คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ที่มาของปรากฏการณ์
เกือบจะทันทีที่หนังสือนวนิยายเรื่องรหัสลับดาวินชี่ (The Da Vinci Code) ออกวางขาย นวนิยายเรื่องเรื่องนี้ก็ได้รับการกล่าวขวัญถึงและได้รับกระแสความนิยมอย่างล้นหลามจนตัวนวนิยายขึ้นอันดับหนึ่งหนังสือขายดี มีการนำออกไปแปลเพื่อตีพิมพ์เป็นภาษาต่างๆทั่วโลกกว่า 45ภาษา รวมทั้งภาษาไทย
ตามรายงานจากสำนักพิมพ์แรนดอม เฮ้าส์(Random House) ตัวแทนลิขสิทธิ์ของนวนิยายเล่มนี้ในส่วนของภาคพื้นยุโรป กล่าวว่าจำนวนของหนังสือที่ขายออกไปแล้วทั่วโลกสามารถนำไปคลุมชิคาโกได้ทั้งเมือง!! โดยที่พวกมันมีน้ำหนักรวมกันมากกว่าเครื่องบินจัมโบ 747 จำนวน 90 ลำรวมกันเสียอีก!!!
ส่งผลให้ แดน บราวน์ (Dan Brown) นักเขียนหน้าใหม่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยจะมีใครรู้จักได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหนังสือนวนิยายเรื่อง “รหัสลับดาวินชี่” ของเขา ยังทุบสถิติหนังสือปกแข็ง (ประเภทนิยาย) ขายดีและขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา สถิติเก่าเป็นของ The Bridges of Madison Countyเคยทำยอดขายเอาไว้ที่ 4.3ล้านเล่ม
จนล่าสุด นวนิยายเรื่องนี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดย บริษัท โซนี่ โคลัมเบีย พิคเจอร์ส(Columbia Picture Inc.) ออกฉายไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ.2006 ที่ผ่านมา แต่กว่าที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้เข้าโรงฉายตามปกติ เหล่านักแสดงในเรื่องและผู้สร้างภาพยนตร์ต้องฝ่าพันมรสุมอย่างหนักจากการต่อต้านของบรรดาผู้ศรัทธาในพระเยซูคริสต์และบรรดาคริสเตียนคาทอลิกชนทั่วโลก เนื่องจากในภาพยนตร์มีการพาดพิงถึงพระเยซูคริสต์และองค์กรๆหนึ่งในสาขาของสำนักวาติกันแห่งคริสตจักรคาทอลิกในทางที่บิดเบียนจนอาจกล่าวได้ว่าดูหมิ่นและลบหลู่พระเยซูและองค์กรนั้น
การประท้วงในรูปแบบที่รุนแรงมากที่สุดมาจากผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในประเทศอินเดียซึ่งมีสมาชิกอยู่มากถึง 18 ล้านคน ผู้นำองค์กรคริสเตียนที่นั่นประกาศจะประท้วงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยการอดอาหารจนกว่าจะตายหรือทางการจะห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องนี้
ทางด้านการหลั่งไหลเข้ามาของความคิดเห็น.....
บาร์ท เออร์แมน ศาสตราจารย์คณะศาสนศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย University of North Carolina at Chapel Hill กล่าวว่าปรากฏการณ์ตื่นตัวด้านศาสนาที่เกิดจากหนังสือนวนิยาย "รหัสลับดาวินชี่" ครั้งนี้เปรียบได้กับความตื่นตระหนกเมื่อศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการปล่อยข่าวลือว่าพระเยซูจะฟื้นพระชนม์ชีพในปี 1844 เลยทีเดียว โดย ดร.เออร์แมนย้ำว่าผลกระทบที่หนังสือมีต่อแนวคิดด้านศาสนาของผู้คนในทุกวันนี้ "เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในช่วงชีวิตของเรา
เหล่านี้เป็นเพียงแค่เหตุการณ์บางส่วนที่มีสาเหตุมาจากการถือกำเนิดขึ้นมาของหนังสือนวนิยายเพียงเล่มเดียว ที่มีความหนาประมาณ500กว่าหน้า ที่มีชื่อภาคภาษาไทยว่า “รหัสลับดาวินชี่”
ถ้าคำว่าปรากฏการณ์หมายความว่า การอุบัติ, การปรากฏ, การเกิดขึ้น แล้วล่ะก็ ถึงวันนี้หลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากหนังสือนวนิยายเรื่อง “รหัสลับดาวินชี่” ก็ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า“เป็นปรากฎการณ์”ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นต่อไปจากนี้ผู้เขียนจึงขอเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาอันเป็นผลมาจากหนังสือเล่มนี้ว่า “ปรากฏการณ์รหัสลับดาวินชี่” (The Da Vinci Code Theory)
โดยเนื้อหาในภาคแรกนี้จะเป็นการวิเคราะห์ที่มาของปรากฏการณ์รหัสลับดาวินชี่ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ การหาคำตอบให้คำถามที่ว่า “ทำไมนวนิยายเล่มนี้ถึงได้โด่งดังและได้รับความนิยมเสียเหลือเกิน?”
พอล แอล.ไมเออร์ (Paul L. Maier, 2006) วิเคราะห์ว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมากคือ นวนิยายเรื่องนี้จะไม่มีวันประสบความสำเร็จในฐานะเรื่องลึกลับที่น่าสนใจได้เลย ถ้าไม่มีการโจมตีและวิจารณ์ความเป็นคริสเตียนฟรีๆ”
ซึ่งสอดคล้องกับจากการศึกษาของ เอ.ปิรากา ออนพรินท์ส (A.Piraka Onprints, 2006) ที่กล่าวว่านับตั้งแต่หนังสือรหัสลับดาวินชี่ได้ถูกวางจำหน่ายในปีค.ศ.2003 ผลที่ได้รับก็คือกระแสความอยากรู้ของผู้อ่านได้ทวีขึ้นเป็นลำดับ เพราะโครงเรื่องได้พาดพึงถึงบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นศาสดาคนสำคัญของโลกนั่นก็คือ พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) ที่มีคนในโลกนับถืออยู่ถึง 33 % ของจำนวนประชากรโลก และใครๆหรือแม้แต่คนที่ไม่รู้รายละเอียดมากนักก็เข้าใจเหมือนกันว่าพระเยซูไม่ได้มีภรรยาและเป็นโสด
สิ่งที่ทำให้ รหัสลับดาวินชี่ แตกต่างจากหนังสือพวกนั้นคือ ในขณะที่หนังสืออีกหลากหลายเล่มก่อนหน้านี้ที่เขียนภาพบิดเบือนพระเยซูนั้นทั้งๆที่มีเนื้อหาในเชิงนวนิยาย แต่กลับกล้าตีพิมพ์ออกขายเป็นหนังสือในลักษณะที่ไม่ใช่นวนิยาย (Fact) ส่วนรหัสลับดาวินชี่ แดน บราว์น อ้างว่าหนังสือของเขาเป็นหนังสือวรรณกรรมประเภทนวนิยาย (Fiction)
ศิลปะของการเขียนนวนิยายที่สำเร็จที่ประสบความสำเร็จก็คือ การทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังสัมผัสกับความเป็นจริงอย่างเต็มที่ เพื่อว่าเรื่องที่ผู้อ่านอ่านอยู่นั้นจะดูเป็นจริง เป็นอะไรที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ กับคนจริงๆในสถานการณ์จริง และเมื่อผู้อ่านอ่านมาจนถึงท้ายบทๆหนึ่งหรือจนจบเล่มแล้ว ผู้อ่านจะเกิดความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งและยังคาใจอยู่กับสิ่งที่ได้อ่าน จนเมื่อได้หยิบนวนิยายเล่มนั้นขึ้นมาอ่านต่อก็จะรู้สึกเชื่อในสิ่งที่อ่านจริงๆขึ้นมาทันที ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องจริง! ตัวอย่างเช่นนวนิยายเรื่องแฮรี่ พ็อตเตอร์ กับศิลาอาถรรพณ์ เป็นต้น
บราว์นรู้ดีในกฎเหล่านี้ เขาเปิดฉากรหัสลับดาวินชี่ด้วยฉากการฆาตกรรมอย่างโจ่งครึ่มที่เกิดขึ้นในสถานที่ๆมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศส ฉากการฆาตกรรมอันนำไปสู่เงื่อนงำที่เป็นสัญลักษณ์บางอย่างที่ไปเกี่ยวข้องกับงานศิลปะของศิลปินชื่อ ก้องโลกที่เคยมีชีวิตอยู่จริง และนำไปสู่โบสถ์และปราสาทที่มีชื่อเสียงแห่งอื่นๆที่มีอยู่จริง ภายใต้การไล่ล่าโดยองค์กรแห่งหนึ่งของคริสตจักรที่มีอยู่จริงอีกเช่นกัน และเพื่อตอกย้ำอีกชั้นให้ผู้อ่านไม่ลืมว่าเรื่องที่พวกเขากำลังอ่านมีส่วนที่เป็นเรื่องจริง บราว์นถึงกับต้องมาเขียนตอกย้ำในหน้า แรกก่อนเข้าเนื้อหาภาคนวนิยายของเขาว่า องค์กรแห่งหนึ่งของคริสตจักร ผลงานทางศิลปะ สถาปัตยกรรม เอกสาร และพิธีกรรมลับต่างๆที่บรรยายไว้ในนวนิยายเล่มนี้ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งสิ้น
แดน บราว์นทำสำเร็จ ผู้คนที่ได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้ของเขาส่วนมากต่างหลงเชื่อเรื่องราวใน นวนิยายเกือบจะในทันที หลังจากที่ได้อ่านนวนิยายเล่มนี้
แต่...ถ้าเชื่อว่าสิ่งที่แดนบราว์นเขียนในนวนิยายเป็นเรื่องจริงก็เท่ากับเชื่อว่าพระเยซูทรงเคยมีภรรยาจริงๆงั้นซิ! และเพราะพระเยซูทรงเป็นศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นศาสนาที่คนตะวันตกส่วนมากนับถือ ดังนั้นถ้าเนื้อหาในนวนิยายเรื่องรหัสลับดาวินชี่เป็นเรื่องจริง ศาสนาคริสต์ก็เป็นเรื่องโกหกน่ะสิ!! นี่เท่ากับเป็นการสั่นคลอนวิถีในการดำรงชีวิตส่วนใหญ่ของชาวตะวันตกเป็นอย่างแรง และนี่เองเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงได้รับการกล่าวขวัญถึงและได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงแรกที่ยังไม่ได้มีการแปลออกไปขายเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก แต่แค่ในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่นานหลังจากที่มันออกวางขาย นวนิยายเรื่องนี้ก็ขายดิบขายดีถึงกว่าหกหมื่นเล่มภายในปีเดียวและเพิ่มเป็นอีกเท่าตัวในปีต่อมาเพราะเนื้อหาในนวนิยายเล่มนี้พาดพิงโดยตรงถึง “ศาสนาคริสต์” พาดพิงถึงความเชื่อที่ชาวสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคริสเตียนใช้เป็นหลักในการดำรงชีวิต และความเชื่อที่เชื่อถือกันมานานในสังคมตะวันตกกว่า2000ปี! ความเชื่อที่ว่าพระเยซูทรงเป็นบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้าที่ลงมายังโลกเพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษย์ทั้งปวงแต่เรื่องความลับของพระเยซูคริสต์ที่เขียนในนวนิยายเล่มนี้มันก็ชวนให้หลงเชื่อชะมัด!!! ด้วยเหตุดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงขายดิบขายดีจนขึ้นเป็นหนังสือยอดนิยมอันดับหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกายาวนานติดต่อกันจนลามไปถึงที่อื่น ประเทศอังกฤษและประเทศอื่นๆในแถบยุโรปจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า“ปรากฏการณ์” หนังสือจึงได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ และมาอยู่ในมือผู้เขียนเป็นฉบับภาษาไทยในท้ายที่สุด
ความคิดเห็น