คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : 19th TOXIC – จิตเหนือสำนึก [rw]
กฎแห่งกรรมที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ข้อที่สิบเก้า – จิตเหนือสำนึก
1.
“แกเป็นตัวอะไร”
ร่างนั้นแสยะยิ้มตอบแทนคำพูด
“...ญาณอาถรรพ์?” ชายหนุ่มคิดแล้วขนลุกวาบขึ้นมา หรือที่คาดไว้เมื่อครู่จะเป็นเรื่องจริง สัญชาติญาณเดาไม่ผิดอย่างนั้นหรือ “แกออกจากร่างยัยนั่นได้ยังไง?”
“เธอแค่เห็นฉัน ไม่ได้แปลว่าฉันหลุดจากร่างใครสักหน่อย”
เด็กสาวหัวเราะเย้ยหยันเบาๆ
“ทำไมฉันถึงเห็นแก?”
“เธอเป็นฝ่ายโหยหาต้องการ พอฉันออกมากลับทำเป็นลืมกันได้ ...แบบนี้ไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรือ?” มันใช้เสียงของลัลทริมาตอบเขา คงไม่ได้หมายถึงอะไรเสียนอกจากปีก่อน ช่วงที่การินเริ่มกระตุ้นญาณอาถรรพ์ในตัวลัลทริมากลับมาใหม่ๆ
รูปลักษณ์ของอดีตแฟนสาวโอบแขนบอบบางรอบเอวเขาจากด้านหลังแล้วซบหน้าลงกับแผ่นหลัง เหมือนกับที่ลัลทริมาเคยทำ แต่ภาพที่ปรากฏให้ชายหนุ่มเห็นกระจกเป็นเพียงกลุ่มควันสีดำลอยโอบรอบตัวเองเท่านั้น
“ทำไมเกร็งนักล่ะ ไม่ชอบแบบนี้หรือ?”
“ทำแบบนี้ต้องการอะไร”
“คิดว่าเธอชอบให้ทำเสียอีก ...ฉันยังเหมือนลัลทริมาไม่พอหรือ?”
คำตอบของมันทำให้เขาสะกิดใจบางอย่าง
“แกคิดจะทำอะไร “
มันฉีกยิ้ม ไม่ตอบ
“จะขโมยตัวตนยัยนั่นหรือไง?”
“ตอนนี้ยังหรอก...” แม้แต่รอยยิ้มยังเหมือนกันราวกับเธออยู่ตรงหน้า ทว่าบรรยากาศและบุคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากลัลทริมาตัวจริงเป็นเช่นนี้เขาเองก็คงจะเกินรับมือเช่นกัน
“หมายความว่าไงที่ว่า ตอนนี้”
“ลัลทริมาในเวลานั้นถือว่าโชคดีที่ภาพลวงตาถูกขัดขวางไว้ตลอด ฉันไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นอีก...ในเมื่อการบีบคั้นรอบนั้นไม่สำเร็จ ครั้งนี้ฉันเลยคิดว่าจะกลายเป็นลัลทริมาแทน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“แล้วไงต่อ?”
“ฉันจะบอกสิ่งที่ตัวเองคิดเพื่อให้เธอมาขัดขวางทำไมกัน” มันผละอ้อมกอดออกหันมาประจันหน้าคุยกับคนตัวสูง เห็นแววตาเย็นเยือกของเขาปรากฏขึ้นมันกลับยิ้ม
“ไม่คิดว่าเราจะได้ประโยชน์ทั้งคู่หรือ ฉันจะกลายเป็นยัยแม่มดที่เธอพอใจ ...ฉันสร้างเรื่องสนุก ส่วนเธอชอบเรื่องสนุก เราต่างเป็นทางผ่านของอีกฝ่ายไง ...แบบนั้นดีไหม?”
เขาไม่ได้พูดตอบรับ หรือปฏิเสธ
เพียงแค่ถามกลับไป
“มันจะเริ่มเมื่อไหร่?”
ไร้เสียงตอบรับ
ใบหน้าที่เหมือนกับลัลทริมาหันไปมองทางโซฟาตัวใหญ่แล้วหายวับไป ...ดวงตาคู่คมเหลือบมองไปตามทิศทางที่ญาณอาถรรพ์บอก
เห็นวัตถุชิ้นหนึ่งบนโต๊ะก็เข้าใจได้ทันที
ผู้หญิงหน้าโง่นั่นก็ดันลืมสวมสร้อยเบี้ยออกไปข้างนอกซะได้
...อุตส่าห์เตือนแล้วแท้ๆ ไม่รู้จะโง่ไปถึงไหน
การินกระตุกยิ้มหยัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องอาถรรพ์ที่เขาพยายามไล่ไขว่คว้าอย่างลำบากด้วยเลือดเนื้อหยาดเหงื่อมาตลอด บทจะง่ายก็ง่ายถึงขนาดนี้เชียว
ปลายนิ้วเกี่ยวสายสร้อยขึ้นมากำไว้ในมือ
เป้าหมายของเขายังคงเดิม
...ไม่เปลี่ยนแปลง ...ไม่มีวัน
2.
“โห คุณนาย...ทำไมตุ๊ต๊ะขนาดนี้”
‘คุณนาย’ ที่ว่า คือชื่อของแมวสาวพันธุ์ช๊อตแฮร์สีเทาตัวหนึ่ง
มือบอบบางยีหัวมันเบาๆ ดวงตาสีอำพันหรี่เล็กลง ร้องครางแง้ว
เมื่อสองวันก่อนหน้านี้ จู่ ๆ พี่ สาวข้างห้องที่อยู่ชั้นเดียวกันมาเคาะประตู แล้วไหว้วานให้ลัลทริมาดูแลคุณนายของเธอให้สักระยะ เนื่องจากจะต้องกลับไปทำธุระที่บ้านต่างจังหวัด หลังจากตกลงกันอยู่สักพัก ลัลทริมาก็ตกปากรับคำ พี่สาวเพื่อนบ้านก็เดินกลับเข้าไปในห้อง แล้วเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับอุ้มคุณนายและของใช้ส่วนตัวของมันไว้ในอ้อมแขน
“เธอซนหน่อยนะ ถึงจะหยิ่งไปบ้างแต่ก็ขี้อ้อนแหละ...ฮื้ออ ไปอยู่กับคนอื่นต้องเลี้ยงง่ายให้เหมือนอยู่กับทาสนะคะ อย่ากวนน้องลัลมากนะคุณนาย”
ลัลทริมาเห็นเพื่อนบ้านคนนี้หลบนิติบุคคลเลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเป็นลูกแมวตัวเล็ก ๆ จนตอนนี้คุณนายโตขึ้นมาเป็นแมวสาวขนฟูอ้วนกลมสมบูรณ์แบบเหมือนลูกมะกอกยักษ์ดี ๆ นี่เอง
เธอชอบสัตว์ทุกชนิด แมวก็ชอบ ...ชอบมาก ๆ
จนเคยคิดว่าวันหนึ่งอาจจะเลี้ยงหมาหรือแมวของตัวเองบ้าง
..........
...........
“เลี้ยงไหม?” เขาถาม
“ก็อยากอยู่นะ...”
เธอตอบเบาๆ และเย้ากลับ “ทำไมอะ นายจะซื้อให้เหรอ?”
“ถ้าอยากได้ จะหามาให้”
การินเอ่ยนิ่ง มือพลิกไปมาให้เจ้าแมวใช้อุ้งมืออ้วนตะปบปลายผ้าพันแผลเล่น หญิงสาวเงยหน้ามองสบตาแฟนหนุ่มครู่หนึ่ง ดวงตาเบนกลับมาที่แมวอ้วนสีเทาดังเดิม
“ไม่เอาหรอก วันไหนเลิกกันเดี๋ยวถ้าไม่แย่งก็เกี่ยงกันเลี้ยงอีก ...สงสารมัน”
คำพูดเหมือนลางบอกเหตุ
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงอยู่ได้อีกแค่สองเดือนหลังจากนั้น
3.
ทั้งที่ความรู้สึกเพิ่งจะชัดเจน แต่ทั้งคู่กลับยืนห่างกันเป็นเมตร
สายตาของคนหนึ่งลอบมองอีกฝ่าย และอีกคนรู้ตัว หันมอง จนหลบสายตากันไป เช่นนี้สลับกันสักพัก
ลัลทริมากลับนึกสงสัยว่าหลังจากที่ปากแตะกัน...ไม่ใช่อุบัติเหตุด้วย เธอเขินแทบตาย ส่วนเขาทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ได้ยังไง
“เธอเอาแต่จ้องฉันทั้งคาบ มีอะไรหรือไง?”
เด็กสาวแก้มแดงขึ้นมา
“ใช่ที่ไหนล่ะ นายนั่นแหละ...”
“เปล่านี่”
“นายต่างหากที่มอง... ฉันเห็นอยู่นะ” เจ้าของเสียงหวานพยายามเถียงแบบข้างๆคูๆ แก้มสีชมพูพองจนน่าบีบ ท่าทางเขินอายน่าเอ็นดูไปหมด
“เออ มองก็มอง”
อีกฝ่ายคลี่ยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ ลัลทริมาเพิ่งเคยเห็นเขายิ้มแบบนี้ ...และเธอคิดว่ามันรุนแรงเกินหัวใจจะรับไหว ต้องทำยังไงถึงจะได้เห็นสีหน้าแบบนี้บ่อย ๆ กันนะ
“เลิกเรียนก็เดินมาแล้วกัน รออยู่ที่เดิม”
“อ่า...อื้ม”
ลัลทริมากลั้นยิ้ม
มองแผ่นหลังเขาเดินห่างออกไป
4.
หญิงสาวกระพริบตาปริบ
เธอว่าเธอเห็นภาพหลอนกลางร้านสะดวกซื้อ
ภาพสวนดอกไม้และทะเลสาบปรากฏอยู่ตรงหน้า พระจันทร์จมลงกลางผืนน้ำ จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกถึงกระแสน้ำเย็นฉ่ำที่ฝ่าเท้า บรรยากาศแสนเศร้าในห้วงฝันนั้นทำเอาเธอรู้สึกเหมือนกันน้ำตาจะไหลได้ตลอดเวลา
...เป็นมิติที่ดูแปลกประหลาด
เธอเห็นการิน หลังจากสนทนากันแล้วทุกอย่างก็มืดลง
รู้สึกเหมือนจมดิ่งลงใต้น้ำ
ดำมืด อึดอัด
ร่วงลงด้านล่าง ห่างไกลแสงผิวน้ำไปทุกที
สติกลับมาอีกครั้งเมื่อมีเด็กชายตัวเล็กกระตุกที่มือเธอ ถามว่าพี่สาวเป็นอะไร เจ้าหนุ่มน้อยเห็นเธอยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นนานเกือบห้านาทีแล้ว รวมถึงพนักงานในร้านกำลังมองเธอแปลกๆ
ลัลทริมารีบออกมา แล้วเดินกลับคอนโดของการิน
....
....
เดินออกจากลิฟต์ สแกนคีย์การ์ดที่ประตูแล้วเปิดมันออก
ปลายเท้ากลับชะงักอยู่หน้าห้อง ขนอ่อนในตัวลุกชัน เย็นวาบตั้งแต่สะโพกขึ้นมาถึงต้นคอ
ดวงตากลมโตกวาดไปทั่วห้องก็เจอสิ่งที่คิดว่าเป็นต้นเหตุ อดีตแฟนหนุ่มของเธอเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งหน้าเปียกโชก ฝ่ามือเสยผมขึ้นไปจนเห็นกรอบใบหน้าคมได้รูปชัดเจน
"เล่นอะไรอีกล่ะ?" เธอพูดเมื่อเห็นอักขระหน้าตาประหลาดติดอยู่เหนือขอบประตู
“เปล่านี่” เสียงทุ้มตอบ
คงต้องขอบคุณคณะเธอเรียนอยู่ที่เปิดสอนวิชาอ่านภาษาโบราณ เวลาเปิดตำราไสยศาสตร์ของการินดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอจะพอคุ้นคำหรือตัวอักษรบ้างเป็นบางตัว อย่างน้อยก็ได้รู้ไว้ว่าพิธีกรรมไหนน่ากลัวแล้วก็ถูกเขาหลอกยากขึ้นอีกนิดหน่อย
แต่อย่างไรเสียความรู้แบบพื้นผิวไม่ได้ช่วยเธอไว้ขนาดนั้น ถ้าการินอยากจะทำอะไรขึ้นมาจริง ๆ เขาก็หลอกเธอได้อยู่วันยังค่ำนั่นแหละ ลัลทริมาจึงอาศัยความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก
ทว่ากลิ่นอายบนกระดาษนี้ดูเหมือนยันต์คุ้มภัย
ยิ่งเดินเข้าใกล้ยิ่งสงบนิ่ง
...ถ้างั้นสาเหตุของอาการนี้มาจากที่ไหนกันล่ะ?
หญิงสาวมองหาสร้อยหอยเบี้ยบนโต๊ะที่จำไว้ว่าวางเอาไว้ก่อนหน้านี้
และพบว่ามันไม่อยู่ตรงนั้น
ให้ตาย... เธอไปลืมสร้อยไว้ตรงไหนอีกแล้วนะ
5.
“เธอเชื่อเรื่องบาปบุญไหม?” จู่ ๆ หญิงสาวผมม่วงก็ถามลัลทริมาแบบนั้น
“ฉันเชื่อนะ” เธอถามกลับ “บีมล่ะเชื่อไหม?”
“...ฉันเชื่อในความตายเท่านั้นล่ะ” เธอหัวเราะเบา ๆ
“ฉันมองว่าการกระทำเป็นเรื่องของสัญชาติญาณกับศีลธรรมมากกว่า ถ้าในแง่ศาสนาจะพูดว่ากรรมสะท้อนสู่มนุษย์เพราะไปกระทำนู่นนี่ก็สมเหตุสมผลดี แต่ส่งผลข้ามภพชาติเนี่ยออกจะเหลือเชื่อไปหน่อย ส่วนฉันคิดว่านั่นเป็นกลไกหนึ่งของโลกนี้อยู่แล้ว สังคมจะขัดเกลามนุษย์ไปเอง ในเมื่อมี effect ก็ต้องมี reflect ...เลยไม่อยากจะใช้คำว่าบุญบาปหรือเวรกรรมเท่าไหร่อะนะ”
“จะมองแบบนั้นก็ไม่ผิด แล้วทำไมถึงเชื่อในความตาย? คนส่วนใหญ่ไม่ตอบแบบนี้กัน”
“งั้นเธอว่าชีวิตหลังความตายเหมือนกับสีอะไร”
“สีเหรอ?”
“อือ”
ลัลทริมานิ่งไป ภาพในหัวผุดเหตุการณ์ใน ‘ครั้งนั้น’ ขึ้นมาก็รู้สึกมวนท้องเวียนหัวแปลกๆ ริมฝีปากงับเข้าหากันเบา ๆ แล้วเอ่ยตอบ
“...สีดำ มืดสนิท”
“ฉันก็จินตนาการแบบนั้น อย่างน้อยสีดำก็เป็นสีที่สงบนิ่งนะ แต่ฉันไม่ได้เชื่อความตายเพราะคิดว่ามันเป็นสีดำหรอก” หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง
“ความตายน่ะเอาแต่ใจ คนเรากลัวมันเพราะพวกเขาไม่เข้าใจเมื่อมันพรากคนที่รักไป มันอาจจะไม่ได้โหดร้ายกับทุกคนแต่ก็ไร้เหตุผลสิ้นดี สมมติวันนี้มันเลือกฉัน วันพรุ่งนี้มันอาจจะเลือกเธอก็ได้ ถึงความตายจะไร้เหตุผลแต่มันก็เท่าเทียม ไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็จะถูกความตายโอบกอดไว้ เก่งแค่ไหนก็ไม่สิทธิ์พิเศษ ไม่มีการยกเว้น ...กอดเธอ ...กอดฉัน ...กอดเราทุกคน”
ลัลทริมาเงียบไปชั่วครู่
“จริงของเธอ”
6.
“ทำไมถึงใส่ชุดนี้?”
“ก็ทุกอย่างสิ้นสุดลงตั้งแต่ตอนนั้นไม่ใช่หรือ”
มันเป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลพอที่เขาจะเข้าใจได้ เรื่องราวของญาณอาถรรพ์จบลงตั้งแต่ตอน ปวช.ปีสอง1เท่านั้น และไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นอีก
สำหรับมัน ทุกอย่างแค่ดำเนินต่อจากเมื่อห้าปีที่แล้ว ไม่มีการเติบโตตามเวลา
...หรือเพราะมันยังทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงจะต้องการให้มีเรื่องเกิดขึ้นก็ตาม
แต่อย่างไรซะ หากจะปักใจเชื่อความคิดนั้นเลยก็ดูเป็นการด่วนสรุปไปสักหน่อย การที่มันแสดงรูปลักษณ์ออกมาเป็นตัวตนของลัลทริมาได้ รวมถึงเปลี่ยนภาพรอบข้างให้เป็นสถานที่อื่นก็ทำให้เห็นแล้วว่าไม่ธรรมดาเลย ไม่ควรประมาทแม้แต่นิดเดียว
“ตอนนี้ฉันอ่อนแอ ถ้าอยากให้ฉันช่วย คงต้องมีการป้อนอาหารกันหน่อย”
มันกล่าว
ไม่จำเป็นต้องอธิบายไปมากกว่านี้การินเข้าใจได้ทันทีว่ามันกำลังหมายถึง ‘การสังเวย’ เพื่อสะสมพลังงานด้านลบ ...เพิ่มพลังให้กับญาณอาถรรพ์จนอิ่มตัว และกลายเป็นสลักบิดเบือนกรรมในที่สุด
“มากแค่ไหน?” เขาถาม
“ไอริณวิทยา”
ทว่าจำนวนที่มันพูดถึงนั้นแค่ขั้นตอนเริ่มต้นเท่านั้น หากมันต้องการจะกลายเป็นสลักกรรมจริง จะต้องใช้คนจำนวนมากทีละหลาย ๆ ครั้ง หรือไม่แล้วก็ต้องเป็นพิธีกรรมที่ให้ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ทดแทน
ชายหนุ่มนิ่งไป ดูเหมือนมันจะเป็นญาณอาถรรพ์ที่โลภมากพอดู
เพียงกระพริบตาอีกครั้งเด็กสาวในชุดนักเรียนก็หายวับไป
++++++++++++++++++++++++++++++
Humble_h :
ที่เราเขียนไปในฟิคว่า "ทุกอย่างจบที่ปวช.ปี 2" เพราะในนิยายการินภาค 2 เริ่มต้นด้วยการขึ้นเทอมใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเทอมต้นหรือเทอมปลายของปีไหนด้วย แต่สิ่งที่ยืนยันได้อย่างหนึ่งคือในเล่มก่อนหน้า(บันทึกเขียนกรรม) มีฉากที่อาจารย์ฐิติภาถามถึงการินที่ไม่มาเรียน 2 อาทิตย์ และเพื่อนร่วมชั้นตอบกลับมาตามนี้
“ใช่ค่ะ อย่างเทอมที่แล้วยังหายไปเป็นเดือนๆ แล้วค่อยกลับมา เรื่องปกติจะตายสำหรับหมอนั่น” นักเรียนคนหนึ่งเสริมขึ้นมา ซึ่งทั้งห้องต่างเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด
(การินภาค 1 - บันทึกเขียนกรรม หน้า43 ย่อหน้า5)
แปลว่าในตอนที่พูดประโยคนี้ ร.ร.ควรต้องเปิดเรียนแล้วอย่างน้อยก็ 2 เทอม โดยขณะนั้นในช่วงบันทึกเขียนกรรมการินและลัลทริมาอยู่ปี 1 และถ้าในเล่มบันทึกเขียนกรรมเป็นเทอมปลาย เล่มควันเผาผี (ภาค2 บทที่1) จึงควรจะกลายเป็นเทอมต้นของ ปวช.ปี 2 นั่นเอง
อาจจะตีความว่าเพื่อนคนนั้นเคยเรียนม.ต้นที่เดียวกับการินมาก่อนก็ได้ แต่เราอ่านแล้วเข้าใจว่าอย่างนี้นะคะ
ความคิดเห็น