คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 Dilemma
“นี่...ขึ้นมาจากน้ำได้แล้วมั้ง”
เสียงผู้ชายตะโกนเรียกหญิงสาวที่ว่ายน้ำเล่นอยู่ในแม่น้ำ
ทั้งคู่หลังจากเดินวนในป่าแบบไร้ทิศทางจนฟ้าเริ่มมืด ในที่สุดก็เจอกับ แม่น้ำหรือจะเรียกบริเวณนี้ว่าปากน้ำก็ได้เพราะห่างจากจุดที่ทั้งสองอยู่ไม่ไกลนักเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ที่กว้างพอพอกับสนามฟุตบอลซัก 2 สนามได้ แต่เนื่องจากแสงอาทิตย์ที่เริ่มหายไปทำให้ทั้งคู่ไม่กล้าไปยังทะเลสาบนั้นเพราะไม่รู้ว่ามันลึกแค่ไหน และมีตัวอะไรบ้าง จึงตัดสินใจลงไปอาบน้ำในแม่น้ำที่กว้างราวๆ 4-5 เมตร
ทันทีที่ทั้งคู่หยุดพักฝ่ายหญิงคอลงไปอาบน้ำ ส่วนฝ่ายชายก็หลังกินน้ำเสร็จก็นั่งดูคนรักของตนห่างๆ พลางนึกขอบคุณแม่น้ำที่อย่างน้อยทำให้ฝ่ายหญิงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างเพราะหลังจากที่ทั้งคู่หลุดเข้ามาในป่านี้ ฝ่ายหญิงเอาแต่โทษเขาตลอดว่าเป็นเพราะเขาที่ดันเลือกโปรแกรมเที่ยวเรือสำราญสำหรับมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กัน ในตอนแรกทั้งคู่มีปากเสียงกันบ้างแต่ฝ่ายชายดูเหมือนจะยอมแพ้ปล่อยให้อีกฝ่ายบ่นตลอดทาง
“รอเดี๋ยวสิชั้นเพิ่ง อาบน้ำยังไม่ถึง 5 นาทีเลย เดินมาทั้งวันขอชั้นพักบ้างสิ”
“นี่แม่คุณ 5 นาทีของเธอนี่หน้าปัดนาฬิกาผมมันเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วนะ รีบขึ้นมาเถอะมันอันตรายนะ”
“…”
ฝ่ายหญิงมีท่าทีอิดออดแต่สุดท้ายก็ค่อยๆเดินขึ้นมาจากแม่น้ำ แต่ระหว่างที่กำลังเดินอย่างเอ้อระเหยกำลังจะเข้าฝั่ง
“!!! รีบขึ้นมาจากน้ำเร็วด้านหลัง”
ตอนแรกนึกว่าคนรักของตนเองแกล้งพูดรึเปล่าแต่พอเห็นสีหน้าตกใจแบบไม่แสแสร้งก็หันหลังกลับไป ใต้แสงจันทร์ที่สว่างจ้าเธอเห็นอะไรซักอย่างกำลังว่ายมาหาเธอด้วยความรวดเร็ว
“กรี้ด!”
เธอกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีดแล้วรีบวิ่งขึ้นฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต น้ำสูงระดับเอวของเธอทำให้เคลื่อนที่ได้ยากลำบากเล็กน้อย แต่ทันทีที่เธอถึงใกล้ถึงฝั่งคู่รักของเธอรีบดึงเธอขึ้นจากน้ำอย่างทันท่วงทีแล้วทั้งคู่รีบถอยห่างจากแม่น้ำนั้น
“จระเข้นี่!”
ฝ่ายหญิงตะโกนร้องขึ้นพลางกอดฝ่ายชายแน่น ทั้งสองรีบเดินห่างจากแม่น้ำ พลางจ้องมองร่างของสิ่งนั้นอย่างไม่วางตา
เบื้องหน้าทั้งสองเผยให้เห็นถึงร่างของสิ่งหนึ่งที่กว้างราว 2 เมตร ความยาวน่าจะประมาณ 6 เมตร หน้าตาคล้ายจระเข้ที่ตนเคยเห็น แต่ปากเหมือนจะสั้นกว่าเล็กน้อยซึ่งเขาอาจจะคิดไปเองก็ได้เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ
“ไม่เป็นไรๆ เราขึ้นมาบนบกแล้วมันวิ่งตามเราไม่ทันหรอก”
ฝ่ายชายปลอบใจคนรักของตนพลางค่อยๆเดินถอยเข้าป่าไป พลางจ้องกับสัตว์เบื้องหน้า แต่แล้วเมื่อสิ่งนั้นตะกายขึ้นบกเสร็จทำให้ทั้งสองพูดไม่ออก แม้ว่ารูปร่างโดยทั่วไปของสิ่งนั้นจะคล้ายกับจระเข้ทุกประการแต่สิ่งที่ผิดแปลกไปคือขาที่ยาวกว่าจระเข้ปกติราว 2 เท่า ทำให้ดูคล้ายไดโนเสาร์มากกว่าจระเข้
โดยไม่ต้องกล่าวอันใดทั้งคู่หันหลังกลับต่างวิ่งเข้าป่าอันมืดมิดอย่างไม่คิดชีวิต สิ่งนั้นก็ไล่กวดไปติดๆ ฝ่ายชายวิ่งนำโดยจับมือฝ่ายหญิงที่วิ่งตามมา
“กรี้ด! ช่วยด้วย!”
เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นหนึ่งครั้งจากนั้นป่าก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
...
เหตุการณ์ทั้งหมดถูกฉายอยู่บนจอมอร์นิเตอร์จอหนึ่ง ชาย และ หญิงในชุดสีขาว มองจอนั้นราวกับกำลังรับชมภาพยนตร์ ไม่นานนักหน้าจอนั้นก็หายวับไป
“ดูเหมือนคู่นี้จะ Bad End นะ”
หญิงสาวพูดเอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีผิดกับสิ่งที่พูด พลางมองจอมอร์นิเตอร์ที่อยู่ด้านข้างจอเมื่อครู่ซึ่งกำลังฉายภาพชายคนรักของหญิงสาวที่หน้าจอหายวับไป
“อา...เหลือ 30 คนแล้วล่ะ”
“คิดว่าคืนนี้จะรอดกี่คนล่ะ”
“ไม่รู้สิแต่ว่าหมอนี่คงไม่รอดแล้วล่ะ”
ทั้งคู่หันมามองจอๆหนึ่งที่ฉายภาพหญิงสาวคนหนึ่งกำลังพยายามปฐมพยาบาลชายอีกคนที่เลือดอาบเต็มตัว
“น่าเสียดายนะ ถึงจะแปลกใจที่รอดมาได้ถึงตอนนี้ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือก แถมยังสามารถปลุกพลังขึ้นมาได้เป็นคนแรกอีก”
ชายในชุดขาวพูดพลางถอนหายใจ
“แต่เป็นแค่พลังระดับ H จาก SS ถึง I เนี่ยนะ...แต่แหมฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเธอมีรสนิยมชอบเชียร์ผู้ชาย”
หญิงสาวยิ้มยียวนแซวฝ่ายชาย
“บ้าเรอะ! ผมแค่อยากเห็นคนที่มีโอกาสน้อยที่สุด แต่กลับรอดนี่สิมันถึงจะน่าตื่นเต้น”
คราวนี้ฝ่ายหญิงกลับถอนหายใจบ้างพลางมองฝ่ายชายกลับด้วยสายตาแหลมคม
“เราไม่ได้โครงการนี้เล่นๆนะ...เราต้องการหาผู้ที่แข็งแกร่งจริงๆต่างหาก”
เสียงเยือกเย็นทำเอาฝ่ายชายหน้าถอดสี
“ร เรื่องนั้นผ ผมรู้แล้วน่า”
“อืม งั้นก็ดีแล้ว”
ออด!
อยู่ๆเสียงหนึ่งดัง แสงไฟในห้องกลายเป็นสีแดงหนึ่งครั้งกรอบจอมอร์นิเตอร์อันหนึ่งกระพริบ
“นี่มัน!...พลังระดับ SS”
หญิงสาวในชุดขาวยิ้มอย่างยินดี
==========================================
“…”
เสียงของใครซักคนที่คล้ายเสียงของผู้หญิงดังขึ้นใกล้ๆ แต่ผมได้ยินไม่ถนัดนัก เสียงนั้นปลุกผมขึ้นมาจากสภาพที่หมดสติไป แต่ก็ไม่นานนักความรับรู้ของผมก็ขาดช่วงไป
…
...
“…”
เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่องราวกับจะเรียกผมอยู่ แต่ไม่นานการรับรู้ของผมก็หลุดไปอีกครั้ง
…
...
“อะ อะ อ้า!”
เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของผู้หญิงดังขึ้น เกิดอะไรขึ้น...ผมพยายามจะขยับตัวแต่ไม่อาจทำได้ แต่แล้วอยู่ๆของเหลวอะไรซักอย่างกระเด็นใส่ใบหน้าผม…
‘เอ๋...ทำไม’
ทำไมประสาทสัมผัสของผมที่ควรจะไม่รู้สึกอะไรตั้งแต่โดนมีดฟันตอนนี้กลับมารู้สึกอีกครั้งได้กันนะ…
หลังเสียงกรีดร้องสงบลงร่างกลายของผมอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ร่างกายที่เดิมชาจนไร้ความรู้สึกไปแล้วกลับมารับรู้สึกถึงความเจ็บปวดทั่วร่างอีกครั้ง แต่ไม่นานนักก็หายไปราวกับเป็นภาพมายา จากนั้นความรู้สึกถึงความอบอุ่นราวกับมีน้ำอุ่นห่อหุ้มตัวยังไงยังงั้น
…
…
“อ อือ”
“ไงตื่นแล้วหรอ”
หญิงสาวผมดำประบ่า ยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่สดใสราวกับดวงอาทิตย์ ทั้งๆที่รอบข้างนั้นมีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องอยู่ แต่ราวกลับโลกที่ผมเห็นกลายเป็นกลางวันไปช่วยครู่
“เอ๋!”
“หวา อยู่ๆอย่าลุกขึ้นนั่งสิ”
นี่มันอะไรกัน...ทำไมผมถึงมองเห็นได้ ผมมองเห็นทัศนียภาพรอบด้านอย่างสลัวๆแบบไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็มองไปรอบข้าง
ดวงจันทร์...ต้นไม้...ดวงดาว...แม่น้ำ ผมมองสภาพแวดล้อมโดยทั่วด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ผมไม่แน่ใจว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นสิ่งรอบข้างด้วย ‘ตา’ เมื่อใด...มันน่าจะไม่นานมากนักไม่น่าจะเกิน 1 วันด้วยซ้ำ แต่มันราวกับนานกว่าชีวิตของผมผ่านมาด้วยซ้ำ
“ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรแล้วนะ”
เสียงหญิงสาวดังขึ้นผมหลุดจากสภาพที่กำลังสับสนแล้วหันไปมองทางต้นเสียง หญิงสาวผมสีดำยาวประบ่า ผมส่วนหนึ่งบิดใบหน้าด้านขวาของเธอประมาณครึ่งแก้ม อายุราวเกือบ 20 หรือ 20 เศษๆ กำลังนั่งชันเข่ามองมาทางผมอย่างยิ้มแย้ม
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าคุณช่วยผมเอาไว้งั้นหรอครับ”
“อืม...จะเรียกอย่างนั้นก็ได้”
“ขอบคุณมากครับ”
ผมยกมือไหว้ขอบคุณหญิงสาวด้านหน้าด้วยความรู้สึกจากก้นบึงหัวใจ ความรู้สึกอาฆาตแค้นกับกลุ่มวัยรุ่นที่ทำกับผมไว้ก่อนหน้าหายไปราวกับเรื่องเมื่อครู่เป็นเรื่องโกหก เช่นเดียวกับความเจ็บปวดของร่างกายที่ตอนนี้รู้สึกสมบูรณ์ดีทุกอย่าง ราวกลับเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งจากเหตุการณ์บนเรือเป็นเรื่องโกหก
“อืม...ไม่เป็นไรหรอก…(จริงๆแล้วฉันอยากขอโทษเธอมากกว่าด้วยซ้ำ)”
“เอ๋?”
เธอพูดอะไรซักอย่างด้วยเสียงอันเบาคล้ายกับบ่น แถมไม่ใช่ภาษาไทยเสียด้วยทำให้ผมไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร
“อ๊ะ! เปล่าๆไม่มีอะไรหรอก แล้วตกลงสภาพร่างกายของเธอตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
ผมลุกขึ้นยืนตรวจเช็คสภาพร่างกายของตนเองทำเอาตะลึงจนพูดไม่ถูก ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดทั่วร่างที่หายไปแต่ร่างกายกลับอยู่ในสภาพที่ไร้บาดแผล แม้แต่รอยจากมีดที่ควรจะมีกลับไม่มีให้เห็น แต่สิ่งที่ทำให้รู้ว่าไม่ได้ฝันไปคือสภาพเสื้อที่ขาดเป็นทางยาว
ส่วนการมองเห็นนั้น...อาจเป็นเพราะตอนเพิ่งฟื้นตื่นเต้นมากเกินไป ตอนนี้ถึงรู้ตัวว่าตาที่มองเห็นนั้นมีเพียง ตาขวาเท่านั้น แต่ตาด้านซ้ายยังคงไร้ลูกตาเหมือนเดิน แถมยังมองเห็นแสงประหลาดจากสิ่งรอบตัวเหมือนก่อนที่จะสลบไปตอนนั้นเหมือนเดิม...
“...นี่มัน…คุณทำได้ยังไงครับ”
“ความลับน่ะ”
สีหน้าของเธอเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยราวกับกำลังเสียใจอะไรซักอย่าง พอเห็นใบหน้าเช่นนั้นผมจึงตัดใจไมุถามอะไรต่อ
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ...จะว่าไปฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่นะ...ฉันชื่อ อาซากิ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
เธอยิ้มแล้วยื่นมือมาทางผม
“ผม ตฤษณะ (ตริส-สะ-นะ) ครับ”
“ติ-สะ?”
“เรียกผมว่าต้นก็ได้ครับ ขอบคุณที่ช่วยผมไว้อีกครั้งนะครับ”
“ไม่เป็นไร...ต้น จากนี้ไปฝากตัวด้วยนะ”
‘ฝากตัวด้วย...’
พึ่งเคยมีผู้หญิงพูดแบบนี้กับผมครั้งแรกทำเอาใจเต้นอย่างประหลาด ถึงจะเข้าใจว่าเธอแค่หมายถึงให้ช่วยกันเอาตัวรอดในป่านี้ก็เถอะ
‘แค้น...’
ทันทีที่ผมจับมือกับเธอเสียงๆหนึ่งที่เหมือนกับเสียงของอาซากิดังขึ้นในหัวผม จากนั้นภาพของเหตุการณ์หนึ่งก็หลั่งไหลเข้าสู่สมองราวกับผมเป็นเธอ
“เป็นอะไรไปหรอหน้าซีดเชียว”
“อะ...เปล่าครับ...ว่าแต่ดูเหมือนว่าเราน่าจะหาที่พักกันได้แล้วนะครับ”
ผมหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พยายามมองหากลุ่มดาวจระเข้ ไม่ก็กลุ่มดาวนายพรานเพื่อจะคำนวณเวลา แต่กลับเห็นแต่ดวงจันทร์ที่แสงสว่างจ้าจนมองไม่เห็นดาวซักดวง
“คุณอาซากิ พอจะรู้รึเปล่าครับว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“ตอนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้านี่ นาฬิกาของฉันเวลาอยู่ประมาณ 2 ทุ่มกว่าตอนนี้เกือบเที่ยงคืน ถ้าคิดซะว่าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าตอน 6 โมงเย็น ตอนนี้ก็เกือบ 4 ทุ่มแล้วล่ะ จะเอายังไงคืนนี้พักตรงนี้เลยไหม?”
ผมไม่ตอบ แต่เดินดูสภาพพื้นที่โดยรอบก่อน
เอายังไงดีเท่าที่เดินดู ดูเหมือนว่าแม้ว่าแถวนี้น่าจะไม่ใช่ด่านสัตว์ (ถึงจะไม่มันใจ 100% ก็ตาม) แต่ดินชื้นแบบนี้ดูเหมือนตอนดึกๆ ไม่แน่คืนนี้น้ำอาจจะขึ้นก็ได้ ลมที่พัดตอนนี้แม้จะรู้สึกเย็นสบาย แต่ถ้าดึกลงมีหวังได้หนาวหนักแน่ๆ จะทำห้างนอนตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว แถมมีดที่จะเอามาใช้ตัดไม้ทำห้างก็โดนพวกนั้นแย่งไปอีก ก้อนหินที่ใหญ่พอจะให้ขึ้นไปนอนได้ก็ไม่มีเหมือนกัน
คิดได้ดังนั้นผมจึงเสนอความเห็นพลางส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย
“อย่าดีกว่าครับ ผมว่าเราเดินกันต่อซักหน่อยครับ นอนตรงนี้ไม่แน่ดึกๆน้ำอาจขึ้นก็ได้ แล้วปกติอยู่ป่าเราก็ไม่ควรนอนยึดแหล่งน้ำแบบนี้ครับเพราะสัตว์ป่าอาจลงมากินน้ำได้ ถึงตอนนี้ผมยังไม่เห็นรอยเท้าสัตว์ก็เถอะ”
“เห!... แต่มันมืดมากแล้วนะ”
ผมเดินไปยังขอบของพื้นที่ที่เป็นลานดินเพื่อเตรียมเดินเข้าป่า
“ดูจากสภาพป่าแล้วผมว่าผมพอจะหาที่พักที่เหมาะสมได้ไม่ยากนะครับ แต่คุณอาซากิ คุณพอจะไว้ใจผมตามผมมารึเปล่า”
ผมหงายฝ่ามือส่งไปทางอาซากิ ดูเหมือนเธอจะลังเลใจ ครุ้นคิดอยู่พักนึง
“(ช่วงเย็นเพิ่งเจอเหตุการณ์แบบนั้นมาก็ไม่อยากเชื่อผู้ชายเท่าไรหรอกนะ แต่ก็) ช่วยไม่ได้แหะ แต่บอกไว้ก่อนนะถ้านายคิดจะทำอะไรแปลกๆล่ะก็”
อาซากิบ่นพึมพำอะไรเล็กน้อยด้วยภาษาที่น่าจะเป็นภาษาญี่ปุ่น จากนั้นก็ยื่นมือมาให้จับ
“ทำอะไรแปลกๆ???”
“ไม่มีอะไรๆ ว่าแต่เธอเดินในป่ามืดๆแบบนี้ได้จริงๆงั้นหรอ”
“ก็พอจะไหวอยู่ครับถึงปกติถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงอยู่ ยังไงก็อย่าปล่อยมือแล้วกัน”
พูดตามตรงผมยังรู้สึกว่าตอนนี้ยังเดินง่ายกว่าการเดินป่ากลางคืนตอนที่เดินป่าลาดตระเวนด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ตอนนั้นมีไฟฉาย
แม้ตอนนี้ถึงจะไม่มี แต่แสงประหลาดที่มองเห็นจากตาข้างที่บอด นั้นพอลองสังเกตดีๆแล้ว ถึงจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่นอนอย่างนึงคือแสงนั้นจะอยู่เฉพาะในสิ่งที่มีชีวิตเท่านั้น แถมมีรูปร่างเหมือนสิ่งนั้น ทำให้เดินแม้จะไม่มีแสงต่อก็เดินยากเท่าไร ที่ต้องระวังคงจะเป็นพวกสิ่งไม่มีชีวิตอย่างพวก ตอไม้ ก้อนหินนี่แหละ
หลังจากเราเริ่มออกเดิน ผมถึงเริ่มรู้สึกถึงความแตกต่างจากการมองเห็นตามปกติของผม ตอนแรกผมเข้าใจว่ามันจคล้ายกับการมองด้วยกล้องจับความรู้ แต่ดูเหมือนว่าจริงๆแล้วมันไม่ควรเรียกว่าการมองด้วยซ้ำ แต่น่าจะเรียกว่าการรับรู้มากกว่า เพราะผมรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวได้โดยที่ไม่มีการบดบัง เช่นผมสามารถรับรู้ถึงต้นไม้ขนาดเล็กที่อยู่ข้างหลักต้นไม้ขนาดใหญ่ รับรู้ถึงแมลงที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งไม่มีทางที่ผมจะสามารถมองเห็นพวกมันด้วยตาปกติแน่ๆ แต่ดูเหมือนมีข้อจำกัดอยู่ที่ผมสามารถรับรู้ถึงแสงประหลาดนี้ได้ในรัศมีรอบตัวเพียง 5 เมตร แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“จะเรียกว่าโชคดี...ได้รึเปล่านะ”
“หือ? อะไรหรอ”
“ออ แค่คิดว่าก่อนหน้านี้ผมตาบอดมาก่อนถึงจะแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็ทำให้เดินตอนนี้ได้ง่ายขึ้นนี่...จะเรียกว่าโชคดีได้รึเปล่าน่ะครับ...ออเดี๋ยวอีกช่วยเดินระวังนิดนะครับตรงนี้มีตอไม้”
“จริงสิ ชั้นยังไม่ได้ถามต้นเลยว่าเกิดอะไรขึ้น...ทำไมถึงอยู่ในสภาพปางตายแบบนั้นได้”
“…ก้มนิดนึงนะครับกิ่งไม้”
“...ไม่อยากพูดงั้นหรอ”
“เรื่องนั้นไว้เราถึงที่พักเดี๋ยวค่อยคุยต่อแล้วกันครับ มันอันตรายนะครับถ้าเดินไปคุยไปในที่มืดแบบนี้ อ๊ะ ค่อยๆก้าวขานะครับทางลง”
ออกเดินประมาณ 5 นาทีผมก็พบกับจุดที่พอจะพักได้ โดยจุดที่ผมมาหยุดนั้นเป็นจุดที่มีต้นไม้ขนาดกลางไม่ใหญ่มากนักขึ้นอยู่กันห่างๆ มีพุ่มไม้หลายที่ซึ่งน่าจะช่วยกันลมได้ พื้นดินโดยรอบเต็มไปด้วยใบไม้ ผมขอมีดจากอาซากิไปตัดกิ่งไม้มาทำเป็นไม้กวาดกองรวมกันเพื่อที่จะจุดไฟ สร้างความอุ่น และเพื่อให้มีที่จะนอน
“ขอบใจนะ”
เธอพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นที่ผมกวาดทำที่ไว้ให้
“ว่าแต่เอาใบไม้มากวาดกองรวมกับแบบนั้นจะจุดไฟงั้นหรอ...เธอมีไฟแช็คงั้นหรอ”
“ตอนนี้ผมไม่มีหรอกครับ แต่วิธีจุดน่ะมีครับ”
ผมพูดพลางเดินเก็บพวกเศษไม้แห้ง ซึ่งต้องหันมาพึ่งแสงจันทร์ที่เลือนลางเต็มที่ ถึงจะเสียดายที่ผมไม่อาจเห็นแสงกับพวกกิ่งไม้แห้งที่ตายแล้วได้ก็เถอะนะ
“หืม น่าสนใจแหะ แล้วนั่นทำอะไรอยู่น่ะ”
“หาพวกเศษไม้น่ะครับ ใบไม้พวกนี้ถึงจะเห็นว่าเยอะแต่เผาไปไม่นานก็หมดแล้ว ตอนนี้เราไม่รู้ว่าที่นี่มันหนาวขนาดไหน ถ้านอนโดยไม่มีไฟอาจเป็นไข้ได้ครับ”
“งั้นชั้นช่วยนะ”
“อย่าเลยครับ ถึงพวกนี้จะหาไม่ยาก แต่คุณอาซากิอาจสะดุดรากไม้เจ็บตัวซะเปล่า”
“แต่รู้สึกไม่ดีเลยแหะที่ให้ต้นช่วยจัดการทุกอย่างให้ยังกะกำลังเอาเปรียบอยู่เลย”
อาซากิพูดด้วยเสียน้อยใจแต่คำพูดนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกฉุนอย่างประหลาด
“พูดอะไรอย่างนั้นครับ!”
“!”
“...ขอโทษครับ คือที่คุณอาซากิช่วยชีวิตผมไว้นะครับ เรื่องแค่นี้เองปล่อยให้ผมจัดการเถอะครับ”
“…”
อาซากิ ไม่ตอบอะไรต่อได้แต่นั่งเงียบๆ เสียงที่ดังอยู่ในตอนนี้มีเพียง เสียงน้ำในแม่น้ำลำธาร และ เสียงของแมลงบางชนิดเท่านั้น…ไม่นานนักหลังจากผมรวบรวมกิ่งไม้แห้งได้จำนวนหนึ่่งก็เดินกลับมายังจุดที่กองใบไม้ไว้
“คุณอาซากิครับ ขอมีดพกหน่อยครับ”
“จะใช้มีดจุดไฟงั้นหรอ”
ผมไม่ตอบอะไรแต่หยิบสายสร้อยที่คล้องคอไว้ออกมา โชคดีที่ตอนผมโดนฟันนั้น สร้อยที่ห้อยคอไว้อยู่ไม่โดนไปด้วย แถมอีกวัยรุ่นพวกนั้นดูเหมือนจะไม่รู้ว่าที่ผมห้อยคอไว้คืออะไรไม่งั้นในสภาพที่หลงป่าอย่างนี้ได้เอาไปด้วยแน่
“คุณอาซากิ รู้จักนี่รึเปล่าครับ”
ผมชูของสี่เหลี่ยมยาวประมาณ 3 นิ้วสีเงินที่ผมเอามาทำเป็นจี้ห้อยคอให้ดู
“หือ เหล็กหรอ อย่าบอกนะว่าจะเอามีดกับ จี้ห้อยคอที่เป็นเหล็กมาถูกันให้เกิดประกายไฟ”
“ฮะ ฮะ ก็ไม่เชิงนะครับ อันนี้เอาเรียกว่าแท่งแม็กนีเซียมครับ”
แทนคำพูดผมลงมือแสดงให้ดูเลยว่าทำอย่างไร เริ่มต้นจากการใช้มีดขูดผงแมกนีเซียมออกมาเล็กน้อยลงบนกองใบไม้ จากนั้นผลิกด้านที่เป็นสีดำของแท่งแมกนีเซียม รู้สึกมันจะเรียกว่าเฟอโรอะไรซักอย่างนี้แหละ แล้วเอามีดขูดกับด้านสีดำนั้นกลายเป็นประกายไฟออกมาทำให้ได้กองไฟอย่างรวดเร็ว
“ว้าว”
อาซากิแววตาเบิกบานขึ้นราวกับเด็กที่เห็นของเล่นใหม่
“ว่าแต่เอาของแบบนั้นห้อยคอมันไม่อันตรายหรอ? มันไม่ติดไฟขึ้นมาหรอ”
“มันไม่ได้ติดไฟง่ายขนาดนั้นหรอกครับ”
ผมพูดพลางยื่นแท่งแมกนีเซียนลนตรงปลายเปลวเพลิง แต่กลับไม่เกิดอะไรขึ้น
“พอดีผมเดินป่าประจำน่ะครับเลยมักจะติดตัวเอาไว้เพื่อเกิดเรื่องฉุกเฉิน ตอนมาเที่ยวนี่ก็เผลอเอาติดตัวมาด้วยความเคยชินแต่ไม่นึกว่าจะได้ใช้ตอนไม่ได้ทำงานแหะ”
กล่าวจบผมก็นั่งลงข้างกองไฟ น่าเสียดายที่คืนนี้ผมคงไม่สามารถจะหาอาหารได้แล้ว ถึงจะปวดท้องหิวซักหน่อยแต่ก็คงต้องทนเอาล่ะนะ
“จะว่าไปแล้วเรื่องที่ทำไม ต้นถึงอยู่ในสภาพนั้น…”
“ออ เรื่องนั้นหรอครับ”
ผมเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ อาซากิฟังแบบคร่าวๆเพียงแค่ว่าตนเองอยู่ในสภาพที่พิการทั้งขาหัก และตาบอดพอไปเจอกับคนกลุ่มนึงที่น่าจะเป็นไวรุ่นก็โดนทำร้ายแย่งเอามีดเดินป่าไป พอเล่าจบ อาซากิ มีสีหน้าที่เหมือนกำลังครุ้นคิดอะไรซักอย่าง
“คุณอาซากิ พอจะทราบรึเปล่าครับว่าคนพวกนั้นหมายถึงอะไร”
เรื่องที่กลุ่มวัยรุ่นนั้นทำร้ายผมที่ตอนนั้น ผมพอจะนึกถึงสาเหตุได้ แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องการถามปีราวกับเป็นคำถามสำคัญ และ คำที่พวกนั้นเรียกผมว่า พวกสอบตกนี่มันคืออะไรกันแน่
“(สรุปข้อความนั้นเป็นเรื่องน่าจะเป็นเรื่องจริงสินะ...ไม่สิที่เราช่วยต้นได้ก็น่าจะยืนยันเรื่องข้อความนั้นได้ส่วนหนึ่งแล้วนี่น่า)”
อาซากิ เริ่มพึมพำอะไรซักอย่างด้วยภาษาญี่ปุ่นที่ผมไม่เข้าใจ ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกอยู่ในห้วงความคิดพลางใช้มือจับบริเวณใบหน้าซีกขวาของตน
“ต้น”
“ครับ”
เธอทำท่าทางเหมือนจะเอ่ยอะไรที่สำคัญซักอย่างแต่อยู่ๆก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา
“…ช่างเถอะ วันนี้นอนก่อนแล้วกัน ว่าแต่เรื่องไฟนี่จะทำยังไง”
“ไว้ผมจะคอยดูให้แล้วกันครับ คุณอาซากินอนเอาแรงไว้ก่อนดีกว่า”
“ไม่ได้!...เราต้องดูกองไฟให้มีทั้งคืนใช่ไหมล่ะ แบ่งหน้าที่กันเถอะ”
“…ก็ได้ครับ...งั้น”
ผมมองนาฬิกาในข้อมือที่บอกเวลาเที่ยงคืนกว่า ซึ่งหากขอสมมติฐานของอาซากิถูกต้องตอนนี้น่าจะราวๆ 4 ทุ่มกว่า ผมจึงปรับนาฬิกาให้เป็นตามนั้น
“ตอนนี้เวลาราวๆ 4 ทุ่มใช่ไหมครับ คุณอาซากิช่วยปรับเวลาบนเข็มด้วย หลังจากนี้เราจะผลัดเวรกันทุกๆ 2 ชั่วโมงครับ แบบนี้ตกลงนะครับ”
“อื้อ! แบบนี้ยุติธรรมดี งั้นคืนนี้ราตรีสวัสดิ์นะ”
“ครับ ถ้าไม่ชินการนอนบนดินแบบนี้อาจหลับลำบากหน่อยนะครับ”
“ฮะ ฮะ ไม่ต้องห่วง วันนี้ฉันเดินมาทั้งวันเหนือยจะตายอยู่แล้วเดี๋ยวก็หลับแล้วล่ะ”
เป็นไปตามที่เธอพูด หลังจากเธอฟุบตัวลงนอนโดนหันหลังให้ผมไม่นาน เธอก็หลับอย่างรวดเร็ว
‘มีแต่เรื่องไม่เข้าใจแหะ เรามาอยู่นี่ได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้น พวกสอบตกที่กลุ่มวัยรุ่นนั้นพูดถึงคืออะไร แล้วตอนนี้เรากลายเป็นกล้องจับความร้อนแล้วรึไงถึงได้มองเห็นแบบนี้ แถม...’
ผมนึกถึงภาพที่ไหลเข้ามาในหัวตอนจับมือกับอาซากิครั้งแรก
‘ อาซากิอยู่ในอาการกระวนกระวาย
“ทำยังไงดี...เลือด...ไหลไม่หยุดเลย”
ไม่ว่าตนเองจะพยายามช่วยเหลือชายเบื้องหน้าแค่ไหน ทั้งพยายามห้ามเลือด ปั้มหัวใจ แต่กลับไม่ทำให้อาการชายเบื้องหน้าดีขึ้น เลือดยังคงซึมออกจากบาดแผลที่ถูกรัดด้วยเสื้อของชายหนุ่มเรื่อยๆ
ตฤษณะที่มองเหตุการณ์ผ่านร่างอาซากิดูยังไงก็เห็นว่า ชายเบื้องหน้า ไม่มีทางรอดแน่ๆ ขาที่หัก บาดแผลจากมีด เลือดเต็มร่างกาย ใบหน้าที่ไร้ซึ่งดวงตา หากอยู่ในที่ที่มีอุปกรณ์แพทย์น่าจะช่วยได้ก็จริง แต่ตอนนี้หญิงสาวนั้นไม่มีเครื่องมืออะไรซักอย่างเดียว แม้แต่ตัวตฤษณะเองยังคิดเลยว่าหากตนอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับหญิงสาวน่าจะปล่อยเจ้าตัวทิ้งไว้ดีกว่า แต่ความคิดของหญิงสาวในตอนนั้นที่ไหลเข้ามานั้นกลับคิดแต่เพียงจะช่วยชายเบื้องหน้าให้รอด ทำไมถึงต้องพยายามขนาดนี้กันนะ
‘อยากช่วยชายคนนี้งั้นรึ’
เสียงๆหนึ่งที่เหมือนกับเสียงของอาซากิดังขึ้นในหัว แต่หญิงสาวไม่ตอบอะไร ยังคงก้มหน้าก้มตาพยายามห้ามเลือดต่อไป
‘มันเป็นแค่คนที่เจ้าไม่รู้จักมาก่อนทำไมถึงต้องพยายามช่วยมันด้วยตัวเจ้าเองก็ใช่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่...’
“เงียบนะ! คุณจะเป็นใครฉันไม่รู้หรอกนะ แต่แค่จะช่วยคนที่กำลังจะตายตรงหน้ามันต้องหาเหตุผลรึไง!’”
เสียงนั้นเงียบไปชั่วครู่จากนั้นมันก็กล่าวเหมือนกับยื่นข้อเสนอให้
‘งั้น จะให้ชั้นช่วยไหมล่ะแต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ’
“หนวกหู! ถ้าช่วยได้ก็รีบช่วยซะสิ”
อาซากิกลับไม่สนใจว่าเสียงนั้นจะพูดอะไร ไม่ถามรายละเอียด ไร้ความลังเลใจตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าตัวก็คงไม่รู้เช่นกันว่าตนเองได้ทำอะไรลงไป
‘ฮะ ฮะ ฮะ คำพูดเมื่อกี้ชั้นถือว่าเจ้าตกลงแล้วนะ’
ตึก! ตึก!
อยู่ๆหัวใจของหญิงสาวก็เต้นเร็วขึ้นราวกับจะระเบิดออกมา โลกจากการมองของหญิงสาวกลายเป็นสีแดงฉาน หัวด้านขวาปวดราวกับจะระเบิด
ปึด!
“อะ อะ อ้า!”
เลือดพุ่งออกมาจากนัยน์ตาขวาของอาซากิอย่างรุนแรง ราวกับว่าเธอโดนควักลูกตาออกไป อาซากิดิ้นทุลนทุรายพลางร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด น่าแปลกที่เลือดที่พุ่งออกมานั้นทุกหยดกลับตกลงสู่ร่างของชายหนุ่มราวกับมีชีวิต
“แก!...”
เลือดเริ่มหยุดไหล ความเจ็บเริ่มทุเลาลง อาซากิใช้มือข้างนึงปิดตาขวาของตนเองไว้แล้วรวบกำลังกัดฟันพูดออกมา
“แกทำอะไรฉัน!”
เธอตะโกนออกมาถามเสียงลึกลับนั้นอย่างเคียดแค้น
‘แหม ก็ชั้นแล้วไงว่ามันมีข้อแลกเปลี่ยนนะ ดูนั่นสิ’
อาซากิหันไปมองร่างของชายหนุ่ม เลือดของตนกำลังปิดปากแผลให้ชายหนุ่มและรักษาส่วนอื่นๆด้วยความรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
‘ฮะ ฮะ ฮะ รู้สึกยังไงบ้างล่ะเสียแค่ลูกตาข้างเดียวแต่สามารถช่วยคนที่ไม่รู้จักได้น่ะ’
“เงียบนะ!”
“เอาเถอะ ชั้นก็ถามไปยังงั้นแหละใจจริงเธอรู้สึกยังไงชั้นก็รู้อยู่แล้ว”
“...แก...เป็นใครกัน”
‘หา! นี่ยังต้องถามอีกเรอะ ชั้นก็คือเธอไง’
“พูดเรื่องอะไรน่ะ?”
‘เรื่องแค่นี้คิดเองสิ คราวหลังถ้าใช้ชั้นไม่ดูความสามารถตัวเองอีก...อาจจะไม่ใช่แค่ตาข้างนึงก็ได้นะ ฮะ ฮะ ฮะ’
“…”
หญิงสาวกัดฟันด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันอย่างบอกไม่ถูก แค้น? โกรธ? เสียใจ?
‘ส่วนรอบนี้จะแค้นก็ไปแค้นหมอนั่นเอาแล้วกันที่ทำให้เธอต้องเสียตาไปหนึ่งข้าง’
เสียงในหัวของหญิงสาวพูดอย่างร่าเริง
‘อ๊ะ! ใช่ใช่ ชั้นลืมบอกไปอย่าง’
“ยังจะมีอะไรอีก!”
‘การแลกเปลี่ยนระหว่างชั้นกับเธอที่ให้ช่วยชีวิตชายคนนี้ ผลคือชั้นเอาตาของเธอไป’
“ฉันไม่ได้ตกลงด้วยซะหน่อย”
แต่เสียงในหัวยังคงพูดต่อไปไม่หยุด
‘แต่มันก็เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างเธอกับเขาด้วย คือการแลกเปลี่ยนระหว่างการช่วยชีวิตชายคนนี้ และจากนี้ไปชีวิตของเขาเป็นของเธอแล้วล่ะ’
ท่าทีของอาซากิเปลี่ยนไปจาท่าทางที่กำลังเคียดแค้นกลับกลายเป็นกำลังสับสนไม่เข้าใจ
“หมายความว่าไง…”
‘หมายความตามที่พูดนั่นแหละ เพราะเธอแลกลูกตาในการช่วยชีิวิตเขา ทำให้จากนี้ชายคนนี้จะไม่สามารถขัดคำสั่งอะไรของเธอได้อีก เป็นไงชั้นมีประโยชน์ดีใช่ไหมล่ะ’
“อย่ามาพูดบ้าๆนะ ชั้นไม่ได้ต้องการอย่างนี้ซักหน่อย” ’
เหตุการณ์ที่ผมเห็นทั้งหมดมีเท่านี้แต่ว่า
‘ทำไม...แค่ทำตามความเชื่อของตนเองมันต้องได้รับผลตอบแทนแบบนี้เลยหรอ’
‘เพราะใคร เพราะใคร เพราะใคร เพราะใคร เพราะใคร เพราะใคร เพราะใคร เพราะใคร ใคร ใครใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใครใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร ใคร แกสินะ แกสินะ แกสินะ แกสินะ แกสินะ แกสินะ แกสินะ แกสินะ แกสินะ แกสินะ แกสินะ แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แกแก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แกแก แก แก แก แก แกแก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แกแก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก แก’
เสียงของอาซากิดังขึ้นในเข้าหัวของผมเป็นครั้งคราว ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือไม่แต่ผมรู้สึกว่าเสียมันดังออกมาจากดวงตาข้างขวาของผม ตั้งแต่ผมจับมือกับเธอ ทำให้เวลาคุยกับเธอผมต้องพยายามแยกให้ดีว่าอันไหนกันแน่เป็นสิ่งที่เธอพูด
ผมใช้มีดพับเป็นกระจกสะท้อนแสงจากไฟเพื่อมองนัยน์ตาของตนเอง...นัยน์ตาสีเขียว เช่นเดียวกับของอาซากิ...ดูเหมือนว่าหากเรื่องที่ผมเห็นนั้นเป็นเรื่องจริง ถึงร่างกายผมฟื้นจากเลือดของเธอ แต่ตาข้างนี้ดูเหมือนจะเป็นของเธอมาก่อน
ส่วนเสียงที่ดังในหัวตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะความนึกคิดในปัจจุบันของเธอส่งเข้าหัวผมหรือไม่ ที่ผมทำได้ตอนนี้ได้แต่พยายามทำเป็นหูทวนลม โชคยังดีที่มันไม่ได้ดังตลอดเวลาไม่งั้นผมอาจคลั่งจนตะโกนออกมาก็ได้
‘ขอโทษนะ’
ตอนนี้ที่ผมพอจะตอบแทนอาซากิได้คงมีแต่พยายามช่วยให้เธอรอดออกไป ซึ่งหากเธอพอใจเสียงรบกวนพวกนั้นก็น่าจะหายไปด้วย
‘พรุ่งนี้คงต้องลองเดินตามแม่น้ำไปดูก่อนแล้วกัน’’
ปกติแล้วหากหลงป่าการเดินตามแม่น้ำมักจะทำให้เจอบ้านคนได้ เพราะแม่น้ำถือเป็นเส้นเลือดที่นอกจากน้ำแล้วยังเป็นแหล่งอาหารเช่นปลาของชาวบ้านด้วย บ้านเรือนต่างๆก็มักจะขึ้นในบริเวณแม่น้ำ แต่ยังไงก็ตามก็คงต้องระวังสัตว์ป่าด้วยเพราะการเดินในแม่น้ำบางครั้งอาจไปพบกับสัตว์ป่าเอาก็ได้
…
…
แกร็บ...แกร็บ
‘จะทำอะไร!’
ก่อนหน้าเล็กน้อยผมสัมผัสได้ถึงแสงที่มีรูปร่างคล้ายคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ซึ่งตอนแรกผมยังไม่แน่ใจว่าเป็นคนเข้ามาขออาศัยกองไฟด้วยหรือไม่ แต่พอมองไปกลับไม่เห็นใครเลยคิดว่าอาจจะคิดมากไปเอง
แต่แสงนั่นหลังจากเห็นผมหันไปหาครั้งแรกแล้วเหมือนจะตกใจที่เห็นตน เลยเดินถอยห่างออกไปจนพ้นรัศมีการรับรู้ 5 เมตรของผม ไม่นานผมก็สัมผัสได้อีกครั้งจากด้าน อาซากิ แต่ผมยังคงนั่งมองกองไฟต่อไปเหมือนไม่มีอะไร
พอแสงนั้นเริ่มเดินเข้ามาใกล้จะบริเวณที่พักด้านอาซากิซึ่งผมได้วางใบไม้ กิ่งไม้แห้งเอาไว้ก็เกิดเสียงขึ้น จึงแน่ใจได้ว่ามีบางสิ่งอยู่แน่นอนเพียงแต่ผมมองไม่เห็นต้วยตา และที่รู้อีกอย่างคือ สิ่งนั้นไม่น่าใช่ผู้ประสงค์ดี
“โทษทีนะ ผมไม่รู้ว่าคุณทำอะไรผมถึงผมมองไม่เห็น แต่ผมรู้ว่าคุณอยู่ตรงไหน”
ผมลุกขึ้นแล้วเอามีดชี้ไปทางสิ่งนั้น พอสิ่งนั้นขยับไปทิศใดผมก็เลื่่อนมีดตาม ไม่นานสิ่งนั้นก็ถอยออกจากรัศมีการรับรู้ของผมไป
“อ อือ...ถึงเวรฉันแล้วหรอ”
อาซากิกล่าวอย่างสะลึมสะลือ ผมจึงเก็บมีดพับแล้วหันไปยิ้มให้
“ยังไม่ถึงหรอกครับ แค่ยืดเส้นยืดสายนิดหน่อย”
“อืม”
สิ้นเสียงเธอก็ฟุบลงไปนอนต่อ ผมเดินเบาๆรอบที่พักครู่นึงพอสัมผัสได้ว่านอกจากแมลงและนกบนต้นไม้แล้วไม่มีอย่างอื่นก็กลับไปนั่งลงตำแหน่งเดิมเฝ้าเวรต่อไป
==========================================
ความคิดเห็น