำเอาเสือทัสมาเนียทุกตัวหยุดนิ่งพอเธอหันหลังกลับมาหาพวกเสือเหล่านั้นพวกมันก็เริ่มถอยราวกับรู้ว่าตนเองสู้ไม่ได้ แต่ยังลังเลใจผมอาศัยจังหวะนั้นหยิบไม้ทีติดไฟจากในกองไฟโยนไปใส่พวกมันแล้วหยิบไม้อีกอันวิ่งตามมา พวกมันเห็นท่าไม่ตีแต่ละตัวรีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็วจนในเวลาครู่เดียวจากเดิมที่บริเวณหน้าที่พักมีเสือทัสมาเนียล้อมอยู่ราวสิบกว่าตัวตอนนี้เหลือเพียงตัวเดียวที่นอนจมกองเลือดอยู่ที่ปลายเท้าของอาซากิ
“ดูเหมือนต้นจะไม่ค่อยตกใจเลยนะ”
เธอถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนกับลักษณะการพูดของเสียงสาบแช่งที่ดังในหัว แถมพอสิ้นเสียง เสียงสาบแช่งในหัวผมก็ดังขึ้นมาอีกครั้งจนต้องชำเรืองมองปากของอาซากิว่าที่กำลังพูดอยู่นั้นเป็นเธอ หรือ เป็นเสียงในหัวผมกันแน่
ตกใจ? ออหมายถึงเรื่องความสามารถการต่อสู้ของเธอน่ะหรอ? ก็จริงนะที่คนที่แสดงท่าทางซื่อๆ เหมือนคนไร้ความสามารถ แต่อยู่ๆกลับเคลื่อนไหวระดับนั้นถ้าเป็นคนทั่วไปอาจจะผวาที่จะเข้าใกล้ก็ไม่แปลกล่ะนะ เธอคงกังวลเรื่องนี้ล่ะมั้ง
“ตกใจ...ก็ตกใจอยู่หรอกนะครับ จริงๆผมก็คิดอยู่นะครับว่าคุณอาซากินี่ออกจะเป็นหญิงแกร่งอยู่ แต่ไม่นึกว่าจะเก่งขนาดนี้ แต่ว่านะครับ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ พลางเดินเข้าหาอาซากิ
“แต่ว่า?”
“เล่นบุกเข้าไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนั้นถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไงครับ ยิ่งตอนนี้เราไม่มีเครื่องมือปฐมพยาบาลอะไรซักอย่าง อยู่ในป่าแบบนี้แค่บาดแผลเล็กน้อยก็เป็นเรื่องใหญ่แล้วนะครับ เพราะอาจติดโรคอะไรได้หลายๆอย่าง…”
ผมยังคงเทศนาเธอต่อไป ส่วนอาซากิก็ยังคงมองผมอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ว่าที่ผมพูดไปนั้นเธอรับรู้แค่ไหน
“ขอโทษ”
“แล้วก็ยังมีอีกเรื่องนะครับ
“ยังไม่หมดอีกเรอะ”
ผมยื่นมือไปเช็ดเลือดที่ติดแก้มของเธอออกแล้วหยิกแก้มเบาๆทั้งสองข้าง
“เรื่องผมต้องเป็นคนรับใช้ของคุณอาซากิไปตลอดนั้น”
“...ต้น...เธอรู้เรื่องนั้นด้วยหรอ...”
อาซากิพยายามจะวิ่งหนีไป แต่ผมยังคงจับใบหน้าเธอแน่นไม่ปล่อย จนเธอหลับตาปี๋ราวกับกลัวว่าผมจะทำร้ายเธอยังไงยังงั้น (ไม่สิตอนนี้ที่หยิกแก้มเบาๆอยู่อาจจะเรียกว่าทำร้ายก็ได้นะ)
...ความจริงถ้าสู้กันตรงๆผมไม่น่าจะสู้เธอไหวอยู่แล้ว...แต่เธอกลับไม่ขัดขืนอะไรมากราวกับกำลังรอว่าผมจะทำอะไรต่อไป
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว”
...ทำไมกัน
...เธอแค้นผมไม่ใช่หรอ ทำไมทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดล่ะ
“ยังไงผมก็ต้องคอยรับใช้คุณอาซากิไปตลอดแล้ว ผมอาจจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่อย่างน้อย...”
ผมสูดหายใจลึกเว้นจังหวะเล็กน้อย
“ช่วยยกโทษให้ผมได้ไหมครับ”
“เอ๋?”
อาซากิลืมตาแล้วแหงนหน้าขึ้นมามองทางผม ราวกับแปลกใจกับสิ่งที่ผมพึ่งพูดออกไป
“คือผมพอจะเข้าใจอยู่นะครับที่อยู่ๆคุณต้องอยู่กับคนที่คุณไม่เคยรู้จักไปตลอด แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้ว ถ้ามันไม่มีทางแก้จริงๆ...”
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อนนะ”
“?...”
“ทำไมต้นถึงคิดว่าชั้นโกรธแค้นต้นล่ะ ชั้นไม่ได้โกรธเธอเลยนะ”
“เอ๋?...ก็”
คำพูดแค่ประโยดเดียวของเธอทำเอาหัวผมหยุดทำงานไปชั่วขณะ เดี๋ยวนะไม่ได้โกรธแค้นเราเลยงั้นหรอ
จังหวะที่ผมหยุดชะงักไปนั้น สลับกับเมื่อครู่ คราวนี้อาซากิมาจับไหล่ทั้งสองข้างแล้วจ้องเขม็งมองตาผม
“คิดว่าชั้นโกหกรึไง”
นัยน์ตาสีเขียวสดใสจ้องมายังผมโดยปราศจากแววขุ่นมัวแม้แต่น้อย ราวกับจะบอกว่าสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปนั้นไม่ได้โกหกจริงๆนะ...แต่ว่า...แต่ว่าถ้าเสียงสาบแช่งนั้นไม่ใช่เสียงจากใจของเธอแล้วมันคืออะไรกัน
‘แค้น!...เพราะแก!’
แม้แต่ขนาดที่ผมคุยกับเธอต่อหน้าแบบนี้เสียงนั้นยังคงดังก้อง...ไม่สิยิ่งเธอเข้าใกล้ผมมันยิ่งดังหนักขึ้นด้วยซ้ำ แต่เสียงนั้นกลับตรงข้ามกับสิ่งที่เธอทำอยู่อย่างชัดเจนจนผมเริ่มสับสนว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงจากใจของเธอจริงๆรึเปล่า หรือเป็นเสียงจากจิตใต้สำนึกที่ยังแค้นผม? หรือว่าไม่ใช่เสียงของเธอเลยด้วยซ้ำ?
ผมทบทวนในใจอยู่หลายรอบว่าสีหน้า ท่าทางของเธอตอนนี้เป็นการแสแสร้งหรือไม่ ผมเองเป็นคนมองคงไม่เก่งนัก แต่อย่างน้อย...ก็อยากจะลองเชื่อดู
“...ไม่ครับ”
ผมตอบกลับอาซากิไปด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไม่ครับ ผมไม่คิดว่าคุณจะโกหก”
“อื้อ! เขาใจก็ดีแล้ว”
เธอยิ้มพลางถอนหายใจเหมือนโล่งอก แต่เพียงครู่เดียวแววตาก็กจริงจังก็กลับมาอีกครั้ง
“ต้น...แล้วทำไมเธอถึงคิดว่าฉันแค้นเธอล่ะ แล้วเรื่องข้ารับใช้นั้นด้วยทำไมถึง...”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกครั้งแล้วกันนะครับ ก่อนอื่น”
ผมตัดบทสนทนาเพื่อขอเวลามารวบรวมความคิดเสียใหม่ พยายามวาดผังแสดงเหตุผลในหัวว่า หากเธอหลอกเราแล้วได้ผลอะไรบ้าง และหากเธอไม่หลอกเรานั้นเสียงในหัวเรามันคืออะไร แล้วภาพเหตุการณ์ที่อาซากิช่วยเรานั้นมันเป็นของจริงหรือไม่ (ซึ่งตอนแรกผมเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ตอนนี้ชักสับสนว่าสิ่งใดจริงเท็จกันแน่)
ผมก้มลงเก็บมีดพับที่ตกอยู่แถวปลายเท้า แล้วเดินไปยังศพของเสือทัสมาเนีย (ดูเหมือนอาซากิจะเผลอทิ้งมีดตอนที่เธอพยายามจะหนี)
“จัดการเรื่องอาหารก่อนแล้วกันครับ ถ้านานเกินเดี๋ยวจะจัดการยาก”
ผมกับอาซากิช่วยกับจับขาของมันคนละด้านเพื่อนำไปชำแหละที่ริมแม่น้ำใกล้ที่พัก น้ำหนักของเสือทัสมาเนียที่สูงเกือบเมตรนั้นกลับเบากว่าที่ผมคิดมาก น่าจะราวๆ สี่ถึงห้าสิบกิโลกรัมเท่านั้น แต่เพราะเถาวัลย์ และ รากไม้จำนวนมาก ประกอบกับยังอยู่ในช่วงเช้ามืด ทำให้อาซากิเดินค่อยข้างลำบาก
“นี่เมื่อวานต้นพาชั้นเข้ามาได้ยังไงเนี่ย”
อาซากิพูดอย่างทึ่งๆพลางหลบเถาวัลย์ที่เต็มไปด้วยหนาม ที่เริ่มจะมองเห็นลางๆผิดกับเมื่อวานที่มืดสนิท
“จัดการอันนี้เสร็จเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังทั้งหมดครับ...แต่ว่า”
“อือ ฉันก็จะพูดให้ฟังทั้งหมดเหมือนกัน”
แม้ว่าจะเดินค่อยข้างลำบากกว่าเมื่อวานเพราะต้องยกร่างของเสือทัสมาเนียด้วย แต่อาซากิก็ไม่เอ่ยปากบ่นแม้แต่น้อย ราวเกือบ 10 นาทีผมก็พามาถึงริมแม่น้ำ แต่เป็นคนละจุดกับที่อาซากิเจอผม
“นี่ฉันคิดไปเองรึเปล่า รู้สึกว่าน้ำสูงกว่าเมื่อวานนะ”
“ก็แค่น้ำขึ้น น้ำลงปรกติน่ะครับ โชคดีที่เมื่อวานเปลี่ยนที่นอนไม่งั้นมีหวังยุ่งแหงๆ...อ๊ะวางตรงนี้แหละครับ”
ผมบอกให้อาซากิวางร่างเสือทัสมาเนียลงบนก้อนหินใหญ่ใกล้แม่น้ำ
“เอ่อ...ภาพมันไม่ค่อยน่าดูนักจะมองไปทางอื่นก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรชำแหละเถอะฉันจะได้รู้วิธีด้วย”
นั่นสินะตอนที่ฆ่าเสือทัสนาเนียแม้แต่คิ้วยังไม่กระดิกด้วยซ้ำ แค่ดูการชำแหละก็ไม่น่าจะมีผลเท่าไรหรอกนี่นะ
ผมจึงเริ่มลงมือชำแหละทันทีโดยเริ่มจาถลกหนัง และเครื่องในออกมาก่อน ซึ่งทำค่อนข้าลำบากเพราะใช้มีดพับขนาดเล็กซึ่งเป็นของมีคมชิ้นเดียวที่พวกเรามี ประกอบกับยังอยู่ในช่วงเช้ามืดทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัดนัก จึงทำงานได้ลำบากกว่าจะเสร็จก็ทำเอาเสียเวลาไปเกือบชั่วโมงจนท้องฟ้าเริ่มสว่างจึงเสร็จ
ระหว่างที่ผมทำการชำแหละนั้นอาซากิได้เฝ้ามองอย่างเงียบๆ โดยไม่ถามเรื่องที่คุยค้างกันไว้เลยแม้แต่น้อย
“คุณอาซากิครับ ช่วยหาไม้ยาวซัก 2 อันที่ขนาดใกล้ๆกันได้ไหมครับ”
“หือ จะเอาไปทำอะไรหรอ”
เธอถามพลางลุกขึ้นยืน
“ออแค่จะเอามาทำเป็นที่หาบเนื้อพวกนี้นะครับ”
กล่าวจบอาซากิก็เดินเข้าไปหาไม้ในป่าใกล้ๆระหว่างนั้นผมก็เอาเนื้อ เครื่องในและ หนังที่แล่เสร็จแล้วไปล้างน้ำในแม่น้ำ ไม่นานนักอาซากิก็กลับมากลับไม้ขนาดยาวประมาณเมตรกว่า 2 อัน ผมก็นำหนังของเสือมาผูกกับไม้ทั้งคู่ในอยู่ในลักษณะคล้ายแปลแล้วนำ เครื่องในกับเนื้อวางบนนั้น แล้วจึงช่วยกับอาซากิหามมันกลับไปที่พักของเรา
พอถึงที่พักกองไฟมอดลงแล้ว ผมจึงพยายามจะจุดใหม่
“เดี๋ยวๆ”
อยู่ๆเธอก็เรียกผม
“ขอชั้นจุดบ้าง นะนะ เห็นต้นทำเมื่อวานแล้วอย่างลองหน่อย”
“...เอาสิครับ พอจำวิธีจุดได้ใช่ไหมครับ”
“อื้อ”
ผมส่งแท่งแมกนีเซียมกับมีดพับให้เธอก็รับไปรับไปด้วยแววตาราวกับเด็กได้รับของเล่นใหม่ ระหว่างนั้นผมจึงเดินไปในป่าใกล้ๆหาไม้ขนาดพอเอาที่จะเอามาเสียบพวกเนื้อเพื่อจะย่าง ไม่นานนักพอผมกลับมากองไฟก็พร้อมเรียบร้อย
“คุณอาซากิขอมีดหน่อยครับ”
“เอ้า”
เธอโยนมีดมาให้ผมก็เริ่มใช้มีดนั้นเหลาไม้ที่เตรียมมาให้แหลมพอจะเสียบเนื้อที่แล่ไว้
“คุณอาซากิพอจะย่างเนื้อเป็นใช่ไหมครับ”
“แค่นี้เป็นอยู่แล้ว”
ผมส่งไม้ที่เหลาไปให้อาซากิ เธอก็เข้าใจทันทีรีบหยิบไม้นั้นแล้วนำเนื้อที่แล่เป็นชิ้นเล็กๆมาเสียบแล้วนำไปย่าง ส่วนผมก็เริ่มเหลาไม้ชิ้นต่อไป
“แล้วเนื้อชิ้นใหญ่นี้ล่ะ”
“อออันนั้นกะจะเอาไว้กินมื้อถัดไปน่ะครับที่แล่ชิ้นเล็กๆก็เฉพาะมื้อนี้เท่านั้นล่ะครับ”
ไม้ที่ย่างเนื้อข้างกองไฟตอนนี้มีทั้งหมด 6 ไม้แบ่งกันคนละ 3 พอเนื้อเริ่มสุกได้ที่เราก็เริ่มกินทันที
“เหนียวจังอะ เหม็นสาบด้วย”
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ เราไม่มีพวกเกลือ หรือมะนาวที่จะเอามาลดกลิ่นสาบเลย”
“ช่างเถอะแค่บ่นไปงั้นแหละ...เอาล่ะพอจะเล่าให้ฉันฟังได้แล้วยัง...ทำไม...”
นัยน์ตาของอาซากิชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
“เฮ้อ...”
เอาเถอะต่อไปไม่รู้จะเจอกับอะไรอีกบ้างถ้าไม่เชื่อใจกันตั้งแต่แรก คงจะรอดได้ไม่นานล่ะนะ คิดได้ดังนั้นผมจึงเริ่มเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่จับมือกับเมื่อคืนนั้น ความทรงจำของอาซากิในตอนที่ช่วยผมได้ไหลเข้ามาในตัวผม ตัวผมในตอนนั้นได้ยินถึงเสียงลึกลับ รู้สึกถึงความเจ็บปวดตอนที่สูญเสียดวงตาราวกับตอนนั้นตัวผมเป็นอาซากิเอง
“ถึงผมจะเข้าใจนะครับว่าอยู่ๆต้องมีสูญเสียดวงตาข้างนึงให้คนที่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำมันน่าแค้นใจ แถมยังต้องอยู่ด้วยกันไปตลอด...แต่ถึงจะเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวไปหน่อย อยากให้ช่วยยกโทษให้ผมได้ไหมครับ”
จะได้หยุดเสียงสาบแช่งที่ดังอยู่เกือบตลอดเวลานี้ซักที
“ไม่...”
นั่นสินะมันคงไม่ง่ายขนาดที่พอขอแล้วจะยกโทษให้ได้ง่ายๆหรอก
“ยกจะขอเกินเลยไปสินะครับ”
“ไม่...ฉันไม่ได้แค้นอะไรเธอซักนิดเลยนะทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ...ตอนนั้นก็พูดเรื่องนี้เหมือนกัน”
พูดอย่างนี้อีกแล้วงั้นเสียงของเธอที่ดังสาปแช่งฉันอยู่ตลอดเวลานี้มันอะไรกัน
“เสียง...”
“หือ?...”
“เสียงของเธอ...ของคุณอาซากินั่นแหละครับดังอยู่ในหัวผม หลังจากที่จับมือกันตอนนั้นมันดังตลอด พูดว่าแค้นผมตลอด!”
“เดี๋ยวไม่ใช่นะ!”
‘แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้นแค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้นแค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้นแค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก เพราะแก ’
ยิ่งพูดเสียงในหัวของผมยิ่งดังขึ้น ถี่ขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“เงียบนะ!”
ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวจนเผลอตะโกนออกมา ความรู้สึกในจิดใจเริ่มผสมปนเปกันมั่วไปหมด ทั้งความรู้สึกขอบคุณ โกรธ เสียใจ รู้สึกผิด จนสติในการตัดสินใจเริ่มผิดเพี้ยน เสียงในหัวดังขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่มองเห็นเริ่มเลือนลางเจือนไปด้วยสีแดงเหมือนกันตอนที่อยู่บนเรือนั่น ดวงตาที่ได้รับมาจากอาซากิเริ่มร้อนขึ้น แสบจนทบอยากจะควักทิ้งออกมา...
===========================================
“เงียบนะ!”
ต้นตะโกนขัดจังหวะที่ฉันกำลังพูด นัยน์ตามองมาทางฉันอย่างเคียดแค้น ท่าทีของต้นเริ่มแปลกไปราวกับปวดหัวอย่างรุนแรง ไม่นานเลือดก็เริ่มไหลออกมาจากดวงตาข้างขวาจนดูคล้ายเป็นน้ำตาสีเลือด ดวงตาเริ่มเปลี่ยนไปสีแดงราวกับเส้นเลือดฝอยจะแตกออก
‘ทำไมกัน’
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ฉันน่ะหรอแค้น...ไม่สิถ้าคิดตามปรกติฉันก็ควรจะแค้นต้นอยู่หรอก แต่ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของฉันเองจะไปโกรธคนอื่นได้อย่างไร...ทั้งๆที่คิดแบบนั้นมาตลอดแท้ๆ ทำไมต้นถึง…
‘แกสินะ!’
ฉันตะโกนเรียกหาเสียงลึกลับนั้นในใจ สิ่งนั้นน่าจะยังอยู่แน่ๆ
ถึงจะยังคงสับสนในตอนแรก แต่พอสงบใจรีบเค้นสมองประมวลสิ่งที่ต้นพูดให้ฟัง ฉันก็พอจะคาดเดาได้ว่า เพราะต้นนั้นเข้าใจตาข้างขวาของเขาเป็นของฉัน (ซึ่งก็น่าจะใช่) เลยทำให้ความคิดของฉันส่งไปถึงเขา พอต้นได้ยินเสียงสาบแช่งที่เป็นเสียงของฉัน ต้นเลยคิดว่าฉันแค้นเขามาตลอด แถมดูเหมือนเสียงนั้นจะถี่ขึ้นเรื่อยๆด้วย…
แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นเลยดังนั้นสิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุของมีแต่สิ่งนั้น เสียงลึกลับที่ช่วยให้ฉันช่วยชิวิตต้นโดยแรกกับตาขวา ถึงจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ก็น่าจะเป็นสิ่งนั้นนี่แหละที่เป็นคนเอ่ยคำสาปแช่งใส่ต้นตลอดเวลา
‘รอบนี้ฉันเปล่านา’
ในที่สุดเสียงนั้นก็ตอบรับฉันซักที
“งั้นจะอธิบายเรื่องที่เกิดตรงหน้าได้ยังไง!”
ฉันทั้งโกรธ ทั้งสับสนจนเผลอตะโกะออกมา แต่ดูเหมือนว่าต้นจะไม่ได้ยินเสียงของฉันเสียงแล้ว สภาพคล้ายกับผู้โดยสารบนเรือที่กำลังครวญครางก่อนที่ร่างกายจะแตกสลายไป
‘เฮ้ อย่ามาลงที่ฉันสิ...แต่ใช่ว่าฉันจะไม่รู้สาเหตุนะถึงจะไม่มั่นใจก็เถอะ’
‘สาเหตุ...เพราะอะไรกัน’
‘อืมจะยังไงดี...เพราะเป็นพลังของเธอ...ล่ะมั้ง’
‘เอ๋’
หมายความว่ายังไงพลังของฉันไม่ใช่พลังที่ใช้ในการรักษาคนอื่นโดยแรกกับร่างกายของตนหรือไง ฉันคิดอย่างนั้นมาตลอด
‘กำลังคิดอยู่ว่าเป็นพลังรักษาล่ะสิ...โทษทีแต่พลังของ ‘พวกเรา’ ไม่ใช่แบบนั้นหรอก
‘พวกเรา?’
‘อ๊ะ...’
เสียงนั้นเหมือนจะเผลอหลุดพูดอะไรซักอย่าง แต่ฉันยังคงสับสน
‘...เอาเถอะ...ถือว่าครั้งนี้ช่วยหน่อยแล้วกัน เพราะดูเหมือนหมอนั่นพอจะมีประโยชน์กับการเอาตัวรอดจากที่นี่น่ะนะ ปล่อยให้ตายตอนนี้เสียดายแย่...แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเธอล่ะนะจะช่วยเขาได้รึเปล่า’
‘หมายความว่ายังไง?’
‘เอาล่ะฟังฉันดีๆแล้วกัน พลังของเธอน่ะไม่ใช่พลังรักษาอะไรนั่นหรอก ลองกลับไปคิดดูดีๆแล้วกันว่ามันคืออะไร ส่วนที่คนคนนั้นกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะเป็นผลจากลักษณะของพลังของเธอนั่นแหละ เพราะวิญญาณส่วนหนึ่งของเธออยู่ในร่างกายของเขา ทำให้เขาเหมือนจะมีพลังคล้ายๆของเธอ’
ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจว่าเสียงนั้นพูดถึงอะไรกันแน่ แต่ฉันพยายามที่จะจดจำทุกคำพูดไม่ให้ผิดเพี้ยน
‘เพียงแต่พลังของเธอในตัวเขานั้นไม่สามารถกลายเป็นจริงเหมือนที่เธอสามารถทำได้แค่นั้นแหละ แต่ผลของมันก็ได้ทำให้วิญญาณส่วนหนึ่งของเธอในตัวเขาต่อต้านกันขึ้นมา พูดง่ายๆเหมือนกันว่าตอนนี้คนคนขึ้นเหมือนโดนถ่ายเลือดคนละกรุ๊ปล่ะมั้ง’
เสียงนั้นเว้นช่วงเป็นครู่นึงก่อนเคยครั้งสุดท้าย
‘ที่ฉันพอจะบอกได้มีแค่นี้ จะช่วยเขาได้หรือไม่แล้วแต่เธอนั่นแหละ’
ความคิดเห็น