ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Remnant of Memory

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 Crying Survivor

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 56


    ปี ????
    เวลา ????


    ‘มืด’


    เมื่อผมเริ่มได้สติขึ้นมาสิ่งแรกที่ผมรู้สึกคือความมืด ความมืดที่มองอะไรไม่เห็นเลยแม้เพียงปลายจมูกของตนเอง


    ‘เกิดอะไรขึ้น’


    ผมสับสนสภาพของตนเอง


    “อึก!”


    เมื่อพยายามจะพยุงตัวขึ้นกลับปวดร้าวร่างกายไปทั่วจนหลุดเสียงร้องออกมา แต่เสียงที่ส่งออกมากลับกระเทือนร่างกายเข้าไปอีกจนเจ็บซ้ำ ผมได้แต่กดฟันไม่ให้เสียงหลุดออกมาอีกครั้ง


    เมื่อความเจ็บปวดเริ่มจางลง ผมก็เริ่มผ่อนคลายกล้ามเนื้อแล้วนอนลงนิ่งๆแล้วสงบจิตใจพยายามใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆที่มีทั้งหมดดู


    ...ความมืดที่มืดจนมองไม่เห็นแม้แต่ปลายจมูกตนเอง


    ...ความเงียบที่ไม่ได้ยินเสียงอันใด


    ...ร่างกายที่เจ็บปวดไปทั่วร่าง แม้แต่เสียงก็ไม่สามารถพูดออกมาได้


    ดูเหมือนว่าประสาทสัมผัสเดียวที่พอจะทำให้ผมรับรู้สิ่งรอบตัวได้มีแต่เพียงจมูกที่พอจะได้กลิ่นดินที่ชุ่มน้ำโชยมาใกล้ๆรอบตัว ปนกับกลิ่นสนิมเหล็ก กลิ่นควันไฟจางๆ


    ‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น’


    คำถามเดิมเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ผมพยายามข่มจิตใจไม่ให้ตนเองคลั่งไปพยายามทบทวนเหตุการณ์ว่าตัวเองกลายมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร จึงเริ่มคิดจากข้อมูลพื้นๆก่อน


    ผม...ผมชื่อ... ตฤษณะ โพธิวัฒน์ ชื่อเล่น ต้น

    อายุล่ะ... 25 ปี ใช่วันเกิดผมเพิ่งจะผ่านไปได้สองสัปดาห์เอง

    อาชีพ นี่เราทำงาน...ป่า...ใช่...พนักงานพิทักษ์ป่า...

     

    OK ผมเริ่มสงบจิตใจได้เล็กน้อยเมื่อจำได้ว่าตนเองเป็นใครจากนั้นผมก็สูดหายใจเข้าลึกลึกแล้วเริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า


    ‘วันก่อนหลังจากที่ผมกลับมาจากการสำรวจป่าในอุทยานแห่งชาติทับลานเพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้พะยูง ผมก็ได้ขอลาพักร้อน 3 วันในวันที่ 24 – 26 กรกฎาคม ทำให้ผมได้หยุดยาวทั้งหมด 9 วัน

     

    เดิมทีเงินเดือนผมตอนที่เพิ่งเข้าพนักงานพิทักษ์ป่าได้เพียง 4 พันกว่าบาท ทำให้ผมแทบไม่มีเงินเหลือในแต่ละเดือนแม้ว่าจะออกจากป่าเข้ามาพักในเมืองเพียงไม่กี่วันในแต่ละเดือนก็ตามยังดีที่ปีก่อนมีการเพิ่มเงินเดือนขึ้นเป็น 8 พันบาทและในปีนี้เป็น 9 พันบาททำให้ได้แรงใจทำงานขึ้นมาอีกนิด เพราะงานที่ทำไม่ว่าจะต้องระวังสัตว์ป่า กับสัตว์เลื้อยครานแล้ว ที่อันตรายที่สุดตอนที่ผมทำงานคือมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละไหนจะลักลอบมาฆ่าสัตว์ ไหนจะลักลอบตัดไม้

    เวลาเจอกันทีไรจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังเข้าจับกุมแทบทุกครั้งไป


    ปีนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผมขอลาหยุดเพราะเริ่มมีเงินเก็บหลังจากเริ่มทำงานมาได้เกือบ 4 ปี ตอนแรกผมตั้งใจจะชวนพ่อ แม่มาเที่ยวด้วยกัน แต่พวกท่านกลับบอกว่าตัวผมที่อายุ 25 ปีซึ่งเป็นวัยเบญจเพสนั้น ทางที่ดีอย่าเดินทางดีกว่า

     

    น่าตลกที่ผมต้องเข้าป่าเกือบตลอดทั้งปีพวกท่านกลับไม่เคยห้าม แต่พอจะชวนไปเที่ยวบนเรือสำราญด้วยกันกลับไม่กล้า แถมยกเหตุผลไร้สาระอื่นมาอ้าง อย่างเส้นทางเดินเรือที่วิ่งเป็นสามเหลี่ยมจากเกาะสมุย ไปยังเกาะช้าง ไปเกาะโถเจา (tho chu Island) มันน่ากลัวยังกะจะวิ่งตีวงเป็นสามเหลี่ยมเมอร์บิวด้า

     

    ผมที่ค้านหัวชนฝากับเหตุผลที่ให้ยกเลิกการทัวร์แบบไม่เข้าเรื่อง


    เบญจเพสนี่นะ สามเหลี่ยมอาถรรพ์นี่นะ...


    เรื่องเบญจเพสนี่ถ้ากลัวก็คงไม่ต้องออกไปไหนทั้งปีแน่ๆ ส่วนเรื่องสามเหลี่ยมอาถรรพ์...นี่มันเมืองไทยนะ...สุดท้ายผมก็ทะเลาะกับพ่อแม่ที่ยึดถือในเรื่องงมงายแปลกๆ ไปทัวร์คนเดียว...

     

    ทั้งๆที่จุดประสงค์ตอนแรกคือกะจะกลับมาพักอยู่กับพวกท่านในช่วงหยุดยาว แล้วไปเที่ยวด้วยกัน เพราะนานๆครั้งผมจะออกมาจากป่าซักที แถมเข้าป่าไปแต่ละครั้งก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ตลอดรึเปล่า สุดท้ายกลับต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระ


    วันที่เสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2013

    05.00 AM.


    ผมออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าเพื่อให้ไปทันท่าเรือเฟอร์รี่ที่ดอนสักภายก่อนเวลา 6.00 น. แน่นอนว่าทั้งพ่อ และ แม่ที่ทะเลาะกันอยู่นั้นไม่ได้มาส่งด้วย ผมออกจากบ้านด้วยใจขุ่นมัวตลอดดูเหมือนว่าการเที่ยวในรอบนี้จะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มซะแล้ว

     

    หลังจากผมมาถึงท่าเรือก็เกือบจะ 6 โมงพอดีเรือเฟอร์รี่ที่จะไปเกาะสมุยมาเทียบท่ารออยู่แล้ว เมื่อเรือเฟอร์รี่ออกจากท่าเรือดอนสักได้ซักพักก็มีเสียงโทรศัพท์มาหา พ่อกับแม่โทรเข้ามาคุยกับผมซักพักว่าถึงพวกท่านจะไม่เห็นด้วยแต่ในเมื่อผมไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ให้ระวังตัวด้วยแล้วกัน แถมพ่อบอกว่าพ่อแอบเอามีดเดินป่าที่ผมพกไว้ประจำใส่กระเป๋าเดินทางของผมมาด้วย

     

    พอผมได้ยินเข้าทั้งตลก ทั้งโกรธปนเปกันจนขำออกมา โชคดีที่ทัวร์เรือสำราญไม่น่าจะมีตรวจอาวุธเหมือนเครื่องบินไม่งั้นผมซวยแน่ ยังไงก็ตามดูเหมือนผมกับทางบ้านพอจะทำความเข้าใจกันได้ พ่อกับแม่ก็บอกว่าให้เที่ยวให้สนุกแต่ให้ระวังตัวเอาไว้ด้วยแล้วกัน


    เรือเฟอร์รี่ของท่าเรือที่เกาะสมุยประมาณ 07.40 น. ช้ากว่ากำหนดราวๆเกือบ 10 นาทีเพราะลมมรสุมค่อนข้างแรงผิดจากที่คาดการณ์ไว้ ผมรีบวิ่งไปที่เรือสำราญที่จ้องไว้ ห่างที่จุดลงเรือเฟอร์รี่ไม่ไกลนัก เนื่องจากเรือจะออกราว 8.00 น.พนักงานต้อนรับมองผมอย่างไม่แน่ใจอยู่พักนึงอาจเป็นเพราะสารรูปผมก็ได้ที่ใส่เพียงเสื้อยืด กางเกงยีนส์ แถมเป็นรองเท้าแตะฟองน้ำอีก สภาพไม่เหมือนพวกที่จะมีฐานะพอจะมาขึ้นเรือได้ แต่หลังจากตรวจสอบบัตรประชาชน และ ชื่อในทะเบียนที่จองไว้ระยะนึงก็ยอมให้ขึ้นเรือไป



    เอาเถอะอย่างน้อยพอขึ้นมาบนเรือได้ดูเหมือนพนักงานจะปฏิบัติต่อผมด้วยดีพาไปยังห้องพัก และ นัดแนะเวลาอาหารมื้อเที่ยง และ เย็นเรียบร้อย

     

    อาหารที่นี่เรียกได้ว่าอร่อยกว่าที่เคยๆกินมาทำงานในป่ามาก ที่ปรกติผมจะต้องพกอาหารสำเร็จรูปแบบฉีกแล้วกินได้เลย หรือไม่หากเป็นพวกเนื้อก็จะต้องเผาให้ด้านนอกไหม้เพื่อกันไม่ให้อากาศเข้า พอจะกินค่อยใช้มีดเฉือนเนื้อส่วนที่ไหม้ออก ซึ่งหากทำเช่นนี้จะเก็บได้นาน แต่รสชาติไม่ได้เรื่องทั้งเหนียว ทั้งแข็ง มีแต่รสเค็มเพราะต้องใส่เกลือเอาไว้ให้เก็บได้นาน พอมากินที่นี่เลยรู้สึกราวกับว่าที่เคยกินๆมานี่มันอาหารรึเปล่า’


    ครืด…


    พอนึกถึงอาหารที่ได้กินบนเรือสำราญนั่นผมก็หิวจนท้องร้องขึ้นมาแต่เพราะยังขยับตัวไม่ได้ และ มองเห็นแต่เพียงความมืดเลยใช้เวลานึกทบทวนเรื่องที่ผ่านมาต่อเพื่อจะนึกอะไรออก


    ‘ในวันแรกตอนเย็นเรือสำราญได้พามาถึงเกาะโถเจา ทางไกด์ของเรือได้เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนเคยเห็นเกาะที่มีตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญทางทะเล แถมอยู่กลางระหว่าง กัมพูชา กับ เวียดนามทำให้ทั้งสองประเทศเคยรบแย่งกันมาแล้ว แต่ปัจจุบันได้ตกเป็นของเวียดนามเรียบร้อย

     

    หลังจากนั้นคนบนเรือรวมทั้งผมก็ขึ้นไปเที่ยวบนเกาะที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แถมชายหาดก็ไม่ได้สวยมากมายมีหินค่อนข้างเยอะ เรือประมงก็มาก ตำแหน่งเล่นน้ำมีให้เห็นไม่เยอะ ทำให้ลูกเรือที่ส่วนใหญ่มากันเป็นคู่ๆบ่นกันระงมแต่อาหารเย็นบนเกาะที่มีแต่ปลานั้นถือว่าจัดไว้ค่อนข้างหรูหราพอควรชดเชยกับอารมณ์ที่เสียไปบางส่วนได้ ในคืนแรกผมกับคณะทัวร์ก็นอนพักกันบนโรงแรมในเกาะโถเจา


    เช้าวันที่สองเรือออกจากเกาะราว 11.00 โมงเช้าผมไปนั่งอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยด้วยชุดบ้านๆตามเคยบริเวณที่หน้าเรือที่มีราวกว้าง และ เตียงนอนจำนวนมาก พอผมไปถึงพนักงานมาต้อนรับพร้อมถามถึงว่าต้องการน้ำอะไรหรือไม่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายของทัวร์ที่ราคาเพียงหมื่นกว่าบาทให้ไม่ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายอื่นที่ไม่ใช่อาหารมื้อหลัก น้ำ และ อาหารอื่นๆบนเรือจึงแพงมาก ผมจึงบอกปฎิเสธไป

     

    “น่าเบื่อ”

     

    นั่นคือความรู้สึกช่วงนั้นของผมจริงๆไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่พวกนักท่องเที่ยวที่มาเป็นคู่ๆ ส่วนผมที่มาคนเดียวแบบไม่มีอะไรให้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นตั้งหน้ารอแต่อาหารรึเปล่าก็ไม่รู้ จริงๆแล้วในเรือมีหลายที่ให้เล่นมากทั้งสระว่ายน้ำ ทั้งห้อง fitness ขนาดคาสิโนยังมี แถมตอนเย็นยังมีการจัดคอนเสริต์กันด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะผมอยู่ป่านานเกินไปรึเปล่าถึงเวลาอยู่กลางกลุ่มคนมากๆกลับเวียนหัวขึ้นมา แถมเสียงที่ดังจนแก้วหูสะเทือนทำให้ผมต้องหนีออกมาหยิบนิตรสารใกล้มือมาอ่านฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อยตลอด

     

    “ทำไมเวลาเดินป่าทำงานดันสนุกกว่ามาเที่ยวได้นะ”

     

    หลังจากที่มองท้องทะเลอันเวิ้งว้าง ไร้คลื่น ท้องฟ้าที่ไร้เมฆ แสงแดดอันแรงกล้า มองไปไหนก็มีแต่น้ำ ไม่เห็นปลาหรอนกซักตัว เสียงรอบตัวก็ได้ยินแต่เสียงหนุ่มสาวคุยหยอกล้อกัน กับเสียงเรือที่ไม่ดังมากมายซักพักผมก็กลับไปที่ห้องคว้าเครื่อง Mp3 รุ่นกันน้ำหูฟังขึ้นมาใส่เปิดเพลงฟังเบาๆ

     

    ‘Sound of Silence’

     

    เพลงที่ผมได้ยินบ่อยๆตั้งแต่สมัยยังเรียนมัธยมเพราะพ่อชอบหยิบมาเปิดเล่นเวลาอยู่ที่บ้าน เป็นหนึ่งในเพลงที่ผมชอบใช้ฟังเวลาต้องการสงบจิตใจ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงในห้องของตนเองที่ขนาดไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรนัก เบาะก็ค่อนข้างแข็งแต่พอจะนอนได้สบาย

     

    ฮูม!!!

     

    เสียงราวกับเรือหรืออะไรซักอย่างที่ขนาดใหญ่มากดังขึ้นกระทันหันจนแม้แต่ผมที่อยู่ในห้องและใส่หูฟังเพลงยังแสบแก้วหู ร่างกายสั่นสะเทือนเพราะคลื่นเสียง พอเสียงเงียบไปแวบนึงก็ได้ยินเสียงผู้คนเอะอะ ผมรีบวิ่งไปรื้อกระเป๋าเดินทางด้วยความเคยชินที่เวลาเกิดอะไรคับขันจะต้องมีอะไรในมืออยู่ตลอด

     

    ดูเหมือนว่าจะใส่มาด้วยจริงๆแหะ”


    ‘มีดอรัญญิกทรงกรูข่า’

     

    ตัวด้ามยาว 5 นิ้วครึ่งตัวมีดยาว 9 นิ้วครึ่ง พอเห็นตัวมีดแล้วผมกลับเกิดนึกอยากกลับไปเข้าป่าต่อแต่มันก็ช่วยไม่ได้อีกตั้งหลายวันกว่าจะหมดช่วงหยุดยาว จากนั้นก็มองหาซองหนังใส่มีดที่กลัวว่าพ่อจะไม่ได้ใส่มาด้วย เพราะทุกครั้งเวลากลับบ้านผมจะถอดมีดออกมาจากซองหนังเนื่องจากซองหนังของมีดมันมีสารฟอกที่ทำให้มีดเกิดสนิมได้หากเก็บไว้ในซองนานเกิน

     

    พอรื้อต่อซักพักก็เจอซองหนังเก็บไว้ในกระเป๋าหน้าของกระเป๋าเดินทาง ผมรีบหยิบมีดใส่ซองเหน็บเข้าข้างเอวแล้วเปิดประตูออกไปด้านนอก

     

    ระยะเวลาตั้งแต่ผมกลับมาจากดาดฟ้าเรือเข้าไปในห้องนั้นนานไม่เกิน 1 ชั่วโมง และระยะเวลาตั้งแต่ผมได้ยินเสียงประหลาดจนไปค้นของในกระเป๋าแล้วออกมานอกห้องกินเวลาไม่ถึง 1 นาทีแต่ทว่า ...


    แสงแดดที่ลอดมาตามทางเดินห้องพักบัดนี้กลับมืดสนิทราวกลับกลางคืน ได้ยินเสียงผู้คนกรีดร้องเป็นระยะ ผมกัดฟันเดินออกไปตามระเบียงทางเดินเรือ

     

    ภายนอกจากที่เป็นท้องฟ้าแดดจ้าไร้เมฆ บัดนี้ได้กลับตละปัดโดยสิ้นเชิง ท้องฟ้ามืดมิด มองไปที่ทะเลกลับไม่เหมือนน้ำ ไม่สิมันว่างเปล่าด้วยซ้ำ รอบตัวเรือราวกลับหลุดมากลางอวกาศ มองไม่เห็นสิ่งใด ได้ยินลูกเรือจำนวนมากกรีดร้องถามเหล่าพนักงานบนเรือว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าพนักงานก็คงไม่มีทางตอบได้เช่นกัน

     

    ผมออกเดินไปยังห้องโถงใหญ่ที่คนไปรวมกันที่นั่น ได้ยินเสียงคนคุยกันถึงเหตุการที่ผ่านมาไม่เกินห้านาทีว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    “สัตว์ประหลาด” “คุณจะรับผิดชอบยังไง” “แม่ผมหิวข้าว”  “เมื่อกี้ผมเห็นว่าคลื่นยักษ์มาทับเรานะ”


    “ที่นี่มันที่ไหน” “ฮะ ฮะ ฮะ” “พวกเราไม่รอดแล้ว” “นี่เป็นเซอร์ไพร์ของที่นี่สินะ” “เงียบนะ”


    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” “ชั้นอยากกลับบ้าน” “สัญญาณไม่มี” “คุณทำอย่างนี้ได้ไงผมจะฟ้อง”

     

    เสียงคุยปนเปกันจนฟังไม่รู้เรื่อง เริ่มเกิดมวยคู่ย่อยๆชกกัน ผมหลีกตัวออกมาจากห้องโถงใหญ่เดินเลยออกไปดูรอบตัวเรือ จนเดินมาถึงดาดฟ้าที่มีสระว่ายน้ำและที่นอนอาบแดด ซึ่งแน่นอนตอนนี้มันไร้ผู้คนราวกับเป็นเรือร้าง แต่สิ่งที่ช่วยให้รู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวก็เป็นเสียงโวยวายของผู้คนที่ดังให้ได้ยินมาเป็นระยะๆ


    ผมเดินเล่นริมสระน้ำด้วยความแปลกใจ สภาพตอนนี้ราวกับเรือนั้นลอยอยู่กลางอวกาศแต่ทำไมน้ำในสระถึงไม่กลายเป็นทรงกลมเหมือนที่เคยได้ยินกันแน่ คิดได้ดังนั้นผมจึงลองหยิบที่เขี่ยบุหรี่จานแก้วที่อยู่ใกล้มือโยนออกไปนอกเรือเบาๆ อาศัยแสงไฟบนเรือจับตามองจานนั้น หากเป็นอวกาศจริงตามที่ได้ยินมา ถ้าเราโยนของในอวกาศมันจะลอยออกไปเรื่อยๆ แต่จานดังกล่าวลอยออกไปนอกตัวเรือได้ระยะนึงแล้วหยุดนิ่งกลางความว่างเปล่านั้น ไม่ลอยขั้นลง

     

    ฮะ ฮะ อย่างน้อยก็ไม่ได้หลุดมากลางอวกาศล่ะนะ”


    ผมเริ่มเดินดูรอบเรือไปทั่วดูเหมือนว่าเครื่องยนต์ของเรือจะปิดไปแล้ว ห้องครัวห้องอาหารเริ่มเกิดจราจลย่อมๆ ราวกับว่าแต่ละคนจะรีบตุนอาหารเอาไว้บางคนแย่งอาหารด้วยตัวคนเดียว แต่ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะมีกลุ่มย่อยๆของตนเอง...ดีจังนะคนที่มีคนรู้จักในสถารการณ์แบบนี้เนี่ย ผมมาคนเดียวแบบนี้ไม่รู้จะปรึกษาใครนี่สิ

     

    ฮูม!!

     

    เสียงนั้นดังอีกครั้ง เกิดเสียงสั่นสะเทือนไปทั่ว สภาพรอบตัวเรือเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ที่ราวกับอยู่ในความว่างเปล่ากลับกลายเป็นราวกลับอยู่ท่ามพายุคลั่ง เสียงนั้นยังคงดังไม่หยุดผมใช่มือทั้งสองอุดหูทั้งๆที่ยังคงสวมหูฟังอยู่ ได้ยินเสียงคนกรีดร้องปนเปกันหลังจากนั้น...


    จากเสียงร้องตกใจเริ่มกลายเป็นเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด คนจำนวนมากเริ่มมีเลือดไหลออกมาจากหู และ ตา หลายคนลงไปนอนดิ้นทุกรนทุรายจากนั้น…


    โพล๊ะ!


    นรก ภาพเบื้องหน้าผมคือนรกชัดๆ คนหลายคนหน้าอกระเบิดออกมาจนเครื่องในแตกกระจาย เสียกรีดร้องของผู้โดยสารดังไปทั่ว เลือดสาดกระเด็นเต็มลาน


    ราวกับเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ หลังจากที่ร่างกายคนส่วนนึงระเบิดออก เริ่มมีที่ร่างกายระเบิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเช่นกันภายในตัวผมนั้นอยู่ๆราวกับเกิดแรงดันจากอวัยวะภายในจะพุ่งออกมาภายนอกจนผมลดมือข้างนึงมากุมหน้าอกก้มงอตัวลง เค้นแรงทั้งหมดเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างพยายามบีบอัดไม่ให้แรงดันนั้นออกมาได้ ราวกับหากแม้เผลอคลายแรงแม้เพียงชั่วครู่จุดจบอาจเหมือนบางคนที่เห็นก็เป็นได้

     

    สายตาผมเริ่มพล่ามั่ว ภาพต่างๆที่รับรู้เริ่มกลายเป็นสีแดง ไม่รู้หายใจเริ่มติดขัดจากการที่เลือดเริ่มไหลออกมา ในที่สุดผมก็ล้มลงบนพื้น มือยังคงกดหูข้างนึงกดหน้าอกหนึ่งข้าง นี่ผมจะต้องมาตายอย่างนี้น่ะหรือ

     

    ภาพสุดท้ายที่เห็นกองภาพรอบข้างจะดับลงไปนั้นคือภาพตัวอะไรซักอย่างที่ขนาดใหญ่กว่าเรือสำราญหลายเท่าลอยสูงห่างจากเรือมาก หากมีท้องฟ้าอยู่คงระดับเดียวกับก้อนเมฆแต่ตอนนี้ไม่รู้จะเรียกว่าท้องฟ้าได้หรือไม่ น่าแปลกที่ผมยังสามารถมองเห็นสิ่งนั้นได้ทั้งๆที่ไม่มีแสง’

     

    ฮะ ฮะ ไม่ได้ฝันไปสินะ”

     

    พอทบทวนเรื่องทั้งหมดออกผมก็รู้สึกบรรยายไม่ถูกว่ากลัว สิ้นหวัง ประหลาดใจ หรืออะไรกันแน่ความรู้สึกผสมปนเปกัน ผมพยายามขยับตัวอีกครั้งดูเหมือนว่าร่างกายเริ่มที่จะขยับได้เล็กน้อยแล้ว ประสาทสัมผัสต่างๆเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง

     

    ผมเอามือลูบไปได้พื้นที่ตนเองอยู่ดูเหมือนว่าจะอยู่บนดินที่มีหินเล็กน้อย ถึงจะแปลกใจที่ทำไมตนเองถึงไม่ได้อยู่ในเรือ แต่คงเพราะผมน่าจะหลุดมายังที่ไหนซักที่ก็ได้ แต่ว่า...

    อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ในห้วงว่างเปล่าเมื่อครู่ล่ะนะ”

     

    ผมไม่รู้จะเรียกสิ่งที่ผมเจอว่าสิ่งใดเลยตั้งชื่อไปก่อนว่าห้วงว่างเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้อยู่แต่ว่าก่อนหมดสติไปนั้นห่างกันเท่าไร เป็นนาที? ชั่วโมง? วัน?

     

    ผมลุกตัวขึ้นนั่งก้มมองนาฬิกาของตน...


    มืด...ยังคงไม่เห็นสิ่งใด

     

    ผมลองคลำแถวข้อมือขวาของตนว่ามีนาฬิกาหรือไม่ก็พบว่ายังคงสวมอยู่แต่แสงไฟจากนาฬิกากลับไม่ขึ้นคงจะเสียไปแล้วก็เป็นได้ ผมจึงลองพยายามคลำไปทั่วตัวจนพบ MP3 กันน้ำของตนลองกดดูกลับไม่มีแสงขึ้นแต่ทว่า


    “Hello darkness my old friend”


    เสียงเพลงของเครื่อง MP3 ของเพลง ‘Sound of Silence’ กลับยังคงดังขึ้นตามปรกติราวกับ MP3 มันไม่ได้เสียยังไงยังงั้น ผมเริ่มสังหรใจไม่ดี ลองถอดหูฟังออกจากหูข้างนึงแล้วเอานาฬิกาข้อมือมากดใกล้ๆหู


    ตี้ด...ตี้ด


    เสียงของนาฬิกาข้อมือผมนั้นดังตามปรกติเช่นเดียวกับ MP3 ราวกับทั้งสองอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง


    “ฮะ ฮะ ฮะ ไม่จริงน่า”

     

    ผมเริ่มเอะใจได้ซักพักแล้วแต่ยังไม่กล้ายอมรับ และ ไม่กล้ารับรู้

     

    กลิ่นสนิมเหล็ก ความมืดสนิท กลิ่นเลือด...เลือดผมเองนี่แหละ แถมยังไหลมาจาก...อาบแก้มซะด้วย ผมเริ่มค่อยๆเลื่อนมือไปยังดวงตาของผมเพื่อสัมผัสแต่แล้ว...

     

    ราวกับหัวใจผมหยุดเต้นไปชั่วครู่ ตรงที่ควรจะมีตัวตาของผมกลับกลายเป็นความว่างเปล่าไม่มีอะไร แม้หนังตาของผมจะยังคงสัมผัสได้แต่ว่า ลูกตาทั้งสองข้างกลับ...

     

    ฮะ ฮะ ฮะ”


    ไม่รู้ทำไมจิตใจที่ผมพยายามสงบอยู่ตอนนี้เริ่มวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะราวกับไม่มีอะไรจะเสียดังขึ้นมาทั้งๆที่ตนเองไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะยิ้มออกด้วยซ้ำ


    “ช่วยด้วย!!! มีใครอยู่แถวนี้ไหมครับ!!! ช่วยผมด้วย!!!”

    ผมแผดเสียงออกมาสุดตัวทำเอาปวดร่างกายทั้งหมดไปอีกรอบแต่ยังคงร้องขอความช่วยเหลือต่อไป

    ===========================================

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×