ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Remnant of Memory

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 Text

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 56


    ‘เป็นวันหยุดที่ซวยชะมัด’

    แกร๊บ!...แกร๊บ!

    เสียงใบไม้แห้งถูกผมเหยียบดังขึ้นเป็นระยะๆ

    “เฮ้ย! ไอ้กรแกช่วยอยู่นิ่งๆหน่อยไม่ได้รึไงวะ”

    ผมไม่สนใจเสียงที่ตะโกนใส่ยังคงเดินวนไปมาตามความเคยชิน เวลาที่ใช้สมองผมมักจะชอบเดินไปมา และตอนนี้ก็พยายามทบทวนลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    ‘ช่วงวันหยุด 4 วันผมกับเพื่อนในคณะอีก 4 คนได้ตกลงที่จะไปเที่ยวกัน ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไปไหนกันดี จนน็อตแนะนำให้ไปเรือสำราญ ดูเหมือนว่าน็อตต้องการไปดูการทำงานของพนักงานบนเรือเพื่อศึกษาเป็นทางเลือกตอนจบออกไปด้วย  เพราะตัวน็อตนั้นมาจากสาขาท่องเที่ยว

    พวกเราจึงตอบตกลง พูดไปอาจจะหาว่าคุยแต่ว่าฐานะทางบ้านของทั้งผมและเพื่อนแต่ละคนค่อนข้างที่จะมีฐานะพอไปขอเที่ยวส่งท้ายก่อนจบการศึกษาปีที่ 4 ก็ขอมาได้ไม่ยาก แต่ดันกับต้องมาเจอ… ‘

    แกร๊บ!...แกร๊บ!

    “ไอ้คุณดัสกร ครับ กูไหวล่ะ เลิกเดินไปมาซักทีกูเวียนหัว”

    “...”

    ‘ก่อนที่เรือของเราจะหลุดไปอยู่อีกโลกนั้นผมกำลังเล่นบิลเลียดกับ พน (พนาดร) และ น็อต (นนทกร) อยู่ ส่วนพวกนก (นิศา) กับ นิด (วนิดา) รู้สึกจะไปเดินเล่นรอบๆ

    ต่อมาเมื่อเกิดเสียงกระหึ่มครั้งแรก พวกเราสามคนอยู่ในสภาพงงงวยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในห้องสับสนอลม่าน บางคนวิ่งออกไปดูภายนอก

    พอพวกเรากำลังจะออกจากห้องด้วย นก กับ นิดก็วิ่งสวนเข้ามาในห้องบิลเลียดบอกกับพวกผมว่าเห็นตัวประหลาดขนาดยักษ์ลอยเหนือท้องฟ้าบ้างล่ะ ท้องฟ้าที่เดิมยังสว่างไร้เมฆอยู่ๆกลับมืดลงเมตก็อึมครึมราวกับจะเกิดพายุบ้างล่ะ’

     

    แกร๊บ!...แกร๊บ!

    ‘แรกๆ ผมกับเพื่อนชายอีกสองคนต่างล้อนก กับ นิด ว่าฝาดบ้างล่ะ อำกันรึเปล่าบ้างล่ะแต่พอพวกเราเดินออกมาทุกคนกลับได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก

    รอบตัวเรือมีแต่ความมืดมองไม่เห็นอะไรซักอย่าง พอถามนก กับ นิดทั้งสองก็บอกว่าก่อนวิ่งเข้ามาตามพวกผมมันก็ยังไม่กลายเป็นแบบนี้ ไม่นานทั้งกลุ่มผมและนักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มลนลานขึ้นมาดูเหมือนน็อตจะเป็นคนบอกว่าเราน่าจะเตรียมเสบียงไว้ก่อน ผม กับ น็อต และ พน จึงวิ่งไปห้องครัวเพื่อช่วยกันแย่งอาหารจากผู้โดยสารคนอื่น ส่วนพวกผู้หญิงก็ไปหยิบกระเป๋ามาใส่อาหาร ผมโดนไปหลายหมัดเหมือนกันแต่อย่างน้อยก็หยิบขนมปังมาได้หลายก้อนพอดู

    แต่แล้วพอเรากำลังหยิบขนมปังใส่กระเป๋าที่ นก กางเองไว้นั้นก็เกิดเสียงดังกระหึ่มอีกครั้งจนเรือสั่นไปหมด คนรอบตัวเราหลายคนเริ่มร้องครวญคราง รวมถึงน็อตด้วย น็อตกดหน้าอกร้องครวญครางขอร้องให้พวกเราช่วย พอผมกันพนกำลังจะถึงตัว ร่างกายของน็อตก็ระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อและฝนสีแดงฉาน  ผมได้แต่อึ้งจนพูดไม่ออกส่วนเพื่อนอีกสามคนนั้นมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ตรงหน้าในตอนนั้นยังไงผมไม่อาจรู้

    ความคิดของผมหยุดไปชั่วครู่พอได้สติ อีกครั้งเมื่อมองไปรอบๆเห็นผู้โดยสารหลายคนกลายเป็นเพียงเศษเนื้อ บางคนแม้ยังไม่ตายแต่สภาพไม่น่าจะอยู่ได้นานเพราะมีเลือดออกมาจากทวารทั้ง 5 ส่วนคนที่ไม่เป็นอะไรนั้นนอกจากผมกับเพื่อนที่เหลืออีก 3 คนแล้วมีเพียงไม่กี่คน’

    แกร๊บ!...แกร๊บ!

    ผัวะ!

    “ไอ้พน! มึงทำบ้าอะไรวะ”

    “ก็กูบอกให้มึงหยุดไง”

    ผมสวนหมัดใส่คางพนจนหน้าหัน พอตัวพนเริ่มหายมึนก็กระโดดพุ่งชนผมจนล้ม หลังจากนั้นทั้งผมและพนต่างแลกหมัดฟัดกันนัวเนีย

     

    “เออ อยากทะเลาะกันก็ทำไป! เอาให้ตายกันไปเลย”

    เสียงของนกดังขึ้น จะพูดประชดหรือจริงไม่ทราบแต่มันทำให้ผมกับพนหยุดมือแล้วแยกออกจากกัน ทั้งผมและพนตอนนี้ต่างฝ่ายต่างสภาพดูไม่ได้ ตัวผมนั้นปากแตกกระดุมคอเสื้อของผมหลุดไปไปไหนไม่รู้ ส่วนพนคอเสื้อยืดขาด กำเดาไหลเล็กน้อย

    ทั้งผมและพนต่างเดินแยกกันไปนั่นใต้ต้นไม้คนละต้นห่างกันพอควรเพื่อสงบอารมณ์ความจริงแล้วทั้งผมและพนต่างถึงจะเป็นคนใจร้อนแต่ก็ไม่ได้ขี้หงุดหงิดอะไรขนาดนี้พนที่เป็นรูมเมทผมมักจะเห็นผมเดินวนไปมาประจำอยู่แล้วเวลาช่วงทำการบ้าน หรือ ใกล้สอบมักจะเตือนขำๆแล้วหันไปนั่งเล่นเกมต่อ แต่ครั้งนี้อาจเป็นเพราะกำลังสับสนที่อยู่ๆพวกเราหลุดมา กลางป่าที่ไหนไม่รู้ก็ได้

    เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วผมพยายามข่มความโกรธ สูดหายใจลึกๆ 2-3 รอบแล้วสงบใจแล้วเค้นสมองนึกทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นต่อ

    ‘เสียงประหลาดนั้นยังคงดังก้องอยู่ตลอด ไม่นานตัวห้องครัวที่พวกเราอยู่เริ่มบิดเบี้ยว ดูเหมือนผู้โดยสารที่สภาพจิตใจสมบูรณ์บางคนรีบหนีออกจากห้องที่เริ่มบิดเบี้ยวออกไปแล้ว แต่บางคนยังคงได้แน่นั่งตาค้างในสภาพเหม่อลอย ผมเห็นท่าไม่ดีต้องรีบหนีออกจากที่นี่แต่เสียงอันดังสนั่นทำให้แม้ผมจะตะโกนจนแสบคอยังได้ยินเสียงตัวเองไม่ชัดนัก ผมจึงเตะเข้าหน้าแข้งของพนแล้วทำท่าทางให้ช่วยดึงนกกับนิดนกที่กำลังช็อคทำอะไรไม่ถูกออกจากห้อง

    ระหว่างทางออกไปสู่ด้านนอกนั้นเห็นผู้โดยสารหลายคนล้มฟุบลงไปบ้าง เห็นกองเลือดและก้อนเนื้อบาง อาจจะเกิดเหตุเหมือนในห้องครัวก็เป็นได้ เมื่อผมวิ่งไปถึงดาดฟ้าหันย้อนกลับมามองเรือนั้น คำว่าจบสิ้นกันแล้วน่าจะอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี ตัวเรือปิดเบี้ยวราวกับกระป๋องน้ำอัดลมที่ถูกบิดงอ

    (ในตอนนั้นผมยังไม่ทันคิดแต่ตอนนี้มานึกดูมันแต่น่าแปลกที่แม้ตัวเรือจะปิดขนาดนั้นแล้ว ผู้คนที่รวมถึงผมกลับเท้ายังคงติดพื้นได้)

    ท้องฟ้าที่เดิมเคยมืดมิด แต่เงียบสงบ บัดนี้กลับคล้ายอยู่ท่ามกลางพายุในยามค่ำ ผมเห็นอะไรบางอย่างลอยอยู่เหนือ (หรือใต้) เรือสำราญตัวมันขนาดใหญ่กว่าเรือมากจนมองไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร จากนั้นไม่นานพอผมรู้สึกตัวอีกครั้งกลับมาอยู่กลางป่าเสียแล้ว แถมผู้โดยสารคนอื่นๆในระยะสายตาผมกลับหายไปเหลือแค่ผมกับเพื่อนอีก 3 คนที่เหลือเท่านั้น

    ผมมั่นใจว่าตัวเองนั้นจะไม่ได้สลบแล้วพึ่งฟื้นขึ้นมาจึงค่อยเห็นว่าตัวเองอยู่ในป่าเป็นแน่หากจะให้อธิบายคงราวกับว่าภาพที่รับรู้มันไม่ประติดประต่อกัน เหมือนกันภาพในฟิล์มภาพนึงเป็นเรือที่บิดเบี้ยวแต่ฉากถัดมากลับเป็นป่าทันที’

    อ เอ่อ…”

    นิดที่นิ่งเงียบมาตลอดตั้งแต่อยู่ในห้องครัวเหมือนจะกลับมามีสติอีกครั้ง (ผมไม่ได้หมายถึงสลบหรือหมดสตินะไปแต่เหมือนจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะเธอตาค้างนิ่งเฉยมาตลอด) ได้ส่งเสียงทำลายความเงียบที่หน้าอึดอัดออกมา

    “…”

    เธอเหมือนต้องการจะพูดอะไรซักอย่างแล้วแต่ลังเลที่จะพูดออกมา จากนั้นก็นิ่งเงียบไป

    “จะพูดอะไรก็พูดมา อ้ำๆอึ้งๆอยู่ได้!”

    ผมแปลกใจที่นกพูดกับนิดด้วยเสียงตะคอกเช่นนั้นเพราะตั้งแต่ผมรู้จักกับพวกเธอเหมือนทั้งสองจะไปไหนด้วยกันตลอดแถมยังไม่เคยเห็นทะเลาะกันเลยซักครั้ง  แต่ก็นะสภาพจิตใจของแต่ละคนตอนนี้อาจจะย่ำแย่จนแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆก็หงุดหงิดกับไปแล้วก็ได้

    !”

    นิดเบิกตากว้างจากท่าทีของนก น้ำตาออกมาคลอเป้าแต่ก็ยังไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่หลังจากหยุดเงียบไปครู่นึงเธอก็พูดออกมา

    “วิธีจะรอดไปจากที่นี่...มีแค่สองทางนั้นหรอคะ…”

    ทั้งผม พน และ นก ต่างหยุดหายใจไปชั่วครู่ด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่าทุกคนรวมทั้งผมจะรู้วิธีการออกไปจากที่นี่จริงๆด้วยไม่มีใครกล้าพูดออกมา เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเราอีกครั้งแถมครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะน่าอึดอัดกว่าเดิมเสียด้วย ถ้าหากข้อความนั้นเป็นเรื่องจริงล่ะก็พวกเราคงต้อง…

    “ช่วยด้วย! มีใครอยู่แถวนี้ไหมครับ!!! ช่วยผมด้วย”

     

    เสียงผู้ชายตะโกนขอความช่วยเหลือดังขึ้นมาทำลายความเงียบอันหน้าอัดอึด ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าผู้รอดชีวิตแต่ละคนคิดยังไงกับวิธีรอดสองทางนั่นหมอนั่นกลับกล้าเปิดตำแหน่งของตัวเองแบบนี้ไม่รู้ว่าอยากตายรึไงนะ

    แม้ว่าเสียงร้องขอความช่วยเหลือยังคงดังขึ้นมาเป็นระยะ แต่พวกเราต่างไม่มีใครกล้าทำอะไรยังคงนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในที่สุดผมก็ทนความอึดอัดนี้ไม่ได้

    “จะไปช่วยไหม”

    ผมลองถามเพื่อนที่แต่ละคนทำหน้ายังกับตนเองกำลังจะตายแล้วยังไงยังงั้น แต่ไม่มีใครแม้แต่จะเคลื่อนไหว ผมจึงเริ่มออกเดินไปยังทิศที่เสียงนั้นดังมา

    “อย่างแกเนี่ยนะ?”

    ผมหยุดเท้าสงสัยกับคำถามของพน

    “หมายความว่ายังไง?”

    “เหอะ คนอย่างแกที่ขนาดน็อตตายต่อหน้ากลับสีหน้าแทบไม่เปลี่ยนซักนิดเนี่ยนะ คิดจะไปช่วยคนอื่น”

    สีหน้าไม่เปลี่ยน...เราน่ะหรอ ผมตกใจกับเรื่องที่พนพูด...มาคิดๆดู ดูเหมือนว่าเราทำอะไรแต่ละอย่างจะใจเย็นเกินไปรึเปล่า...ไม่สิถ้ามัวตกใจแล้วหมดอาลัยตายอยากในสถานการณ์แบบนี้มีหวังไม่ช้าก็เร็วได้ตายตกตามน็อตเป็นแน่

    “… 2 ข้อ…”

    “หา?”

    พนชักเสียงไม่เข้าใจว่าผมพูดถึงเรื่องอะไร

    “ วิธีรอดสองข้อนั่นไงอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ใช่ไหมล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นจะอธิบายยังไงที่อยู่ๆพวกเราสี่คนดันรู้เรื่องเดียวกันหมด”

    ข้อความที่อยู่ๆปรากฏขึ้นมาราวกับมีคนยัดเยียดข้อมูลเข้ามาในห้วแต่มันก็ทำให้ผมทราบเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งมีเนื้อหาประมาณนี้

    ‘ - ปัจจุบันคือ 500 ปีก่อนคริสศักราช

    - ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการข้ามมิติถือว่าเป็นผู้สอบตกส่วนพวกท่านที่รอดมาได้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ถูกเลือก

    - ผู้ที่ยังมีชีวิตรอดตอนนี้ทุกคนไม่มีอายุขัย กล่าวคือไม่แก่ตาย เป็นผลมาจากร่ายกายที่ถูกเปลี่ยนแปลงจากการข้ามมิติแต่ยังคงตายจากการโดนสังหารหรือโรคภัยได้

    - การจะรอดไปจากป่ามรณะแห่งนี้ได้มีเพียงสองวิธีคือ

    1. สังหารผู้ที่รอดชีวิตคนอื่นให้หมดสิ้นผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายจะถือว่าผ่านการทดสอบ

    2. หากผ่านครบ 10 คืน ยังมีผู้รอดชีวิตมากกว่าหนึ่งคนผู้ที่รอดชีวิตที่เหลือทั้งหมดจะถือว่าผ่านการทดสอบ

    - ผู้ที่รอดชีวิตทุกคนจะได้รับความสามารถพิเศษคนละหนึ่งอย่างตามความต้องการเพื่อเอาตัวรอดในป่าแห่งนี้แต่จะสามารถดึงมันออกมาใช้ได้ (Awake) รึไม่นั้นแล้วแต่ชะตากรรมของตนเอง

    - จงระวังยามค่ำคืน’

    “หมายถึงให้ฆ่ากันให้เหลือคนเดียว หรือ เอาตัวรอดให้ได้ 10 วันใช่ไหม”

    “นั่นแหละเห็นไหมนายก็รู้เหมือนกันทั้งๆที่ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแม้แต่ครั้งเดียวแต่พวกเราเหมือนถูกใครเขียนข้อมูลเข้ามาในสมองเหมือนกันหมดมันอาจจะเป็นวิธีรอดจริงๆก็ได้ใช่ไหมล่ะ”

    “เพ้อเจ้อเรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้ที่ไหนกัน”

    “งั้นพน ไหนลองบอกมาสิว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

    พนนิ่งเงียบคงเพราะตนเองก็เห็นปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติมาด้วยตนเองเช่นกัน

    “อ เอ่อ...แล้วมันทำไมหรอ”

    นิดถามด้วยท่าทีสงสัย

    “ยังไงพวกเราก็ไม่อยากฆ่ากันเองอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ แค่ร่วมมือกันเอาตัวรอด 10 วันก็พอแล้ว ดังนั้นถ้ามีคนเพิ่มก็น่าจะมีโอกาสรอดสูงขึ้นไปอีกไม่ใช่รึไง”

    “แล้วถ้าครบ 10 วันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ”

    พนยังคงไม่หายสงสัย ที่แกมีความคิดที่อยากจะเอาตัวรอดบ้างไหมเนี่ย

    “เรื่องนั้นไว้ค่อยคิดสิไว้ให้ถึงเวลาก่อน”

    “พูดไม่มีความรับผิดชอบเลยนะ”

    “แล้วแกล่ะ เอาแต่ค้านอย่างเดียวมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วก็ช่วยคิดสิ”

    พวกเราถกเถียงกันต่อได้ระยะนึง ในที่สุดก็เห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะไปดูลาดเลาก่อนและหากสามารถช่วยได้ก็จะช่วย

    ไม่นานพวกเราก็เริ่มเดินเข้าไปในป่าที่ทางชันสูงขึ้นทีละนิดตามทิศที่เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมา พวกเราเดินตามกันโดยมีผมเป็นคนเดินนำตามด้วยนิด นก และ พนเดินปิดท้าย ผมที่เป็นคนเดินนำนั้นต้องคอยหักกิ่งไม้ และ หนามที่ขวางทางเดินตลอด ออกเดินได้ระยะนึงเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั่นก็หยุดไป

    พวกเราเริ่มคุยกันอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรดูเหมือนพนมีความต้องการให้ย้อนกลับไปที่เดิมแต่คนอื่นรวมทั้งผมต้องการไปดูให้แน่ชัดเมื่อเห็นว่าฝ่ายที่ต้องการไปต่อมีมากกว่าพนก็ส่ายหน้าไม่พอใจ บ่นอะไรซักอย่างแต่ก็จำใจเดินตามต่อ

    ...

    ราวชั่วโมงกว่านับแต่ที่พวกเริ่มเดินหาต้นเสียงนั้นเราก็ยังคงไม่เจออะไรนอกจากต้นไม้ และ สัตว์บางชนิดที่ไม่มีใครมองทันว่าเป็นตัวอะไร แต่ร่างกายไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องลงมาแม้จะมีต้นไม้ปกคลุมแต่ก็ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวเล็กน้อย

    “นี่จะเดินกันไปถึงไหนเนี่ย”

    “ชู่เงียบหน่อย”

    ผมสั่งให้ พนที่โวยวายมาตลอดทางเงียบลงเพราะได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง

     

    ครึก ครึก

    เสียงน้ำไหลดังมาจากจุดที่ไม่ห่างจากตำแหน่งของพวกเราตอนนี้มากนัก

    “น้ำ...เสียงแม่น้ำนี่น่า”

    พนรีบวิ่งนำพวกเราไปทางต้นเสียง ดูเหมือนเพราะเจ้าตัวโวยวายตลอดประกอบกับอากาศที่ค่อนข้างร้อนทำให้คอเริ่มแห้งแล้ว น่าเสียดายที่ดันมาเจอแม่น้ำตอนนี้ ถ้ายังเดินต่อโดยไม่เจอน่าจะหยุดเสียงของพนไปได้

    พวกเราเดินตามทางที่พนแหวกไปก็พบกับแม่น้ำขนาดเล็กกว้างประมาณ 4-5 เมตร ต้นน้ำน่าจะมาจากบนภูเขาลูกที่เราอยู่นี้ เห็นดังนั้นก็โล่งอกพวกเราตกลงกันที่จะพักกันบริเวณนี้ ระหว่างนั่งพักพวกเราก็เริ่มหยิบขนมกับที่ได้มาขึ้นมากินกัน

    “คิดว่า...10 วันพวกเราจะอยู่ด้วยขนมปังพวกนี้ไหวรึเปล่า”

    นิดถามด้วยความกังวลกับขนมปังที่มีอยู่เพียงไม่กี่แผ่น

    “ขนมปังพวกนี้ไม่น่าจะอยู่ได้เกิน 3 วันนะ...ว่าแต่...ตอนนี้แต่ละคนเหลือกันเท่าไรเนี่ย”

    พอนกพูดจบพวกเราต่างหยิบขนมปังออกมาจากกระเป่ากางเกงบ้าง เป้สะพายบ้างดูเหมือนจะรวมเหลือราว 15 ชิ้นเท่านั้น แถมขนมปังพวกนี้ก็ไม่ใช่แบบที่ทำใส่ห่อพลาสติกขายตามร้านสะดวกซื้อ แต่เป็นแบบที่ทำไว้กินเป็นอาหารเช้าบนเรือ ดังนั้นอย่างมากก็ไม่น่าจะเกิน 2 วันด้วยซ้ำแต่ถ้าฝืนหน่อยอาจจะกินในวันที่สามได้เหมือนกัน

    พอเห็นจำนวนขนมปังที่เหลืออยู่กับจำนวนวันที่พอจะเก็บไว้กินได้แต่ละคนทำหน้าแปลกๆ แน่นอนว่าถ้าเก็บได้สามวัน ก็วันละ 5 ชิ้นมีสี่คนก็คนละชิ้นกับ 1 ใน 4 ของชิ้นต่อวัน

    “แล้ว...วันที่เหลือล่ะ”

    นิดเริ่มพูดด้วยเสียงเหมือนกับจะร้องให้ออกมา ทำเอาพวกเราเงียบไปอีกครั้งถึงจะมีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆแต่การที่จะกินน้ำใน 7 วันที่เหลือนี่...

    “อ้ากกกก!!!....ใครก็ได้ช่วยด้วย…”

     

    เสียงขอความช่วยเหลือของผู้ชายดังขึ้นอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้มันแปลกกว่าครั้งก่อนๆ เสียงครั้งก่อนเหมืองเป็นเสียงของคงขอความช่วยเหลือ แต่ในครั้งนี้คล้ายคนที่เจออะไรหวาดกลัวจนร้องออกมา...แถมครั้งนี้เสียงอยู่ใกล้กว่าครั้งก่อนมากด้วย... แต่น่าแปลกที่เสียงนั้นดังไม่นานนักก็หยุดไปผิดกับครั้งก่อนที่ร้องขอความช่วยเหลืออยู่หลายครั้ง

    “กร...แกจะเอายังไง...รู้สึกว่าเสียงมันจะใกล้กว่าตอนแรกอีกนะ”

    พนหันมาถามผม ส่วนนิดที่มีทีท่าหลาดกล้วเพราะลักษณะเสียงขอความช่วยเหลือในครั้งนี้ที่ผิดแผกไปก็ได้พูดเสียงสั่นออกมา

    “แต่ครั้งนี้เหมือนไปเจออะไรเข้านะคะ อย่าไปดีกว่า…”

    “ก็จริงแต่ว่า...ถ้าเป็นเรื่องร้ายมันอาจะกระทบมาถึงพวกเราด้วยนะเพราะอยู่ไม่ห่างกันมาก”

    “ต แต่ว่าถ้าเราไปจากตรงนี้ไม่รู้ว่าจะกลับมาหาแม่น้ำได้อีกรึเปล่านะ”

    “เรื่องนั้น...งั้นเอาแบบนี้ระหว่างทางพวกเราหักกิ่งไม้ไปด้วยแต่ก็ต้องพยายามไม่ให้ไกลเกินไป ถ้าเดินระยะนึงแล้วยังไม่ถึงก็รีบย้อนกลับมา แบบนี้เป็นไง”

    หลังจากตกลงกันได้ว่าจะไปดูลาดเลาโดยไม่ให้ห่างจากแหล่งน้ำที่อุตส่าห์หาจนพบแล้วพวกเราก็เดินไปทางเสียงนั้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าทางที่เดินขึ้นไปจะชันมากขึ้นอีก ทำเอาเหนื่อยไม่ใช่น้อยแต่หลังจากเดินหามาได้พักใหญ่ก็ยังคงหาไม่พบพวกเราจึงตัดใจมุ่งหน้ากลับทางเดิม

    ความจริงแล้วขากลับนั้นเดินลำบากน้อยกว่ามากเพราะเป็นทางลงแต่ถึงอย่างนั้นเพราะป่าที่รกทำเอาพวกเราต้องหยุดดูหลายครั้งว่าใช้ทางเดิมหรือไม่แม้ว่าจะหักกิ่งไม้ไว้ก็ตามแต่พอเอาเข้าจริงพวกเราต้องช่วยกันมองหาเลยทีเดียวไม่งั้นหากิ่งไม้ที่หักไว้ไม่เจอ ทำให้กว่าจะกลับมาถึงแม่น้ำทำให้เวลาผ่านไปนานกว่าตอนเดินออกไปซะอีก จนท้องฟ้าที่ตอนเริ่มเดินหาครั้งที่สองที่ยังราวๆบ่ายโมง ตอนกลับมาถึงที่พักก็เริ่มสีส้มซะแล้ว

    แถมระหว่างทางกลับนั้นเสียงขอความช่วยเหลือของชายลึกลับนั่นยังคงดังขึ้นเป็นบางครั้ง แต่กลับทำให้พวกผมแปลกใจอีกครั้งเพราะเหมือนเป็นการตะโกนธรรมดา ไม่เหมือนเสียงร้องขอความช่วยเหลือครั้งแรก หรือ เสียงความหวาดกลัวในครั้งที่สอง

     

    “กลับมาถึงซักที”

    พนล้มตัวลงนอนแผ่หงายบนพื้นดินอย่างหมดแรง ส่วนคนอื่นๆรวมดทั้งผมต่างก็นั่งยืดขากันอย่างหมดแรงเช่นกัน

    “นึกว่าจะกลับมาไม่ได้แล้วซะอีก”

    นกที่เหงื่อชุ่มตัวเอ่ยออกมาอย่างหมดแรง

    “นั่นสินะผ่านไปตั้งหลายชั่วโมง”

    “นี่...ถ้าเสียงนั้นเป็นอะไรบางอย่างในป่าที่ต้องการให้พวกเราเดินจนเหนื่อยล่ะ”

    “บ้าน่าเรื่องแบบนั้น…”

    ไม่สิไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ อยู่ๆเหตุการณ์บนเรือทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธเรื่องเหนือธรรมชาติได้อย่างเต็มปากอีกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ และทุกคนก็คงมีความเห็นตรงกันจึงไม่มีใครกล้าแย้งขึ้นมาอีก

    พวกเรานั่งๆนอนๆกันอย่างเงียบๆไม่มีใครอยากเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ ทุกคนได้แต่หวังว่าข้อมูลที่บอกว่าให้รอดถึง 10 วันนั้นจะเป็นความจริง

    แซ่ก แซ่ก

    เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นจากป่าฝั่งที่เสียงร้องของความช่วยเหลือนั่นดังขึ้นมา ทุกคนลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆมายืนเกาะกลุ่มกันหันมองไปด้านที่บางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้ามา พนเดินไปหยิบไม้ก้อนหินขนาดเท่ากับมือขึ้นมาตั้งท่าไว้

    แซ่ก แซ่ก

    เสียงนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆและแล้วสิ่งหนึ่งก็โผล่มาจากพุ่มไม้…

    สิ่งนั้นรูปร่างราวกับมนุษย์แต่ทว่ากลับเคลื่อนที่ด้วยการคลานด้วยมือ ข้อศอกและเข่าอย่างช้าๆ เสื้อผ้าที่ใส่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดจนเหมือนสีแดงไปทั้งตัว ผมมองไม่เห็นใบหน้าของสิ่งนั้นเพราะยังคงก้มลงพื้นตลอด ไม่รู้ว่าผมเผลอกลั้นหายใจเมื่อไร มือที่จับเสื้อผมด้านหลังที่ไม่รู้ว่าเป็นของนก หรือ นิดสั่นอย่างหวาดกลัวทำให้ผมรู้ว่าแต่ละคนคงไม่ต่างกัน

    อยู่ๆร่างนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นช้าๆมองมาทางพวกเรา เมื่อผมเห็นใบหน้านั้นทำเอาผมขนลุก เลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้าแถม แต่ที่น่าขยะแขยงที่สุดคือใบหน้า

    หน้าที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด แถมยังไร้ซึ่งลูกตาเหมือนกับพวกผู้โดยสารบนเรือที่ตายไปแล้วไม่มีผิด

    “กรี้ดดดด !!!”

    ทันทีที่เห็นใบหน้านั้น นิดส่งเสียงกรีดร้องออกมาสุดชีวิต

    =============================================

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×