ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Remnant of Memory

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6 Beware the Night

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 56


    “อูย…”

    สายตาผมเริ่มรับรู้สภาพรอบตัว รอบข้างนั้นมืดลงกว่าก่อนที่ผมจะสลบไปมาก สงสัยผมจะสลบไปนานพอดู

    พอดันตัวลุกขึ้นนั่งความดูเหมือนว่าท้องผมยังคงปวดตุบๆอยู่แล้วน้อย แต่ท้ายทอยนี่สิ พอเอามือไปแตะก็เจ็บแปร๊บขึ้นมา

    “ยัยบ้านั่นหายไปไหนแล้ว”

    ผมมองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร นั่นสินะยัยอาซากินั่นคงจะหนีไปแล้ว คอยดูนะเจอเมื่อไรพ่อจะเอาคืนให้หนักเลย

    ครึก ครึก

    “เสียงน้ำนี่!”

    ผมลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจเขาตัวรีบวิ่งไปทางที่มาของเสียงทันทีโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

    “หวา!”

    ราวกับอยู่ๆพื้นดินหายไป ผมไถลลงบนเนินที่สูง แต่ยังดีที่มันไม่ได้ชันแบบ 90 องศา แต่เพราะลงมาผิดท่าทำเอาผมกลิ้งลงเนินจนชนเข้ากับต้นไม้ ถึงจะไม่แรงมากแต่มันก็จุกไม่ใช่น้อย

    “บัดซบ ยัยนั่นแน่ๆ”

    ยัยอาซากิแน่ๆ หลังจากที่เธอผมสลบไปยัยนั่นมันน่าจะลากผมทิ้งแถวหน้าผานี้แน่ๆ เพราะยัยนั่นรู้อยู่แล้วว่าผมกำลังหิวน้ำ พอตื่นขึ้นมาก็จะต้องวิ่งลงไปตกหน้าผาตาย หึ แต่น่าเสียดายว่ะ แค่นี้กูไม่ตายหรอกเว้ย

    บ่นจบ ผมก็ลุกขึ้นเดินหน้าไปต่อ ในหัวตอนนี้นอกจากเรื่องน้ำก็มีแต่เรื่องแก้แค้นอาซากิที่ได้ทำกับผมไว้

    ‘โธ่เว้ย เมื่อไรจะถึงซักที’


    เดินมาได้ระยะนึง สิ่งที่ผมเห็นก็มีแต่ ป่า ป่า ป่า แล้วก็ป่า ดูยังไงก็เหมือนกันไปหมด เสียงน้ำก็ยังคงดังเหมือนไม่ห่างกันมากแต่กลับไม่ถึงซักที*…

    (*เสียงตะโกนในป่าที่แม้จะดูเหมือนใกล้ๆ จริงๆแล้วอาจอยู่ห่างกับเป็นกิโลเหมือนตอนที่พวกกลุ่มของดัสกรเดินตามหาเสียงของตฤษณะ ซึ่งตามหลักการเดินป่าแล้วเราไม่ควรจะเดินตามเสียงตะโกน แม้ว่าเสียงนั้นจะเป็๋นเสียงของคนที่เรารู้จัก เพราะมันอาจเป็๋นเสียงสะท้อนของลบก็ได้ นอกเสียจากว่าเราจะคุ้นเคยกับป่านั้นจริงๆ)

    ‘!!!’

    อยู่ๆเสียงแมลงและนกพร้อมใจกันเงียบเสียงไป ทำให้ผมรู้สึกยังกับหลุดเข้าไปในอีกโลกผมเริ่มรู้สึกไม่ดีจึงหันมองรอบๆตัวดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติ อยู่ๆก็เห็นเงาขนาดใหญ่เกือบ 2 เมตรถอยหลบเข้าไปในพุ่มไม้

    ‘ตาฝาด…ไอ้ไก่เอ็งตาฟาดแน่ๆน่าจะหิวเกินไปแถมแสงไม่ค่อยมีอย่างนี้ต้องเห็นอะไรไปเองแน่นอน’

    ผมปลอบใจตนเองแล้วผมขยี้ตามองไปยังทิศเมื่อครู่อีกครั้ง เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติก็ตัดสินว่าเมื่อครู่นั้นตนเองน่าจะคิดมากไปเอง แล้วมุ่งหน้าเดินไปยังทิศที่ได้ยินเสียงแม่น้ำต่อ

    ยิ่งเดิน ผมรู้สึกว่าบางอย่างที่เดินตามมาด้านหลังนั้นค่อยๆเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่ทุกครั้งที่ผมงหันหลังกลับ ดูเหมือนว่าเงาตะคุ้มนั่นจะหลบหายไปทุกครั้งจนผมรูัสึกราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังสนุกในการหยอกผมอยู่

    ผมเดินมุ่งหน้าไปทางเสียงแม่น้ำต่ออีกครั้ง ป่าเริ่มรกขึ้น เสียงแมลงต่างๆยังคงเงียบเหมือนเดิม แต่ไอ้ความรู้สึกราวกับมีอะไรเดินตามนี้มันอะไรกัน

    “ฮ่า….ฮ่า”

    ผมสูดหายใจเข้าออกลึกๆทำใจให้พร้อม โดยยังคงทำเป็นเดินหน้าต่อไปเหมือนเดินแต่อยู่ๆก็รีบก้มหน้ามองรอดใต้หว่างขาแทน

    อะไรบางอย่างที่มีร่างสูงกว่า 2 เมตร ดวงตากลมสีโตสีแดงราวกับทับทิมขนาดใหญ่สองข้างที่อยู่ห่างกันเกือบ 1 ฟุต แถมสิ่งนั้นอยู่ห่างจากผมเพียงสิบกว่าเมตรเท่านั้น

    ‘ชิบหายแล้ว’

    ผมขนลุกไปทั่วร่าง รีบค้นกระเป๋ากางเกงหามีดพับของตนถึงแม้มันจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่เวลานี้อย่างน้อยขอให้มีอะไรก็ได้อยู่ในมือก็ยังดี แต่กลับ

    ‘ว่างเปล่า’

    ไม่ใช่เพียงมีดพับเท่านั้นที่หายไป ดูเหมือนขนมปังที่เหลือ 1 ชิ้นในกระเป๋ากางเกงที่ผมเก็บไว้จะอาซากิถูกฉกไปด้วย

    “บัดซบ! ยัยนั่น”

    ผมตะโกนด่าอาซากิสุดเสียง พอเห็นว่าตนเองไม่มีอะไรอยู่ที่ตัวเลยจึงรีบวิ่งหนีสุดแรงเกิดทันที ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายของของผมดูเหมือนว่าอยู่ๆที่ผมตะโกนออกมาซะลั่นป่าทำให้อะไรซักอย่างที่กำลังเดิมตามหยุดชะงัก แต่ไม่นานมันก็วิ่งไล่ผมเข้ามาในระยะที่ใกล้เคียงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งดูเหมือนเพราะร่างกายที่ใหญ่โตนั่นทำให้วิ่งค่อนข้างยากในป่าที่รกเช่นนี้

    “ว้าก!”

    ผมลืมทุกอย่างในหัว วิ่งหน้าโดนไม่สนว่าตนเองจะถูกไม้เกี่ยวแค่ไหน ‘หนี’ คำคำเดียวที่อยู่ในหัวผมตอนนั้น แต่ทุกครั้งที่หันหลังกลับไปก็พบกดวงตากลมสีแดงที่น่ารังเกียจนั่นกำลังไล่กวดมาในระยะที่ใกล้ขึ้นๆด้วยการวิ่งสองเท้า

    ‘โธ่เว๊ย ตัวบ้าไรวะเนี่ย!...เหวอ’

    กรึก!

    ผมตกหน้าผาอีกครั้งแต่ครั้งนี่ถึงหน้าผาจะไม่ได้สูงเท่าครั้งแรก แต่เพราะความชันที่มากกว่า แถมลงมาผิดท่าอีกทำเอาขาสั่นจนยืนไม่ไหว

    “โอ้ย!”


    ถึงจะโชคดีที่ไม่ถึงกับข้อเท้าพลิก แต่จะวิ่งต่อคงทำไม่ได้ซักระยะเพราะแค่ยืนยังจะทรงตัวไม่รอดแล้ว ผมมองไปรอบๆหาอะไรที่พอจะบังตนเองได้ก็เจอพุ่มไม้หนาอยู่โดยรอบ จึงเลยรีบคลานหลบเข้าไปในพุ่มไม้เพื่อซ่อนตัวจากบางอย่างที่ไล่ตามมา

    ‘หากูไม่เจอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยลูกด้วยขอให้มันอย่าหาเราเจอ ขอให้มันหาลูกไม่เจอ ขอให้มันหาไก่ไม่เจอ’

    ผมภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ผมพอจะนึกออกมาช่วย จนกว่าขาจะหายสั่นตอนนี้ผมทำได้แต่เพียงซ่อนตัวแล้วภาวนาให้มันหาไม่เจอเท่านั้น

    ผับ! ผับ!

    เสียงกระพือปีกของอะไรซักอย่างดังขึ้น พร้อมกันนั้นได้เกิดลมที่พัดอย่างรุนแรงผมแหงนหน้าฟ้าแสงจันทร์ที่เจิดจ้าฉายให้เห็นร่างๆหนึ่งที่มีความสูงกว่าสองเมตรรูปร่างคล้ายคนแต่ไม่มีหัว ไม่สิควรเรียกว่าหัวมันอยู่บริเวณหน้าอกมากกว่าเพราะดวงตาสีแดงส่องประกายบริเวณหน้าอกของร่างนั้น มันกางแขนเผยให้เห็นปีกที่คล้ายพังผืดเชื่อมตั้งแต่แขนจนถึงขาของมัน เพียงแต่หากเป็นพังผืดจะไม่มีจน แต่สิ่งนั้นมีขนปลกคลุมทั่วตัว

    สิ่งนั้นใช้ปีกของมันค่อยๆร่อนในลักษณะคล้ายตัวบ่างลงสู่พื้น มันหันหน้าซ้าย ขวาพักนึงแล้วค่อยๆเดินกลับมาทิศที่่ผมซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้

    ‘หากูไม่เจอ หากูไม่เจอ หากูไม่เจอ หาไม่เจอ หาไม่เจอ หาไม่เจอ’

    ผมภาวนาในใจถี่ขึ้น แต่ดูเหมือนคำภาวนาจะไร้ผลหรือย่างไร มือสองข้างของมันที่มีเล็บยาวแหลมคมค่อยๆแหวก พุ่มไม้ที่ผมใช้บดบังตัวไว้

    แซ่ก แซ่ก

    สายตาประสานกับสิ่งนั้นในระยะที่เรียกได้ว่าแทบหายใจรดกัน

    ‘จงระวังยามค่ำคืน’

    ราวกับข้อความส่วนนึ่งที่ปรากฏในข้อความลึกลับที่บอกให้แก่ผู้ถูกเลือกรับรู้ พูดย้ำเตือนให้ผมให้ยินอีกครั้ง ตอนแรกเขานักว่าทุกอย่างในนั้นเป็นเรื่องที่คิดไปเอง แต่ดูเหมือนว่าข้อความนั้นจะพูดถึงสัตว์ประหลาดในป่านี้สินะ

    ในระยะประชิดผมถึงได้เห็นรูปร่างของสิ่งนั้นเต็มตาอีกครั้ง ดวงตากลมโตสีแดงที่อยู่บริเวณหน้าอกของร่างกายที่เหมือนมนุษย์ ปากขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณหน้าท้อง ตาของมันจ้องเข้าไปในดวงตาของกรินทร์ ตาประสานตา ลมหายใจของสิ่งนั้นรดใส่ใบหน้าของกรินทร์ ซึ่งเหม็นราวกับกลิ่นเนื้อเน่าผสมกับโคลนตามร่างกายของสิ่งนั้น

    แซ่ก แซ่ก

    แต่แล้วมันกลับทำสิ่งที่ไม่คาดคิด มันเหลียวมองซ้าย ขวาอยู่ 2-3 ครั้งเพื่อจะหาเหยื่อของมัน ราวกับมันมองผมที่อยู่ประชิดกับตัวมันไม่เห็น มันเริ่มแหวกพงไม้เดินเข้ามา ผมจึงรีบคลานถอยหลังหลีกทางให้

    มันหันมองหาผมอีกรอบ เริ่มคำรามอย่างไม่พอใจ แล้วเดินหายเข้าไปในป่าราวกับไม่เห็นผมที่ห่างจากมันเพียงเอื้อมมือสัมผัม

    แม้สิ่งนั้นจะหายไปได้ซักระยะแล้ว ขาสั่นหายสั่นจนน่าจะยืนขึันไหวแต่เพราะรอดมาในแบบนี้ตัวผมยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ผมนั่งตะลึงไประยะนึงจนในที่สุดก็หัวเราะออกมาด้วยความโล่งใจ

    “ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ”

    รอด...กูรอดเว้ย แทบจะตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ผมพยายามเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่เพราะกลัวเสียงหัวเราะจะดังไปถึงสิ่งนั้น และแล้วผมก็สังเกตเห็นความผิดปกติของตัวผม

    ‘แขน...อยู่ไหน’

    ผมรู้สึกได้แน่นอนว่ามือของตนเองนั้นอุดปากอยู่กลับไม่มองไม่เห็นแขนของตนเอง ผมจึงลุกขึ้นยืนมองไปทั่วร่างกายของตนด้วยความประหลาดใจ

    ‘ว่างเปล่า’

    ผมมองไม่เห็นร่างกายของตนเองแม้แต่เสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ ราวกับร่างกาของตนเองกลายเป็นอากาศธาตุยังไงยังงั้น นี่มันอันไรกัน...


    ผ่านไปชั่วครู่ ทันทีที่ผมได้สติอีกครั้งผมเริ่มใช้มือสัมผัสร่างกายของตนเอง ดูเหมือนว่ายังอยู่ครบดี แต่กลับมองไม่เห็นเสียได้ รึว่าเพราะสาเหตุนี้ทำให้สิ่งนั้นถึงมองไม่เห็นผมแม้จะอยู่ในระยะประชิด

    ‘แล้วเราอยู่สภาพนี้ได้ยังไงเนี่ย’

    แม้จะยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆผมถึงหายไปได้ แล้วจะกลับคือสภาพเดินได้หรือไม่ แต่ทันทีที่ผมคิดว่าอยากกลับเป็นเหมือนเดิม ตาผมก็มองเห็นร่างกายตนเองอีกครั้ง แล้วพอคิดว่าอยากหายไป ร่างกายก็โปล่งใสอีกรอบ

    “เฮ้ยแบบนี้เจ๋งดีนี่หว่า”

    ผมเริ่มสนุกกับความสามารถของตน จึงเริ่มทำการทดสอบอย่างอื่นต่อเริ่มจากเดินไปเด็ดใบไม่จากพุ่มไม้ใกล้ตัวออกมาแล้วลองกำมันดู พบว่าแต่ดูเหมือนยังคงเห็นใบไม้ในมือของตนอยู่

    ‘เพราะไม่ใช่ร่างกายเราหรอ? ไม่สิถ้าแบบนั้นเราก็น่าจะเห็นเสื้อผ้าด้วยสิ’

    แต่ทันทีที่ผมต้องการให้ใบไม้ที่กำไว้มือในมือที่โปร่งใสของตนเองหายไป มันก็หายไปจากสายตาผมทันที

    “!!! เฮ้ยเมื่อกี้”

    ผมเผลอคลายมือออก ทันทีที่ใบไม้ล่วงหลุดจากมือของผม มันก็กลับมามองเห็นได้เหมือนเดิม เห็นดังนั้นผมจึงได้ลองเดินไปจับต้นไม้ใกล้ตัว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทันทีที่พยายามนึกให้มันหายไป ชั่วพริบตาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าก็หายไปทั้งต้น พื้นดินที่ต้นไม้นั้นยั่งรากลึกลงไปก็ราวกับเป็นหลุมขนาดใหญ่ แต่สัมผัสของผมยังคงบอกว่ามีต้นไม้อยู่ตรงนี้แน่ๆ พอผมถอนมือออกต้นไม้ก็กลับมามองเห็นได้เหมือนเดิม

    ‘ผู้รอดชีวิตทุกคนจะได้พลังพิเศษคนละหนึ่งอย่าง’

    ผมนึกถึงข้อความส่วนท้ายของข้อความลึกลับนั่นมันหมายความแบบนี้นี่เอง


    “หึ หึ หึ….ฮะ ฮะ ฮะ“

    ผมเริ่มคุมเสียงหัวเราะของตนเองไม่อยู่ กลายเป็นหัวเราะออกมาอย่างสุดเสียง ช่างมันสิยังไงถึงมันกลับมาก็ไม่เห็นผมอยู่แล้วนี่สินะความข้อความนั้นหมายถึงอย่างนี้นี่เอง ตอนแรกยังลังเลอยู่หรอก ทั้งรอดตายแถมปลุกพลังขึ้นมาได้อีก สรุปคือเราเป็นคนที่ถูกเลือก

    “ฮะ ฮะ ฮะ”

    “ฮูม!”

    เสียงคำรามดังขึ้นทันทีที่กรินทร์เริ่มหัวเราะเสียงดังและในเสี้ยววินาทีนั้นเอง สิ่งนั้นเดินหายเข้าป่าครู่ปรากฎออกมาากพงไม้ตำแหน่งที่มันหายตัวไปอย่างกระทันหัน ทำเอากรินทร์ตกใจแทบร้องออกมา

    ตัวประหลาดนั้นมองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาแหล่งที่มาของเสียงแต่กลับไม่พบสิ่งใด จึงกำลังจะเดินกลับ

    “โธ่เว้ย! เล่นซะกูแทบหัวใจวายตาย”

    ผมสบถออกมาอย่างหัวเสีย ไอ้ตัวแบบนี้ต่อให้เก่งแค่ไหนถ้ามันไม่รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนก็สู้ไม่ได้หลอกโว้ย ตอนนี้กูไม่กลัวมึงละ

    คิดได้ดังนั้นก็เงื้อหมัดแล้วชกสุดแรงไปยังกลางหลังที่เต็มไปด้วยขนของมัน

    ตุบ!

    “โอ้ย!”

    หนังอันหนาและขนที่แข็งทำให้แม้จะชกเข้าไปเต็มแรงแต่กลับเป็นผมที่เจ็บมือ แต่ดูเหมือนมันจะได้รับผลกระทบเช่นกัน

    “ไอ้สลัดหนังแม่งหนาชิบหาย”

    “กี๊ซ!”


    สิ่งนั้นกางปีกแล้วหมุนสะบัดรอบตัว 1 ครั้งเกิดแรงลมอย่างรุนแรง ปีกข้างนึงสะบัดมาโดนสีข้างของผมอย่างเต็มรัก

    พลั๊ก!

    “อั้ก”

    ผมกลิ้งขลุกๆ ไปยังพงพุ่มไม้ที่ห่างออกไปราว 2-3 เมตร พอพยายามพยุงตัวขึ้นมาอีกครั้งแต่ยังไม่สามารถยืนขึ้นได้ทันทีเพราะยังคงมึนการแรงกระแทกเมื่อครู่

    “อุ้บ!...โอ๊กกก!”

    โชคยังดีที่ไม่มีส่วนใดของร่างกายที่แตกหักหรือขาดหายไป แต่จะลุกขึ้นกลับต้องทรุดลงไปอีกครั้งพร้อมทั้งอ้วกออกมา เพียงแต่สิ่งที่ออกมานั้นมีแต่น้ำเท่านั้น เพราะผมยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า มัวแต่ยุ่งกับการต้อนรับลูกค้าบนเรือ แถมพอหมดกะของตนในช่วงเช้า พอกำลังจะได้กินข้าวในช่วงบ่ายเรือกับเจอเหตุการณ์ประหลาดนั้นเสียได้

    “กี๊ซ!”

    “อี๋”

    ตึง!

    ผมหลบเท้าที่ราวกับนกซึ่งมีกงเล็บอันแหลมคมอย่างหวุดหวิด

    ตอนที่ตัวประหลาดนั้นหมุนรอบตัวเองแล้วรู้สึกเหมือนสัมผัสถูกอะไรซักอย่าง มันก็มองหารอบตัว พอเห็นพุ่มไม้ที่เป็นรอยยุบลงไป มันจึงรีบพุ่งเข้าไปเหยียบยังรอยยุบนั้นทันที เพราะมันพอจะเข้าใจแล้วว่ากำลังเจอกับอะไรบางอย่างที่มันมองไม่เห็น

    ตึง!

    “หวา”

    ผมหนีจากจุดที่มีต้นหญ้าและพุ่มไม้ออกมาอย่างสุดชีวิต ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นยังคงพยายามกระทืบบริเวณที่ผมอยู่เมื่อครู่

    “อย่าไปยุ่งดีกว่า”

    ดูเหมือนว่าในสภาพที่ไม่มีอาวุธอะไรในมือตอนนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดของผมคืออย่าไปยุ่งกับมัน เพราะตอนนี้มันทำอะไรผมไม่ได้แล้ว แต่ถ้าผมยิ่งไปยั่วมัน หากมันอาละวาดขึ้นมานี่ถ้าโดนลูกหลงเข้าไปก็ไม่ตลกแน่ๆ

    คิดได้ดังนั้นจึงเดินหลีกมุ่งหน้าต่อในทิศที่ได้ยินเสียงแม่น้ำ ทิ้งให้สิ่งนั้นกระทืบพุ่มไม้ดังตึงๆเป็นระยะ ระยะไว้เบื้องหลัง

    ผ่านมาเกือบชั่วโมง ที่มีแต่ต้นไม้ ในที่สุดผมก็เดินมาถึงแม่น้ำ ระหว่างที่เดินทางมาผมคืนสภาพร่างกายของตนเองให้เป็นปกติเพราะดูเหมือนว่าอยู่ในสภาพล่องหนนานๆนี่มันเปลืองแรงไม่ใช่น้อย แล้วทันทีพอเห็นแม้น้ำผมก็รีบวิ่งหาอย่างกันเห็นโอเอซิสกลางทะเลทรายก็ไม่ปาน

    “เฮ้อ”

    ค่อยยังชั่ว เรี่ยวแรงผมเริ่มกลับคืนมาแม้จะยังไม่มีอาหารอะไรตกถึงท้องแต่อย่างน้อยมีน้ำกินก็ยังดีล่ะนะ...ผมพยายามคิดถึงอนาคตเบื้องหน้า เอาชีวิตรอดไปให้ได้ 10 วันกับฆ่าคนอื่นให้หมดงั้นรึ

    “หึ หึ เรื่องง่ายๆแค่นี้”

    ถ้าเลือกให้ต้องอยู่ในป่าที่ไม่รู้ว่าจะมีกินยังไง แถมมีสัตว์ประหลาดแบบนั้น สู้ฆ่าคนอื่นให้หมดซะก็สิ้นเรื่อง เราในตอนนี้จะฆ่าใครง่ายติดเดียวนี่น่า คนผิดไม่ใช่ผมซักหน่อยจะโทษให้โทษข้อความนั่นแล้วก็การด้อยความสามารถของพวกมันเองแล้วกัน หึหึ

    ครืด!

    เสียงท้องร้องทำให้ผมหยุดคิดเรื่องฆ่าผู้รอดชีวิตคนอื่นก่อน นั่นสินะอันดับแรกก่อนเลยคือต้องหาอาหารก่อน ไว้พรุ่งนี้ตอนกลางวันค่อยเดินหาของกินดูเอาก็ได้ เรื่องล่าสัตว์นี้ไม่มีปัญหาหรอกนะ แค่ล่องหนไปจะล่าตัวอะไรก็ไม่ยาก แต่ปัญหาคือกินมันยังไงนี่แหละ ก่อไฟไม่เป็นซะด้วยสิ แต่จะให้กินดิบๆคง...ไว้ถึงเวลาคงจะรู้เองล่ะ


    ผมนอนลงบนพื้นดินข้างแม่น้ำ...แหงนหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าพลางคิดเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ฆ่าคนมานานแค่ไหนแล้วนะ…

    ‘!’

    ระหว่างที่นอนมองดวงจันทร์กำลังเคลิ้มๆจะหลับผมก็เห็นสิ่งหนึ่งที่สะดุดสายตาขึ้นมา แม้มันจะไม่ชัดนัก แต่นั่นมันไฟ กองไฟแน่ๆ มีคนอยู่ใกล้ๆนี้งั้นรึ

    “ฮึบ”

    ผมลุกขึ้นยืนเปลี่ยนสภาพร่างกายตนเองให้อยู่ในสภาพล่องหนแล้วเดินไปยังทิศที่มีแสงไฟนั่น

    “โธ่เว้ย”

    แม้จะอยู่ห่างกันไม่มากแต่ดูเหมือนฝากนึงจะเป็นหน้าผาทำให้ผมไม่สามารถขึ้นไปได้ แถมพอพยายามเดินอ้อม กิ่งไม้ เถาวัลย์ต่างๆตามทางเดินรกเต็มไปหมด ด้วยสภาพที่มืดสลัวทำเอาผมสะดุดหกล้มอยู่หลายรอบ

    ‘ใครแม่งช่างคิดเข้ามาตั้งแคมป์ในนี้ได้วะเนี่ย’

    ผมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงพลางดึงรากไม้ที่ปลายเท้าตนเองออก จะตั้งแคมป์ในที่ที่ให้เดินเข้าถึงยากทำซากอะไรเนี่ย แต่พอเดินจนมองเห็นแคมป์ผมก็เข้าใจได้ทันที

    ‘ยัยนี่ นี่เอง’

    ความโกรธของผมพุ่งปรี้ดทันที ที่แท้ยัยอาซากินี่เองที่ทำให้ผมลำบากขนาดนี้ แถมยังมีหน้ามาหลับสบายอีก แถมพอเดินเข้าหาแค้มอีกนิดผมยิ่งโกรธขึ้นอีก

    ‘ผู้ชาย’

    หมอนั่นคงเป็นเจ้าของเสียงที่ผมได้ยินสินะ ไม่สิแต่ตอนนั้นเป็นเสียงผู้หญิงนี่น่า...หรือว่าเราจำผิด...จะยังไงก็ช่างเถอะเพราะแกนี่เองทำให้ผมผิดแผนหมด ผมค่อยๆเดินเข้าไปพยายามไม่ให้อีกฝ่ายได้กินเสียง

    “!”

    อยู่ๆชายคนนั้นก็หันมองมาทางผมราวกับรู้ตัวว่าผมอยู่ตรงนี้ ทำเอาผมสะดุ้งแล้วมองตนเอง

    ‘อะไรกัน มันมองเห็นได้ยังไง’

    ผมถอยหลังหนีออกมาสงบจิตใจชั่วครู่ จากนั้นก็ทดลองทำให้ใบไม้ที่ตนสัมผัสหายไป พุ่มไม้หายไป ตรวจเช็คตัวของตนเอง ซึ่งดูเหมือนจะปกติดีทุกอย่าง

    ‘น่าจะบังเอิญมากกว่าน่า มันมองไม่เห็นเราหรอก’

    ผมให้กำลังตัวเองแล้วเดินกลับไปที่แคมป์นั้น นั่นไงจริงๆด้วยพอผมเดินกลับมายังตำแหน่งเมื่อครู่ ชายคนเดิมกลับไม่รู้สึกถึงตัวตนของผมแล้ว ยังคงนั่นมองกองไฟอยู่เหมือนเดิม เมื่อครู่มันบังเอิญแน่ๆ ผมนี่ก็กลัวซะเกินเลยไปเสียได้ จากนั้นก็ค่อยๆย่องไปยังเป้าหมายแรกของผม

    ‘อาซากิ’

    เพียงแค่ผมสัมผัสร่างกายของเธอ ก็จะหายไปจากการมองเห็น เช่นนั้นผมก็สามารถเอาตัวเธอไปได้ง่ายดาย จากน้อยค่อยเอาคืนเธอให้หนำใจก่อน ส่วนชายคนนี้ที่เป็นสาเหตุให้อาซากิหนีผมมา ไว้จะมาจัดการทีหลัง

    แกร็บ...แกร็บ

    “จะทำอะไร!”

    อยู่ๆชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาทำเอาผมสะดุ้ง

    ‘บ้าน่า’

    มันมองไม่เห็นเราแน่ๆ ทำไมถึง

    ‘ใบไม้พวกนี้รึ’

    ผมเดินถอยออกมาไปยังจุดที่ไม่มีใบไม้แต่แล้วชายคนนั้นกลับลุกยืนขึ้นเอามีดชี้มาทางผม

    “โทษทีนะ ผมไม่รู้ว่าคุณทำอะไรผมถึงผมมองไม่เห็น แต่ผมรู้ว่าคุณอยู่ตรงไหน”

    ‘โธ่เว้ยนั้นมันมีดของกู มึงเอาคืนมาเลยนะ’

    ผมอยากตะโกนแบบนั้นออกไปอยู่ แต่ไม่กล้าพูดออกมา อีกฝ่ายมีมีดอยู่ในมือจะทำอะไรพลีพลามไม่ได้เสียด้วย มีดนั่น ยัยอาซากิคงจะเอามีดของผมไปให้ แต่…

    ‘เดี๋ยวสิ’

    เรื่องที่สำคัญคือหมอนั่นบอกเองนี่น่าว่ามองไม่เห็นผมแล้วมันจะรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ไหน หมอนี่คงพูดขมขู่ผมไปอย่างนั้นเท่านั้นแหละ มันคงรู้ว่ามีอะไรซักอย่างที่มองไม่เห็นอยู่แถวนี้แค่นั้นเอง เลยขู่ไว้ก่อนแน่ๆ

    ‘หึหึ ทริคแค่นี้ใช้กับกูไม่ได้หรอก’

    ตรวจสอบง่ายๆแค่เดินบนพื้นที่ไม่มีใบไม้ก็รู้แล้วว่ามันเห็นจริงรึเปล่า ผมเลยลองเดินถอยไปมาสองสามครั้ง

    ‘!!!’

    ชายคนนั้นกลับเลื่อนมีดตามตำแหน่งที่ผมยืนตลอด หมอนี่มันใครกัน แสดงว่าเรื่องที่มันรู้ว่าผมอยู่ตรงไหนก็จริงอย่างนั้นรึ

    ‘กรอด!’

    ผมกำมือแน่นใจหนึ่งอยากพุ่งเขาหาชายตรงหน้าทันที แต่ใจหนึ่งก็ไม่กล้า ในที่สุดผมก็ตัดสินใจถอยก่อน ไว้ค่อยหาโอกาสมาจัดการใหม่แล้วกันตอนนี้อย่าเสี่ยงดีกว่า จึงค่อยๆถอยหลังเข้าป่าไป

    ‘โธ่เว้ย’

    นี่ผมได้แต่หนีจริงๆหรือเนี่ย ถึงจะเพิ่งได้พลังนั้นมาแต่ได้เอาแต่หนีตัวประหลาดนั้นจะทำอะไรมันก็ไม่มีความสามารถพอ แถมขนาดคนด้วยกันเอง อีกฝ่ายดันมีอาวุธซะอีก…

    “จริงสิ...ไปล่อตัวประหลาดนั่นมาหาพวกมันดีกว่า”

    ===============================================

    ตุบ...ตุบ…ตุบ

    เสียงเดินอันแผ่วเบา ดังสะท้อนไปมาในถ้ำที่ ตฤษณะ หนีออกมา เงาตะคุ่มจำนวนมากค่อยๆเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าไปทางปากถ้ำ ร่างกายเหล่านั้นไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต ไร้ซึ่งความอบอุ่นของร่างกาย ไร้ดวงตา ไร้ความรู้สึกใดๆ ทุกร่างค่อยๆ เคลื่อนที่ไปหาสิ่งที่ส่งความอบอุ่นภายนอกถ้ำ ‘ผู้รอดชีวิต’

    “ทำไมถึงไม่เป็นเรา”  “ทำไมมันถึงรอด แต่เรา...” “มันกับเราต่างกันตรงไหน”

    “ไม่ยุติธรรม” “เอาอะไรมาตัดสิน”

    วิญญาณของเจ้าของร่างกายถูกขังอยู่ภายในร่างกายตนเอง แต่ร่างกายนั้นกลับตายไปแล้ว ความอิจฉา ความโกรธที่ทำไมตนเองต้องตาย หันมาลงกับกลุ่มคนที่รอดชีวิต

    ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน วิญญาณเหล่านี้ไม่สามารถบังคับร่างกายของตนเองที่ตายไปแล้วได้แต่เมื่่อถึงกลางคืน ราวกับมีพลังประหลาดทำให้ผู้เค้าสามารถกลับเข้าสู่ร่างกายตนเอง และ ขยับร่างกายในสภาพที่ใกล้เคียงยามที่มีชีวิตอยู่อีกครั้ง

    “พวกมันต้องเป็นเช่นเรา”

    ด้วยสภาพที่ผิดเพี้ยนทำให้วิญญาณแต่ละตนความนึกคิดผิดเพี้ยนตามไปด้วย ขณะนี้พวกเขากำลังค่อยๆเดินออกจากปากถ้ำเพื่อแย่งชิงความอบอุ่นนั้นมาอีกครั้ง...

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×