คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 10 Smile
“แล้วแต่ฉัน...ยังงั้นหรอ”
หลังจากที่เสียงนั้นพูดจบ ไม่ว่าฉันจะเรียกอีกกี่ครั้งดูเหมือนมันจะไม่ยอมตอบอะไรอีก…
“คิดสิ...คิด”
ไม่ว่าจะสงบใจอย่างไรแต่ภาพของต้นที่กำลังทุลนทุลายอยู่เบื้องหน้าก็ไม่อาจทำให้สามารถสงบใจได้...คิดสิ ตอนนั้นเราแค่อยากต้องการช่วยเหลือ ต้นที่กำลังจะตายเท่านั้นไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น
“ว้าก”
พอฉันเริ่มเดินเข้าใกล้ต้น อยู่ๆเจ้าตัวก็ตะโกนขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าหาฉันอย่างบ้าคลั่ง แต่ถึงจะตกใจ ร่างกายที่ตอบสนองโดนอัตโนมัติก็หลบมือที่พยายามจะคว้าตัวได้อย่างหวุดหวิด
“ต้น! หยุดนะ”
“อั้ก!”
แม้จะพูดออกไปอย่างนั้นแต่ดูจากสภาพต้นตอนนี้ที่เหมือนสติไม่อยู่กับตัวแล้ว เจ้าตัวไม่น่าจะหยุด แต่น่าแปลกที่ทันทีที่ฉันกล่าวจบต้นกับอยู่ในสภาพที่ราวกับถูกตรึงเอาไว้ไม่สามารถขยับได้ดั่งใจ แต่ถึงกระนั้นดูเหมือนเจ้าตัวยังพยายามขยับตัวอย่างเต็มที่
...หรือว่าพลังของฉันจะเป็นพลังที่พูดอะไรแล้วจะเป็นอย่างนั้น...ไม่สิ ถ้าเป็นอย่างนั้นเสียงลึกลับนั่นต้องออกมาพูดก่อนแล้วฉันก็ต้องเสียอะไรซักอย่างไปอีกแน่ๆงั้นทำไมต้นถึงหยุดล่ะ
‘จากนี้ไป หมอนั่นจะไม่สามารถขัดคำสั่งเธอได้’
คำพูดของเสียงนั้นเหมือนดังขึ้นมาให้ได้ยินอีกครั้ง จริงสิพอฉันบอกให้หยุด ต้นเลยหยุดสินะ ...แต่ว่าทำไมบางครั้งถึงไม่ทำตามที่บอกล่ะ...อย่างตอนบอกให้ปลุกช่วงกะที่เที่ยงคืนกลับไม่ได้ปลุก...ไม่สิตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนั้นสรุปว่าที่ต้นหยุดการเคลื่อนไหว น่าจะเป็นผลหลังจากการใช้พลังของฉันไปแล้ว งั้นพลังของฉันจริงๆล่ะ...
=========================================
‘แค้น’
เสียงสาบแช่งยังคงดังอยู่
อาการปวดหัวเริ่มทำให้สมองด้านชา
ทำไมกัน ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย
โลกที่มองเห็นกลายเป็นสีแดง ราวกับตอนที่ก่อนจะหมดสติบนเรือ
‘ขอโทษ’
อยากเอ่ยคำนี้ออกมาจากปาก แม้ว่าในใจจะขอโทษไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ตอนที่คุยกับคุณอาซากิผมดันขอให้เขายกโทษให้ทั้งๆที่ตนเองยังไม่ได้ขอโทษเลย
แต่อยู่ๆเจ้าตัวกลับบอกว่าตนเองไม่ได้แค้นอะไรเลย งั้นเสียงในหัวผมนี่มันอะไร แล้วจะให้ผมไปขอโทษใครถึงจะยกโทษให้ผม ต้องทำอะไรเสียงนี้ถึงจะหยุด
ระหว่างที่ผมกำลังสับสนจนรู้สึกราวกับหัวกำลังจะระเบิด อาซากิก็ค่อยๆเดินเข้ามาหาทีละน้อย ราวกับกำลังกลัวแต่ก็ยังคงเป็นห่วง
‘อย่าเข้ามา’
อย่าเข้ามาใกล้ผม
อย่าเข้ามาใกล้ผมไปมากกว่านี้ไม่งั้น...ไม่งั้นผมไม่อาจระงับอารมร์ที่อยากฆ่าคุณได้
‘ว้าก’
ราวกับร่างกายขยับไปเอง ร่างของผมพุ่งเข้าหาอาซากิ แต่เจ้าตัวหลบได้หวุดหวิด พอ’ร่างกาย’ของผมตั้งหลักใหม่ได้ก็หันหลังกลับกำลังจะชกใส่อาซากิ
‘หยุดนะ’
แต่ร่างกายนั้นกลับไม่ฟัง แม้จิตใต้สำนึกของผมจะอยากฆ่าอาซากิแค่ไหนก็ตามเพื่อที่จะทำลายต้นตอของเสียงที่ไม่รู้ว่าหากฆ่าอาซากิไปแล้วเสียงจะหยุดหรือไม่
แม้ส่วนหนึ่งจะเชื่อว่าเธอไม่ได้โกหกเรื่องที่ไม่ได้โกรธแค้นอะไรผมเลย แต่ดูเหมือนตอนนี้ราวกับว่าร่างกายของผมจะเชื่อฟังจิตใต้สำนึกของผมมากกว่า
“ต้น! หยุดนะ”
สิ้นเสียง ราวกับเกิดอาการตะคริวกินทั้งตัว ขยับร่างกายไม่ได้จนล้มลงพื้น
“อั้ก”
อาซากิจ้องมองมายังผมด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
...อย่า
อย่ามองผมแบบนั้น ไม่เข้าใจแค้นผมไม่ใช่หรอ เพราะผมทำให้คุณสูญเสียดวงตาไป ตอนที่อาซากิหลบการโจมตีเมื่อครู่ ผมซีกขวาที่ปิดบังดวงตาเผยออกมาให้เห็นใบหน้าด้านหลังเล็กน้อย มันดูขนลุก ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่ผมเห็นใบหน้าในแม่น้ำ ตาซ้ายของของผมที่กลวงโบ๋ให้ความรู้สึกราวกลับว่าผมไม่ใช่คนที่มีชีวิตอยู่แล้ว
แถมในตอนนั้นพอเห็นเธอมองใบหน้าตนเองในแม่น้ำระหว่างที่ผมแล่เนื้ออยู่นั้น ดูเหมือน อาซากิจะแอบไปร้องไห้อยู่หลายครั้ง แบบนั้นก็ควรแค้นผมไม่ใช่หรอ แค้นผมสิเหมือนกับเสียงสาบแช่งที่ดังในหัวผมอยู่ตลอดเวลา
แค้นผมสิ ถึงเธอจะเห็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้ ที่ได้มอบแสงสว่างให้ผมอีกครั้ง แต่ผมที่ไม่คิดว่าจะสามารถทนเสียงสาบแช่งได้นานก่อนจะเสียสติไปนั้น หากเธอแค้นผมจริงผมจะได้...จบชีวิตเธอลงด้วยความรู้สึกผิดที่น้อยลง
…แต่ทำไม…
...แต่ทำไมถึงมองผมอย่างนั้น
...ขอร้องล่ะอย่าทำให้ผมสับสนไปมากกว่านี้
‘แค้น แค้น แค้น เพราะแก เพราะแก เพราะแก’
เสียงสาบแช่งที่ดังต่อเนื่องเริ่มทำให้ผมสับสนจนเริ่มแยกไม่ออกว่า เสียงนั้นเป็นเสียงของอาซากิที่สาปแช่งผม หรือ ผมสาปแช่งอาซากิกันแน่ หรืออาจจะทั้งคู่ก็ได้
“!!!”
อยู่ๆมืออันเย็นเฉียบของอาซากิก็แตะแก้มทั้งสองข้างของผม แถมอาซากิค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นๆ
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าแต่ในตอนนี้ เสียงทุกอย่างทั้งเสียงรอบกายหรือเสียงสาบแช่งในหัวหยุดลง
อาซากิเลื่อนใบหน้าของเธอจนหน้าผากของเราชนกัน นัยน์ตาของขวาของผม (อดีตของอาซากิ) กับนัยน์ตาข้างขวาของเธอจ้องกันในระยะประชิด
‘ได้ยินฉันรึเปล่า’
อยู่ๆเสียงของอาซากิดังขึ้นในหัวผม เหมือนกับเสียงสาปแช่งนั่น เพียงแต่ครั้งนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างกันมาก
‘นี่ได้ยินเสียงฉันไหม...ขอร้องล่ะตอบทีเถอะ’
เสียงของอาซากิดังขึ้นอีกครั้ง
“ครับ...ได้ยินครับ”
‘OK คราวนี้เสียงของฉันดูเหมือนจะส่งถึงต้นซักทีนะ’
ทันทีที่ผมตอบเสียงของอาซากิที่พูดเข้ามาในหัวผมกลับ เธอก็ทิ้งตัวนั่งลงอย่างหมดแรงตรงหน้าผม
“ฮึก...ฮะ ฮะ สำเร็จ เสียงของฉันส่งไปถึงซักที...”
แม้เธอจะไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อแต่ผมกลับรู้สึกถึงความดีใจของเธอได้อย่างประหลาด
“แล้วทำไมต้นถึงยังนอนอยู่แบบนั้นล่ะ”
อาซากิถามผมด้วยความสงสัย แต่ว่าคนที่ทำให้ผมขยับไม่ได้ก็เธอเองไม่ใช่รึไง
‘จริงด้วยเนอะ! แหะๆ...ตอนนี้น่าจะคุยกันรู้เรื่องแล้วงั้นปล่อยให้ขยับได้แล้วมั้ง’
“ต้น ขยับได้แล้วล่ะ”
สิ้นคำพูดความรู้สึกเกร็งทั่วร่างเมื่อครู่หายไปหมด ผมยันตัวขึ้นนั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าอาซากิ … ว่าแต่นี่เราใจเย็นลงตั้งแต่เมื่อไรกัน แล้วเสียงสาบแช่งนั้นด้วยอยู่ๆก็หายไปหมด
‘เพราะตอนนี้ต้นรับรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่น่ะ’
“เอ๋?”
ผมตกใจแหงนหน้ามองทางอาซากิ เธอพูดเหมือนกับรับรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่อีกแล้ว
อาซากิยิ้มยิงฟันเล็กน้อยพร้อมเช็ดคราบน้ำตา รอยยิ้มนั้นเหมือนกับรอยยิ้มแรกที่ผมเห็นเธอครั้งแรก...รอยยิ้มที่สดใสราวกับดวงอาทิตย์หลังฝน
“แหะๆ ชมกันเกินไปนะ”
อาซากิหัวเราะเขินๆพลางใช้มือลูบหลังหัวตัวเอง
“เอ๋?...คุณอาซากินี่เธอ”
อย่าบอกนะว่าอาซากิอ่านจิตใจได้ด้วย ไม่ใช่แค่พลังรักษาที่เงื่อนไขการใช้ค่อนข้างจะไม่น่าใช้เท่าไรหรอกหรือเนี่ย
จะว่าไปไม่ใช่แค่อาซากิเท่านั้น ดูเหมือนตัวเราเองก็จะมีพลังพิเศษขึ้นมาเหมือนกันที่รับรู้สิ่งมีชีวิต แถมเมื่อวานก็มีคนที่ล่องหนอีก หรือว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์บนเรือแล้วผู้โดยสารแต่ละคนได้รับพลังพิเศษคนละอย่างรึไงนะ
ไม่สิควรจะหลายอย่างมากกว่าถ้าอาซากิสามารถอ่านจิตใจได้จริงแบบนี้ก็เป็น 2 อย่างแล้ว
‘หืม...ที่แท้ต้นมีพลังที่รู้ตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตสินะ...มิน่าถึงเดินกลางคืนได้ไม่ติดขัด’
“ก็ไม่ได้อยากปิดบังอะไรหรอกนะครับ เพราะมันก็ไม่ใช่พลังที่มีประโยชน์อะไรเท่าไร”
“แต่ว่านะต้นคิดบางอย่างผิดแล้วล่ะ ฉันน่ะมีพลังแค่อย่างเดียวนะ...ต้นเธอไม่ได้รับข้อความนั้นจริงๆด้วยสินะ”
“ข้อความ?”
อยู่ๆความคิดของอาซากิเริ่มไหลเข้าหัว ทำให้รู้โดยคร่าวๆว่าพวกเราหลุดมาประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. วิธีจะรอดไม่ฆ่าทุกคนให้เหลือคนเดียว ก็ เอาตัวรอดให้ได้ 10 วัน และทุกคนจะได้รับพลังพิเศษคนละ 1 อย่าง
พอมาคิดดูเรื่องพลังของอาซากินั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่พลังอ่านใจแล้วแหะ น่าจะเหมือนการสื่อสารทางจิตมากกว่า แต่ว่า…
แต่ว่าถ้าเรื่องที่แต่ละคนจะมีพลังพิเศษแค่อย่างเดียวจริงทำไมเธอถึงทำเรื่องอย่างอื่นนอกจากการรักษาได้ด้วยล่ะ
“ฉันบอกแล้วไงว่าพลังของฉันไม่ใช่พลังรักษานะ”
“งั้นพอจะบอกได้ไหมครับว่มันคืออะไร แล้วเมื่อกี้มันอะไรกันครับทำไมอยู่เหมือนความความทรงจำของคุณอาซากิกลายเป็นของผม”
“...ต่อให้ฉันไม่ต้องพูดตอนนี้คงรู้แล้วนะ”
เป็นอย่างที่เธอว่าทันทีที่ผมถาม ข้อมูลที่เธอรู้ก็ไหลเข้าหัวผมอีกครั้ง ทำให้อยู่ๆผมก็เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
พลังของอาซากินั้นเธอก็เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อครู่เหมือนกันว่ามันเป็นพลังที่สามารถทำให้สิ่งที่คิดเป็นไปตามที่ต้องการ เพียงแต่ต้องแลกกับพลังในตัว แต่ที่เธอช่วยผมจนต้องเสียตาไปข้างนึงนั้นเป็นเพราะ...ผมได้สิ้นลมไปก่อนที่อาซากิจะได้ใช้พลังช่วย
ตอนที่เสียงในหัวของเธอเตือนเธอนั้นผมได้เสียชีวิตไประยะนึงแล้ว ทำให้การช่วยผมนั้นเรียกได้ว่าเป็นการชุบชีวิตคนตายเสียมากกว่า แต่เพราะพลังของเธอที่พึ่งตื่นทำให้ยังไม่สามารถใช้การได้เต็มความสามารถนัก แถมดูเหมือนว่าพลังของอาซากิเองยังไม่ค่อยจะยอมรับตัวเธอซักเท่าไรในตอนนี้ด้วย ทำให้การช่วยชีวิตผมจำเป็นต้องมีสื่อกลางที่เป็นร่างกายของอาซากิ
พูดง่ายๆก็คือหากผมเสียดวงตาที่อาซากิให้มานั้นผมจะตายนั่นเอง
ส่วนเสียงสาปแช่งในหัวของผมนั้นเกิดจาก...ความผิดของผมเองที่มีนิสัยชอบคิดโทษตนเองไว้ก่อน
ในตอนนั้นหลังจากที่ผมจับมือกับอาซากิและทำให้ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่อาซากิต้องมาช่วยผมจนเสียตาข้างนึงไป ผมก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าตนเองเป็นคนผิด อาซากิต้องโกรธแค้นผมแน่ จนทำให้พลังของอาซากิที่ไหนอยู่ในตัวผมตอบสนองความต้องการของผม
เพราะพลังของอาซากิคือ ทำให้สิ่งที่คิดเป็นไปตามต้องการ แม้ว่าผมไม่สามารถใช้พลังนั้นได้ แต่พลังนั้นก็ได้ตอบสนองความต้องการผมโดยการส่งเสียงสาปแช่งผมตามความต้องการของผมนั่นเอง
ส่วนที่ผมอยู่ๆเข้าใจทั้งหมดนี่ได้ก็เพราะอาซากิอีกนั่นแหละ หลังจากที่ผมเริ่มคลั่งขึ้นมาอาซากิพอได้ฟังคำใบ้จากเสียงลึกลับนั่นก็หาวิธีช่วยผมจนได้ข้อสรุปว่า จำเป็นต้องทำให้ผมเข้าใจในตัวเธอให้ได้ แล้วคำสาปแช่งนั้นจะหายไปเอง (เพราะเมื่อผมไม่คิดว่าเธอแค้นแล้ว พลังของอาซากิในตัวผมก็จะตอบสนองตาม) แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไรผมก็คงไม่เชื่อ เพราะผมคิดไปเองว่าเสียงของอาซากิที่ผมได้ยินในหัวนั้นเป็นเสียงในจิตใจของเธอ
อาซากิเห็นว่าในเมื่อพูดด้วยคำพูดไม่ได้ก็เชื่อมต่อจิตใจซะเลย คราวนี้ไม่ต้องฟังเสียงจิตใจหลอกๆที่ผมคิดไปเองแล้ว หากผมได้ยินเสียงในจิตใจของเธอ เสียงในหัวผมก็จะหยุดเอง เธอจึงใช้พลังของเธอเชื่อมต่อจิตใจของเธอกับผมทันที
ไม่รู้ว่าโชคดี หรือ โชคร้าย การเชื่อมต่อจิตใจที่อาซากิทำนั้นแทบไม่ทำให้เธอเสียพลังเธอ ซึ่งจากความทรงจำที่ผมได้รับจากอาซากินั้น ดูเหมือนพลังของเธอจะบอกว่าเพราะในตัวผมมีพลังของเธอเป็นสื่อกลางอยู่แล้ว ทำให้แค่เชื่อมจิตแค่นี้จึงง่ายมาก แต่ถึงอย่างนั้นที่เจ้าตัว (พลังของอาซากิ) ที่ไม่ทำตั้งแต่ตอนแรกเพราะหากเชื่อมครั้งนึงแล้วมันจะยกเลิกไม่ได้อีก แต่ถึงอย่างนั้นอาซากิก็ยังยืนยันให้ทำ
ผลก็อย่างที่เห็น จากนี้แค่ใครพูดอะไรขึ้นมา หรือ คิดอะไรที่เป็นคำถาม ทันทีทีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนึกอะไรได้ สิ่งที่นึกขึ้นมาอีกฝ่ายจะรู้เรื่องทันที จะว่าสะดวกก็สะดวกอยู่หรอก แต่จะว่าลำบากมันก็ไม่เชิง แบบนี้จะคล้ายมีสมองเดียวกันแต่อยู่สองร่างยังไงก็ไม่รู้น่ะสิ กลัวว่าต่อไปจะเริ่มแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครกันแน่
“ขอโทษนะ...ฉันทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่ทันคิดอีกแล้ว”
อาซากิพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ คงเพราะพึ่งมานึกผลที่จะตามมาทีหลังได้หลังจากที่รับรู้สิ่งที่ผมคิดไปเมื่อครู่ แต่ว่าพอได้ยินแบบนั้นอยู่ๆผมก็ความโกรธของผมก็พุ่งสูงปรี้ดจนเหมือนจะสติขาดดังฟึง
“คุณอาซากิ...”
ทันทีที่จะเอ่ยปากพูดอาซากิก็พูดขัดเสียก่อน
“อืม...ขอโทษนะจะไม่คิดแบบนั้นอีกแล้วล่ะ แล้วขอบใจนะที่คิดถึงฉันแบบนั้น”
อาซากิใช้นิ้วเกาแก้มเบาๆแก้เขิน
ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป ความรู้สึกก็สื่อไปถึงซะแล้ว ความรู้สึกที่ปวดใจว่าอาซากิทำเพื่อผมขนาดนั้นกลับจะโทษตนเองทำไมทั้งๆที่เป็นความผิดของผมเองแท้ๆ รวมไปถึง...ความรู้สึกที่อาจติดตามคนคนนี้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่…
...มันก็สะดวกดีอยู่หรอกแต่แบบนี้มันน่าอายยังไงก็ไม่รุสิ
แปะ!
อาซากิตบมือเสียงดังทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้
‘เอาเป็นว่าในเมื่อเรื่องที่ไม่เข้าใจกันตอนนี้ก็เข้าใจกันหมดแล้ว เราก็กลับไปกินข้าวเช้ากันต่อจากนั้นค่อยคุยกันต่อแล้วกันว่าวันนี้จะทำอะไรต่อแล้วกันนะ’
“เอา...”
‘ครับ’
“...”
ทันทีที่อาซากิกำลังจะเอ่ยปากพูด (ไม่สิหลุดพูดออกมาหนึ่งคำ) ผมก็ดันเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดก่อนซะแล้ว
“อุบ...ฮะ ฮะ ฮะ”
พวกเราทั้งคู่ต่างเผลอหัวเราะออกมา ต่างฝ่ายต่างยังคงไม่ชินการสื่อสารด้วยวิธีนี้นี้นะ ยังไม่ทันที่จะพูดสิ่งที่คิดทั้งคู่ต่างรับรู้กันเรียบร้อยแล้ว ถ้าคิดแง่ดี ก็ถือว่าประหยัดพลังงานนะ ไม่ต้องพูดแต่เข้าใจยิ่งกว่าพูดกัน
‘นั่นสินะ’
พวกเรากลับไปนั่งที่เดิมของพวกเราแล้วเริ่มลงมือทานอาหารต่อ...ว่าแต่อยู่ในสภาพเชื่อมจิตใจตลอดอย่างนี้ ถ้าคนนึงกินอาหารอีกคนจะรู้สึกถึงรสรึเปล่า แล้วถ้าฝ่ายใดฝ่ายนึงเจ็บตัว อีกฝ่ายจะรับรู้หรือไม่กัน
‘งั้นก็ลองดูสิ’
อาซากิคิดอย่างนั้นแล้วเริ่มกินเนื้อที่ย่างไว้ต่อ รสชาติของเนื้อที่จืดชืด กลิ่นสาปจางๆลอยเข้าจมูกทันที
‘เป็นยังไงบ้าง’
‘ครับ ผมรู้สึกยังกับเป็นคนกินเองเลย’
แต่ว่าที่แตกต่างกันนิดหน่อยก็คงเป็นความรู้สึกหลังจากการกินล่ะมั้ง ในกรณีผมนั้นไม่รู้สึกรังเกียจที่จะกินเนื้อนี่ซักเท่าไร แต่รู้สึกอาซากิจะกลั้นใจกิน
“เอาล่ะต่อไปก็”
ผมลองหยิกตนเองดู
“โอ๊ย ถึงจะบอกว่าอยากทดสอบดูก็เถอะ ทำแค่เบาๆสิ”
ดูเหมือนจะเจ็บทั้งคู่จริงๆ แต่ดูที่แตกต่างคือแขนของผมเป็นรอยแดงมีรอยบุ๋มของเล็บที่จิกลงไปแต่แขนของอาซากิ (ที่ผมมองเห็นผ่านการรับรู้ของอาซากิ) ไม่เห็นรอยช้ำแต่อย่างใด แสดงว่าที่ส่งผ่านกันได้ก็มีเพียงสิ่งที่รับรู้ได้โดยสมองสินะ
…
ไม่นานนักพวกเราก็ทานอาหารเสร็จ ด้วยความที่พวกเราทั้งคู่ต่างไม่มีสัมภาระอะไรเลย จึงสามารถออกเดินทางได้ทันที
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น ถึงจะยังมองไม่เห็นดวงอาทิตย์เพราะถูกบดบังไปด้วยต้นไม้ที่สูงใหญ่ขนาดหลายคนโอบ
ตอนที่ผมเริ่มมองเห็นอีกครั้ง ก็เป็นเวลากลางคืนเมื่อวานทำให้ไม่สามารถมองสภาพป่าได้ชัดนัก (ถึงจะเห็นเป็นแสงแต่ก็ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้) ทำให้พอมาเห็นป่าแบบนี้แล้วทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด มีต้นไม้หลายต้นที่ผมรู้สึกว่าน่าจะรู้จักอย่างต้นกรมเขา ต้นจิกดง ต้นสะเดา แต่กลับรู้สึกแปลกตาที่ต้นพวกนี้มันดูใหญ่กว่าที่เคยเห็นมา กระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่มีขนาดปรกติ
‘ดูเหมือนจะไม่ใช่โลกที่เรารู้จักจริงๆนั่นแหละ’
แทนที่จะบอกว่าเป็น 500 ปีก่อนคริสต์กาล น่าจะเรียกว่าเป็นคนละโลกมากกว่าด้วยซ้ำ
‘งั้นหรอ...แบบนี้เราจะพอเชื่อเรื่องที่ข้อความนั้นพูดได้ไหม’
‘ไม่รู้สิครับ จริงอยู่ที่พวกเราได้พลังมาเหมือนกับในข้อความนั้น แต่ว่าเรื่องที่พวกเราไร้อายุขัยแล้วนั้น ตอนนี้ยังคงไม่สามารถจะบอกอะไรได้ ส่วนเรื่องที่ให้ฆ่ากันให้เหลือคนเดียว หรือให้พยายาม อยู่รอดให้ถึง 10 วัน ไหนจะเรื่องผู้ถูกเลือกอีก...’
‘ยังกะพวกเรากำลังถูกอะไรบางอย่างทดสอบโดยไม่ถามความสมัครใจอยู่งั้นสินะ’
‘ใช่ครับ...’
แถมผมที่ดูเหมือนจะเป็นพวกไม่ผ่านการคัดเลือกนี่...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถึงอยู่รอดไปครบ 10 วันแล้วจะเป็นยังไง
เกิดความเงียบระหว่างพวกเราทั้งคู่อยู่ครู่นึง ไม่สิจะเรียกว่าเงียบก็ไม่ถูก เพราะต่างฝ่ายต่างยังได้ยินเสียงในใจที่อีกฝ่ายคิดแต่ไม่ได้สื่อสารอะไรกันต่อเท่านั้น อาซากิพยายามนึกคำพูดที่จะให้กำลังใจผม ส่วนผมกำลังคิดถึงเรื่องว่าวันนี้จะทำอย่างไรดีส่วนเรื่องหลังจากครบกำหนด 10 วัน (ไม่สิเหลือ 9 วันแล้ว) นั้นจะเป็นไงก็ช่างมัน...ตอนนี้อันดับแรกของผมคือให้อาซากิรอดก่อนเท่านั้นก็พอ ถึงจะเจอกันไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็ตาม แต่เธอช่วยเหลือผมหลายครั้งเหลือเกิน จนกลัวเธอจะผิดหวังที่ต้องเสียดวงตาช่วยผม
‘นี่...เลิกคิดแบบนั้นเถอะ...ที่ฉันช่วยคนไม่ได้เพราะฉันหวังอะไรแต่แรกอยู่แล้ว...เรื่องที่เสียดวงตาไปเมื่อกี้ก็เคลียร์กันไปแล้วนี่ว่าฉันไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว ถึงตอนแรกอาจจะแค้นอยู่นิดนึงแต่เพราะเป็นการตัดสินใจของชั้นเองนะ’
“จะพยายามครับ แต่คงต้องปรับตัวระยะนึง”
‘ต้นนี่นะ...ทำไมชอบมองอะไรแง่ลบสุดๆ แถมชอบโทษตนเองตลอด..’
ทันทีที่เธอนึกเรื่องนั้น เหตุการณ์ในอดีตที่สมัยก่อนก็ผุดขึ้นในหัวผมโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาป่าใหม่ๆที่ยังคึกคะนอง หลังจากออกปฏิบัติการได้ระยะนึง ทำผลงานออกมาได้ดีต่อเนื่องจนคิดว่าข้าแน่ จนครั้งที่เจอกับแก๊งค้ายาที่แอบลักลอบขนส่งสินค้าผ่านเขตแดนที่ผมดูแลอยู่ ด้วยความประมาทสุดท้ายส่งผลทำให้คนในหน่วยคนในทีมตายไปหลายคนจากการเข้าตอนที่เข้าบุกจับกุมโดยไม่วางแผนให้ดี ผมที่ถูกจับมาทรมาณยังเปิดเผยตำแหน่งของหน่วยจนทำให้ทั้งหน่วยผมมีเพียงผมคนเดียวที่รอด...
“ขอโทษ...”
‘เฮ้อ...หมดกัน...คุณอาซากิรู้เรื่องนั้นซะแล้ว...เกลียดผมขึ้นมาแล้วยังครับ’
‘...ไม่รู้สิ’
ความรู้สึกต่างๆของเธอที่เกิดขึ้นหลายอย่างพร้อมกันไหลเข้าตัวผม ทั้งความรู้สึกผิดที่ตัวเธอทำให้ผมดันนึกถึงเรื่องที่ผมไม่อยากจะนึกถึง ความรู้สึกรังเกียจและผิดหวังกับการกระทำของผมในอดีต
“ถ้าเป็นตัวเธอสมัยก่อน ฉันอาจฆ่าเธอแล้วชิงตาคืนมาก็ได้นะ เพราะพลังของฉันก็บอกว่าทำได้”
อาซากิหลี่ตาลงมองผมด้วยสายตาเย็นยะเยือก
“แต่ถ้าเป็นตอนนี้ฉันรู้สึกนะว่ามันคุ้มค่า”
กล่าวจบเธอก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้
ความรู้สึกลำบากกระอักกระอวนใจตั้งแต่รู้ว่าอาซากิเชื่อมจิตของเธอกับผมหมดไปเสียที ตั้งแต่ได้รู้ว่าเกิดการเชื่อมจิต ผมก็พยายามจะไม่นึกถึงเรื่องเหตุการณ์ในอดีตนั้นตลอดเพราะกลัวเธอจะรังเกียจเอา แต่ดูเหมือนว่าพอเชื่อมจิตกันอย่างนี้แล้วถึงจะพยายามยังไงก็ปิดอีกฝ่ายได้ไม่นาน
...เอาเถอะต่อไปก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความแค่ปกป้องรอยยิ้มเบื้องหน้าก็เพียงพอแล้ว...
ความคิดเห็น