ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Remnant of Memory

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 Aimlessly

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 56


    ผลั้ก! ตุบ!

    “ข...ขอโทษครับ”

    “ยกโทษ...ให้พวกเราด้วย”

    ฉันหยุดมือเมื่อชายสองคนเริ่มยกมือไหว้ ขอร้องด้วยน้ำตานองหน้า

    “เฮ้อ!”

    ฉันถอนหายใจออกมาผลักชายคนที่ฉันจับคอเสื้ออยู่ลงไปกองบนพื้น ชายอีกคนรีบเข้ามาพยุงเพื่อนของเขาไว้

    “อี๋”

    ทั้งคู่รีบกอดคอพยุงกันหนีหายเข้าไปในป่า รอบข้างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ฉันเดินไปเด็ดใบไม้ใกล้ตัวมาเช็ดเลือด และ น้ำตาที่ติดอยู่ที่มือ ใจจริงอยู่ใช้ทิชชู่อยู่หรอกนะ แต่กลางป่าแบบนี้จะไปหาที่ไหนได้ล่ะเนี่ย

    ‘ให้ตายสิ พวกผู้ชายนี่ในหัวมีแต่เรื่องอย่างว่ารึไง’

    ตอนที่ฉันรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่กลางป่าที่เงียบสงบเสียแล้ว แถมผู้โดยสารคนอื่นๆดันหายหัวไปไหนหมดก็ไม่รู้ แต่น่าแปลกที่ฉันเข้ามาอยู่ในป่ากลับเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างแปลกประหลาด ราวกลับเหมือนโดนเขียนข้อมูลเข้ามาในหัว...ไม่สิเรื่องนั้นน่าจะเป็นเพราะฉันคิดไปเองมากกว่า ไม่มีทางเป็นจริงหรอก ฉันต้องประสาทไปแล้วแน่ๆ...

      ฉันพยายามคิดกลบเกลื่อนข้อมูลที่เข้ามาในหัวโดยพยายามคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อไร้สาระที่ฉันคิดไปเอง นั่นสินะผู้ถูกเลือกอะไรกัน จะเลือกไปทำอะไร แล้วไร้อายุไขเนี่ยนะ น่าขันสิ้นดีที่สำคัญกว่านั้นคือ ทั้งตัวนอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ตอนอยู่บนเรือแล้ว ฉันไม่มีอะไรติดตัวมาเลย

    หลังจากที่อยู่ๆเริ่มเข้าใจสถานการณ์แล้วฉันก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมาติดกลางป่าโดยไม่มีเพื่อนมนุษย์ แต่หลังจากเดินสำรวจได้ไม่นานนักก็เจอกับชายสองคนเมื่อครู่ ฉันดีใจรีบวิ่งเข้าไปทักทาย ซึ่งตอนแรก เดินแรกทั้งคู่ก็ดูเหมือนว่าจะพูดคุยกับฉันดีดีอยู่หรอก แต่ว่าพอเราเริ่มออกเดินได้ซักพัก ดูเหมือนธาตุแท้ของทั้งสองเริ่มเผยออกมา พยายามเข้ามาข่มขืนฉัน โดยชายคนนึงพยายามเข้ามากอดข้างหลัง ส่วนอีกคนพยายามที่จะฉีกเสื้อยืดของฉันออก

    “บรื๋อ”

    แค่คิดก็ขนลุกแล้วโชคยังดีที่ฉันยังพอเป็นศิลปะป้องกันตัวอยู่บ้างเพราะต้องใช้ตอนทำงานบ่อยๆ เลยพอป้องกันตัวได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำเอาเหนื่อยพอดู แต่ถ้าเป็นผู้หญิงธรรมดาล่ะก็ กลางป่าที่ไร้กฎหมายแบบนี้...ที่ฉันปล่อยทั้งคู่ไปคิดถูกรึเปล่าเนี่ย

    ‘เที่ยวต่างประเทศมาหลายที่ เที่ยวไทยก็ตั้งหลายรอบ เจออะไรแปลกๆก็หลายครั้ง ไม่นึกว่ารอบนี้จะขนาดนี้นะเนี่ย สมแล้วที่โฆษณาประเทศว่า Amazing Thailand’

    ฉันประชดในใจพลางเดินเข้าไปในป่าฝั่งตรงข้ามกับที่ทั้งคู่หนีไปพยายามมองหาแหล่งน้ำ

    แซ่ก แซ่ก

    หลังจากเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย มองไปรอบข้างอะไรก็เหมือนกันหมด มีแต่ต้นไม้ ต้นไม้ แล้วก็ต้นไม้ จู่ๆเสียงดังขึ้นมาจากพงไม้ข้างทาง ประสาทของฉันตื่นตัวขึ้นมาทันที ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ฉันเริ่มระวังตัวขึ้น ฉันจึงรีบวิ่งหลบเข้าต้นไม้หลังทันที แล้วมองไปรอบตัวเพื่อจะหาอะไรมาเป็นอาวุธแต่โดยรอบกลับไม่มีอะไรเลยที่พอจะใช้ได้

    แซ่ก แซ่ก

    เสียงดังขึ้นอีกครั้งพร้อมปรากฎร่างชายคนนึงผิวคล้ำเล็กน้อย ใส่ชุดคล้ายพนักงานที่อยู่บนเรือ แต่ชุดหลุดลุ่ยไม่เหมือนตอนอยู่บนเรือ (แน่ละอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้ใครจะมัวใส่ชุดให้เรียบร้อยให้มันขัดร่างกายตัวเองกันล่ะ) ฉันเห็นว่าเป็นคนเหมือนกันก็โล่งใจไปเปราะนึงแต่ยังคงเกร็งอยู่เพราะฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้ชาย แต่ยังพยายามทำใจกล้าทักทายออกไป

    “สวัสดีค่ะ…”

    ทันทีที่ฉันเอ่ยคำพูดขึ้นมาชายคนนั้นกระโดดกระโดดถอยหลังแล้วชักมีดพับออกมาทันที...พนักงานบนเรือพกมีดพับด้วยนี่นะ...เอาเถอะเรื่องนั้นช่างมัน

     

    ...เฮ้อ...นึกว่าจะไม่มีคนบนเรือรอดนอกจากผมเสียแล้ว”

    “คิดเหมือนกันเลยค่ะ...ฉันเดินมาตั้งนานยังไม่เจอใครเลยเหมือนกัน”

    เพื่อไม่ให้บรรยากาศเสีย ฉันจึงไม่กล่าวถึงชายสองคนเมื่อครู่คิดเสียว่าเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุในป่า แค่เจอสัตว์ป่าสองตัว ไม่ถือว่าเป็นคนก็แล้วกัน

    นั่นสินะ...งั้นไปกับผมไหม…”

    “เอ๋...คุณรู้ทางหรอคะ…”

    “เปล่าหรอกก็เดินหาไปเรื่อยๆเหมือนกันแต่ตอนนี้ยังไงต้องหาแหล่งน้ำก่อนล่ะ แถมแบบนี้มันอุ่นใจกว่าด้วย”

    ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบที่ชายเบื้องหน้ามองฉันด้วยสายตาแปลกๆเหมือนกับชายสองคนเมื่อครู่แต่ยังไงมีคนอยู่ด้วยกลางป่าแบบนี้น่าจะสบายกว่า...แต่เรื่องวิธีการรอดไปจากป่าสองทางที่ข้อมูลในหัวนั้นบอกมานี้สิจะลองถามดีไหมนะ...

    “อ เอ่อ…”

    อ้อ ใช่ๆผมลืมแนะนำตัวเองไปเลย ผมชื่อ กรินทร์ ครับ ชื่อเล่น ไก่ จะเรียกว่าไก่ก็ได้นะครับ”

    ไก่พูดแทรกขึ้นมาคงคิดว่าจะถามชื่อล่ะมั้ง เอาเถอะเรื่องนั้นอย่าถามเรื่องนั้นดีกว่าเดี๋ยวถูกหาว่าเป็นบ้าไปซะเปล่าๆ

    ฉัน อาซากิ (Asagi) ค่ะ”

    พอฉันกล่าวชื่อ ไก่ทำหน้าตาแปลกใจ

    “เอ๋!... คนญี่ปุ่นหรอครับแต่ว่าสำเนียงไทยชัดมากเลยนะครับเนี่ย เป็นลูกครึ่งหรอครับ”

    “เปล่าค่ะคือ...เรื่องนั้น...พอดีมาเที่ยวบ่อยเลยพอจะพูดได้บ้าง”

    อื้อ ฉันไม่ได้โกหกอะไร ก็มาไทยหลายครั้งจริงๆนี่

    แล้ว…”

     

    ตกลงค่ะ”

    ฉันเริ่มคุยกับไก่ว่าเราผ่านมาทางไหนกันบ้างแล้ว แม้ว่าเราทั้งคู่จะไม่มันใจนักเพราะป่าดูเหมือนว่ามันจะมองเหมือนกันไปหมด แต่ก็พอจะเดาได้คร่าวๆว่ามาตรงทางไหน เราจึงไปอีกทางที่พวกเรายังไม่ได้ผ่านมา

    ไก่เป็นคนเดินนำพอมาอยู่อย่างนี้ทำให้รู้ว่า เวลาเดินตามคนอื่นนี่มันก็เดินง่ายกว่าไม่ต้องเสียเวลาคอยแหวกหญ้า หรือตัดกิ่งไม้ข้างทาง ปล่อยให้คนด้านหน้าทำให้

    ...

    พวกเราเดินกับเงียบๆไม่หาเรื่องชวนคุยกันเท่าไรนักเพราะต่างฝ่ายต่างไม่อยากเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ ระหว่างที่เรากำลังเดินในป่าแห่งนี้ฉันพยายามสังเกตรอบข้างเรื่อยๆด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แยกไม่ออกว่าทางไหนเป็นทางไหน ต้นไม้มีแต่พันธุ์อะไรก็ไม่รู้ เคยได้ยินว่าต้นไม้บางอย่างเราสามารถกินน้ำของมันได้ แต่ฉันก็ไม่รู้เป็นต้นไหน ระหว่างที่เดินฉันก็พยายามมองหาผลไม้ไปด้วยตลอด แต่ทว่าไม่มีอันไหนที่ฉันรู้จักเลย ทำให้ฉันก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะกินมัน

    พวกเราเดินกันมาได้พักใหญ่แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงของแม่น้ำเลยแม่กรินทร์ก็เริ่มสีหน้าไม่ค่อยดี

    นั่งพักกันก่อนเถอะ”

    ฉันพยักหน้าตอบรับโดยไม่กล่าวคำใดออกมา พวกเราหาที่นั่งใต้ต้นไม้ห่างกันเล็กน้อย ฝ่ายกรินทร์ทิ้งตัวลงพื้นทันทีด้วยท่าทางหมดแรง...นั่นสินะก็เดินกันมาราวๆ 3-4 ชั่วโมงแล้วนี่น่า

    ฉันมองหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลของฉัน เวลาบนหน้าปัดอยู่ที่ 03.00 PM แต่หากมองจากสภาพท้องฟ้าตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มแล้วคงใกล้ค่ำเต็มที่ นั่นสินะโผล่มายังที่ไหนก็ไม่รู้เวลาจะไปตรงกันได้ยังไง ฉันถอนหายใจพลางนึกว่าไว้วันพรุ่งนี้ค่อยปรับเวลาอีกครั้งตอนพระอาทิพย์อยู่เหนือหัวก็แล้วกัน จากนั้นก็ใช้เท้ากวาดพื้นดินที่กำลังจะนั่งแล้วค่อยทิ้งตัวลงพักขาที่เดินที่เมื่อยล้าเต็มที

     


    พวกเรายังคงนั่งกันเงียบๆฉันไม่รู้ว่าฝ่ายกรินทร์กำลังคิดอะไรอยู่ แต่น่าจะคิดคล้ายๆกันว่าใกล้ค่ำแบบนี้นอนกลางแจ้งแบบนี้ไม่น่าจะปลอดภัยในป่าที่เหมือนจะเป็นป่าดงดิบเท่าไรนัก

    “กรี้ด !”

    เสียงผู้หญิงร้องดังขึ้นกระทันหันทำให้ฉันสะดุ้งแล้วหันไปทางต้นเสียง จากนั้นหันกลับมามองหน้ากรินทร์ด้วยท่าทีว่าจะเอาอย่างไร

    “อย่าไปยุ่งดีกว่า พวกเราเองยังจะไม่รอดอยู่แล้ว”

    ฉันเห็นดังนั้นก็ไม่กล่าวอะไรจริงอยู่ที่สิ่งที่ไก่พูดจะจริง แต่ฉันยังก็อยากช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือเท่าที่พอจะช่วยได้...เหมือนคนคนนั้น

    คิดได้ดังนั้นฉันก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปทางที่เสียงออกมาโดยม่ฟังคำค้านของไก่

    “โธ่เว๊ย!”

    ดูเหมือนพอเห็นฉันต้องการไปช่วย แม้ว่าไก่จะทำหน้าไม่พอใจก็จริงแต่ก็เดินตามมาด้วยท่าทีอิดโรย ไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้าอยู่คนเดียว หรือ เพราะสาเหตุอันใดกันแน่ แต่อย่างน้อยฉันก็ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย

    ...

    ทางนี้...รึเปล่า?”

    ฉันพูดขึ้นมาลอยๆเพื่อถามความเห็นของไก่ ถึงจะไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาจากสภาพที่เดินเตะต้นไม้ข้างทางไปมาเหมือนเด็กถูกขัดใจ

    “พอใจแล้วยัง!?”

    ฉันถอนหายใจแล้วเลือกทางที่คิดว่าน่าจะเป็นต้นเสียงแล้วออกเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร ทางที่เดินขึ้นนั้นสูงชันขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ไก่หงุดหงิด


    “นี่...คุณอาซากิ พอเถอะครับผมจะก้าวขาไม่ไหวแล้ว”

    ไก่เริ่มทำการประชดฉันพยายามโน้มน้าวให้เลิกล้มความตั้งใจ ถ้าไม่อยากมาขนาดนั้นก็ไม่ต้องตามมาก็ได้นี่ จริงๆก็อยากตวาดออกไปเช่นนี้ แต่ใจหนึ่งก็ไม่อย่าอยู่คนเดียวเลยปล่อยให้ไก่บ่นไปด้วยเป็นฉากหลังเรื่อยๆ

    “นี่คุณอาซากิ ผู้หญิงคนนั้นอาจเจออะไรอันตรายก็ได้นา เราไปหาก็เหมือนกับว่าไปรนหาที่นะ”


    อาซากิ...นี่มันใกล้มืดเต็มทีแล้วนะ หาที่พักเถอะ”

    หลังจากที่ไก่พยายามพูดกล่อมฉันมาได้พักใหญ่ไก่ก็เริ่มทนไม่ไหว

    หนอย ยัยนี่!”

    แม้สิ่งที่ไก่พูดจะมีเหตุผลไมร้เหตุผลบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่เปลี่ยนใจยังต้องการไปช่วยอยู่ดี มันอาจเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของฉันเองก็ได้นะ ที่พยายามจะลอกเลียนแบบคนคนนั้น...

    พวกเราเดินมาได้ซักระยะโดยไก่ได้หยุดพูดมาได้พักใหญ่แต่ยังคงเดินตามมาตลอด สภาพทางที่สูงชันขึ้นบวกกับทางที่เดินทำให้เปลืองแรงไปค่อนข้างมาก แถมยังต้องคอยดึงพวกเถาวัล กิ่งไม้ที่ขวางทางอีก ทั้งๆที่ไก่มีมีดอยู่กับตัวแท้ๆแต่กลับไม่ช่วยเลย เอาแต่เดินตามมาเฉยๆ ไม่รู้ว่าเพราะต้องการให้ชั้นหมดแรงเพื่อล้มเลิกความตั้งใจรึไง ...แม้เราจะเริ่มออกเดินอีกครั้งหลังได้ยินเสียงกรีดร้องไม่นานนัก แต่จากที่เราเดินติดต่อมาหลายชั่วโมง ได้พักนิดเดียว แถมยังเป็นทางขึ้นเขาอีก ทำให้ลำบากไม่น้อย จนเมื่อเรามาถึงเนินแห่งนึงที่ค่อนข้างชันจนต้องใช้มือช่วยปีน...


    ฮึบ!...เหวอ”

    ระหว่างที่ชั้นกำลังปีนขึ้นเนินอยู่ๆก็มีมือนึงมาจับข้อเท้าของชั้นแล้วดึงลงพื้น

    ตุบ

    “อูย...ไก่นายทำบ้าอะไรน่ะ”

    ไก่เอาตัวขึ้นมาคร่อม ใช้มือข้างนึงกดไหล่ฉัน ส่วนมืออีกข้างล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมีดออกมา

    “คิดจะทำอะไรน่ะ…”

    ฉันถามไก่ออกไป แม้ใจหนึ่งจะรู้อยู่แล้ว...ผู้ชายนี่มันคิดแต่เรื่องอย่างว่ารึไง

    “ตอนแรก ผมก็กะว่าจะจีบเธอในฐานะสุภาพบุรุษอยู่นะ”

    ไก่พูดพลางเลื่อนมีดเข้ามาใกล้ลำคอ

    “แต่เธอกลับทำอะไรตามใจตลอด พูดเท่าไรก็ไม่ฟัง แบบนี้มันต้องสั่งสอนเสียหน่อยให้รู้เสียบ้างว่าสถานการณ์แบบนี้ใครเป็นผู้นำ”

    ไก่เริ่มหายใจแรงขึ้น...อีกแล้วเหมือนสัตว์ป่าสองตัวนั่นเองแล้วนี่เป็นอะไรกันไปหมดแล้วเนี่ย คนเราพออยู่ในที่ไร้กฎแบบนี้จะทิ้งความเป็นมนุษย์ไปหมดรึไง

    “นี่”

    หา! มีอะไรจะพูดเรอะ”

    “ช่วยลงไปก่อนได้มั้ย มันหนักนะ ถ้าอยากเป็นคนนำนักเดี๋ยวยกให้ก็ได้ ฉันจะได้ไม่เหนื่อยด้วย”

    “ยัยนี่ ยังไม่รู้สถานการณ์ตัวเองอีกเรอะ”

    ไก่เงื้อมือที่ถือมีดกลับไปเล็กน้อยหมายจะแทงจริงๆ ฉันอาศัยจังหวะนั้นกระแทกเข่าสุดแรงไปที่หว่างขาของไก่ ทำเอาไก่หน้าซีดพูดไม่ออกเหมือนพยายามจะพูดอะไรซักอย่างแต่เสียงไม่ออกมา ฉันไม่ให้จังหวะหลุดลอยออกหมัดซัดเข้าปลายคางไปเต็มเหนี่ยวหมายทำให้อีกฝ่ายสลบ

    ไก่ล้มคะมำไปตานค้าง แต่ก็กำลังพยายามลุกขึ้นมา

    ‘ชิ! พลาดไปรึ’

    ดูเหมือนว่าที่ไก่ดึงฉันลงมากระแทกพื้นนั้นจะทำให้ฉันมึนเล็กน้อย แบบนี้เห็นจะไม่ดีแน่อีกฝ่ายมีมีดด้วย ต่อให้เป็นมือสมัครเล่นก็ฆ่าเราได้ถ้าไม่ระวัง แถมตอนนี้ก็ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเคยใช้มีดสู้คนบ่อยแค่ไหน

    คิดได้ดังนั้นฉันจึงเริ่มออกวิ่งหนีออกมาตั้งหลักก่อน

    “หยุดนะ อี...”

    ไก่ค่อยๆพยุงตัวขึ้นแล้ววิ่งตามหลังฉันมา...ทำไมเวลาแบบนี้กลับมีแรงได้นะทั้งๆที่บ่นมาตลอดทาง

    “โธ่เว้ย! แบบนี้ไม่สนแล้วยังไงวิธีรอดก็ต้องฆ่าคนอื่นให้หมดนี่น่า ประเดิมด้วยการฆ่านังนี่ก่อนนี่แหละ”

    ‘เอ๊ะ!...ฆ่าคนอื่นให้หมด...รึว่า’

    ฉันสะบัดหน้าพยายามไล่ความคิดเรื่องข้อมูลแปลกๆนั้นออกไป ที่ไก่พูดน่าจะบังเอิญไปตรงกับข้อมูลนั้นต่างหาก มันต้องเป็นอย่างนั้นสิ ใครจะเชื่อเรื่องเหลวไหลแบบนั้นได้ลงกัน…

    วิ่งหนีมาได้ซักระยะฉันก็ชะลอฝีเท้าลงเพราะเริ่มหมดแรง ตามแขน และ ขา มีบาดแผลจนเลือดไหลออกมาเล็กน้อยเพราะชุดที่ฉันใส่เป็นเพียงแค่เสื้อกล้าม กับ กางเกงขาสั้น ไม่ใช่ชุดเดินป่าซักหน่อย จนทำให้โดนหนามเกี่ยวไปหลายครั้ง ตอนที่วิ่งนั้นยังไม่เท่าไรคงเพราะกลัวคิดแต่จะวิ่งหนีจนไม่คำนึงถึงเรื่องบาดแผลเล็กๆน้อยๆ แต่ตอนนี้อาการตื่นเต้นเริ่มคลายลงทำให้เริ่มเจ็บขึ้นมาบ้าง ถึงมันจะไม่ได้เจ็บอะไรมากนักก็ตาม

    ‘เอาไงดี’

    กลางป่าแบบนี้...รู้สึกฝ่ายไล่ตามมันสบายกว่านะครับเนี่ย”

    รู้สึกเหมือนไก่จะไล่ตามมาไม่ห่างแล้วแม้จะยังไม่เห็นตัวก็ตาม แต่ไก่ที่กลับมาพูดสุภาพในสถานการณ์ที่แบบนี้ทำเอารู้สึกขนลุกบอกไม่ถูก

    “ไม่ต้องคอยเบิกทาง มองแวบเดียวก็รู้ว่าไปทางไหน ผมแค่วิ่งตามอย่างสบายใจก็หาคุณเจอซะแล้ว”

    สิ้นเสียง ไก่ก็แหวกพงไม้ด้วยมือข้างนึง และถือมีดชี้มาทางฉันด้วยมืออีกข้างนึง

    “หลังๆนี่เรือออกบ่อยจนไม่ได้หาเหยื่อมานาน ครั้งนี้จะแทงให้หายอยากหน่อยเถอะ อ้อที่ผมบอกว่าแท้นี่ หมายถึงมีดนะครับ ฮะฮะ”

    ไก่ยิ้มด้วยรอยยิ้มผู้ชนะ...ดูเหมือนว่าไก่จะเคยฆ่าคนมาด้วยท่าทางเหมือนพวกฆาตกรโรคจิตยังไงยังงั้น… กลัว คำคือแรกที่เข้ามาในหัวคำเดียวที่อยู่ในหัว

    เอ้า! ไม่หนีแล้วเรอะ รึว่าหมดแรง ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะแรงเยอะกว่านี้อีกนะครับเนี่ยเห็นเดินกันตั้งนานแทบจะไม่หอบเลย”

    “เฮ้อ”

    ฉันถอนหายใจแรงๆไล่ความกลัวออกไป ในบางสถานการณ์ความกลัวอาจช่วยเราแต่ตอนนี้มีแต่จะถ่วงแข้งถ่วงหา พอใจฉันเริ่มสงบก็ ตาทั้งสองก็จดจ้องทุกการเคลื่อนไหวของไก่

    “กรอด! แม้แต่ตอนนี้ยังทำเหมือนดูถูกกูอยู่อีกงั้นเรอะ”

    “...”

    พอเห็นฉันไร้ท่าทีหวาดกลัว ราวกับไม่สบอารมณ์ไก่เปลี่ยนท่าทีเลิกพูดสุภาพแล้ววิ่งพุ่งตรงเข้ามาทางฉัน มือข้างที่ถือมีดเงื้อไปด้านหลังส่วนอีกข้างก็แบบมือยื่นออกมาคงหมายจะจับตัวฉันก่อนให้ได้เป็นแน่ ฉันรีบพุ่งฉากไปด้านข้างแล้วใช้เข่ากับศอกขวาอัดเข้าปลายคางกับท้อง อย่างจังของไก่อย่างจัง ที่เป็นท่าหนุมานหักด่านของมวยไทย

    “อั้ก!”

    ไก่ตัวเซจนเหมือนกับคนเมาเหล้าฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยบิดตัวใช้ขาซ้ายเป็นแกน ขาขวาเตะเข้ากกหูของไก่จนล้มคว่ำ

    “แฮ่ก! แฮ่ก!”


    ใจของฉันยังคงเต้นแรงไม่หยุด ถึงจะเคยต้องไปจับคนร้าย หรือ เข้าไปแยกพวกนักศึกษาตีกันก็ตาม สุดท้ายแล้วทุกครั้งฉันยังคงคุมไม่ให้ตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี

    ‘นี่ฉันยังห่างไกลกับคนคนนั้นอีกเยอะนะเนี่ย’

    ภาพชายคนนึงที่จำใบหน้าไม่ได้แล้วรูปหัวฉันอย่างเอ็นดู...อยากแข็งแกร่งเหมือนคนคนนั้น...พอนึกถึงคนคนนั้นที่ไรเผลอเอามือลูบหัวตัวเองทุกที

    ฉันเข้ามาเช็คสภาพของไก่ที่สลบเหมือดอยู่ น้ำลายไหลออกจากปากเล็กน้อย...หมดสภาพเลยแหะหมอนี่ ฉันหยิบมีดของไก่ขึ้นมา

    ‘ต้องฆ่าหมอนี่ซะ!’

    จิตใจของฉันคิดอย่างนั้น ฉันคิดว่าไก่เป็นตัวอันตรายหากไม่ฆ่าตอนนี้อาจจะมาคุกคามฉันต่อไปแน่ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม มือที่จับมีดพยายามจะแทงลงไปแต่ว่ามือนั้นกลับสั่นไม่หยุด

    ชิ!’

    ดูเหมือนฉันยังจะไม่กล้าพอที่จะฆ่าคนเลยเก็บมีดใส่กระเป๋ากางเกง แล้วลองค้นตัวของไก่ดูเพื่อจะมีอะไรบ้าง และก็เจอ

    “หือ ขนมปัง”

    ขนมปังซุกไว้อยู่ในกระเป๋ากางเกงหนึ่งชิ้นห่อด้วยถุงร้อนไว้อยู่ ฉันหยิบมันออกมาแล้วเริ่มกินมันทันที

    ‘ช่วยไม่ได้นะ ถือว่าเป็นของชดเชยแล้วกัน’

    หลังจากปลดทรัพย์ไก่เสร็จ กินขนมปังรองท้องเทียบร้อยกำลังจะไปต่อก็ได้ยินเสียง

    ครึก ครึก


    น้ำ!”

    เมื่อครู่ยังไม่ทันได้ยินอาจเพราะกำลังตื่นเต้นอยู่ แต่ตอนนี้ที่จิตใจสงบลงบ้างแล้วทำให้ได้ยินเสียงรอบข้างได้มากกว่าเดิม ฉันเดินไปทางเสียงนั้นทันที

    “เอ๊ะ!”

    หลังจากเดินมาได้ซักระยะ ด้วยความที่ตอนนี้เหลืออยู่ตัวคนเดียว เหนื่อยก็เหนื่อย แถมเริ่มจะมืดค่ำลงเต็มที ถึงจะทำใจไว้แล้วว่าอาจจะไม่เจอผู้รอดชีวิตคนอื่นอีกในคืนแรกนี้ ทำให้ทันทีที่เจอร่องรอยเป็นทาง เหมือนมีอะไรซักอย่างผ่าน ทำเอาฉันดีใจมากทว่า...

    “เลือด”

    พอพิจารณาทางนั้นดีๆดูเหมือนว่าจะมีเลือดแห้งเกร็งเปรอะเปื้อนบนทางประปราย ทำให้รู้ได้ว่าอะไรก็ถามที่ทำให้เกิดทางนี้น่าจะผ่านมาระยะนึงแล้ว แต่ที่เห็นนี่ไม่มีรอยเท้าคน ตอนแรกฉันจึงคิดไปว่าเป็นรอยคนที่โดนสัตว์ซักอย่างลากไปหรือไม่ แต่ลองมองตามพื้นกลับยังไม่เห็นรอยเท้าสัตว์ซักรอยจึงน่าจะไม่ใช่

    ‘ใจแข็งเข้าไว้ อาซากิ! ’

    ฉันเตือนตนเองแล้วทำใจกล้าเดินตามรอยนั้นไปเพราะดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้าไปทิศที่มีเสียงน้ำเหมือนกัน

    ...

    ...

    หลังจากเดินตามทางประหลาดนั้นทางซักระยะ สิ่งแรกที่แปลกคือทำไมพวกกิ่งไม้ระดับต่ำถึงถูกหักลง ขณะที่ระดับสายตาของฉันนั้นฉันต้องเป็นคนเบิกทางเอง...แม้จะสงสัยว่าเป็นสัตว์ขนาดเล็กรึเปล่า แต่ความที่ไม่มีรอยเท้านั้นจึงปัดตกไป

    ความคิดว้าวุ้นสับสนในใจว่าเบื้องหน้าที่ไปจะเจออะไรหรือไม่ตีกันไปหมด อยากถอยหลังกลับหลายครั้งแต่คอที่แห้งผากทำให้ร่างกายสั่งเดินหน้าต่อไป...พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ทางเดินยังคงมองเห็นอยู่ตอนขอบคุณแสงจันทร์เต็มดวงที่ไร้หมอกบังในคืนนี้ ในที่สุดเมื่อแหวกกิ่งไม้เป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่ทราบ

    “น้ำ!”

    เบื้องหน้าเป็นลานดินที่ไม่กว้างมากนัก และมีแม่น้ำขนาดเล็กที่กว้างประมาณ 4-5 เมตรอยู่ ฉันรีบวิ่งไปที่แม่น้ำทันที

    “อึก อึก ฮ้า! รอดตายแล้วเรา”

    ฉันใช้มือกวักน้ำขึ้นมาดื่มจนหายอยาก

    ‘ในโชคร้ายก็มีโชคดีเหมือนกันนะเนี่ย’

    ฉันกวาดตามองไปรอบๆลานดินขนาดเล็กนั้นซะน่าจะใช้เป็นที่นอนในคืนนี้ได้ แต่แล้วสายตากลับไปสะดุดกับสิ่งๆหนึ่ง เป็นเงาตะคุ้มๆ

    ‘นั่นมัน...อะไรกัน’

    ฉันพยายามเพ่งมองอยู่ระยะนึง ด้วยความที่เป็นแสงจันทร์ทำให้ตอนแรกฉันมองไม่ออกว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่หลังจากเพ่งได้ซักระยะ

    ‘นั่นมันคนนี่!’

    “เป็นอะไรรึเปล่าคะ!”

    ฉันรีบวิ่งไปหาร่างที่ล้มคว่ำอยู่นั้น พยายามเขย่าตัวแต่เจ้าตัวกลับไม่มีท่าทีจะตอบกลับมา

    แหมะ

    “เอ๊ะ!”

    มือข้างนึงที่จับร่างนั้นรับรู้ถึงของเหลวบางอย่างจากบริเวณหัวไหล่พอฉันยกมือขึ้นมาดูก็พบว่า

    “เลือด”

    กลิ่มสนิมเหล็กคาวคลุ้งไปทั่ว แม้เป็นแสงจันทร์ก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นอะไร แต่ร่างกายนี้ยังคงอุ่นอยู่ อาจจะยังมีชีวิตก็ได้ ฉันจึงพลิกตัวร่างนั้นเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกาย และบาดแผล


    “!!!”

    ฉันแทบกรีดเสียงร้องออกมา ร่างนั้นเป็นชายวัยฉกรรจ์ที่เสื้อยืดที่สวมอยู่นั้นย้อมไปด้วยเลือดเกือบทั้งตัว มีแผลเป็นรอยฟันด้วยของมีคมเป็นทางตั้งแต่ไหล่ลงมาประมาณ 1 ฟุต เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด แต่ที่ทำให้ฉันแทบหัวใจหยุดเต้นเพราะเมื่อมองใบหน้าของชายผู้นี้เป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดอีกทั้งยังไร้ซึ่งดวงตา

    ตุบ

    “หวา! ขอโทษค่ะ”

    ฉันตกใจจนเผลอปล่อยร่างนั้นกระแทกกับพื้นแต่ไม่มีเสียงหรือ ปฏิกิริยาอันใดจากร่างนั้น

    ‘รึว่าจะตายไปแล้ว’

    เพื่อความแน่ใจฉันจึงใช้มือจับชีพจรบริเวณคอ

    ตึก..........ตึก

    ชีพจรยังคงเต้นแต่ก็อ่อนมาก ซึ่งทันทีที่ฉันรู้ว่าชายผู้นี้ยังคงมีชีวิตอยู่ฉันก็รีบทำการช่วยเหลือทันที

    ==================================

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×