คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7 Wait
‘หนาว’
ทันทีที่รู้สึกผมรู้สึกตัวผมสัมผัสได้เพียงความหนาวทั่วร่างกาย ราวกับร่างกายของผมมันไม่มีความร้อนเหลืออยู่ยังไงยังงั้น
‘มืด’
ทุกสิ่งทุกอย่างมันดำมืดไปหมด ความคิดต่างๆในหัวตีกันยุ่งเหยิง เมื่อพยายามนึกดูก็นึกได้แต่เสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวดของผม ก่อนที่ผมจะสิ้นสติไป
‘นี่...เราตายแล้วหรอ’
ผมเริ่มขยับร่างกายของตนเองทีละน้อย…ยังขยับได้ตามปรกติ เพียงแต่ความรู้สึกมันราวกับสติของผมกับร่างกายมันไม่เชื่อมต่อกัน คล้ายกับความฝัน
‘เอ๋! ฝันรึ’
รึว่านี่เรากำลังฝันอยู่กันนะ...เรื่องแปลกๆบนเรือนั่นก็ด้วยทั้งหมดมันคงเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น...ใช่มันเป็นเพียงฝันร้ายแน่ๆ เพื่อยืนยันความคิดของตนเองผมก็ลองทำสิ่งที่คนทั่วไปทำเวลาที่จะทดสอบว่าเป็นความฝันรึไม่ ผมลองหยิกตนเองสุดแรง
กึด!
‘อืม...ไม่เห็นจะเจ็บเลย’
ตอนที่ผมลองหยิกตนเองนั้นแม้จะแปลกใจที่ราวกับผมออกแรงได้มากกว่าปรกติหลายเท่า แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็น ที่สำคัญคือแรงที่ผมหยิกลงไปทำเอาเนื้อหลุดออกมาเป็นชิ้นติดนิ้วมาด้วย แต่ผมกลับไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย พอลองสัมผัสบริเวณที่เนื้อหลุดออกมาก็พบว่าเลือดมันไม่ค่อยจะไหลด้วยซ้ำ
‘ดูสิ เนื้อหลุดออกมาขนาดนี้ยังเป็นเจ็บเลย ฝันแน่ๆ’
ผมโยนเนื้อของตนเองทิ้ง ตอนนี้ที่สำคัญก่อนเลยคือ
‘หนาว’
ถึงแม้มันจะเป็นความฝันที่แปลกประหลาดแต่ความหนาวนี้มันราวกับของจริง ผมไม่จะคลายความหนาวนี้ได้อย่างไร ได้แต่เดินหน้าไปเรื่อยๆเพื่อว่า เบื้องหน้าจะมีอะไรซักอย่างที่ช่วยคลายความหนาวนี้ได้บ้าง
‘แสง’
หลังจากเดินไปเบื้องหน้ากลางความมืดที่ไร้จุดหมาย ล้มลุกคลุกคลานเพราะบางสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่หลายครั้งในที่สุดผมก็ได้พบสิ่งที่น่าจะช่วยคลายความหนาวนี้ได้
‘แสง...แสงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น’
ผมวิ่งเข้าหาแสงนั้นสุดกำลัง แต่เมื่อใกล้ถึงแสงนั้น มันกลับลอยหนีผมไป
‘ไม่นะ...รอ รอผมก่อน’
“...!”
เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น แต่ผมกลับได้ยินเสียงนั้นไม่ถนัดนักคล้ายเวลาที่ผมใส่หูฟังเปิดเพลงดังแล้วมีคนมาเรียก แต่เสียงนั้นจะพูดอะไรก็เอาไว้ก่อนเถอะ สิ่งแรกที่ผมต้องการคือการคลายความหนาวนี่ และหนทางมันอยู่เบื้องหน้าแล้ว ผมจึงวิ่งไล่ตามแสงนั้นต่อไป
“ช...!”
เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ยิ่งผมวิ่งเข้าใกล้แสงเท่าใดเสียงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ มันคงเป็นเสียงออกมาจากแสงนั่นสินะ แต่ว่า
‘หนวกหู...น่า’
สิ่งแรกที่ผมต้องการตอนนี้คือการคลายความหนาวนี้ ผมไม่สนว่าเสียงนั่นจะพูดอะไรยังคงวิ่งตามแสงต่อไป...ไม่นานนักผมก็จับมันได้ซักที
‘อา...อุ่นจังเลย’
ใช่ นี่เป็นความอบอุ่นที่ผมรอคอยราวกับไม่ได้สัมผัสมานาน มันช่วยผมคลายความหนาวนี่ไปได้เยอะ แต่ว่า...มันยังไม่พอ...มันยังไม่พอ...ต้องการ...ผม...ผมต้องการมากกว่านี้ ผมเริ่มกอดแสงนั่นแรงขึ้น...แรงขึ้น
“ช...ช่วย!...”
เสียงดังออกมาจากแสง แต่ผมไม่สนแล้ว ผมอยากได้ความอบอุ่นนี่จนแทบอยากจะกินมันเข้าไป…
‘กิน’
จริงด้วย ผมน่าจะลองกินมันดูเข้าไปก็ไม่เลวนะ ผมเริ่มกัดแสงนั้น ของเหลวอุ่นๆไหลเข้าตัวของผม ถึงผมไม่ได้กลิ่นหรือรสชาติ เพราะมันเป็นเพียงความฝัน แต่ความรู้สึกตอนที่ร่างกายของผมได้รับความอบอุ่นที่ค่อยๆไหลจากลำคอสู่ท้องจนอบอุ่นไปทั่วร่างนี่มันสุดยอดจริงๆ
“ช่วย...ด้วย...”
เสียงนั้นดังขึ้นมาจากสิ่งที่ผมกำลังกินอยู่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วเงียบไป แต่ว่าผมไม่ทันได้ฟังว่ามันพูดว่าอะไรเพราะเวลาผมต้องการทำอะไรมักจะไม่ใส่ใจรอบข้างอยู่แล้ว ที่ผมรู้ตอนนี้มีเพียงผมชอบความอบอุ่นนี่ ผมเริ่มกินมันอย่างตะกละตะกลาม
‘อุ่นจัง’
ระหว่างที่ผมกำลังกินดูเหมือนว่าแสงนั่นค่อยๆจางลง...จางลง
‘ไม่นะ’
ดูเหมือนว่าเมื่อผมเริ่มกินแสงนี้แล้ว มันจะคงความอบอุ่นอยู่ได้ไม่นานแต่ว่า...เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ผมรู้สึกได้ว่าเบื้องหน้ายังคงมีแสงแบบนี้อีกแน่ จนกว่าฝันร้ายนี้จะจบลงผมขอเสพความสุขที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อนนี้ให้สะใจก็แล้วกัน
คิดได้ดังนั้นผมก็เริ่มออกเดินไปข้างหน้าที่มีแต่ความมืดเพื่อมองหาแสงอันอบอุ่นต่อไป
==============================================
“กรี้ดดดด !!!”
“เหวอ!”
พอเห็นใบหน้าที่ไร้ซึ่งดวงตาของสิ่งนั้น ฉันตะโกนด้วยความตกใจสุดเสียง ส่วนคนอื่นจะอยู่ในสภาพเช่นไรฉันไม่รับรู้ อะไรทั้งสิ้น โผเข้ากอดคนที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความกลัว
“อย่าเข้ามานะ!”
พนตะโกนใส่สิ่งนั้นเสียงดัง พลางความหินใส่กันไม่ให้มันเข้ามา สิ่งนั้นหยุดขยับร่างกายไปครู่นึง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยราวกับกำลังดีใจ แต่ใบหน้าที่เปื้อนเลือดไร้ลูกตาแบบนั้นกลับทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งนั้นเอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงอันแหบแห้ง
“ช่วย...ช่วยผมด้วย”
พนทำท่าจะหยิบก้อนหินมาขว้างใส่สิ่งนั้นอีกครั้งแต่นกเข้าไปคว้าไหล่ของพนไว้
“เดี๋ยวก่อน นั่นอาจเป็นผู้รอดชีวิตคนอื่นก็ได้นะ”
พนคิดได้ก็ทิ้งก้อนหินในมือลง
“แต่ แต่ว่าทำไมเค้าถึงมีสภาพอย่างนั้นล่ะคะ”
แม้ว่านกจะเป็นคนพูดอย่างนั้นก็ตามแต่ใจหนึ่งของฉันยังไม่อาจเชื่อได้ว่าสิ่งนั้นใช่มนุษย์จริงๆงั้นรึ
“จะไปยากอะไรก็ถามมันดูสิ...เฮ้ย! แกน่ะ”
พนพอรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนเหมือนกันก็เปลี่ยนทีท่าทันที แต่ดูเหมือนชายตาบอดไม่มีแรงที่จะตอบพวกเราพูดแต่เพียง
“ขอน้ำ”
กรกับพนจึงช่วยกันพยุงชายตาบอดไปยังริมแม่น้ำ พนมีท่าทีขยะแขยงเพราะเสื้อของชายคนนั้นเลอะไปด้วยเลือด แต่น่าแปลกที่กรกลับพยุงคนคนนั้นราวกับไม่มีอะไรเลย ทำให้บางครั้งฉันก็กลัวความใจเย็นของกรเหมือนกัน
พวกเราเริ่มสอบถามชายตาบอดว่าเหตุใดเจ้าตัวจึงมีสภาพเช่นนี้ เขาก็เล่าให้ฟังสั้นๆด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น โดยเนื้อหาประมาณว่าเขาเป็นผู้โดยสารบนเรือเช่นเดียวกับพวกเรา หลังจากที่เสียงประหลาดนั้นดังขึ้นครั้งที่สอง ร่างกายเขาราวกับจะระเบิดออก แต่แม้ว่าเขาจะรอดมาได้ก็ยังสูญเสียการมองเห็นไป หลังจากฟื้นเขาก็คลำทางเรื่อยๆจนมาถึงพวกเรา
หลังจากฟังจบพวกเราสี่คนต่างมีท่าทีแปลกใจตรงที่ตอนที่เกิดเสียงประหลาดนั้น พวกเราสี่คนกลับไม่เป็นอะไรมาก หรือว่า...พวกเราเดินออกห่างจากชายแปลกหน้าเริ่มคุยกันด้วยเสียงอันเบากลัวเขาจะได้ยิน แต่ละคนยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนี้ถึงเรื่องของเขาจะคล้ายกับพวกเรา แต่เหตุใดที่พวกเรากลับไม่ได้รับผลกระทบเช่นเขา
อยู่ๆกรก็เดินเข้าหาชายคนนั้น
“นี่ พี่ชาย...ปีนี้ปีอะไรครับ”
“เอ๋...ก็ พ.ศ. 2556 หรือ ค.ศ.2013 ไง”
“อ้อ นั่นสินะครับ”
กรยิ้มด้วยสีหน้าพึงพอใจแล้วเดินกลับมาหาพวกเรา
“ดูเหมือนว่าเราจะได้ข้อมูลเพิ่มเล็กน้อยนะ”
“หา? เรื่องอะไรของแก”
พนถามกลับกรด้วยเสียงห้วนๆเหมือนจะยังไม่หายโกรธที่ตนเองชกกับกร...ทั้งๆที่ตัวเองเริ่มก่อนแท้ๆ แต่ดูเหมือนกรจะไม่สนใจ
“ดูเหมือนว่าพี่ชายคนนั้นจะเป็นพวกสอบตกนะ”
“หมายความว่ายังไง?”
กรถามด้วยความสงสัย ซึ่งนกก็ได้พูดตอบแทนกรให้
“จำที่ข้อมูลนั้นระบุไม่ได้รึไงว่าน่ะคนที่รอดชีวิตด้วยสภาพร่างกายสมบูรณ์ไม่ได้รับผลกระทบจากการข้ามมิติน่ะถึงจะเป็นผู้ที่ถูกเลือก”
“ใช่ แล้วดูเหมือนว่าผู้ที่ไม่ถูกเลือก ชั้นขอเรียกสั้นๆว่าพวกสอบตกแล้วกันนะ ดูเหมือนว่าพวกนี้ไม่รับรู้ถึงข้อมูลนั้นด้วยนะ เพราะเมื่อกี้พอถามถึงเวลากลับบอกว่าเป็นปี พ.ศ. 2556 ทั้งๆที่ในข้อมูลนั้นบอกว่าเป็นปี พ.ศ. 43”
กรพูดเสริมกับนก ดูเหมือนทั้งคู่จะปักใจเชื่อแล้วว่าเรื่องในหัวนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง ทำให้พนมีท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจน
“เฮ้ย! กรนี่มึงเชื่อจริงๆงั้นเรอะว่าตอนนี้มันเป็นปี 43”
“กู ก็ไม่ได้อยากเชื่อหรอกนะ แต่ถ้าไม่เชื่อ เรื่องเอาตัวรอด 10 วันนั้นก็ไม่ใช่ความจริงด้วยน่ะสิ”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่พวกเราเริ่มเถียงกันเสียงดังขึ้น แต่ดูเหมือนว่าชายตาบอดคนนั้นจะนั่งขัดสมาธิเฉยๆไร้ปฏิกิริยาแต่อย่างไร
“แล้วจะเอายังไงจะให้มันร่วมกลุ่มกับเราด้วยไหม”
พอทุกคนเริ่มมีความเห็นไปในทางเดียวกัน (แน่นอนว่าฉันได้แต่สงบปากฟังทุกคนอยู่เพราะถึงจะอยากพูดอะไรก็พูดตามคนอื่นไม่ทันอยู่แล้ว) พนก็ถามขึ้นมาทำให้กรครุ่นคิดอยู่ครู่นึง
“ผมว่า ทิ้งเค้าไว้ที่นี่แหละ”
ไม่นะ เดี๋ยวสินี่คิดจะทิ้งคนพิการอย่างนั้นไว้กลางป่าจริงๆงั้นหรอ ฉันทนความคิดแบบนั้นไม่ได้จึงเริ่มเอ่ยปากออกมาบ้างหลังจากที่นิ่งเงียบมาตลอด
“ต แต่ว่า…”
“ทิ้งคนตาบอดกลางป่าลึกแบบนี้เหมือนปล่อยให้เค้าตายชัดๆเลยนะ”
นก...ขอบคุณนะ ที่ช่วยฉันพูด
“แต่ครั้งนี้กูเห็นด้วยกับมึงว่ะกร ถ้าเอาคนที่พิการมารวมกลุ่มด้วยกลางป่าแบบนี้มีแต่เป็นตัวถ่วงพวกเราเปล่าๆ หรือพวกเธอจะรับหน้าที่ดูแลหมอนั่นล่ะ”
พอเจอพนถามเข้าอย่างนั้นทั้ง ฉันกับนกต่างเงียบไป แม้จะรู้สึกผิดที่กำลังจะปล่อยให้คนอื่นตายไปทั้งๆที่ตนเองอาจสามารถช่วยได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นจะทำให้ตนเองยิ่งเอาตัวรอดยากขึ้น...ฉันนี้เป็นทำไมถึงเห็นแก่ตัวอย่างนี้นะ
“ตกลงคือทิ้งเค้าไว้ที่นี่สินะ แล้วพวกเราจะไปไหนล่ะใกล้มืดแล้วด้วย”
นกดูเหมือนจะทำใจได้จึงถามเหมือนจะทิ้งความคิดที่จะเชื่อชายตาบอดคนนั้นแล้ว
“พวกเธอล่วงหน้าเดินเลียบตามแม่น้ำนี่ขึ้นไปก่อนแล้วกัน แต่อย่าไปไกลมากนะ เอาแค่พ้นระยะสายตาพอ เดี๋ยวผมกับไอ้กรจะตามไป”
กรพูดด้วยรอยยิ้มที่ทำเอาฉันคนลุกอย่างประหลาด
“เธอจะทำอะไรน่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกใช่ไหมพน”
ดูเหมือนทั้งคู่จะส่งสัญญาณอะไรให้กันซักอย่างพอทั้งคู่ผยักหน้าเหมือนทำความเข้าใจกันได้ พนก็เดินมาหาพวกเราให้พวกเราไปหาที่พักอื่นก่อน นกดูเหมือนจะไม่พอใจจ้องหน้าทั้งสองสลับกันไปมาก็จะถอนหายใจเดินเข้ามาจูงมือฉัน
“นิด เราไปกันเถอะ”
“เอ๋ เอ๋ แล้ว…”
“เดี๋ยวพวกเค้าก็ตามมาเองล่ะ มีอะไรต้องจัดการนิดหน่อยน่ะ”
“ค ค่ะ…”
ฉันเดินตามนกไปด้วยดี
พวกเราเดินเรียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ด้วยบรรยากาศรอบข้างที่มืดลง ประกอบกับเหลือกันอยู่เพียงสองคนทำให้ฉันเริ่มกลัวยังดีที่นิดเป็นคนเดินนำอยู่ไม่งั้นฉันคงได้แต่นั่งร้องไห้แน่ๆ
“พักที่นี่แล้วกัน”
หลังจากเดินกันมาราว 10 กว่านาทีนกก็หยุดอยู่ตรงลานดินที่กว้างกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย พอสิ้นเสียงนกก็ปล่อยมือออก แล้วเดินไปนั่งใกล้ๆต้นไม้เงียบๆ ฉันพยายามจะชวนคุยหลายครั้งแต่ดูเหมือนนกจะไม่มีอารมณ์ที่จะคุยด้วย ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ จนในที่สุดฉันก็ได้แต่นั่งเฉยๆไปด้วย
…
…
กึก...กึก
น่าจะประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงที่ฉันได้ยินแต่เสียง นก กับ แมลงร้อง ในที่สุดฉันก็ได้ยินเสียงเท้า กรกับพนเดินกอดคอกันเดินมา แต่
“น นี่พวกเธอไปทำอะไรมากันเนี่ย!”
ตอนแรกถึงจะแปลกใจที่ทำไมทั้งคู่เดินแปลกๆแต่พอเข้ามาใกล้ที่พักขึ้นถึงเป็นสภาพของทั้งคู่ที่สะบักสบอมยังกับทั้งคู่พึ่งทะเลาะกันมา แถมพนยังมีแผลเลือดออกที่หน้าแข้ง กางเกงขาดเป็นรอยของมีคมอีก ฉันตกใจจนต้องร้องถามทั้งคู่
“ชั้นก็อยากรู้เหมือนกัน”
“เอาไอ้นี่มาน่ะ”
กรเอ่ยพลางชูมีดเดินป่าที่ยาวเกือบฟุตให้ฉันกับนกเห็น
“น นั่นมัน...เธอไปเอามาจากไหนน่ะ”
ฉันถามเพื่อนชายทั้งสองด้วยความสับสน
“ก็แค่ขอไอ้บอดนั่นมาเอง”
พนตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
“นี่พวกเธอ...อย่าบอกนะว่า...ฆ่าเค้าไปแล้ว”
“เอ๋!”
พอนกพูดขึ้นมาทำให้ฉันที่กำลังสับสนเข้าใจได้ทันที นี่พวกเราทิ้งเขาให้ตายกลางป่ายังไม่พอยังไปทำร้ายเอาของเขามาอีกเรอะ
“ฆ่า เค่อ อะไรกัน นก แค่ทำให้สลบไปเท่านั้นแหละ จริงไหม กร”
“เหอะ ความจริงจะไม่เปลืองแรงด้วยซ้ำถ้ารออีกนิดกูก็จะหลอกยืมมีดมันมาได้แล้ว”
“เออ เออ กูผิดเอง”
ไม่ ถึงทั้งคู่จะพูดอย่างนั้นแต่สภาพของทั้งคู่ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะให้มีดมาง่ายๆแน่เหมือนจะเกิดการต่อสู้กัน
ไม่รู้สาเหตุใดอยู่ๆฉันถึงจึงได้ใจกล้าพยายามจะวิ่งกลับไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่คนเดียวทั้งๆที่ตอนเดินมานั้นขนาดมีนกอยู่ด้วยยังกลัวด้วยซ้ำ
“นิด จะไปไหน”
นกเสียงฉันด้วยเสียงตกใจ
“ไปช่วยเค้าน่ะสิ ก็ ก็ แค่เราทิ้งเค้าไว้กลางป่าคนเดียวฉันก็รู้สึกแย่เต็มที่แล้ว แต่ดันไปเอาของเค้ามาอีก”
“อย่าบ้าให้มากเลยนิด! จะทำตัวเป็นคนดีป่านนี้เนี่ยนะ อยากตายรึไง!”
“นก…แต่ว่า”
ฉันเริ่มน้ำตาคลอดขึ้นมาพอนกเริ่มตวาดใส่ชั้น...อีกแล้ว...
“เธอคิดว่าจะช่วยคนตาบอดในป่าที่ลำพังตัวเองยังไม่รู้จะรอดได้รึเปล่า ได้อย่างนั้นรึ...แถมถ้าเค้ารู้ว่าเธอเป็นพวกเดียวกับคนที่ทำร้ายเค้า เค้าจะทำอย่างไรบ้างล่ะ”
“อ อือ”
ฉันยอมรับเหตุผลของนกแล้วจึงเดินกลับไปนั่งเงียบๆคนเดียว แต่คงเพราะยังมีบางส่วนที่รู้สึกผิดในใจจึงพยายามตีตัวออกห่างเดินไปนั่งเงียบอยู่ห่างจากคนอื่น
“วันนี้คงต้องนอนที่นี่ล่ะนะ แล้วพรุ่งนี้จะทำยังไงต่อ”
นกหันไปถามความเห็นของกรที่ล้มตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
“ระหว่างนอนอยู่เฉยๆประหยัดพลังงาน เข้าป่าหาของกิน หรือจะลองหาปลาในแม่น้ำ”
ทั้งสามคนคุยกันได้ซักพักก็ตกลงกันว่าจะเข้าป่าเพื่อหาดูก่อนว่ามีอะไรที่พอจะเอามาเป็นของกินได้หรือไม่ ตอนแรกกรอยากจะให้แบ่งกลุ่มกัน แต่นกให้เหตุผลว่าไม่ควรเพราะหากเข้าป่าไปแล้วถ้าหาทางกลับมาไม่ได้จะยิ่งแย่ดังนั้นไปด้วยกันทั้งหมดจะดีที่สุด ซึ่งก็ไม่มีใครค้าน ดังนั้นโปรแกรมวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นเดินป่าหาของกินอื่นๆกัน
จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มแยกย้ายหาที่นอนในลานกันซึ่งห่างกันไม่มากนัก ทุกคนพยายามนอนเอาแรงกันให้มากที่สุดเพราะดูเหมือนจะเหนื่อยจากการเดินมาทั้งวัน ฉันเห็นดังนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นโดยที่นกอยู่ไม่ห่างนัก เพราะหลังจากที่ทั้งสามคุยกันเสร็จแล้วนกจะเดินมาทางฉัน แต่ยังคงไม่ชวนคุยด้วยเพราะคิดว่าฉันอาจจะยังโกรธเธออยู่ก็ได้ล่ะมั้ง
…
…
‘หนาว’
ยิ่งดึกลงเท่าไรอากาศรอบข้างยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ พื้นดินที่ชื้นทำให้เสื้อกลางหลังเริ่มแฉะ ยิ่งพอปนเปกับเหงื่อที่ออกมาจากการเดินทั้งวันยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกที่เหนียวเหนอะหนะ จนนอนไม่หลับ
“นี่”
ในที่สุดฉันก็ทนไม่ไหวจึงส่งเสียงเรียกนกที่นอนอยู่ด้านใกล้ๆ
“นก ฉันขอไปนอนด้านข้างด้วยได้ไหม ฉัน...หนาวอะนก”
“เอาสิ”
“ขอบคุณจ๊ะ นก”
ฉันลุกจากจากที่นอน เดินไปยังจุดที่นกนอนอยู่แล้วซุกหน้าเข้ากลางหลังของนก
“จั๊กจี้ นะนิด”
“อุ่นจัง ฮิฮิ”
ฉันไม่ฟังเสียงของนก ยิ่งกอดแน่นขึ้น ช่วยไม่ได้นี่น่าก็มันหนาวนี่ แต่นิดก็เหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธอะไรเช่นกันน่าจะเพราะหนาวเหมือนกันสินะ
“พวกผู้ชายนี่ หลับกันลงได้ไงนะว่าไหม ชื้นก็ชื้น หนาวก็หนาว”
ฉันพูดพลางมองไปยังทาง กร กับ พนที่นอนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
“ไม่รู้สิ คงเหนื่อยมั้ง”
“นกล่ะ หลับไม่ลงหรอ”
“จะหลับลงได้ไง หนาวขนาดนี้ ตัวก็เหนียวไปหมดยังไม่ได้อาบน้ำเลย...แถม...”
“คร่อก!”
“เสียงกรนนั่นสินะ”
“ฮิฮิ”
เสียงกรนของ กร ตอบรับบทสนทนาของเราพอดี หลังจากที่พวกผู้ชายกลับมาได้ซักพัก ทันทีที่พวกเราคุยกันจบ พอทั้งคู่หลังถึงพื้นก็หลับไปอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางจะเหนื่อยจากการไปสู้กับชายคนนั้นพอดู
“นี่ นิด”
“หือ”
เราคุยเรื่อยเปื่อยได้ซักพักอยู่ๆ นก ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา
“วันนี้ ขอโทษนะ”
“เอ๋?”
นกพูดเรื่องอะไรกัน
“ที่วันนี้ตะวาดใส่เธอไปตั้งหลายครั้งน่ะ”
“อืมไม่เป็นไรจ๊ะ”
ปรกติฉันมักทำอะไรที่ชักช้าอยู่แล้ว จนคนส่วนใหญ่รำคาญมีแต่นกนี่ล่ะที่ยังยอมคบเป็นเพื่อนกับฉันอยู่ ดังนั้นไม่ว่านกจะว่าอะไรฉันก็ไม่โกรธอยู่แล้ว
“นี่...นก”
“หือ”
“เราไปอาบน้ำกันไหม”
“เอาจริงดิ ป่านนี้เนี่ยนะ มืดก็มืด”
“ต...แต่ แสงจันทร์ยังพอทำให้มองเห็นอยู่นะ แถมตัวเหนียวเหงื่อแบบนี้ฉันนอนไม่หลับอะ”
“...แล้ว...จะอาบทั้งชุดนี้น่ะหรอ เสื้อผ้าก็ไม่มีเปลี่ยน”
“ออเรื่องนั้น”
ฉันลุกขึ้นเดินไปที่เป้สะพาย หยิบชุดออกมาสองเป็นของฉันชุดนึง และ ของนิดอีกชุดที่ฉันหยิบเอามาใส่ไว้ตอนที่พวกเราไปหยิบกระเป๋ามาใส่ขนมปังตามคำสั่งของน็อต
“ฉันเอาชุดของฉันกับเธอมาเพื่อน่ะ แต่มีแค่คนละชุดเอง”
“เธอนี่...ปรกติออกจะชักช้าแท้ๆ แต่ทำไมอยู่ๆถึงรอบคอบขึ้นมาได้เนี่ย”
“นก อ่าว่าชั้นอีกแล้ว”
ฉันพูดด้วยเสียงเศร้าๆ แต่ว่าแน่นอน ฉันไม่ได้โกรธนกเลยซักนิดเพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอเพียงแค่หยอกชั้นเล่น
“ชั้นชมเธอหรอกนะ...ว่าแต่เอาเสื้อใส่ไปตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”
“ก็...ก็ตอนที่เอาไปหยิบของนั่นแหละแต่พอมัวไปหยิบเสื้อผ้าด้วยเลยโดนด่าว่าช้า”
“...งั้นหรอ...โทษทีนะ”
“ไม่ยกโทษให้...นอกจากนกจะยอมไปอาบน้ำด้วย”
นกทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ...เอ้า! ไปก็ไป”
เราพากันเดินผ่านหลังโขดหินที่อยู่ห่างจากที่พักเล็กน้อย หากมองย้อนกลับไปด้วยแสงจันทร์ในตอนนี้ทำให้ยังคงเห็นที่พักลางๆ ซึ่งเราไม่กล้าที่จะไปไกลเกินทั้งเพราะกลัวหลง และไม่รู้ว่าในป่าแห่งนี้จะมีอะไรบ้าง
“เย็นจัง”
อุณหภูมิน้ำในตอนนี้เย็นราวเสียยิ่งกว่าอากาศรอบๆ คืนนี้ถ้าจะนอนให้หลับฉันก็อยากจะอาบน้ำให้ตัวหายเหนียวเหนอะหนะอยู่หรอกแต่ว่าแบบนี้มีหวัง แค่ยืนในแม่น้ำที่ลึกระดับเข่านี่ก็เย็นจะแย่แล้ว
“มัวทำอะไรอยู่น่ะนิด รีบอาบเข้าสิ”
ไม่รู้ว่านกทนความเย็นนี้ได้ไงเธอลงไปนั่งอาบน้ำในแม่น้ำที่ลึกกว่าจุดที่ฉันยืนเล็กน้อย
“แต่ว่า...แต่ว่า”
“เฮ้อ...เธอนี่นะ”
“ว้าย”
นกกระโดดตะครุบฉันที่เอาแต่ยืนเก้ๆกังๆไม่ยอมรีบอาบซักที ความเย็นของแม่น้ำออมล้อมทั่วตัวฉันอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานนักร่างกายก็เริ่มชิน
“เธอนี่นะ อย่าเสียงดังไปสิ เดี๋ยวพวกผู้ชายก็ตื่นหรอก”
“แต่ว่านก แกล้งฉันนี่”
“จ๊ะ จ๊ะ ขอโทษ ขอโทษ...แล้วจะขึ้นแล้วยัง”
“อย่ารีบสิ ขอแปบนะ”
พวกเราเดินน้ำกันราวกลับลืมไปเลยว่าอยู่กลางป่า
แซ่ก แซ่ก
เสียงอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวในพุ่มไม้ดังขึ้นทั้งฉันกับนกต่างเงียบเสียงคุยกันทันที...รึว่าพวกผู้ชายจะมาแอบดู…
นกหยิบก้อนหินจากแม่น้ำซัดเข้าไปในพุ่มไม้
ตุบ!
“เอ๋ง!”
เสียงสุนัขร้องขึ้นจากนั้นก็ได้ยินเสียงของมันวิ่งหนีหายไป เฮ้อ แค่หมาหรอกเรอะ
“นิด...เรารีบขึ้นจากน้ำกันเถอะ”
“เอ๋!”
นกไม่พูดอะไรรีบขึ้นจากน้ำทำเอาฉันแปลกใจ
“ทำไมหรอนก”
ฉันถามนกพลางเปลี่ยนเสื้อ
“ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าหมาป่าส่วนใหญ่จะนิยมล่าเหยื่อเป็นฝูงนี่สิ”
“เอ๋”
ฉันขนลุกขึ้นมาทันที ถ้าเป็นแบบที่นิดพูดจริงแบบนั้นมีหวังมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียวแน่
ทันทีที่เราใส่เสื้อผ้าเสร็จก็รีบวิ่งกลับไปหา กร กับ พน ดูเหมือนว่าทั้งสองยังคงนอนหลับกันตามปรกติ พวกเราต่างก็รีบไปปลุกทั้งคู่ขึ้นมาแล้วเราให้ฟัง
“หมาป่างั้นหรอ”
พนได้ยินรีบสะดุ้งตัวตื่นขึ้น ทุกคนเริ่มลุกขึ้นยืนรวมกลุ่มชิดกันเงียบๆ
แซ่ก...แซ่ก...แกร๊บ...แกร๊บ
พวกเราก็เริ่มได้ยินเสียงอะไรซักอย่างที่น่าจะเป็นพวกหมาป่าจำนวนมากรอบๆตัวราวกับมันค่อยๆเคลื่อนตัวปิดล้อม พวกเราค่อยๆถอยหลังไปทางแม่น้ำ ไม่นานนักพวกมันเริ่มปรากฎตัวที่ละตัว สองตัว จะดูแล้วมีราวๆ 10 กว่าตัว
สัตว์ที่ปรากฏตรงหน้ามีรูปร่างเหมือนหมาป่าที่เคยเห็นตามสารคดีแต่ที่หน้าแปลกคือแต่ละตัวมีลายเป็นหลังคล้ายเสือ ตัวมันแต่ละตัวสูงประมาณเอว พวกมันค่อยเดินเข้ามาพวกเราอย่างแผ่วเบา บางตัวอ้าปากออกมาตัวลายไหลหยดลงพื้น ปากที่อ้าของมันกว้างกว่าสุนัขทั่วไปที่ฉันเคยเห็นมาก่อนทำเอารู้สึกน่ากลัวอย่างประหลาดจนแทบกรีดร้องออกมา
“ทำยังไงดี ทำยังไงดี”
ฉันกอดนกแน่น ตัวสั่นด้วยความกลัว
“นก นิด เมื่อกี้พวกเธอไปอาบน้ำมาใช่ไหม”
จะมาถามอะไรตอนนี้ยะกร
“อือ”
ขณะที่ฉันกำลังด่ากรในใจนกก็ตอบกลับไป
“แล้วแม่น้ำมันลึกแค่ไหน”
“ตั้งแต่หัวเข่า แต่ถ้ากลางแม่น้ำก็ระดับเอว”
“...เดี๋ยวผมนับถึงเรารีบวิ่งข้ามแม่น้ำนะ พวกมันสูงประมาณเอวเรา น่าจะข้ามแม่น้ำไปได้ยาก”
ทุกคนดูเหมือนจะเห็นพ้องต้องกันไม่ต้องเอ่ยกล่าวอะไรอีก
“3”
กรเริ่มนับถอยหลังช้าๆ…
“2”
พวกเราเริ่มถอยหลังทีละนิดเตรียมหัวหลังกลับวิ่ง ส่วนฝูงหมาป่าตรงหน้าก็ค่อยๆเดินเข้าหาเราตามจังหวะที่เราถอยไป
“สะ…”
“อะ อะ อ้า!”
ขณะที่กรกำลังออกเสียงคำว่าสาม เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้หญิงดังขึ้นมาจากด้านที่เราทิ้งชายตาบอดไว้ สายตาทุกคู่หันไปมองยังทิศนั้น สิ้นเสียงเพียงชั่วครู่เกิดแสงสว่างส่องแวบนึงราวกับโลกกลายเป็นกลางวันชั่วขณะก่อนจะหายวับไป
“วิ่ง!”
กร ไม่รอให้เสียโอกาสที่ฝูงหมาป่ากำลังตกตะลึง ส่งสัญญาณให้เราวิ่งทันที กร พน และ นก ทุกคนต่างรีบกลับหลังหัน วิ่งสุดชีวิตลงแม่น้ำ ทิ้งฉันไว้คนเดียวที่ออกตัวช้ากว่าเพื่อน
‘ไม่นะ’
แม้ใจนึงจะรู้ว่าทุกคนตกลงกันแล้ว พอให้สัญญาณให้รีบวิ่งหนี แต่อีกใจหนึ่งกลับอดตกใจไม่ได้ที่พอรู้ตัวอีกทีทุกคนก็วิ่งลงไปในแม่น้ำกันแล้วเหลือเพียงฉันที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
‘รอ ชั้นด้วย!’
==============================================
ความคิดเห็น