คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 Curse you
“ช่วยด้วย!!! ใครก็ได้…”
ผมตะโกนนานเท่าไรไม่ทราบ ทันทีที่ผมรู้ตัวว่าตนเองสูญเสียดวงตาไปแถมยังอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ สติผมเตลิดจนควบคุมตนเองไม่ได้ ได้แต่ตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสมเพช จนลืมความเจ็บปวดของร่างกายตนเองไประยะนึง แต่ทันทีที่ประสาทของผมเริ่มรับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกครั้ง แรงกระเทือนจากการตะโกนไม่หยุดทำเอาผมปวดจนร้องไปออก ราวกับกล้ามเนื้อทั่วร่างกำลังโดนมีดกรีดแทง ผมได้แต่ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอีกรอบรอให้ความเจ็บปวดทุเลาลง
...
…
เวลาผ่านไปนานเท่าไรผมไม่รู้ เป็นนาที ชั่วโมง? แต่สำหรับผมมันนานราวกับไร้จุดสิ้นสุด ในที่สุดผมเริ่มขยับร่างกายได้อีกครั้ง ผมค่อยๆใช้มือยันตัวขึ้นนั่งแล้วค่อยๆสงบจิตใจ พยายามใช้ประสาททั้งหมดที่เหลืออยู่สำรวจสภาพรอบตัว
ความเงียบที่ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลม แต่ผมเริ่มไม่แน่ใจกับสภาพร่างกายของตนเอง ไม่แน่ใจว่าที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรนี้เป็นเพราะหูของผมเองหรือไม่ เมื่อครู่ตอนที่ตะโกนขอความช่วยเหลือนั้นจิตใจตนเองไม่อยู่กับตัวจึไม่ทันสังเกตว่าผมได้ยินเสียงของตนเองหรือไม่เช่นกัน ผมจึงเอามือป้องหูปรากฎว่ายังคงได้ยินเสียงลมสะท้อนไปมาอยู่จึงโล่งใจไปเปราะนึงจากนั้นจึงลองตรวจสอบสัมผัสอื่นต่อ
กลิ่นที่ยังคงได้กลิ่นแต่กลิ่นเลือด ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะกำเดาที่ไหลออกมาจากจมูกด้วย ผมจึงบีบบริเวณใต้ดั้งจมูกแล้วสั่งเลือดกำเดาออกเบาๆ พอจมูกเริ่มโล่งแล้วก็สูดหายใจลึกๆอีกครั้ง...
…
เลือด...ผมยังคงได้กลิ่นเหมือนสนิมเหล็กเหมือนเดิมแต่ครั้งนี้ไม่ได้มาจากตัวผมแน่นอนแต่เป็นบริเวณรอบข้าง ใช่ผมได้กลิ่นเลือดจากรอบตัวผมเลยด้วยซ้ำ...ใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้น แม้จะไม่อยากคิดแต่ว่า...
…
ผมค่อยๆพลิกคว่ำตัวลงแล้วคลานไปตามพื้นด้านหน้าผมอย่างช้าๆ...แต่เพียงแค่คลานไปได้เล็กน้อยก็สัมผัสเข้ากับบางอย่างที่มีความยืดหยุ่น...ผมคลำไปรอบๆถึงรู้ว่ามันคือแขนของมนุษย์...
ใจผมเต้นแรงอีกครั้งราวกับจะหลุดออกมา ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยสัมผัสกับศพมนุษย์ ในชีวิตการทำงานที่เป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่านั้นบางครั้งที่เข้าปะทะกับผู้ที่ผิดกฎหมายไม่ว่าจะลักลอบล่าสัตว์ ค้าไม้ หรือขนยา มีหลายครั้งที่ผมต้องปะทะกับคนพวกนั้นจนบางครั้งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีผู้เสียชีวิต แต่กระนั้นผมยังคงทำใจให้เคยชินไม่ได้ชินอยู่ดี...ภาพเหตุการณ์บนเรือปรากฎขึ้นมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง...
ผมสะบัดหน้าไล่ภาพเหล่าผู้โดยสารที่กรีดร้องขอความช่วยเหลือในหัวออกไปแล้วสูดหายใจเข้าออกหลายครั้งเพื่อสงบใจจากนั้นก็ใช้มือคลำต่อถึงรู้ว่าแขนนั้นยังคงติดอยู่กับร่างกายแต่ว่า แขนที่ผมจับอยู่นั้นมันช่างเย็นพอพอกับพื้น ผมลองคลำบริเวณคอแล้วลองจับหาชีพจรอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าร่างนี้จะไม่มีเสียแล้ว
ผมลองคลำร่างนั้นต่ออยู่ครู่นึงถึงรู้ได้ว่าเจ้าตัวน่าจะเสียชีวิตมาราวๆ 4-6 ชั่วโมงแต่ไม่ถึง 12 ชั่วโมงเพราะในกรณีปกติแล้วร่างกายมนุษย์หากเสียชีวิตในระยะ 2-3 ชั่วโมงแรกจะยังคงมีความอบอุ่นอยู่และร่างกายจะอ่อนปวกเปียกแต่ว่าร่างที่ผมสัมผัสอยู่นี้ไร้ซึ่งความอุ่นแล้วและมีบางส่วนที่เริ่มแข็งตัว แต่หากเกิน 12 ชั่วโมงไปแล้วร่างกายจะแข็งทุกส่วน
‘ถ้าหมอนี่เป็นผู้โดยสารลำเดียวกับเราแสดงว่าเหตุการณ์บนเรือนั่นยังผ่านมาไม่นานเท่าไรสินะ’
ผมทำการตรวจสอบภาพศพนั้นต่อโดยการค่อยๆคลำไปตามร่างกายส่วนต่างๆจึงพอจะรู้ว่า ศพนี้มีสภาพที่คล้ายกับผมคือมีเลือดไหลออกจากทั้งตา จมูก ปาก ไร้ลูกตา แต่ต่างกันตรงที่ของหูไม่มีเลือดไหลออกมาจากหู แต่ศพนี้มีเลือดไหลออกมาจากหูด้วย ส่วนสภาพร่างกายภายในจะบอบช้ำเหมือนกับผมหรือไม่นั้นผมไม่อาจรู้ได้
“ทำไมกันนะ”
ผมผละออกจากศพนั้นแล้วลองเช็คสภาพตนเองไปพร้อมกับนึกสภาพของตนในระหว่างเกิดเหตุการณ์นั้น...
…
สิ่งที่ติดตัวผมตอนนี้นอกจากเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ขายาวแล้วมีเพียงมีดเดินป่าที่ยังคงติดกับสายรัดเอว และ เครื่องเล่น MP3 พร้อมหูฟัง นาฬิกาที่ผมมองไม่เห็น สร้อยห้อยคอที่ใส่ติดตัวไว้ด้วยความเคยชิน แต่ไม่มีอาหารเลยแม้แต่ชิ้นเดียว รู้งี้น่าจะไปแย่งกับคนอื่นหน่อยก็ดีอยู่หรอก...รึว่าจะกินศพพวกนี้…
‘ไม่’
ผมสะบัดหน้าไม่ว่ายังไงผมยังคงทำใจที่จะกินศพมนุษย์ไม่ได้ ยังไม่ใช่ตอนนี้ หากความหิวถึงขีดสุดจริงๆอาจจำเป็นต้องทำแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
…จะว่าไปตอนนั้น...ดังแต่ตอนที่ได้ยินเสียงประหลาดนั่นครั้งแรกจนถึงตอนฟื้นสติขึ้นมา เราใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงตลอดเลยนี่น่า...รึว่ามันช่วยลดผลกระทบกันแน่
ผมไม่มีอะไรพิสูจน์ความคิดนี้ได้ จึงได้แต่เก็บความคิดเรื่องนี้ไว้กับตัว แล้วคลานต่อไป…
ระหว่างทางที่คลานผมสัมผัสโดนอะไรหลายๆอย่างบางครั้งก็โดนอะไรซักอย่างที่นุ่มๆยุ่นๆ และมีกลิ่นสนิมแรง พอนึงถึงเหตุการณ์บนเรือก็อาจเป็นได้ว่าเป็นซากของผู้โดยสารที่เสียชีวิตจากการที่ร่างกายระเบิดออกมา ทำเอาผมร้องเสียงหลงอยู่หลายครั้ง บางครั้งที่ผมสัมผัสโดนร่างกายคน ผมก็จะทำการลองจับชีพจรดูทุกครั้งเพื่อจะมีคนรอดบ้างแต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะเสียชีวิตหมดแล้ว แถมทุกศพที่ยังคงสภาพร่างกายจะมีเลือดไหลออกจากหู ตา จมูก ปากทั้งสิ้น และไร้ลูกตา เช่นเดียวกับศพแรกที่ผมพบ...
...
‘ไม่เอาแล้ว นี่มันนรกรึไงกัน’
“อ้ากกกกก!”
ราวกับสติขาดดังฝึง ใจที่พยายามทำให้สงบถูกทำลายลงเพราะทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวมีแต่ศพ และ ก็ศพ ผมตะโกนออกมาสุดเสียง
“ใครก็ได้...ช่วยด้วย!!!”
พอผมตะโกนอีกครั้งร่างกายก็เริ่มปวดร้าวอีกรอบ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายเริ่มทุเลาลงหรือประสาทผมเริ่มด้านชากันแน่ ความเจ็บปวดที่รู้สึกนั้นน้อยลงกว่าครั้งแรกกว่าครึ่ง ทำให้ครั้งนี้ผมรับรู้ถึง...
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย….”
เสียงก้องสะก้อนของตนเองที่ดังรอบทิศ ทำให้ผมพอจะคาดได้เลาๆว่าตัวผมตอนนี้อาจจะอยู่ในถ้ำ หรือ ใต้หน้าผา หรือที่ไหนซักแห่งที่มีกำแพงหินแข็งรอบตัวอยู่ก็เป็นได้ ผมเริ่มคลานไปตามทิศเสียงสะท้อนระหว่างทางผมทับร่างไร้วิญญาณบ้าง แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้ว ผมต้องการสัมผัสอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่พื้นดิน...ไม่นานนักมือผมก็สัมผัสได้ถึงผนังหิน จากนั้นผมก็เริ่มส่งเสียงตะโกนอีกครั้ง
“ช่วยด้วย!”
ผมกัดฟันอดกลั้นความเจ็บปวดแล้วเพ่งสมาธิฟังเสียงสะท้อน
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย….”
เสียงสะท้อนยังคงมาจากทุกทิศทางเช่นเคย บน ซ้าย ขวา หน้า หลัง แต่ดูเหมือนว่าเสียงจากด้านหลังจะเบาที่สุด ผมพยายามวาดภาพในหัวคร่าวๆโดยการฟังเสียงสะท้อน แต่ก็ไม่อาจทำได้
‘นั่นสินะเราไม่ใช่ค้างคาวซักหน่อย’
แต่อย่างน้อยผมคาดว่าที่ที่ผมอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นถ้ำเพราะมีเสียงสะท้อนจากด้านบน จากนั้นผมก็เสี่ยงดวงโดยการเลือกที่จะย้อนกลับไปด้านหลังที่ไม่ค่อยได้ยินเสียงสะท้อนด้วยการใช้มือคลำตามผนังถ้ำแล้วค่อยๆออกเดินช้าๆ โดยหวังว่าทางที่ตนเองเลือกจะเป็นทางออก
กึก...กึก...กึก
เสียงรองเท้าของผมที่ดังกระทบกับพื้นหินสะท้อนก้องไปทั่ว ผมค่อยๆคลำตามผนังถ้ำแล้วเดินไปยังทิศที่คิดว่าน่าจะเป็นผนังถ้ำช้าๆ
กึก...กึก...กึก
บางครั้งผมก็ไปสะดุดอะไรซักอย่างเข้าจนเกือบล้ม แต่ผมไม่สนใจที่จะตรวจสอบสิ่งนั้นแล้วเพราะคาดว่าจะเป็นศพของมนุษย์เหมือนเดิม ผมยังคงเดินหน้าตาไป ไม่นานลมเย็มเริ่มพัดเข้ามาตีใบหน้า ทำเอาผมใจชื้นขึ้นมาก นับว่าโชคดีที่ผมเลือกเดินมาไม่ผิดทาง ดูเหมือนว่าทางนี้จะเป็นปากถ้ำจริงๆ
ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นและแล้วในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงของแมลง และ นก ผมได้กลิ่นของต้นไม้พัดเข้ามา
‘ป่า’
ด้วยความดีใจที่ออกจากถ้ำนั้นได้ ผมเผลอเดินหน้าโดยไม่คลำทางเสียก่อนทำให้
“เหวอ!”
พลั้ก! กร๊อบ!
“ฮึก...ฮึก”
ผมกัดแขนตนเองไม่ให้ร้องออกมาเพราะกลัวว่ามันจะกระเทือนอวัยวะภายใน
ความสูงที่ตกมานั้นไม่รู้ว่าสูงเท่าไรแต่น่าจะเกือบ 10 เมตร เพราะแรงกระแทกใกล้เคียงกับเวลากระโดดลงจากอาคารชั้นสอน ยังดีที่ผมตกลงบนดินโคลน และ ลงด้วยเท้าทำให้ช่วยลดแรงกระเทือนได้มาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำเอาผมจุกจนพูดไม่ออก ความจริงแค่ค่อยๆขยับร่างกายก็ยังปวดระปมแล้ว นี่ยังซวยมาตกหน้าผาอีก
พยายามลุกขึ้นจากดินโคลนแต่ทว่าขาทั้งสองข้างกลับไม่ทำตามที่สมองคิดมันสั่นจนไม่อาจยืนใด ผมจึงใช้แขนทั้งช่วยตะกายตัวออกมาจากบ่อโคลนนั้น พอพ้นก็พยุงตัวขึ้นนั่งเช็คสภาพร่างกายตนเอง
‘...หัก...ซะแล้ว’
แม้ข้อเท้าข้างซ้ายข้อจะเพียงซ้น แต่ข้างขวานั้นหักไปเรียบร้อย ร่างกายที่ระบมกับเท้าที่หักทำให้เจ็บจนน้ำตาไหล แม้ว่าจะเจ็บมาทั้งวันแต่ความเจ็บมันก็คือความเจ็บจะเกิดแค่ไหนก็คงทำให้ชินไม่ได้
‘ฮะ ฮะ เพิ่งจะรู้ว่าไม่มีลูกตาแล้วน้ำตาก็ยังไหลได้เนี่ยแหละ’
ไม่แน่ใจมาตอนที่ลงไปนอนดิ้นเพราะความเจ็บปวดครั้งแรกหลังจากตะโกนในถ้ำนั้นผมร้องไห้ด้วยหรือไม่สมองมันตื้อไปหมด แต่ตอนนี้ที่สติเริ่มดีขึ้นถึงได้รู้เรื่องสังเกตเรื่องนี้ จากนั้นผมก็กัดฟันพยายามลืมความเจ็บปวดทั่วร่างกาย หากมัวครวญครางคงได้แต่นอนรอความตายเป็นแน่ผมคิดดังนั้น เพราะไม่ว่าจะขอความช่วยเหลือเท่าไรก็ไม่มีใครมาช่วย หรือเราจะเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวรึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้...
…
หลังจากนั่งพักอาการอยู่ครู่นึง เมื่อความเจ็บปวดเริ่มจางลง ที่ไม่รู้ว่าเพราะสมองชา หรือ สาเหตุอื่น ผมก็ตัดสินใจมุ่งหน้าต่อไปด้วยการคลาน โชคดีที่พื้นบริเวณนี้เป็นดิน ที่ค่อนข้างนุ่ม ทำให้คลานได้สะดวกประกอบกับที่ผมใส่แขนเสื้อเลยข้อศอกมาเล็กน้อย ทำให้ไม่เจ็บข้อศอกตอนคลานมากนัก
ทางที่ผมมุ่งหน้าไปนั้นดูเหมือนว่าจะไปทางลาดลงเล็กน้อย คราวนี้ผมค่อยๆคลานอย่างระมัดระวังโดยใช้มือสัมผัสบริเวณด้านหน้าก่อนที่จะคลาน ทำให้เคลื่อนที่ไปได้ค่อนข้างช้า และผมพยายามหยุดฟังเสี่ยงโดนรอดตอนทาง
ครึก ครึก
หลังจากที่น่าจะผ่านไปหลายชั่วโมงในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงของแม่น้ำ แม้จะดีใจแต่ครั้งนี้ผมระงับความตื่นเต้นเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายซ้ำสอง ผมจึงยังคงค่อยๆคลานต่อไปเหมือนเดิม
‘ใกล้จะถึงแล้ว...อีกนิดเดียว’
...
…
คลานต่อมาได้อีกครู่นึง เมื่อแหวกพุ่มไม้เป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ จนเสียงแม่น้ำที่ใกล้เหมือนจะอยู่ตรงหน้าแล้ว อยู่ๆ
“กรี้ด!”
“เหวอ!”
เสียงผู้หญิงกรีดร้อง และเสียงอุทานด้วยความตกใจสุดชีดของผู้ชายราวกับเห็นผีก็ไม่ปานในระยะที่เรียกได้ว่าใกล้มากน่าจะห่างกันไม่เกิน 10 เมตรด้วยซ้ำ
‘เป็นเพราะเรา?’
“อย่าเข้ามานะ!”
ดูเหมือนจะใช่จริงๆ แม้ว่าผมจะมองไม่เห็นสภาพตนเองในตอนนี้แต่พอจินตนาการร่างที่ไร้ดวงตา และน่าจะเต็มไปด้วยเลือด (เพราะตอนที่อยู่ในถ้ำนั้นผมล้มลุกคลุกคลานกับศพคนจำนวนมากอยู่ เลือดก็จะจะเปรอะไปทั่วร่าง) ก็อดขนลุกไม่ได้ แต่ว่า…
‘คนนี่ ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย’
“ช่วย...ช่วยผมด้วย”
เสียงของผมออกมาแหบจนน่าตกใจน่าจะเป็นผลมาจากที่ตะโกนมาคอแทบแตก แต่ที่น่าแปลก ตอนที่ผมคิดว่าจะไม่เหลือผู้รอดชีวิตแล้ว แม้ตอนแรกจะหวาดกลัวแทบคลั่งจนในที่สุดก็ทำใจได้แล้วพยายามเอาตัวรอดต่อไปด้วยตนเองเพียงลำพัง แต่แล้วทันทีที่รู้ว่ายังมีผู้รอดชีวิตคนอื่นอยู่ด้วยความตั้งใจนั้นกลับพังทลายลงง่ายดายอย่างน่าตกใจ
“เดี๋ยวก่อน นั่นอาจเป็นผู้รอดชีวิตคนอื่นก็ได้นะ”
เสียงผู้หญิงดังขึ้นมาคล้ายร้องห้าม จากนั้นมีเสียงคุยกันเบาๆที่ผมได้ยินไม่ชัดนัก
“เฮ้ย! แกน่ะ”
เสียงของผู้ชายดังขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะใกล้ขึ้นด้วย จากนั้นก็ได้ยินเสียงเท้า เจ้าตัวคงจะเดินเข้ามาหาผมล่ะมั้ง แต่ว่าตอนนี้ผมที่แทบไม่เหลือเสียงจะพูดแล้ว แถมร่างกายยังเหนื่อยล้าสุดขีด แม่น้ำก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว สิ่งที่ตอบกับคนกลุ่มนี้จึงมีเพียง
“ขอ...ขอน้ำ”
“พี่ชาย ลุกไหวไหมครับ”
เสียงชายอีกคนเดินเข้ามาถามสภาพผม ด้วยน้ำเสียงที่สุภาพกว่าชายคนแรกมา ผมได้แต่ตอบชายคนดังกล่าวด้วยภาษาร่างกายโดยการชี้ไปที่ขาของตนเอง และโบกมือไปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตอนนี้ใช้ขาไม่ได้
“เฮ้ย! พนมาช่วยกันหน่อย”
เสียงชายอีกคนบ่นอะไรซักอย่างงึมงำ แต่ก็ยังมาช่วยพยุงผมเดินไประยะนึงจนถึงแม่น้ำ ทันทีที่ผมทรุดตัวลงแล้วคลำเจอของเหลว เมื่อสัมผัสและดมจนรู้ว่าเป็นน้ำธรรมดาแน่ๆก็รีบกวักน้ำดื่มอย่างกับไม่เคยกินน้ำมาก่อน
“เอาล่ะ พี่ชายพอจะเล่าเรื่องของพี่ชายให้ฟังได้รึยังครับ”
“อืม”
ผมเริ่มเล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงประหลาดบนเรือครั้งแรก เล่าเรื่องที่ตนเองปวดร่างกายทั่วร่างหลังจากเกิดเสียงประหลาดนั่นครั้งที่สอง และเล่าจนถึงรู้สึกตัวอีกครั้งในที่ที่แห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นถ้ำ แต่ไม่รู้เพราะสาเหตุใดผมกลับไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมพบศพผู้โดยสารจำนวนมากรอบๆตัวผมหลังรู้สึกตัว
ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้จะได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของผมเช่นกัน และพยายามออกหาตัวผม แต่กลับไม่เจอ ซึ่งก็น่าจะไม่แปลกนักเพราะถ้ำที่ผมรู้สึกตัวดูเหมือนจะเป็นถ้ำที่อยู่บนหน้าผา
“พี่ชาย...ปีนี้ปีอะไรครับ”
หลังจากผมเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังจนจบ อยู่ๆชายคนเดิมก็ถามผมด้วยคำถามแปลกๆ
“เอ๋...ก็ พ.ศ. 2556 หรือ ค.ศ.2013 ไง”
ถามจบดูเหมือนว่าคนในกลุ่มจะแยกตัวออกไปคุยกระซิบอะไรซักอย่างกัน เท่าที่ลองฟังจากเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุย ดูเหมือนจะทั้งกลุ่มจะมีกันทั้งหมดประมาณ 4 คนเป็นชาย 2 หญิงสอง ส่วนเรื่องนี้คุยนั้นผมได้ยินไม่ชัดนัก แต่ได้ยินอะไรแปลกๆมาอย่าง
‘พวกสอบตก’
‘ข้ามมิติ’
เสียงคุยของชาย หญิงในกลุ่มดูตึงเครียดขึ้น ไม่นานก็ดูเหมือนจะตกลงกันได้ เสียงฝีเท้าของคนส่วนหนึ่งเดินห่างออกไป แต่อีกส่วนหนึ่งดูเหมือนจะเดิมเข้ามาหาผม
“ขอโทษนะพี่ชาย พวกผมขอยืมมีดนั่นหน่อยได้รึเปล่า”
ผมเริ่มสังหรใจไม่ดี
“เอ๋ จะเอาไปทำอะไรหรอครับ”
“เอ่อ...ก็”
“น่ารำคาญ! จะมัวพูดอ้อมค้อมทำไมวะ กร นี่! พี่ชาย”
“ค ครับ”
“มีดนั้นพวกผมขอล่ะนะ เพราะยังไงดูเหมือนว่าพี่ชายจะไม่ได้เอามาใช้อยู่แล้วนี่”
ได้ยินดังนั้นผมเข้าใจจุดประสงค์ของทั้งคู่ทันที จึงรีบดึงมีดออกมาจากซองข้างเอวแล้วตวัดไปมาเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย พลางค่อยๆตะกายตัวถอยหลัง
“อย่าเข้ามานะ”
“หวา! ไอ้พนมึงพูดงี้อีกฝ่ายก็รู้ตัวหมดน่ะสิ ทำเอากูเกือบโดนฟันแล้วไหมล่ะ”
“แกนั่นแหละ บ้ารึเปล่ามัวแต่อ้อมค้อมอยู่ได้เสียเวลามันแค่คนตาบอดนะ”
ทั้งคู่เริ่มเถียงกัน ส่วนผมก็ได้แต่แกว่งมีดไปมาเมื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาแล้วพยายามกระเถิบตัวออกห่าง แต่ก็ทำได้อย่างยากลำบากเพราะขาที่เจ็บอยู่
“แกนั่นแหละ ถ้าหลอกมันเอามีดมาได้จากนั้นแค่ขโมยหนีไปมันก็ตามไม่เจอแล้ว”
“จะทำให้มันยุ่งยากทำไมแค่คนตาบอดแถมขาหักอีกจัดการแปบเดียวก็เสร็จแล้ว”
“จะบ้าเรอะ แต่เป็นคนตาบอดที่มีดยาวเป็นฟุตนะโว้ย”
“จะยากอะไรกันก็แค่…”
ปึ๊ก!
“โอ๊ย!”
อะไรซักอย่างที่น่าจะเป็นก้อนหินกระแทกเข้าบริเวณหัวผมอย่างจัง จากนั้นผมก็เริ่มโดนก้อนหินซัดเข้าใส่อย่างต่อเนื่องจนต้องงอตัวกำบังร่างกายตนเอง
กึก...กึก...กึก
หลังจากที่ผมงอตัวครู่นึง หินที่โยนเข้ามาใส่อย่างต่อเนื่องก็หยุดลง เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ผมกะระยะให้ห่างจากผมไม่มากนัก
ฟุบ!
“หวา!”
‘พลาดซะแล้ว’
ตึง!
เสียงหินขนาดใหญ่หล่นลงสู่พื้น ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยกหินก้อนนั้นผมทุ่มใส่ผม แต่พอหลบมีดของผมก็เผลอทำหินหล่นลงไป
ตุบ!
“อั๊ก!”
เท้าของหนึ่งเตะอัดเข้าชายโครงผมเต็มๆจนผมเผลอทำมีดหลุดมือ
‘แย่ล่ะ’
มีดในมือไม่รู้หล่นไปตรงไหน
“เฮ้ยในพน มึงเป็นไรเปล่าวะ”
“นี่มัน...เลือดกูนี่หว่า...กูจะฆ่ามึงไอ้บอด”
ผมรีบคลานไปยังทิศที่คาดว่ามีดน่าจะตกไปแต่ทว่า
ตุบ!
“!!!”
เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนมือผม
“ไอ้...บอด...มึง...ตายแน่”
ผู้พูด พูดช้าๆชัดๆทีละคำเหมือนจะข่มผม แต่ว่าโอกาสดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ผมรีบใช้มืออีกข้างขาอีกฝ่ายจนล้มลง ความจริงแล้วถ้าเหยียบหาที่หักของผมก็หมดเรื่องไปแล้วแต่ดูถ้าชายทั้งสองคนจะลืมคิด
“หวา!”
ผมรีบขึ้นคร่อมตัวอีกฝ่ายแล้วกะระยะบริเวณลำตัวของอีกฝ่าย จากนั้นก็ชกไปบริเวณที่คาดว่าจะเป็นลำตัวอย่างเต็มแรง
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
“โอ๊ก!”
ถ้าเป็นยามปกติผมควรจะชกเข้าบริเวณใบหน้า แต่ผมที่ตาบอดตอนนี้เน้นบริเวณลำตัวน่าจะเข้าเป้าง่ายสุด เมื่อชกครั้งแรกแล้วรู้ว่าไม่ผิดพลาดผมก็ ชกจุดเดิมย้ำๆลงไป
ตุบ!
ฝ่าเท้าอัดเข้ามายังใบหน้าผม แต่ครั้งนี้ผมที่รู้อยู่แล้วว่าอีกคนนึงต้องเข้ามาช่วยอยู่แล้วจึงพยายามกลั้นหายใจกัดฟันตนเองเอาไว้ เพื่อรับแรงกระแทก ความเจ็บปวดจากการโดนคนพวกนี้ทำร้ายนั้นไม่ได้ถึงครึ่งของตอนที่พึ่งได้สติแล้วปวดร่างกายด้วยซ้ำ
“หวอ!.
หัวของของผมแทนที่จะเอียงไปตามแรงเตะ กลับเพียงแค่บิดเล็กน้อยทำให้อีกฝ่ายเสียการทรงตัว ผมจับขาข้างนั้นไว้ แล้วกัดเข้าไปเต็มแรงตรงส่วนที่น่าจะเป็นน่องของคนคนนั้น
“อ้าก!”
“ไอ้บอด นี่! ทำไมแรงมันเยอะงี้วะ”
ร่างที่ถูกผมคร่อมอยู่พอเห็นผมเปลี่ยนจุดสนใจพลิกตัวสุดแรงทำเอาผมเสียหลักไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นผมยังคงจับชายอีกคนเอาไว้ได้ แล้วชกลงร่างนั้นไม่ยั้ง
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
“อือ!”
แขนคู่นึงมาล็อกคอผมแล้วลากผมออกมาจากเพื่อนของเขา ผมทั้งชกสวนคนที่ล็อคคอ ทั้งใช้เล็บขูดหน้าชายคนนั้นเต็มกำลังแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมไป
“ไอ้สัตว์! มึงตาย!”
ฉับ!
มีดฟันโดนผมเต็มๆตั้งแต่บริเวณหัวไหล่ลงไป น่าแปลกกลับไม่มีความเจ็บปวดมากนัก สมองผมอาจชาไปจริงๆแล้วก็ได้ แต่แรงในร่างกายกลับหายไปดื้อๆราวกับหุ่นเชิดถูกตัดสาย ชายที่ล็อคคอผมคลายล็อคลง ปล่อยให้ร่างของผมล้มลงไปตามแรงดึงดูดของโลก ของเหลวกลิ่มสนิมเริ่มไหลมาสัมผัสมือ และ ใบหน้าผม
“เฮ้ย! กร มึงเป็นไรมากเปล่าวะ”
“เป็นสิวะ แม่ง กัดกูซะลึก มึงล่ะ”
“พอไหวว่ะ ขาดูเหมือนแผลจะไม่ลึกมาก แต่ปวดท้องชิบ แล้วจะเอายังไงกับไอ้บอดนี้ดี”
“ปล่อยทิ้งไว้งี้แหละ กูฟันไปซะลึกขนาดนั้น เดี๋ยวก็ตายแล้ว”
เสียงฝีเท้าของทั้งคู่ค่อยๆเดินห่างออกไป เสียงของความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง
‘โธ่เว๊ย...โธ่เว๊ย...นี่เราจะต้องมาตายอย่างไร้ค่าอย่างนี้น่ะหรือ’
แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น
แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น
แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น
แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น
ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า
ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า
ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า
ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่า ฆ่าฆ่า ฆ่
ในสมองของผมมีแต่ความแค้นจนอยากจะสับคนพวกนั้นให้แหลกละเอียด แต่ร่างกายกลับไม่สามารถขยับตัวได้ตามความคิด สติค่อยๆเริ่มเลื่อนลอย
‘ไอ้พวกบัดซบนั้นมันอยู่ไหน กูจะฆ่าพวกมันให้หมด’
ความคิดของผมเริ่มผิดเพี้ยน ในสมองมีแต่ต้องการฆ่าคนพวกนั้น ต้องการค้นหาคนพวกนั้นมาสับเป็นชิ้นๆ น่าเสียดายไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายที่ขยับไม่ได้เท่านั้น ต่อให้รอดไปได้จะไปตามหาคนพวกนั้นที่ไหน ผมในตอนนี้ก็ไม่อาจทำได้
‘โธ่เว๊ย...โธ่เว๊ย...ถ้าแค่รู้ว่าพวกมันอยู่ไหน’
น่าตลกที่สิ่งที่ผมคิดตอนนี้กลับไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการรักษาตนเองเลย มีแต่เพียงต้องการรู้ถึงที่อยู่ของอีกฝ่ายเท่านั้น…
‘แปร๊บ!’
ราวกับในหัวแทบระเบิดอยู่ๆผมปวดหัวอย่างสุดๆขึ้นมา ความเจ็บที่อยู่ๆกลับมาอีกครั้งทำให้แทบอยากกรีดร้องระบายความเจ็บปวดนั้นออกมาแต่กลับไม่อาจทำได้เพราะร่างกายที่ไม่อาจแม้แต่จะขยับตัวได้อีกแล้ว
ไม่นานนักเมื่อความเจ็บปวดนั้นหายไป...แสง...แสงที่ผมไม่ได้เห็นมานาน อยู่ๆผมกลับเห็นแสงรอบตัว แต่แสงนั้นกลับแปลกประหลาดเป็นแสงสีต่างๆในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
สิ่งที่ผมเห็นในตอนนี้ถ้าให้บรรยายของเหมือนกันใครซักคนเอาสารเรืองแสงไปทาไว้ตามต้นไม้ใบหญ้า เห็นแม้กระทั่ง อะไรซักอย่างที่รูปร่างคล้ายปลาขนาดใหญ่อยู่ในส่วนที่ควรจะเป็นแม่น้ำ แม้แต่อะไรซักอย่างที่รูปร่างคล้ายแมลงที่อยู่ใต้ดิน ราวกับผมรับรู้ถึงสิ่งรอบข้าง โดยที่ไม่ต้องหันหน้าไปดูเลยแม้แต่น้อย น่าแปลกผมสิ่งที่ผมเห็นนั้นมีเพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ผมไม่ห็นแม่น้ำที่ยังคงได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา
แต่แล้วภาพพวกนั้นกลับค่อยๆมืดลง...มืดลง...ไม่นะนี่ผมจะเสียแสงสว่างไปอีกแล้วงั้นหรอ...ไม่เอานะ
ความคิดเห็น