คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8 Help Me
“ฮึก...ฮึก”
‘รอชั้นด้วย’
คำพูดนี้วนเวียนในหัวของชั้นที่ร้องเรียกให้เพื่อนทั้งสามหยุดรอไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไร แต่เสียงที่ออกมามีเพียงเสียงร้องไห้ ได้แต่รีบวิ่งหนีตามพวกเขาไปให้เร็วที่สุด เสียงฝีเท้าจำนวนมากเริ่มวิ่งไล่ตามมาใกล้ขึ้นๆ พอฉันวิ่งถึงแม่น้ำแม้จะใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ความรู้สึกที่พวกมันไล่กวดมาประชิดก็ยังไม่จางหาย ได้แต่วิ่งต่อไปให้ทันเพื่อนที่ข้ามแม่น้ำไปจนเกือบจะเสร็จแล้ว
“กรร”
เสียงคำรามในลำคอของเบาพวกมันอยู่ใกล้ราวกับห่างกันเพียงฝ่ามือ แรงกระเพือมของน้ำส่งสัญญาณให้รู้ว่าพวกมันวิ่งตามลงน้ำมาแล้ว
“นิด! เร็วเข้า”
พนตะโกนเร่ง ยิ่งทำให้ฉันตกใจวิ่งจนสะดุดก็หินใต้น้ำ
“ว้าย!”
“นิด!”
นกตะโกนด้วยความตกใจทันทีที่ฉันหกล้มลงไปในน้ำที่ลึกระดับเอว ฉันพยายามพยุงตัวขึ้นแล้วรีบเดินฝ่าน้ำไปต่อ แต่เพราะหกล้มจมน้ำไปทั้งตัวทำให้ฉันวิ่งได้ช้าลงเพราะเสื้ออมน้ำจนหนักขึ้นมาก
งับ!
“กรี้ด”
หมาป่าตัวนึงตามมามันงับลงไปที่ข้อมือของฉัน เขี้ยวของมันฝังลึกลงไป ความเจ็บปวดที่ฉันไปเคยรู้สึกมาก่อนเจ็บแปร็บขึ้นจนร้องออกมา
“ฮึก...ฮึก...ปล่อยนะ”
ฉันพยายามดึงมือของตนเองออกจากปากของมันสุดแรงจนทำให้แผลเริ่มเหวะหวะ แต่พอกำลังจะดึงออกจากปากของตัวแรกได้ตัวที่สองก็เข้ามากัดแขนข้างเดิม
“กรี้ด!...ปล่อยนะ!...ปล่อยนะ!...”
ชั้นใช้มือข้างที่เหลือทุบมันสุดแรง แต่ดูเหมือนมันกลับไม่ค่อยกระเทือนด้วยซ้ำ
ช่วยฉันด้วย นก ช่วยด้วย...พน...กร
“นิด!”
เสียงตะโกนของ พน ดังขึ้นพอฉันหันกลับไปร้องไห้จะขอความช่วยเหลือก็ถูกหมาป่าบางตัวกระโจนเข้ากัดด้านหลังจนจบลงน้ำ หมาป่าตัวอื่นได้จังหวะก็งับขาลากฉันกลับไปยังแม่น้ำฝั่งเดิมทันที แม้จะพยายาคว้าทุกอย่างที่จะคว้าได้ในน้ำ แต่ดูเหมือนแรงมันจะไม่มีเหลือเสีย ภาพสุดท้ายที่เห็นคือทุกคนกระโดดกลับลงมาในแม่น้ำพยายามวิ่งมาทางฉันแต่กลับไม่สามารถตามมาได้ หมาบางตัวถูกกรใช้มีดฟันจนลงไปนอนแน่นิ่ง แต่ทุกคนที่พยายามเข้ามาช่วยก็โดนกัดไปไม่น้อยเช่นกัน แต่แม้จะพยายามตามมาฉันกลับถูกลากถอยห่างจากทุกคนไปเรื่อยๆ
‘อย่าทิ้งฉันไป...ช่วยด้วย...รอฉันก่อน...ขอโทษ...ขอโทษ…ถ้าฉันไม่อ่อนแอแบบนี้...ขอโทษ’
ความรู้สึกทั้งกลัวที่กำลังจะตาย เสียใจที่ต้องให้เพื่อนกลับมาช่วยเป็นเพราะตนเองแท้ๆที่ช้ากว่าคนอื่นเขาตลอด เกลียดตนเองที่อ่อนแอแม้จะทำให้เพื่อนเดือดร้อนแต่ก็ยังอยากให้ช่วยเพราะยังไม่อยากตาย เกลียดตนเองที่เห็นแก่ตัว
นั่นเป็นความรู้สึกสุดท้ายของฉันก่อนที่จะหมดสติไป
…
…
“อือ”
ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานเท่าไร แต่พอรู้สึกตัวอีกครั้งภาพผ่านสายตากลับแปลกไป ราวกับ...ราวกับว่ากำลังมองโลกด้วยกล้องที่ทำให้มองเห็นในตอนกลางคืน เขาเรียกอะไรแล้วนะ...ช่างเถอะ ฉันก็ไม่เคยใช้หรอกนะแต่เคยเห็นรายการอะไรซักอย่างที่ถ่ายทำด้วยกล้องกลางคืน ทุกอย่างมีเพียงสีเขียวกับดำ มองเห็นสภาพรอบข้างราวกับกลางวัน...ไม่สินี่มันกลางวันหรือกลางคืนกันแน่
พอแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้ายังคงมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงอยู่เหมือนเดิม ยังคงเป็นกลางคืนสินะ ว่าแต่
‘ทำไมเราถึงยังไม่ตาย’
พอนึกถึงเรื่องที่ตนเองกำลังโดยรุมกัดอยู่ก็รู้สึกหนาวสั่นด้วยความกลัวไปทั้งตัว แต่ทำไมเราถึงเรามาได้กันนะ ด้วยความสงสัยฉันเริ่มมองสภาพรอบตัว
!!!
ศพหมาป่าหลายตัวตกอยู่รอบๆ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่มีร่างกายบางส่วนขาดหายไป บางตัวเหลือ แต่หัว บางตัวลำตัวเป็นรอยเหวอะหวะเนื้อบริเวณท้องหายไป
พอเห็นสภาพเบื้องหน้าแม้สมองจะสั่งให้กรีดร้องออกมา แต่เสียงกลับไม่มีเสียได้ น้ำตาไหลออกมาจนภาพที่มองเห็นขุ่นมัว ช่วยด้วย...นก...พน...กร ทุกคนหายไปไหนกันหมด
…
ราวกับพึ่งตื่นจากฝันร้ายพอรู้สึกตัวอีกครั้งก็กำลังเดินอย่างโดดเดี่ยวในป่าเสียแล้ว ทั้งๆที่เมื่อครู่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างแม่น้ำ แล้วนี่ฉันเข้ามาเดินในป่าเมื่อไรกัน ทุกคนอยู่ที่ไหนอย่างทิ้งฉันไว้คนเดียว
…
“หวา!”
เสียงผู้ชายดังขึ้นในระยะไม่ห่างมากนัก ตอนแรกเผลอสะดุ้งไปแปบนึงกำลังจะวิ่งหนีไปอีกทางเพราะเป็นเสียงของคนที่ไม่รู้จัก โชคดีที่นึกได้ทันว่าได้เจอคนแล้ว จึงตัดสินใจค่อยๆเดินไปตามเสียงที่มา
ไม่รู้ว่าเพราะมองเห็นในที่มืด หรือ เพราะได้กลิ่นกันแน่ไม่นานนักฉันก็เดินตามหาชายเจ้าของเสียงนั่นเจอ...เดี๋ยวสิกลิ่นเนี่ยนะ...ทำไมอยู่ๆจมูกฉันถึงดีขึ้นได้ล่ะ...ช่างเถอะในที่สุดก็เจอคนแล้ว
ชายเบื้องหน้าใส่ชุดพนักงานบนเรือสำราญแต่ชุดหลุดลุ่ย ดูเหมือนกับเขากำลังไม่พอใจอะไรซักอย่างพอลุกขึ้นจากพื้นก็บ่นพึมพำออกมา
“บัดซบ ยัยนั่นแน่ๆ”
ชายคนนั้นเริ่มกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ท่าทางกำลังโกรธแบบนั้นอยู่ๆเราจะเข้าไปคุยด้วยคงไม่ดีแน่ฉันจึงตัดสินใจเดินตามห่างๆ
…
ไม่รู้ว่าชายคนนั้นกำลังพยายามจะมุ่งหน้าไปทางไหนแต่พอเดินได้ซักพักก็ชอบหยุดหันกลับมามองซะเรื่อยทำเอาฉันหลบเข้าหลังต้นไม้เกือบไม่ทัน
พอทำหลายๆครั้งเข้าก็เริ่มสนุก แต่อีกใจนึงก็รู้สึกกลัวถ้าอีกฝ่ายเจอฉันจริงๆแล้วโกรธขึ้นมาจะทำยังไงดี จะออกไปทักตอนนี้จะดีรึเปล่านะ
…
ป่าที่เดินเริ่มรกขึ้นเรื่อยๆทำให้เคลื่อนตัวลำบากแต่ฉันก็ยังคงเฝ้าดูชายคนนั้นห่างๆแต่แล้ว
“บัดซบ! ยัยนั่น”
อยู่ๆชายคนนั้นก็ตะโกนขึ้นมา แย่แล้วนี่เขารู้ตัวแล้วหรือว่าเราตามมา ฉันรีบหลบทันทีกลัวว่าชายคนนั้นจะเข้ามาทำร้ายเพราะความโกรธแต่แล้วเขากลับทำเรื่องหน้าตกใจ ชายคนนั้นกลับวิ่งหนีโดยไม่หันหลังกลับมา
‘เดี๋ยวสิ รอชั้นด้วย’
ฉันรีบวิ่งตามชายเบื้องหน้าไป แต่ทว่าป่าที่รกทำให้ชนกับกิ่งไม้ ต้นไม้หลายครั้ง น่าแปลกที่ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไร แต่ที่สำคัญกว่าคือนี่ฉันตัวใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ระหว่างที่คิดพลางวิ่งไล่ตามชายคนนั้นไปอยู่ๆราวกับพื้นไม่มีที่ยืนพอมองไปด้านล่างกลับเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองวิ่งเลยหน้าผาออกมา
‘ไม่นะ’
สายลมปะทะเต็มหน้าราวกับกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า...นั่นเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่ฉันจะหมดสติไปอีกครั้ง
…
…
พอรู้สึกตัวอีกครั้งนึกก็รับรู้ว่าตนเองกำลังเหนื่อยหอบ ราวกำลังโกรธอะไรซักอย่างอยู่ที่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด
‘นี่เรากำลังทำอะไรอยู่’
พอมองไปรอบๆก็พบว่าต้นไม้ใกล้ๆตัวพังพินาศราวกับโดนพายุโหนกระหน่ำใส เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วชายคนนั้นหายไปไหนแล้ว ฉันกลับไม่ได้กลิ่นชายคนนั้นเสียแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ที่สำคัญกว่านั้น...ตอนนี้อยู่คนเดียวอีกแล้ว ไม่นะอย่าทิ้งฉันไป...ใครก็ได้…
‘ช่วยฉันด้วย’
============================================
‘เพราะแก...แก แก แก แก แก ทำไมฉันต้องเจ็บปวดอย่างนี้...เพราะแกนั่นแหละ แก แก แก’
ผมสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงของอาซากิที่ดังออกมาจากดวงตา...อีกแล้วหรือนี่ ไม่รู้ผมจะทนเสียงได้ไปได้ถึงเมื่อไร ผมจะทำยังไงเพื่อหยุดเสียงสาปแช่งนี้ได้
‘แต่ว่า’
แต่ว่าให้ตายเถอะขนาดหลับไปยังคงสายแช่งผมตลอดแบบนี้มันน่าหดหู่ใจไม่น้อย ทั้งผมที่ต้องคอยฟังเสียงสาบแช่ง และเธอที่สาบแช่งไม่หยุด
‘ไม่เข้าใจ’
สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจเสียเลยคือทำไมทั้งๆที่เธอเอาแต่สาบแช่งผมตลอดเวลา ทำไมเธอถึงยังคงยิ้มแย้มกับคนที่เธอแค้นได้นะ ท่าทีของเธอก็ดูเหมือนไม่มีการแสแสร้ง จริงอยู่ที่ผมไม่ค่อยได้คุยกับผู้หญิงซักเท่าไร แม้แต่ตอนเรียกที่เอาแต่ปลีกตัวออกห่างจากคนอื่น ยิ่งตอนทำงานที่เข้าป่าทุกเดือนยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ไม่อยากเชื่อว่าคนเราจะสวมหน้ากากปิดบังความรู้สึกตนเองได้ดีขนาดนั้น
‘จะคิดทำไมให้ยุ่งยากล่ะ...ฆ่าเธอเลยสิ’
ความคิดที่จะฆ่าต้นตอของเสียงแวบขึ้นมาในหัว ผมสะบัดหน้าอย่างแรง นี่เราคิดอะไรกันเธอเสียสละดวงตาเพื่อช่วยเรา ถ้าเราจะตอบแทนด้วยการฆ่าเธอเสีย แบบนั้นอย่าเกิดมาเป็นคนจะดีซะกว่า
03.55 AM.
ไม่รู้ว่าเป็นจิตใจที่ตื่นเต้น วันนี้หมดสตินานเกินไป หรือเพราะสาเหตุอื่นใดอีกกันแน่ทำให้ไม่เกิดอาการง่วงแม้แต่นิดเดียวมองนาฬิกาข้อมือของตนเอง ดูเหมือนว่าจะได้เวลาเปลี่ยนเวรแล้วซักทีสินะ
หลังจากที่มีอะไรซักอย่างที่มองไม่เห็นเดินเข้ามาแล้ว ก็ไม่เกิดเหตุการณ์แปลกๆอะไรขึ้นอีก อย่างมากเหมือนมีสัตว์ป่าที่รูปร่างคล้ายสุนัข (ผมมองไม่เห็นแต่รับรู้ได้เพราะดูมันเดินเข้ามาในรัศมี 5 เมตรของผม) จริงอยู่ที่ผมควรจะปลุกเธอขึ้นมารับช่วงต่อในช่วงเที่ยงคืน แต่ไม่รู้เป็นเพราะกังวลกับสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น หรือ เพราะไม่ไว้วางใจเธอกันแน่ จึงตัดสินใจเฝ้าดูต่อเพื่อความแน่ใจ…
ผมหยิบเศษไม้โยนเข้าไปในกองไฟที่เริ่มจะมอด แล้วส่งเสียงเรียกอาซากิ
“คุณ อาซากิครับ”
“อ...อือ”
โห ตื่นง่ายกว่าที่คิดแหะ ตอนแรกผมนึกว่าเธออาจจะหลับลึกเสียอีกเพราะท่าทางเพลียๆมาตลอด รึเป็นเพราะไม่ถนัดการนอนบนพื้นดินกันแน่นะ
“หลับสบายไหมครับ”
“อือ...หาว”
เธอปิดขี้เกียจแล้วหาวออกมา ดูเหมือนจะหลับเต็มที่เลยนะเนี่ย
“ว่าแต่กี่โมงแล้ว”
“ตี 4 ครับ”
“อือ...”
เธอพยักหน้าแล้วลุกขึ้นขยับตัวไปมา
“...อะ เดี๋ยวสิ...ตี 4”
“ครับ?”
“ทำไมไม่ปลุกชั้น!”
อาซากิพูดด้วยเสียงขัดใจเล็กน้อยแต่ทว่า
แปร็บ!
เสียงแสดงของเธอทำเอาปวดหัวแทบระเบิด ดวงตาด้านขวาร้อนราวกับไฟลุก
“อะ...อึก”
“เอ๋ เป็นอะไรไปน่ะ”
อาซากิถามผมที่มีท่าทางแปลกไป ด้วยท่าทีราวกับเธอไม่รู้ตัวว่าเธอทำอะไรลงไป ไม่สิ ไม่แน่เธออาจจะรู้ตัวอยู่แล้วก็ได้แต่ยังคงตีหน้าใสซื่อ เหมือนที่ในใจเธอคอยสาบแช่งผมอยู่ตลอดเวลาแต่กลับทำหน้ายิ้มแย้มก็เป็นได้
“ปะ...เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วถอนหายใจออกมาพยายามระงับความโกรธ
“ขอโทษด้วยนะครับไม่ได้ปลุกตอนกะที่สอง...พอดี...”
ผมเล่าให้ฟังถึงอะไรบางอย่างที่ผมมองไม่เห็น ที่ดูเหมือนพยายามเข้าหาอาซากิ ตอนแรกก็กลัวอยู่ว่าเธอจะโกรธขึ้นมาหาว่าผมแต่งเรื่อง จนทำให้ผมปวดหัวขึ้นมาอีกแต่พอนึกๆดูแล้ว เธอเองก็มีพลังเหนือธรรมชาติเหมือนกันดังนั้นน่าจะพอมีโอกาสที่เธอจะเชื่อเรื่องที่ผมเล่าได้
“อือ...งี้นี่เอง”
“เชื่อผมหรอครับ?”
“แล้วเธอโกหกรึเปล่าล่ะ”
“เปล่าครับ”
เธอหันมายิ้มให้ผมด้วยใบหน้าที่ดูเศร้าๆเล็กน้อย…ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?...
“ก็แค่นั้นแหละ”
กล่าวจบเธอก็กลับไปยืดเส้นยืดสายต่อซักพัก แล้วกลับมานั่งตรงที่นอนของเธอ
“แล้ว...พอจะนึกออกรึเปล่าครับว่ามันคืออะไร”
“เอ๋?”
อาซากิทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมาถามเรื่องนี้กับเธอ จะว่าไปเรื่องพลังของเธอนั้นเธอก็ไม่ได้เล่าให้เราฟังนี่น่า ทำให้พอผมเจอสิ่งที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ที่สายตามองไม่เห็นผมก็พาลไปนึกว่าอาจน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับอาซากิที่มีพลังพิเศษเหมือนกัน
“ถ้าไม่ทราบก็ไม่เป็นไรครับ มาพูดเรื่องเข้าเวรดีกว่า”
ผมอธิบายให้อาซากิฟังว่าระหว่างที่เข้าเวรนั้นอาจมีสัตว์ป่าอะไรมาเดินวนรอบๆก็ไม่ต้องตกใจ สัตว์ป่าส่วนใหญ่มักจะไม่กล้าเข้ามาในบริเวณกองไฟ ให้สุมไฟเอาไว้อย่าให้มอด และหากได้ยินเสียงอะไรดังขึ้นมาในป่าจะขานตอบ
“เดี๋ยวนะ”
“ทำไมหรอครับ”
“เรื่องเสียงนี่ฉันไม่เห็นด้วยนะ ถ้าเป็นคนขอความช่วยเหลือจะทำยังไง”
“ยังไงก็ไม่ได้ครับ อาจเป็นเสียงของลม เสียงของสัตว์บางชนิดที่คล้ายคนก็ได้ ถ้าเราออกไปตามเสียงเราอาจหลงป่าเสียเอง หรืออาจโดนสัตว์ทำร้ายเอาก็ได้”
“แต่ว่า...”
เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่ค่อยลง แต่เหมือนนึกอะไรได้ เธอเลื่อนมือไปจับบริเวณตาข้างขวาที่ผมลงมาปิดไว้
“นั่นสินะ”
‘แค้น แค้น แค้น ‘แค้น แค้น แค้น ‘แค้น แค้น แค้น เพราะแก เพราะแก เพราะแก’
เสียงสาบแช่งของอาซากิดังเข้ามาในหัวอีกครั้ง ‘ขอโทษ’ แม้ปากอยากเอ่ยออกมาแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
“ครับทั้งหมดก็มีเท่านี้ แค่อย่าให้ไฟมอด แล้วหากมีเสียงอะไรแปลกๆให้เรียกผมด้วยและกันครับ”
“อือ”
ตกลงกันเสร็จผมก็ล้มตัวลงไปนอน แม้จะยังไม่ง่วงเท่าไรก็ตาม
เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ยังคงวนเวียนในหัว มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจทั้งนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากหลับตาทั้งสองข้างลงทุกสิ่งก็มองเห็นเพียงแค่แสงของสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่รอบตัว ที่ผมไม่รู้ว่าจะปิดการรับรู้แสงพวกนั้นได้ยังไง แถมเสียงคนสาบแช่งยังคงดังอยู่เรื่อยๆ ราวกับจะไม่ให้ผมหลับลงยังไงอย่างนั้น…
============================================
ความคิดเห็น