คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : 18th TOXIC – จิตใต้สำนึก [rw]
กฎแห่งกรรมที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ข้อที่สิบแปด – จิตใต้สำนึก
1.
ถึงในวัยเด็กเธอจะโดนแกล้งจนต้องร้องให้พี่ชายช่วยอยู่บ่อย ๆ แต่ลัลทริมาก็เคยเป็นเด็กร่าเริงกว่าตอนนี้มากนัก
...อย่างน้อยก็เคยเป็น
จากที่แต่เดิมไม่ชอบเข้าสังคมอยู่แล้ว หลังได้ญาณอาถรรพ์ติดตัวมาทำให้เธอกลายเป็นคนเก็บตัวยิ่งกว่าเก่า อยู่ติดบ้านจนเคยชิน ทั้งที่รู้สึกเหงาแทบตาย อยากได้อิสระเหมือนคนอื่น ๆ แต่ด้วยเกรงว่าหากออกไปแล้วไม่รู้ว่าพลังนี้จะแสดงผลที่ไหนและเมื่อไหร่ ยิ่งเป็นสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านเด็กสาวยิ่งไม่ปรารถนาเข้าไปใหญ่
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ญาณอาถรรพ์ได้หายไป ทำให้ลัลทริมาเหมือนได้รับการปลดปล่อย เธอไปไหนก็ได้เท่าที่อยากจะไป เที่ยวได้ทุกเวลาที่อยากจะเที่ยว
เพิ่งเข้าใจว่าปล่อยผี (ในตัว) เป็นยังไง
“เอม นี วันนี้ไปร้องเกะกัน”
“โหย เดี๋ยวนี้ชวนใหญ่เลยนะลัล”
“วันก่อนก็ไป วันนี้ลัลก็จะไปอีกแล้วเรอะ” เอมิกาเงยหน้าขึ้นถาม สองมือพลางเก็บหนังสือบนโต๊ะเรียนลงในกระเป๋าเตรียมจะกลับบ้าน
“โถ่ เดือนหน้าก็มีบายเนียร์แล้วนะ...แค่คิดว่าเทอมสุดท้ายของที่นี่แล้ว ก็เลยอยากไปเที่ยวกับเธอสองคนให้เต็มที่ไง หลังจากนี้เราคงมาเจอกันได้ยากขึ้น”
“ไม่ใช่ว่าแอบนัดใครไว้หรอกน้า” เอมิกาดักคอ สาวแว่นหูผึ่งเมื่อได้ยินประโยคนั้น เลิกสนใจสัมภาระแล้วหันมาจุ่มหัวร่วมวงสนทนาด้วยคน
“นัดอะไร นัดใครเหรอ”
“มีหนุ่มมาจีบเพื่อนเราล่ะยัยแว่น”
“จีบตอนไหน เมื่อไหร่ ยังไง”
เจ้าของทรงผมเปียส่งคำถามรัวมาเป็นชุดทำเอาสองสาวกลั้นยิ้มขำไม่อยู่
“วันนั้นที่แกหยุดเรียน ฉันไปกินบุฟเฟ่ต์ของหวานที่เพิ่งเปิดใหม่กับลัลมา ...แล้วพอฉันเดินแยกไปตักขนม ก็มีหนุ่มหล่อเข้ามาคุยกับลัลเฉยเลย”
“แหน๊ะ พอมีหนุ่มมีจีบแล้วก็ลืมโชของฉันเชียวนะ”
มัณฑินียิ้มล้อเลียนเพื่อนสาวหน้าตาน่ารักอย่างลัลทริมา ในใจเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาอยู่ลึก ๆ ทว่าก็ไม่ใช่ความประสงค์ร้ายแต่อย่างใด มีกิจกรรมจัดอันดับคนสวยในโรงเรียนทีไรเพื่อนสาวทั้งสองคนก็มักติดอันดับอยู่เสมอ คนหนึ่งติดหนึ่งในสาม แถมยังมีชื่อชิงดาวเด่นในงานเลี้ยงบายเนียร์ของทุกปีเพราะเจ้าตัวฮอตเป็นปกติอยู่แล้ว
ทว่าน่าแปลกใจกับอีกคนหนึ่งที่หลุดโผอันดับความสวยจากหนึ่งในห้ามาแค่ลำดับเดียว การที่เด็กสาวผู้ถูกเกลียดชังมากที่สุดในโรงเรียนได้ลำดับหกจากผลโหวตนั่นถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก ทำให้ในงานเลี้ยงบายเนียร์กลับมีชื่อเธอร่วมเข้าชิงอยู่ด้วยตลอดจนปีสุดท้าย แม้ว่าเจ้าตัวไม่เคยได้รับรางวัล แถมยังไม่คาดหวังอะไรเลยก็ตาม
ลองคิดดูเอาเถิด ถ้าตัวตนลัลทริมาไม่ได้เป็นที่ชังจากอคติของคนหมู่มากตั้งแต่แรก จะมีอีกสักกี่คนที่ช่วยดันผลโหวตความนิยมให้เธอได้
“ไม่ใช่สักหน่อย เลิกล้อได้แล้วน่า แค่คุยกันไม่กี่คำถือว่าจีบได้ยังไง” ลัลทริมารีบแก้ต่าง “อีกอย่าง...ฉันบอกแล้วไงว่าโชเป็นเพื่อน ป่านนี้เรียนอยู่เมืองนอกเป็นไงบ้างแล้วก็ไม่รู้ คุยก็แทบจะไม่ได้คุยเลย”
เด็กสาวไม่ได้คุยกับโชติกาลสักพักใหญ่แล้ว เธอรู้แค่ว่าจากครั้งนั้นที่โชติกาลถูกควบคุมโดยเจตภูตจบลง ครอบครัวก็พาเขาไปรับการบำบัดสภาพจิตใจและส่งไปศึกษามหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศหลังเรียนจบมัธยม
“น่าเสียดายจริง ๆ นายโชคนดีเขาดูชอบเธอมากแท้ ๆ”
“พวกเธอเชียร์อะไร ใครจะมาชอบฉันกัน”
“อย่าคิดแบบนั้นสิลัล แกก็น่ารักออกขนาดนี้”
มือสาวแว่นหยิกก้อนแก้มนิ่มของอีกฝ่ายแล้วดึงออกอย่างเอ็นดูตามประสาเพื่อน
“เฮอะ ...น่ารำคาญเป็นบ้า”
เสียงทุ้มน่าขนลุกแทรกบทสนทนาของเด็กสาวทั้งสามมาจากหลังห้อง การินยกเท้าออกจากโต๊ะ มือดึงหนังสือที่ปิดหน้าออก ท่าทางเหมือนจะงีบแต่ไม่ได้งีบ
ทั้งสามคนเงียบปากฉับ วงแตกโดยไม่คาดคิดด้วยฝีมือเด็กหนุ่มหลังห้อง
"อะไรของนายฮะการิน! นี่มันเวลาเลิกเรียนแล้วนะ คนเขาจะคุยเล่นกัน ...ง่วงนักก็กลับไปนอนที่บ้านซิ” เอมิกาสวนกลับไป ดูเหมือนสองคนนี้จะไม่ถูกกันจนถึงเทอมสุดท้าย
ดวงตาคมตวัดมองคนพูดอย่างหงุดหงิด
ร่างสูงผุดลุกขึ้นแล้วสาวเท้าออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมา
......................................................
จังหวะไม่ดีเท่าไร แทนที่จะได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ลัลทริมากลับจำใจต้องเดินเข้าห้องสมุดตามคำไหว้วานของอาจารย์สาวประจำวิชาหมวดสังคมอย่างช่วยไม่ได้ เด็กสาวบอกเอมิกาและมัณฑิณีให้ล่วงไปก่อนเลย แต่พวกเธอสองคนยืนยันว่ารอได้ เธอจึงรับปากว่าจะรีบทำธุระ
ร่างบางเดินไปตามหมวดต่าง ๆ จนมาถึงโซนหนังสือประวัติศาสตร์
ดวงตากลมไล่มองหนังสือทีละเล่มและทวนชื่อหนังสือที่อาจารย์วานให้มายืมในใจ ก่อนจะไปสะดุดตากับชื่อเดียวกันที่กำลังท่องในหัว หนังสือเล่มนั้นเก่าพอสมควรจนกระดาษเป็นสีน้ำตาลอ่อน ปกแข็งสีหมองติดคราบฝุ่นสกปรกด้วยกาลเวลาและก็หนาพอดู เด็กสาวคาดว่าต้องใช้สองมือดึงออกมา
ทันทีที่เธอหยิบมันและพยายามจะเลื่อนออกมาจากชั้นวางเหล็ก แรงกระทำก็ดึงหนังสือเล่มนั้นสวนจากทิศทางตรงกันข้าม
“อ๊ะ...”
เด็กสาวตกใจจนเผลอปล่อยมือออก
หนังสือเล่มนั้นถูกดึงไปต่อหน้าต่อตา
ความหนาของสันที่ขนาดเกือบสามนิ้วได้ ทำให้ช่องว่างของชั้นตรงที่เคยมีหนังสืออยู่โหว่ชัดเจนจนมองทะลุไปได้อีกฟาก ทว่าลัลทริมาชะงักเมื่อในช่องว่างนั้นกลับเป็นสายตาของใครบางคนที่ก้มมองกลับมา หนังสือเล่มเก่าถูกถือไว้ในมือข้างที่มีผ้าพันแผลเพียงข้างเดียว
เด็กสาวไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ดวงตาสีดำสนิทของเขามองเธออย่างน่าขนลุก ทำเอาเธอต้องรีบละสายตาออกไปเอง
จากช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือ ลัลทริมาเห็นว่าร่างสูงยืดแผ่นหลังขึ้นเต็มความสูง จนการมองเห็นของเธอถูกชั้นวางเหล็กจำกัดไว้ถึงแค่ริมฝีปากของเด็กหนุ่ม
หางตาเธอเห็นว่ามุมปากเขากระตุกขึ้น
“หึ...”
“เอ่อ การิน...หนังสือเล่มนั้น อาจารย์ให้ฉันมายืม”
แทนที่จะได้รับเสียงตอบ เด็กหนุ่มกลับเดินออกไปเงียบๆ
เด็กสาวรีบเดินตามออกไป
“เดี๋ยวสิการิน” เธอร้องเรียก แต่ทันทีที่สบมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทกลับรู้สึกประหม่า อีกฝ่ายหยุดรอให้เธอพูด
“ง...งานบายเนียร์ปีนี้นายจะมาหรือเปล่า”
การินกระพริบตาปริบ ยืนนิ่งโดยไม่คาดคิดว่าเธอจะถามอะไรแบบนั้นออกมา เขาขมวดคิ้วและแค่นเสียงตอบ “อยากรู้ไปทำไม จะมาขอฉันเต้นรำหรือไง”
“ไม่ใช่สักหน่อย” เด็กสาวรีบแก้ตัว เมื่อถูกกล่าวหาอะไรเลอะเทอะ
“หึ งั้นเสียใจด้วย งานเลี้ยงกระจอกพรรค์นั้นฉันไม่สนใจหรอก”
“เปล่า อันที่จริงหนังสือเล่มนั้น... คือแบบว่า ฉันต้องใช้...”
“มีอะไรมากแลกล่ะ?” การินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เชิดหน้าขึ้นมองดูท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ ของเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาเย้ยหยัน ลัลทริมาเงียบไปอึดใจหนึ่ง สมองเล็ก ๆ กำลังประมวลผล
“นาย...จะเอาอะไร”
เขาแสยะยิ้ม
“ปลุกอะไรเจ๋งๆขึ้นมาได้รึเปล่าล่ะ”
“...”
“ได้รึเปล่า...ได้รึเปล่า? หึหึ”
น้ำเสียงนั้นกวนประสาท แต่ช่างน่าอึดอัดสำหรับลัลทริมาเหลือเกิน
“ม...ไม่ได้หรอก”
“งั้นทำไมฉันต้องฟังคนไร้ประโยชน์แล้วอย่างเธอด้วย?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ดวงตาสีดำสนิทเหยียดมองลัลทริมาเหมือนเศษขยะข้างทาง เด็กสาวเห็นสายตาของเขาแล้วเหมือบจะเป็นใบ้ คำพูดจุกในลำคอ เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรตอบดี
“งั้นก็เที่ยวให้สนุกล่ะ ...ยัยโง่”
เมื่อลัลทริมาให้ในสิ่งการินต้องการไม่ได้ เขาหันหลังแล้วก้าวเท้าห่างออกไปเรื่อย ๆ ทิ้งประโยคบอกลาพิลึกเอาไว้ และแน่นอนว่าหากมันออกจากปากการิน เด็กสาวไม่คิดว่ามันจะเป็นคำอวยพรแต่อย่างใด
และเธอคงทำได้แค่บอกอาจารย์ว่ามีคนยืมหนังสือเล่มที่ว่าตัดหน้าไปแล้วเท่านั้น
........
.......
ลัลทริมาเดินขมวดคิ้วออกจากห้องสมุดไปแล้ว
แต่หากเด็กสาวหันกลับมาสักนิดจะเห็นว่าร่างโปร่งของเด็กหนุ่มยืนหันหลังหลบมุมพิงชั้นหนังสือ ในมือถือเศษกระจกเงาแห่งอาวรณ์ที่แตกเป็นเศษ สะท้อนกลับเห็นภาพทิศทางที่เธอจากไป
ด้วยความสะเพร่าบางประการ วันที่เขาทำลายกระจกอารมณ์โยนลงแม่น้ำ แต่ดันเก็บซากพวกมันไปไม่หมด เศษกระจกชิ้นเล็กในตอนนั้นจึงได้มาอยู่ในมือเขาเวลานี้ และมันยังคงทำหน้าที่ได้ดีเช่นเดิมแม้จะเป็นเพียงขยะ
ลมเย็นพัดวาบที่หลังคอทำเอาดวงตาสีดำประกายด้วยความตื่นเต้น
‘อะไรก็ตาม’ รอบตัวเธอ ที่เขาได้เห็นผ่านกระจกเสี้ยวนั้นคงทำให้เขาหายเบื่อได้ไม่เบา
“ก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าเธอไร้ประโยชน์หรอกนะยัยแม่มด ...แต่ถ้าเธอยังสัมผัสอะไรไม่ได้มันก็ไม่สนุกน่ะสิ หึหึหึ”
2.
เรือนกายเย้ายวนพลิกตัวใต้ผ้านวมอุ่น เธอนิ่วหน้า
เสียงครางแหบแห้งถูกเค้นออกมาจากลำคอ ปลายเท้าวาดลงบนฟูก แตะถูกชุดชั้นในที่ควรจะอยู่บนตัวหากแต่ตอนนี้กลับไปอยู่ปลายเตียง แม้เสื้อนอนจะถูกติดกระดุมเรียบร้อยเหมือนเมื่อคืน ทว่าด้านในกลับไม่ได้สวมอะไรสักชิ้น แค่ขยับก็รู้สึกปวดร้าวต้นขาขึ้นไปจนตลอดแผ่นหลัง
ชายหนุ่มตัวการเดินเปลือยท่อนบนออกจากห้องน้ำ บนศีรษะมีผ้าขนหนูซับเส้นผมเปียกหมาด
“นายโดนดีแน่”
ภาพที่หญิงสาวได้แต่ถลึงตาใส่ กำหมัดแน่นแล้วร้องขู่ดังฟ่อ ทำเขาหัวเราะเยาะเสียงดัง
“ลุกให้ได้ก่อนเถอะ ฉันอยากโดนดีจะแย่แล้ว”
“เอาแต่ใจเกินไปแล้วการิน นายไม่คิดว่าจะทำให้ฉันขาดเรียนวันนี้หรือไง”
เจ้าของใบหน้าคมคายเลิกคิ้ว
“วันนี้เธอไม่มีเรียนสักหน่อย”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้น พร้อมกับปากที่อ้าขึ้นน้อย ๆ “นี่นาย...งั้นเมื่อคืนที่จงใจเล่นฉันหนักขนาดนี้ เพราะรู้อยู่แล้วใช่ไหม?”
“แหงสิ”
ลัลทริมาหวีดร้องลั่น แม้อยากลุกขึ้นไปทุบเขาสักเปรี้ยงแต่ทำได้เพียงเขวี้ยงหมอนโดนอกเขาเต็มรัก เจ็บใจที่เพียงขยับนิดหน่อยก็ปวดระบมจนสั่นไปทั้งตัว อีกฝ่ายยืนเฉย เพียงก้มหยิบหมอนที่ปลายเท้าขึ้นมาแล้วโยนลงบนเตียงตามเดิม
“เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้ทำแบบนี้ อย่างน้อยนายก็ไม่เห็นต้อง...”
“ไม่เห็นต้องอะไร?”
คนตัวเล็กตอบเสียงอ่อน ช้อนแววตาเคืองขึ้นมอง “...ไม่เห็นต้องทำกันขนาดนี้ นายไม่ใช่คนปวดตัวจนอยากนอนทั้งวันจะไปรู้อะไร”
“เหลือแรงเยอะเดี๋ยวเธอหนีกลับบ้าน” ชายหนุ่มยังคงยิ้มหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ
“แต่คืนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแน่ สัญญา”
“ยังจะหวังอีก ฝันไปเถอะ” ใบหน้าเธอแดงก่ำ มือจิกผ้าห่มเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้เผลอกระโจนลงจากเตียงไปจิกหัวเขา ในเมื่อเถียงเอาชนะไม่ได้ก็ยกข้ออ้างหว่านล้อมสารพัดมาใช้แทน
“แต่ยังไงฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ คอมฉันอยู่บ้าน ...ฉันก็ต้องพิมพ์งานเหมือนกันนะ”
แถมวันจันทร์มีนัดกับอาจารย์ที่มหา’ลัยเสียด้วย ยังไงเขาก็ต้องพาเธอกลับอยู่ดี
“โน้ตบุคอีกตัวอยู่บนโซฟา ฉันซิงค์ข้อมูลในไดรฟ์ให้ ส่วนชุดนักศึกษาที่ต้องใส่วันจันทร์ฉันกลับบ้านเธอไปเอามาให้แล้วตั้งแต่เช้า” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้น เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง นิ่งคิดตามคำพูดร่างสูง
ชุดวันจันทร์ก็มีให้?
คนตัวเล็กนับนิ้ว
วันนี้วันศุกร์ หมายความว่าต้องอยู่ที่นี่อีกสี่วันน่ะสิ
“แล้วอีกสามวันฉันจะใส่อะไร”
“เสื้อในตู้มีให้ยืมเยอะแยะ ใส่ไปก่อนไม่ตายหรอก”
ใบหน้าสวยง้ำงอ เห็นท่าทางกับรอยยิ้มกะล่อนแบบนั้นแล้วโมโหนัก แต่ก็ต้องอ้าปากค้างอีกรอบเมื่อเขาเดินไปคว้ากระเป๋าผ้าใบใหญ่โยนมาตรงหน้าเธอ
“แล้วก็ ของส่วนตัวเธอ...อยู่ในนี้หมดแล้ว แต่ฉันไม่รู้ว่าเธอใช้สกินแคร์กับเครื่องสำอางอันไหนบ้างเลยกวาดใส่ถุงมาหมดเลย เพราะงั้นเธอจะเรียกร้องอยากได้อะไรก็เอาให้เต็มที่ ฉันมีให้ทุกอย่าง ไม่ต้องห่วง” เขายักคิ้วกวนประสาทให้ทีหนึ่ง
“นี่กะจะไม่ให้ฉันออกไปไหนเลยรึไง...”
“ยังจะไปแรดที่ไหนอีก อยู่นี่แหละดีแล้ว” แววตาคู่คมดุขึ้นเป็นเชิงปรามหากเธอคิดจะขัดใจเขา หญิงสาวคอตก ขบงับริมฝีปากแน่น เมื่อรู้ตัวว่าโดนดักไปเสียทุกทาง
โชคดีที่วันนี้ไม่มีคาบเรียน
อย่างน้อยเธอก็แน่ใจว่าจะได้พักเต็มที่ และนอนทั้งวันอย่างที่เพิ่งบ่นไป
3.
"แกคิดจะสร้างปัญหาไปถึงไหน"
เด็กหนุ่มยืนเงียบ
สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง หันใบหน้าหล่อเหลาไปทางหน้าตาบานใหญ่ในห้องผู้อำนวยการโรงเรียน ทำเหมือนชายวัยกลางคนที่โต๊ะด้านหน้าไม่ได้พูดอะไรกับเขา
"แล้วที่แกกรอกลงในใบสำรวจ ...จะเข้าคณะนั้นจริงเหรอ"
"ถ้าใช่แล้วคุณจะไม่ส่งผมเรียนเหรอ" เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว แววตาก้าวร้าวท้าทาย
"จะทำให้ผมเหลือขออย่างที่พี่น้องคุณชอบพูดก็ได้นะ ผมเลือกไปแล้ว แค่ไม่ได้เรียนก็ไม่ตาย ...แต่ผมจะไม่เดินบนทางที่คนอื่นเลือกให้เหมือนกัน"
นรินทร์ถอนหายใจ
"ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ" เขายกมือขึ้นกดกุมที่หว่างคิ้วด้วยจนใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและลูกชายยังคงไม่คืบหน้าไปไหนมาหลายปีแล้ว
"เห็นแกอยู่กับหนูลัลบ่อย ๆ ฉันก็คิดว่าแกจะมีเพื่อนเหมือนเด็กคนอื่นได้แล้วซะอีก"
เด็กหนุ่มเหยียดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มหยันอย่างเอกลักษณ์ อารมณ์เริ่มขุ่นหมองเมื่อชื่อบุคคลที่สามถูกยกเข้ามาในบทสนทนาให้รำคาญใจ เหลือเชื่อ ทั้งที่ไร้ประโยชน์ขนาดนั้นยังจะตามมารังควานกันได้อีก
...ถึงจะมาแค่ชื่อก็เถอะ
"เหรอ จำไม่เห็นได้เลยว่าเป็นเพื่อนกัน"
“จำไม่ได้งั้นเหรอ ...ทั้งที่แกคุยกับเขาบ่อยซะขนาดนั้น”
การินกลอกตา
แสร้งตีหน้ามึนพูดกลับไป
“พูดถึงใครอยู่ล่ะ ผมขาดเรียนบ่อยจะตายพ่อก็รู้ จำใครไม่ได้สักคน ในโรงเรียนนี่เห็นทีว่าจะจำได้แค่ชื่อผู้อำนวยการละมั้ง” เด็กหนุ่มส่งเสียงหัวเราะต่ำ
นรินทร์ตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง
รู้ตัวอีกทีลูกชายหัวแก้วก็เดินหนีออกจากห้องไปเสียแล้ว
4.
วิชาเรียนรวมของนักศึกษาปีหนึ่งเลิกแล้ว
ลัลทริมาเดินออกจากห้องไปหาอะไรกินตอนพักเที่ยง กระเพาะไม่ได้เรียกร้องขออาหารเท่าไรเด็กสาวเลยคิดว่าจะไปนั่งพักในที่สงบ ๆ แล้วหาน้ำหาขนมทานเล่นแทนก่อนเข้าเรียนคาบบ่าย
หลังจากที่เธอนั่งเล่นไปได้สักพักหนึ่ง การินก็ถือวิสาสะเดินเข้ามานั่งด้วย พร้อมกับวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ เขานั่งลงข้างๆเธอโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ไม่แปลกใจเท่าไร่หรอก ถ้าขอก่อนก็คงไม่ใช่การินน่ะสิ
“มาอยู่ตรงนี้เอง”
“นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่?”
“ได้กลิ่นคนโง่เลยตามมา”
ดวงหน้าหวานยู่ลงเพราะคำถากถางของเขา
“อยากกินชาเย็น” เสียงทุ้มว่า
เด็กสาวเลิกคิ้วแปลกใจ ปกติไม่เคยพูดเกริ่นแบบนี้ด้วยซ้ำ อยากได้อะไร อยากทำอะไรก็มือไว คว้าไปก่อนตลอด “นายกินแต่กาแฟไม่ใช่เรอะ?”
“แค่นี้ก็งก?”
“เปล่าซะหน่อย... อ่ะ เอาสิ” มือเลื่อนแก้วชาเย็นไปตรงหน้าเขา
แต่อีกฝ่ายกลับทำสิ่งที่เด็กสาวไม่คาดคิด
...หรืออาจจะไม่มีใครคาดคิด
สัมผัสนุ่มแนบลงมาที่ริมฝีปากเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้เด็กสาวชะงักได้ รู้ตัวอีกทีก็เห็นรอยยิ้มกะล่อนบนในหน้าคมคาย เขาเลียริมฝีปาก แววตาลึกลับดูพอใจที่เธอขี้อายกว่าที่คิดไว้
พวงแก้มนวลร้อนเห่อ ก่อนจะร้อนลามไปทั้งหน้า ผิวขาวซับสีฝาดเสียจนแดงก่ำ
ร่างบางรีบหันไปมองรอบด้านด้วยเกรงว่าสถานการณ์ประเจิดประเจ้อที่เพิ่งเกิดไปจะมีใครเห็นเข้า ก่อนจะโล่งใจเมื่อเห็นจากระยะห่างและจำนวนคนที่เบาบาง น่าจะทำให้ไม่มีใครเห็น
“อะ...นาย ทำ ทำ” เธออ้าปากเหวอ พูดแทบไม่เป็นภาษา
“ฉันทำอะไร”
“นาย ..ขโมย จ จ...”
เสียงหวานใสพูดไม่เต็มถ้อยคำด้วยกระดากอาย
จำต้องหยุดอยู่เท่านั้น ริมฝีปากเม้มแน่น
...ผู้ชายอะไรจะขี้แกล้งปานนี้
เด็กสาวมองด้วยสายตาคาดโทษ
ทำไมเขาถึงมาทำอะไรอย่างนี้ แถมยิ่งเป็นกลางแจ้งเสียด้วย ถึงจะพอรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่จูบแรกจริง ๆ ทว่าก็เป็นจูบที่ทำให้สั่นไหวเป็นครั้งแรก... เพราะงั้นถ้านับจากตรงนี้คงไม่เป็นไร
อาจเป็นเพราะเธอเริ่มรู้สึกบางอย่างกับเด็กหนุ่มขวางโลกคนนี้เสียแล้วละมั้ง
การินยักไหล่ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
มือคว้าแก้วกาแฟแล้วลุกขึ้น เดินหนีไป
5.
สวนดอกไม้กว้างออกไปคล้ายไม่สิ้นสุด
ทะเลสาบอีกฟากไกลสุดลูกตา มีขอบฟ้าเป็นรั้วกัน
พระจันทร์ดวงใหญ่ไม่ปรากฏบนผืนฟ้า แต่กลับชัดเจนบนทะเลสาบราวกับว่ามันจมอยู่ก้นบึ้งท่ามกลางฝูงปลาและก้อนกรวดน้อยใหญ่
ดวงตาของเขาเห็นว่าร่างของเธอนั่งเล่นอยู่ตรงนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ รายละเอียดคอย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นทีละเล็กน้อย ชุดกระโปรงสีขาวเนื้อบางเบาพลิ้วไหลยิ่งทำให้หญิงสาวดูคลับคล้ายสิ่งมีชีวิตจำแลง ลำคอขาวระหงและกระดูกไหปลาร้าโค้งโผล่พ้นคอเสื้อปาดกว้าง
เธอก้มตัวลงมองเงาสะท้อนตัวเองบนผิวน้ำ
ดวงตาสีน้ำตาลสบตากับการินจากในนั้น
“ทำไมเพิ่งมาล่ะ?”
การินไม่ได้ตอบคำถาม
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ทว่ากลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี ชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งไม่ห่างกัน พลันคำถามต่อไปถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อ
“นี่ นายรำคาญฉันบ้างไหม?”
คำถามนั้นดูไร้ที่มาที่ไปเสียจนน่าขัน แต่การินก็ยังคงรู้สึกว่าทุกอย่างดูปกติดี
“ก็เป็นบางที”
ฝ่ามือเอื้อมหยิบก้อนหินเม็ดกลมใกล้มือ ปาลงทะเลสาบให้สะเทินเล่นบนผิวน้ำสะอาดใส ...และทุกครั้งที่มันจมลง ลัลทริมากลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“อย่าถมทะเลสาบซิ” เธอต่อว่า
“โทษที”
ก้อนหินในมือที่กำลังจะปาออกไปอีกครั้งถูกวางลงที่พื้นดังเดิม
“เบื่อฉันแล้วใช่ไหม?”
“ไม่เคยพูดแบบนั้นสักหน่อย”
เขาได้ยินเสียงตัวเองตอบออกไป
“นายดูเหมือนเบื่อเลย” เธอว่าเสียงเรียบ “...ทั้งที่ดูเบื่อกันขนาดนั้น แต่นายกลับไม่ให้ฉันไปไหน”
ปลายเท้าเล็กแกว่งเท้าลงในน้ำสร้างคลื่นกระเพื่อมให้เงาสะท้อนแตกออก รอยยิ้มจางปรากฏบนใบหน้า ท่าทางราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ
เขาถามเธอบ้าง “งั้นเธอเกลียดฉันไหม?”
“เกลียดสิ”
“แปลว่าไม่รักหรือเปล่า...?”
การินแปลกใจที่ตัวเองก็ถามแบบนั้น รู้สึกเหมือนคุมปากตัวเองไม่ได้จนต้องพูดทุกอย่างที่คิดออกไป
“ไม่เคยพูดแบบนั้นสักหน่อย” ร่างบางหัวเราะคิกคัก หลังจากส่งคำตอบของร่างสูงเมื่อครู่ถูกย้อนคืนมา “แล้วทำไมนายต้องขังฉันไว้ที่นี่ด้วย”
“ฉันไม่ได้ทำ”
“นายทำ ที่นี่มีแค่ฉันกับนาย ถ้าไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครได้อีก”
หญิงสาวยังคงยืนยัน ชั่วขณะนั้นการินรู้สึกสับสนอย่างหนัก
“ฉันไม่รู้”
“ถ้าไม่ได้ทำ งั้นพาฉันออกไปหน่อยได้ไหม” เธอว่า
“ทำไมถึงอยากออกไป”
ร่างบางนิ่งไปครู่
“…ฉันไม่ได้อยากไปหรอก แต่การอยู่ที่นี่คงไม่ใช่เรื่องดีอีกแล้ว”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
เธอกลับยิ้ม “พาฉันออกไปเถอะนะ”
“ยังไง?”
ลัลทริมาไม่ตอบเขา กลับยกมือขึ้นชี้ตรงไปยังพระจันทร์ดวงโตที่อยู่ใต้เงาของทะเลสาบ
ชายหนุ่มมองตามไปทางทิศทางนั้นแล้วหันกลับมา เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ ทว่าริมฝีปากที่อ้าขึ้นเตรียมจะถามต้องอ้าค้างไว้เมื่อตรงหน้าเป็นเพียงความว่างเปล่า
...ร่างของลัลทริมาหายไป
ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
“...ยัยโง่?” เขาร้องเรียก
หันไปรอบทิศก็เจอแค่ความว่างเปล่า
“ยัยแม่มด!”
หัวใจวูบโหวง
สองเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทาง พลันเสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลัง
“เรียกฉันอยู่เหรอ?”
เมื่อเขาหันไป เห็นว่าลัลทริมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เครื่องแบบนิศาพาณิชย์ที่เธอสวมอยู่เปรอะละอองเลือดปริศนา ไม่มากมายแต่เห็นได้ชัดเจน
เจ้าของใบหน้าสวยหวานเอียงคอ เธอคลี่ยิ้ม
“...เรียกฉันทำไมเหรอการิน?”
“ทำไมเธอ ...เมื่อกี๊หายไปไหนมา” แววตาเขาสับสน แม้การินอยากจะถามว่าทำไมลัลทริมาถึงอยู่ในสภาพนี้ แต่สมองกลับบอกให้เปลี่ยนคำถามแทนเสีย บางอย่างบอกเขาว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน นี่เป็นเลือดคนอื่น
และหากไม่ได้คิดไปเองชายหนุ่มรู้สึกว่าเธอดูตัวเล็กลงนิดหน่อย
“ฉันก็ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย เธอมองไม่เห็นเอง” เสียงหวานว่าตัดพ้อ แววตาเศร้าสร้อย มือบางกุมมือชายหนุ่ไว้แน่น สัมผัสนั้นเย็นชืดจนเขาตกใจ “ทั้งที่...ปกติเธอมักจะมองหาฉันแท้ๆ”
ความรู้สึกวูบโหวงในใจเขายังไม่คลายไป
“เธอใช่ยัยโง่จริงเหรอ?”
คำถามนั้นทำให้ร่างบางชะงักกึก
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ…”
“เธอเป็นใคร? แล้วลัลทริมาหายไปไหน?” เขาถามซ้ำ ยกมือขึ้นดันตัวเธอออก ทันใดนั้นดวงตากลมโตสั่นไหว มือคว้าชายเสื้อของการินกำไว้แน่น
“เธอเรียกหาใคร...ก็ฉันนี่ไงลัลทริมา แม่มดของเธอ”
“...”
“ว่าแต่...ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“หมายความว่าไง?”
“เธอไม่ควรมาอยู่ที่นี่ ฉันว่ามันดูสงบสุขเกินไปหน่อย...สถานที่น่าเบื่อแบบนี้ไม่เหมาะกับเธอเอาเสียเลย เราไม่ไปทำอะไรที่เธอชอบเหรอ ...ไปสิ ฉันจะไปด้วย” เด็กสาวยิ้มกว้างจนเขาใจสั่น เผลอเคลิ้มตามจนไม่นึกติดใจกับคนตรงหน้าแม้สักนิด
“ฉันจะช่วยเธอเองการิน มันต้องสำเร็จแน่”
“เธอทำได้เหรอ?” ร่างโปร่งเลิกคิ้วขึ้น
“ได้สิ ต้องทำได้อยู่แล้ว”
ปลายนิ้วเย็นวาบแตะลงที่สันกรามชายหนุ่มเบา ๆ “...ก็ฉันเป็นแม่มดนี่นา”
6.
เพียงกระพริบตา การินเห็นตัวเองยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำคอนโด
ภาพสวนดอกไม้ ทะเลสาบ หายวับไป
ชายหนุ่มเปิดก๊อก วักน้ำล้างหน้า
ความเย็นจากน้ำกระทบผิวทำให้สติกลับคืนมาเกือบสมบูรณ์
เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น นิมิตงั้นเหรอ?
...ไม่น่าเป็นไปได้
แม้แต่ญาณอาถรรพ์กว่าจะสร้างภาพหลอนแบบนั้นได้ก็ต้องเข้าสภาวะจุติญาณแล้ว ซึ่งน่าจะอีกนานพอดู แปลว่าเมื่อครู่คงเบลอเห็นภาพหลอนเพราะนอนน้อยเกินไปหรือไม่ก็เป็นเพราะสาเหตุอื่น เขาย้อนครุ่นคิด
“คุยกันต่อไหม?”
เสียงคุ้นเคยหนึ่งแทรกขึ้นมา
ชายหนุ่มหันขวับ เห็นร่างบอบบางของลัลทริมานั่งอยู่บนขอบอ่างอาบน้ำ เครื่องแบบโรงเรียนของพ่อเปื้อนละอองเลือดกับรอยยิ้มหวานชวนมองแบบนั้นทำให้เขาจำได้ว่าในภาพหลอนเมื่อครู่มีเธออยู่ด้วย
“แก...เป็นตัวอะไร?”
++++++++++++++++++++++++++++++
humble_h : เอาจริง ตอนรีไรท์เพิ่มแอบเกลียดซีนลุงพูดถึงลัลแล้วอีตานี่บอกใครเหรอๆ จำไม่ได้ๆๆ เขียนแล้วขำเอง 5555
ความคิดเห็น