Super Dollfie World Series # 01 - นิยาย Super Dollfie World Series # 01 : Dek-D.com - Writer
×

    Super Dollfie World Series # 01

    นิยายออริจินอลแนวแฟนตาซี สไตล์สบายๆ จัดอยู่ในสายโชเนนไอได้ จินตนาการตามใจคนแต่ง เมื่อคนคนหนึ่งได้มาพบกับตุ๊กตาตัวหนึ่ง เส้นด้ายแห่งสายใยก็เริ่มถักทอเรื่องราวให้ดำเนิน....

    ผู้เข้าชมรวม

    64

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    64

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  5 เม.ย. 56 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทที่ 1

    เมื่อได้พบพาน

     

     

                    ในวันที่หิมะตกโปรยปราย ท้องฟ้ามืดสนิทไร้แสงจากดวงดาวส่องประกายตัดแสงลงมาสู่พื้นดินเช่นทุกครั้ง แต่ถูกทดแทนด้วยเม็ดสีขาวละเอียดพร่างพราวไปทั่วเป็นวงกว้าง ครอบคลุมอาณาเขตโดยรอบ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็พบกับเกล็ดเย็นเยียบสีขาวบริสุทธิ์เหล่านั้นร่วงหล่นลงมา คล้ายกับพรจากพระเจ้าที่มอบให้กับมนุษย์เดินดินเบื้องล่างในวันที่อากาศเหน็บหนาว อุณหภูมิติดลบหลายองศา จนหาความอบอุ่นไม่พบ

                    สีสองสีที่ตัดกันระหว่างขาวและดำ กลับเพิ่มความงามและสีสันให้กับโลก สิ่งที่ตรงกันข้ามกัน แต่มีอิทธิพลในการสร้างสรรค์

                    บนท้องถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมาก เดินสวนกันไปตามทิศทางต่างๆ เสื้อโค้ทตัวหนา รองเท้าบูท หมวก ผ้าพันคอ ถุงมือ สิ่งที่สามารถสร้างความอบอุ่นในแก่ร่างกายถูกนำมาสวมใส่ สีสันจากเครื่องแต่งกายหลากหลายสไตล์อันเป็นแฟชั่นฤดูหนาว แต่งแต้มโลกสีขาวที่ถูกย้อมจากหิมะซึ่งตกลงมาจากฟ้าไม่ขาดสาย ร้านรวงข้างทางและตามถนนต่างๆ ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม

                    สีสันที่ดูบริสุทธิ์และเย็นชาในเวลานี้ ตัดกับความสดใสซึ่งเกิดจากการประดับตกแต่งทั้งบนตัวผู้คนสัญจรไปมา ตึกรามบ้านช่อง และร้านค้าต่างๆ เสาโคมไฟตามถนนส่องสว่างท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืน

                    กระจกใสบานใหญ่บานหนึ่งของร้านค้าในบลอคที่ 2 ซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยตึกเก่าตั้งแต่หัวถนนจนสุดปลาย แสงไฟจากภายในร้านสว่างโร่จนสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในกระจกบานใหญ่นั้นได้

                    ร่างบอบบางร่างหนึ่งนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ภายใน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่เพียงลำพังก็ตาม แต่ความโดดเด่นที่เหนือกว่าสิ่งใดกลับสามารถดึงดูดความสนใจของทุกสิ่งเอาไว้ได้ราวต้องมนต์

                    รัสฮาวน์เผลอหยุดยืนมองร่างนั้น สายตาจับจ้องใบหน้าขาวจัดของร่างที่ถูกกางกั้นไว้ด้วยกระจกเลื่อนลอย แต่เพียงเวลาไม่นานนักเขาก็สังเกตและรับรู้ได้ถึงสิ่งหนึ่ง ตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย....มันช่างเหลือเชื่อ

                    ไม่ใช่...นี่มันตุ๊กตานี่นา....แต่มันช่างเหมือนมีชีวิตจังเลย

                    ดวงตาสีน้ำตาลใสราวลูกแก้วสวยมาก เพียงแต่มันไม่ขยับกรอกกลิ้งไปมาเท่านั้น ผิวขาวอมชมพูดูเป็นธรรมชาติมากกว่าจะเป็นแค่สิ่งสังเคราะห์ เส้นผมพลิ้วละเอียดสีน้ำตาลเข้มคล้ายใยไหมระใบหน้าเรียวยาวได้รูป ริมฝีปากแดงอ่อนเป็นโทนสีที่งดงามมาก

                    ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองด้านล่าง มีป้ายบอกรายละเอียดตั้งอยู่

                    ตุ๊กตา Dollfie รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวมาเป็นพิเศษ ขนาดเท่าคนจริงๆ เป็นตัวอย่างของ Super Dollfie New Series ที่จะเริ่มผลิตต่อไปหากได้รับความสนใจอย่างน่าพึงพอใจ

                    ชื่อรุ่นในป้าย ชื่อของตุ๊กตาเหมือนมีชีวิตตัวนี้ Kei หรืออีกชื่อหนึ่ง KSD

                    สิ่งประดิษฐ์ที่น่าหลงใหล ฝีมือมนุษย์เกือบเทียบเคียงพระเจ้าแล้วรึเปล่า? ไม่หรอก....จะอย่างไรก็ดี มันก็เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ความสวยงามอันปราศจากชีวิตให้เคลื่อนไหวได้โดยอิสระ

                    แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถสะกดดึงดูดผู้คนให้หลงใหลหยุดมองทุกรายไป

                    หัวใจวูบไหว ความรู้สึกแปลกประหลาดผุดขึ้นเล็กๆ ในส่วนลึกของจิตวิญญาณโดยไม่มีที่มาที่ไป ริสฮาวน์เงยหน้าขึ้นช้าๆ ไล่สายตาจับจ้องร่างๆ นั้นจากปลายรองเท้าจนระดับสายตาสอดประสานกัน

                    “kei….อย่างนั้นหรือ? นั่นคือชื่อของนายสินะ?”

                    เสียงพึมพำแผ่วเบาราวกระซิบ ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าคำพูดนั้นมีขึ้นเพื่อพูดกับตุ๊กตาหรือกับตัวเองกันแน่ หรือ...จะเป็นทั้งสองอย่าง...กัน

                    ราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์ ร่างสูงโปร่งยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ หิมะร่วงตกจากฟ้าพรมตามพื้นถนนจนขาวโพลน เสื้อโค้ทสีน้ำตาลอ่อนซีดต้อนรับเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ ปกคลุมบนไหล่กว้าง แม้แต่เส้นผมตัดสั้นระต้นคอสีทรายก็ถูกแซม

                    แอ็ด

                    บานประตูถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนยืนอยู่ มือข้างหนึ่งดันประตูไว้ง่ายๆ พิงร่างสูงราว 178-180 เซนติเมตรกับขอบประตูร้าน เขามองตรงไปยังชายหนุ่มแปลกหน้าซึ่งยืนอยู่หน้าร้านมาพักใหญ่ด้วยแววตาลุ่มลึก

                    “ว่าไงพ่อหนุ่ม สนใจตุ๊กตาตัวนั้นหรือไง”

                    เสียงทุ้มห้าวกล่าวทักทายอาคันตุกะยามดึก หลิวตาไปทางตุ๊กตาแสนสวยตัวนั้นเป็นท่าประกอบ

                    ริสฮาวน์เผลอสะดุ้งขึ้นน้อยๆ ราวกับว่าเสียงนั้นได้เรียกสติของเขาให้กลับคืนมาจากห้วงลึกของอีกมิติอย่างไรอย่างนั้น เขากระพริบตา 2-3 ครั้ง ก่อนหันไปทางชายวัยกลางคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านนี้

                    “เอ่อ....ครับ”

                    คำตอบยังคงดูเลื่อนลอย จับอะไรไมได้ เขายังรู้สึกมึนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แค่ตอบไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น

                    “หึ จะเข้ามาข้างในก่อนไหมล่ะพ่อหนุ่ม นายเอาแต่มองดูอยู่ข้างนอกอย่างนั้นมันก็ได้แค่นั้นแหละนะ ไม่ลองเข้ามาดูใกล้ๆ ข้างในนี้ล่ะ มาสิ เข้ามาเลย”

                    ชายเจ้าของร้านหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง เขากวักมือเรียกลูกค้าหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้ เชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน

                    ริสฮาวน์ขยับตัว ก้าวเท้ายาวตามเข้าไปในร้านตามคำเชิญ

                    ถึงแม้ว่าจะยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรอยู่ก็ตาม แต่ตัวเขาเองกลับรู้สึกดีว่าต้องทำอะไร ร่างกายเพียงแต่ขยับไปตามความต้องการลึกๆ จากภายในร่างเท่านั้น

                    พลังดึงดูดจากตุ๊กตาตัวนั้นกำลังเรียกหาเขา ไม่ใช่การคิดไปเอง เสียงเพรียกเบาบางจากที่ไหนสักแห่งสอดประสานมาตามสายลมและหิมะที่โปรยปรายจากฟ้า เขากำลังตอบรับต่อเสียงนั้นจากภายในร่างกายตนเอง

                    ‘นายกำลังเรียกฉันอยู่ใช่ไหม

                    ทันทีที่ก้าวเข้ามา ประตูเบื้องหลังปิดสนิทลง นัยน์ตาสีอเมทิสต์กวาดมองไปทั่วร้านช้าๆ แสงสว่างภายในร้านช่างตัดกับความมืดภายนอกราวกลางวันกับกลางคืน แต่ความมืดจากภายนอกกลับยิ่งขับเน้นความสว่างเจิดจ้าด้านในนี้ให้ดูเด่นชัดขึ้น โดดเด่นจับสายตาจนน่าทึ่ง

                    ตุ๊กตาอีกหลายตัวถูกจัดวางอย่างสวยงามและมองดูราวศิลปะชั้นเยี่ยมทั่วทั้งร้าน ทุกตัวมองดูประณีตและงดงามเกินบรรยาย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไปในแต่ละตัว และแม้ว่าจะเลียนแบบรูปร่างหน้าตาจนคล้ายคลึงกับมนุษย์ แต่ตุ๊กตาเหล่านั้นไม่มีตัวไหนที่มีขนาดเทียบเท่าคนจริงๆ สักตัว ยกเว้นก็แต่....kei

                    “สวยมากครับ”

                    ริสฮาวน์เอ่ยชมสั้นๆ เขาแย้มยิ้มบางเบา รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนริมฝีปากได้รูป สายตาทอดมองผ่านตุ๊กตาเหล่านั้นด้วยความชื่นชมจากใจจริงๆ

                    “เจ้าพวกนี้เป็นสินค้าชั้นหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตที่สุด วัสดุที่ใช้ทำก็เป็นวัสดุคัดเลือกมาอย่างละเอียดลออ ขั้นตอนการสร้างยิ่งได้รับการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ทุกรายละเอียดได้รับการใส่ใจและทุ่มเทจากผู้สร้าง ลูกค้าที่ได้รับไปนับว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”

                    เจ้าของร้านกล่าวช้าๆ พร้อมกับรินชาร้อนหอมกรุ่นจากกาน้ำชาลงแก้วชาสีขาวลายดอกไม้ดอกเล็กๆ ชุดน้ำชาเข้าชุดสไตล์วินเทจ

                    ควันร้อนลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปบนอากาศเป็นสายจางๆ

                    “เอ้า ลองชิมรสชาฝีมือฉันดูหน่อยสิ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บอย่างนี้ ได้ดื่มชาอุ่นๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกอุ่นขึ้น และทำให้ชามีรสชาติที่น่าค้นหาด้วยนะ”

                    ถ้วยชาใบหรูถูกยื่นไปตรงหน้าริสฮาวน์ รอให้อีกฝ่ายรับไป

                    “ขอบคุณมากครับ”

                    รสฝาดแฝงความหวานละมุนของชาไหลลงลำคอเชื่องช้า ความอุ่นร้อนของชาแผ่กระจายไปทั่วร่าง น่าแปลกอย่างเหลือเชื่อที่น้ำชาเพียงถ้วยเดียวนี้ สามารถทำให้ริสฮาวน์รู้สึกกระปี้กระเป่า สมองแจ่มใสขึ้นมาได้ในทันที

                    “รสชาติดีมากเลยนะครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองมีพลังขึ้นมาเลย”

                    “เธอพอใจก็ดีแล้ว เอาล่ะ! ว่าไง นายสนใจ “เคย์” สินะ”

                    “เอ่อ....”

                    คำถามที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ริสฮาวน์ชะงักไปเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงครุ่นคิดกับตัวเอง ไม่นานนักศีรษะก็กลับตั้งตรงขึ้น สบสายตากับชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้าน และอาจจะกล่าวได้ว่าคือเจ้าของ kei ด้วยเช่นกัน

                    “ครับ ผมสนใจ “เคย์” เขาชื่อ “เคย์” สินะครับ”

                    ริสฮาวน์ยิ้ม เสียงที่เอ่ยชื่อตุ๊กตางดงามตัวนั้นนุ่มนวลอ่อนโยน

                    “อืม ใช่แล้ว เด็กคนนั้นชื่อ “เคย์” เธอตาแหลมมาก และอาจจะเป็นเพราะโชคชะตาก็ได้ ที่นำพาเธอให้มาพบกับเด็กคนนั้น แต่มูลค่าของเด็กคนนั้นไม่ใช่ว่าใครก็สามารถนำพาเขาไปได้ นายคิดว่าตัวเองมีความสามารถที่จะเป็นเจ้าของเด็กคนนั้นได้หรือเปล่าล่ะ?”

                    คำถามวกเข้ามาโดยไม่ตั้งตัวอีกครั้ง คำถามที่ฟังดูทั้งธรรมดา แต่ราวกับว่ามันซ่อนอะไรบางสิ่งไว้ด้วยเช่นกัน

                    ริสฮาวน์ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ทำไมเขาถึงได้ติดใจตุ๊กตาที่เหมือนมนุษย์ตัวนั้นขึ้นมา เรื่องพิศวงอาจจะเกิดขึ้นได้ในบางช่วงเวลา และกับบางคน โดยที่ไม่สามารถค้นหาสาเหตุ หรืออาจจะมีคำตอบ เพียงแต่คำตอบนั้นไม่ถูกนำมาเฉลยให้ใครรับรู้ มีเพียงแค่ผู้ประสบเท่านั้นที่รู้ความจริง

                    “น่าเสียดายที่ผมคงไม่มีความสามารถจริงๆ แต่ผมก็หวังว่าเคย์จะได้พบกับเจ้าของที่ดีนะครับ”

                    เสียงถอนหายใจราวกับยอมรับความจริง เขาเป็นเพียงแค่คนเดินดินธรรมดา ไม่ได้เกิดในตระกูลร่ำรวย งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็แค่รับจ้างทำโปรแกรมตามใบสั่งจากลูกค้าอยู่ที่บ้านเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในบริษัทใหญ่โต ไม่มีตำแหน่งใหญ่รองรับ แน่นอนว่ารายได้ของเขาทำได้แค่ประทังชีวิตไปวันๆ โดยไม่ขัดสน เงินเก็บเล็กๆ น้อยๆ ในธนาคาร ไม่เพียงพอจะนำมันมาซื้อสินค้าใหม่ล่าสุด ที่แค่รูปลักษณ์ที่เห็นก็เพียงพอจะบอกได้แล้วว่าราคาจะสูงถึงระดับไหน

                    เคยได้ยินมาว่า แค่ตุ๊กตาตัวสวยขนาดเล็กๆ ก็มีราคาสูงเกินกว่าคนระดับเขาไปแล้ว ตัวเขาไม่เหมาะกับของชั้นสูงอย่างนั้นหรอก แถมเขายังเป็นผู้ชาย ตุ๊กตาย่อมไม่เคยอยู่ในความสนใจมาก่อน และเขายังไม่ใช่นักสะสมไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

                    แต่ “เคย์” มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป

                    เขาหันมองร่างบอบบางซึ่งนั่งนิ่งไม่ไหวติงนั่นอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่สามารถสบตาสีน้ำตาลใสราวลูกแก้วนั้นได้เฉกเช่นเมื่อตอนที่ยืนอยู่หน้ากระจกใบใหญ่ แต่ความรู้สึกอ่อนละมุนที่อวลอยู่ภายในจิตใจเขา ก็ส่งไปถึงเจ้าของนัยน์ตาสีสวยราวกับจะบอกว่า ‘ฉันดีใจที่ได้รู้จักนายนะ

                    “อย่างนั้นหรือ?....อืม น่าเสียดายนะ แต่ก็เอาเถอะ ยังไงคืนนี้ฉันก็อนุญาตให้เธอได้เป็นเพื่อนกับเด็กคนนี้นานเท่าที่เธอพอใจ ตามสบายเลย”

                    เจ้าของร้านเพียงแค่ทำท่าเสียดายออกมา แต่ไม่นานก็กล่าวอนุญาตง่ายๆ ก่อนเดินเข้าไปด้านหลังร้าน ปล่อยให้รัสฮาวน์ยืนอยู่ตามลำพังภายในร้านกับบรรดาตุ๊กตา

                    แปลกเกินไปแล้ว นี่จะไม่ระมัดระวังกลัวว่าจะโดนขโมยไปเลยหรือไงนะ

                    ถึงจะคิดอย่างนั้นอยู่ในใจ แต่รัสฮาวน์ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเจ้าของร้าน เขาเดินมายืนใกล้ๆ ร่างคล้ายมนุษย์หนึ่งเดียวในที่นั้น อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแตะใบหน้าขาวจัด สัมผัสแรกที่ได้รับไม่ใช่ความอุ่นของผิวเนื้อ คล้ายกับจะยืนยันความจริงว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหาใช่มนุษย์ไม่

                    เวลาผ่านไปช้าๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะล่วงเลยเวลาเที่ยงคืนเข้าสู่วันใหม่แล้ว จนกระทั่งเสียงนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังด้านหนึ่งส่งเสียงกังวานทั่วร้าน สะกิดให้ชายหนุ่มหันมองไปทางต้นเสียง

                    “หวา~! ให้ตายสิ ดึกขนาดนี้เลย อา....ฉันคงต้องไปก่อนนะเคย์ หวังว่านายจะมีความสุขนะ ไปล่ะ”

                    ริสฮาวน์พูดกับตุ๊กตาไร้ชีวิตตัวนั้น ราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตและเข้าใจสิ่งที่เขาพูดสนทนาด้วย

     

    -/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

     

                    เพียงแค่ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเดินลับหายไปเท่านั้น ความเงียบสงบก็กลับคืนย้อนมาสู่สถานที่แห่งนั้น

                    ร้านตุ๊กตาที่เปิดไฟสว่างโร่อยู่จนถึงไม่กี่นาทีที่แล้วมา ตอนนี้ดับไฟมืดสนิท หน้าร้านมืดมิด เหล่าตุ๊กตาน้อยใหญ่ถูกทิ้งให้อยู่กันเองตามลำพัง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มีแต่เสียงนาฬิกาแขวนโบราณส่งเสียงเดิน ติ๊กต๊อกๆ เป็นจังหวะ อย่างสม่ำเสมอ ทุกอย่างดูเป็นปกติไม่มีวี่แววใดๆ ทั้งสิ้น

                    จนกระทั่งมีแสงสีขาวเส้นเล็กยาวพาดผ่านจากท้องฟ้าลงมาสู่เบื้องล่าง....

                    แสงสว่างสีนวลวาบขึ้น ห้อมล้อมร่างๆ หนึ่งเอาไว้ภายในนั้น เพียงชั่วเวลาไม่นานนักแสงค่อยๆ อ่อนจางจนหายไปอย่างไร้ร่องรอยในที่สุด ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

                    ร่างที่ถูกห้อมล้อมเอาไว้นั้น ในเวลานี้ค่อยเผยตัวออกมาให้เห็น เส้นผมเล็กละเอียดสีน้ำตาลเข้มพลิ้วไหวช้าๆ ราวกับว่ามีสายลมคอยโบกพัดเบาๆ หรือจะบอกว่าราวกับเส้นผมนั้นมีชีวิตขึ้นมาก็ได้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใสประหนึ่งลูกแก้วถูกประจุไปด้วยพลังชีวิต ใบหน้าขาวจัดระบายไปด้วยสีแดงระเรื่อของเลือดฝาดจนผิวแก้มเป็นสีขาวอมชมพูน้อยๆ ริมฝีปากบางได้รูปสวยแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเชอรี่อ่อนละมุน

                    สีสันต่างๆ ช่วยกันเติมแต่งให้ร่างโปร่งเพรียวมีชีวิตชีวาขึ้นมา

                    ลูกแก้วใบหนึ่งส่องสว่างเรืองๆ อยู่บนมือเรียวขาวทั้งสองข้างที่โอบอุ้มมันไว้             

                    ร้านสองคูหาซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกเก่าที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานนับร้อยปี ถนนบลอคที่ 2 เส้นนี้มีความแตกต่างไปจากเส้นอื่นๆ บรรยากาศแฝงความเก่าแก่มัวสลัว แสงจากเสาโคมไฟหรี่จาง ยิ่งขับเน้นให้กลิ่นอายโดยรอบดูวังเวงยิ่งขึ้น ร้านค้าซึ่งตั้งอยู่บนถนนทั้งเส้นเป็นประเภทแอนทีคในรูปแบบต่างๆ ทั้งสิ้น

                    อากาศหนาวเหน็บและเงียบสงบ ท่ามกลางความมืดสลัวเพราะมีแสงไฟจากเสาโคมไฟเป็นระยะคอยให้แสงส่องทางเดิน เงาร่างหนึ่งขยับเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้ากระทบพื้นถนนดังเป็นจังหวะ

                    เส้นผมละเอียดราวเส้นไหมสีน้ำตาลเข้มพัดพลิ้วเบาๆ ไปมาตามจังหวะการก้าวเดินของเจ้าของร่าง ไอฝ้าขาวจางลอยวนออกมาทุกครั้งที่เกิดจังหวะหายใจเข้าออก บอกได้ถึงความหนาวเย็นของอากาศในเวลานั้นเป็นอย่างดี

                    อากาศหนาวที่เข้าคู่กับบรรดาเสื้อผ้าหนาและเส้นใยที่อุ่นพอจะลดทอนหรือป้องกันความเย็นนั้นไว้แต่เพียงภายนอกผู้สวมใส่

                    หากแต่บนร่างบอบบางร่างนั้น กลับสวมใส่ไว้เพียงเสื้อยืดคอกลมทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนเกือบขาว กางเกงสีดำสนิทขนาดพอดีตัวแนบไปกับขายาวเรียวทั้งคู่ ไม่มีเสื้อขนสัตว์ตัวอุ่นใดที่มีคุณสมบัติกางกั้นความหนาวอยู่บนตัวเลย

                    ผิวขาวใสมองเห็นได้จากส่วนที่โผล่พ้นเสื้อผ้า ลำคอระหง มือเรียวสวยและใบหน้าขาวสะอาด

                    “ไปไหนแล้วนะ? ....อยู่ที่ไหน?”

                    เสียงจากความคิดดังขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลวาวใสสอดส่ายไปรอบๆ มองหาใครบางคนท่ามกลางหิมะและผืนฟ้ามืดมิด

                    ขาวยาวเรียวก้าวเดินเชื่องช้าเตาะแตะ ดูไปไม่สมกับความจริงอันควรก้าวยาวกว่านั้น เร็วกว่านั้น เป็นธรรมชาติกว่านั้น....

                    คนคนนั้นหายไป แม้ว่าจะพยายามกวาดสายตาสอดส่องไปในความมืด คอยหาร่องรอยแม้เพียงเล็กน้อยถ้าหากว่ามันจะยังเหลืออยู่ บนถนนเงียบเหงาร้างไร้ผู้คน ไปทางไหนกันแน่? จะทำอย่างไรดี? แต่ไม่ว่ายังไงก็จะต้องตามหาให้พบ

                    ใครคนนั้น....ที่มาพร้อมกับคำว่าโชคชะตา

                    เพียงเสี้ยวเวลาไม่นานถัดมา นัยน์ตาสีใสหม่นแสงลง แผ่ขยายโลกอันว่างเปล่าออกมารอบร่างกาย มองดูเคว้งคว้างไร้หนทางและอับจนปัญญา ศีรษะก้มต่ำลง ผมด้านข้างตกลู่ระผิวแก้มใสบางปิดใบหน้าไว้ได้ส่วนหนึ่ง

                    เพราะอะไรกัน ทำไมล่ะ....

                    “ไม่ได้! ทำไมต้องหยุดอยู่ตรงนี้ด้วยล่ะ!? ต้องหาให้เจอสิถึงจะถูก!

                    เสียงดังกึกก้องขึ้นภายในใจ เรียกความเชื่อมั่นของตัวเองกลับคืนมา สายตาหดหู่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนเปลี่ยนแปรเป็นมั่นคงมุ่งมั่นในพริบตา

                    ขาเรียวยาวก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้น....พยายามเร่งให้เร็วขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การก้าวย่างนั้นก็ยังคงดูผิดแผกไม่เป็นธรรมชาติ และความเร็วยังคงเชื่องช้าอยู่ดี แต่เจ้าของร่างสูงเพรียวบอบบางก็ไม่ได้ใส่ใจ เอาแต่มุ่งไปข้างหน้าทั้งอย่างนั้น ไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่รู้ทิศทางที่แน่นอน รู้แต่เพียงเป้าหมายเท่านั้น ไม่ว่าคนคนนั้นจะไปทางทิศทางไหน ขอแค่เชื่อมั่นในโชคชะตาที่เกิดขึ้นก็พอ

                    โชคชะตาจะนำพาไปพบกับสิ่งที่รอคอยอยู่อย่างแน่นอน....

                    จากย่างก้าวเตาะแตะที่เร่งขึ้น สายตาที่คอยสอดส่ายมองหาในความมืดสลัว ความร้อนรนที่แผ่กระจายออกมาทั่วร่าง ไม่สั่นสะท้านไปกับความเย็นเยียบของหิมะโปรยปราย ไม่หวั่นเกรงต่อความมืดและเงียบสงบไร้ผู้คน

                    อยู่ที่ไหน

                    นายอยู่ที่ไหน? ฉันกำลังตามหานายอยู่นะ

                    ทันทีที่โผล่พ้นหัวมุมถนนหนึ่ง ร่างทั้งร่างปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างเข้าอย่างแรงจนทั้งร่างล้มหงายไปด้านหลัง

                    “โอ๊ย! หวา~~~~ เป็นยังไงบ้าง? เจ็บไหม?”

                    มือหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า จากปลายนิ้วไปตามข้อแต่ละข้อจนถึงฝ่ามือใหญ่ สายตาไล่เรียงเชื่องช้าจนใบหน้าแหงนเงยขึ้นมองเจ้าของมือข้างนั้น

                    นั่นอาจเป็นประสงค์ของฟ้าลิขิตขีดเส้นไว้แล้ว

                    “เจอแล้ว ในที่สุดฉันก็หาพบจนได้”

                    เสียงดังก้องขึ้นในใจด้วยความยินดี รอยยิ้มที่คิดว่าได้ยิ้มออกไป หากแท้จริงแล้วกลับมีเพียงความเรียบเฉยไร้ความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าขาวจัดนั้น แต่ความรู้สึกที่ก่อเกิดขึ้นอย่างรุนแรงสามารถสะท้อนคำว่า “ยิ้ม” ออกมาได้ ทำให้ใบหน้าที่สวยงามอยู่แล้วนั้นยิ่งงดงามละมุนละไมขึ้นได้อย่างประหลาด

                    “นายเป็นอะไรรึเปล่า? เอ๊ะ? นาย...”

                    เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบเฉย ริสฮาวน์ตัดสินใจเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง แต่เมื่อเขามองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เป็นเขาเองที่ต้องตกตะลึงจนนิ่งค้างไปทั้งอย่างนั้นด้วยความไม่คาดฝัน

                    ใบหน้านี้ ไม่ใช่ใบหน้าที่จะพบเห็นได้ทั่วไป ความงดงามสมบูรณ์แบบ ทั้งรูปหน้าเรียว ส่วนประกอบของวงหน้าไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ขนตา ดวงตาสีน้ำตาลใสแวววาว จมูกโด่งเป็นสันพองาม ริมฝีปากบางรูปกระจับสีแดงอ่อน และผิวเนียนละเอียด ทุกอย่างล้วนรวมกันได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว ริสฮาวน์รู้จักใบหน้านี้ดี เนื่องเพราะเขาเพิ่งจะได้พบกับเจ้าของใบหน้านี้มานั่นเอง

                    เคย์ไม่ใช่เหรอ?

                    แต่จะเป็นไปได้ยังไงกันเล่า ในเมื่อเคย์คือตุ๊กตา Dollfie รุ่นใหม่ล่าสุดตัวนั้น นี่เขากำลังฝันไปทั้งๆ ที่กำลังตื่นอยู่รึไง

                    ความงุนงงสงสัยบีบตัวเข้ามาในทันที ริสฮาวน์จ้องร่างบอบบางตรงหน้าด้วยความครุ่นคิด นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นะ ทั้งสีผม สีตา และแม้กระทั่งรูปร่างยังถอดแบบกันออกมาไม่ผิดเพี้ยน

                    เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลใสมองคนที่เอาแต่จ้องตัวเองอยู่อย่างนั้น

                    “ไม่เป็นไร”

                    ใบหน้างดงามนั้นส่ายหน้าช้าๆ ไปมาประกอบ เสียงพูดก้องอยู่ในหัว แต่มันไม่ได้ผ่านริมฝีปากออกมาเป็นคำพูดด้วย

                    มีเพียงดวงตาสีใสเท่านั้นที่ดูจะสื่อสารความรู้สึกของเจ้าตัวออกมาได้

                    ริสฮาวน์ได้สติเมื่อเห็นปฏิกิริยาจากร่างตรงหน้า

                    “เอ...หรือว่านายจะพูดไม่ได้?”

                    นั่นเป็นข้อสันนิฐานที่เกิดขึ้นหลังจากประมวลท่าทีอีกฝ่ายอย่างรอบครอบ ช่างเป็นคนที่ดูแปลกจริงๆ นะ

                    ออร่าบางๆ คล้ายปกคลุมอยู่รอบตัว มันคงเป็นแค่ตาฝาดหรือคิดเพ้อเจ้อไปเองนั่นแหละ แต่คนตรงหน้านี้ให้ความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ริสฮาวน์อดที่จะยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้ คืนนี้ท่าทางว่าเขาจะเพี้ยนไปแล้วแน่ ตั้งแต่ที่อยู่ดีๆ ก็นึกอยากเดินเข้าไปในถนนบลอคที่ 2 ทั้งที่ไม่เคยเหลียวแลสนใจมาก่อนเลย แค่ระหว่างทางเดินกลับบ้าน จู่ๆ พอกำลังจะเดินผ่าน เขาเหมือนได้ยินเสียงเรียกท่ามกลางหิมะตกหนา มันแผ่วเบาสอดประสานมากับสายลม ไร้ตัวตนและจับต้องไม่ได้ เป็นแค่เพียงความรู้สึกเท่านั้น แต่เขาก็เดินเลี้ยวเข้าไปตามถนนสายนั้น จนกระทั่งหยุดยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ สายตาถูกตรึงไว้กับร่างบอบบางหลังกระจกจนละสายตาไปไม่ได้

                    “นายจำฉันไม่ได้เหรอ? ฉันเองยังไงล่ะ ที่นายยืนมองอยู่ก่อนหน้านี้ไง”

                    นัยน์ตาสีน้ำตาลสุกใสจดจ้องหน้าริสฮาวน์แน่วแน่ เสียงเกิดขึ้นภายในร่างกายแต่มันไม่ได้ส่งผ่านเป็นคำพูดออกไปให้ได้ยิน

                    “มีอะไรหรือเปล่า? นายเป็นอะไรไป ทำไมถึงทำหน้าตาเศร้าแบบนั้นล่ะ”

                    ริสฮาวน์อดรู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ ทำไมกัน ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ดูเศร้าถึงขนาดนั้นกันนะ เพราะอะไรล่ะ? มือเผลอเอื้อมไปลูบแก้มขาวใสเบาๆ

                    “ฉันตามหานายนะ...”

                    ความอัดอั้นตันใจแผ่ขยายแสดงออกมาทางนัยน์ตาคู่สวย มือเรียวหยิบแผ่นป้ายอันเล็กจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ยื่นไปตรงหน้าริสฮาวน์

                    “ดูสิ...”

                    สายตาแสดงความคาดหวังบรรจุเอาไว้เต็มเปี่ยม

                    “หือ? Kei...งั้นเหรอ? ชื่อของนาย...”

                    ริสฮาวน์ก้มอ่านตัวหนังสือที่สลักไว้บนแผ่นป้ายขนาดเล็ก เขานิ่งอึ้งไปทันทีเมื่อเห็นชื่อบนแผ่นป้ายนั้น ดวงตาสีอเมทิสต์เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย จดจ้องชื่อพยางค์เดียวนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                    ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ นี่มันเรื่องเหลือเชื่อชัดๆ

                    ริสฮาวน์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจนสามารถมองสบตากับฝ่ายตรงข้ามได้ เขาใช้สายตาแทนคำพูดเพื่อถามสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจในตอนนี้

                    “อือ มันเป็นชื่อเรียกของฉัน”

                    เคย์พยักหน้ารับด้วยการเคลื่อนไหวเชื่องช้าราวภาพสโลว์โมชั่น เสียงตอบรับดังก้องอยู่ภายในหัวเช่นเดิม ลูกแก้วใสแวววาวคล้ายมีน้ำหล่อเลี้ยงเพิ่มขึ้นในดวงตาคู่นั้น

                    คำยืนยันจากปฏิกิริยาที่ได้รับ ทำให้ริสฮาวน์แทบกลั้นหายใจข่มความรู้สึกซึ่งกำลังหมุนวนไปด้วยความสับสนงุนงงในใจ

                    เคย์อย่างนั้นหรือ

                    ‘เคย์ กับ เคย์ ใบหน้าและรูปลักษณ์ที่เหมือนกันราวกับแกะ มีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง สิ่งนั้นคือ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต

                    เคย์ ตุ๊กตา KSD ตัวนั้น

                    กับ เคย์ คนนี้ ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง

                    สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นได้แค่เรื่องเหลือเชื่อที่ยากจะทำใจเชื่อได้ง่ายๆ แต่จะไม่ยอมรับก็คงไม่ได้อีก ในเมื่อสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขานี่เอง ถึงจะมีเรื่องไม่เข้าใจอีกมาก แต่ในที่สุดริสฮาวน์ก็ตัดสินใจปัดมันทิ้งไปก่อน

                    เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สองสามครั้ง มองไปรอบๆ หิมะยังคงตกไม่หยุดเหมือนเดิม และเมื่อมองร่างคนตรงหน้า ทำให้เขาตัดสินใจบางอย่างได้ในเวลานี้

                    “เอ่อ....ถ้าอย่างนั้น...ฉันขอเรียกนายว่าเคย์ได้ใช่ไหม? ส่วนชื่อของฉันคือ ริสฮาวน์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

                    เสื้อโค้ทยาวถูกถอดออกจากตัว ก่อนจะนำมันยื่นไปให้อีกฝ่าย แต่กลับได้รับสายตาไม่เข้าใจในการกระทำตอบกลับมาแทนที่ สุดท้ายริสฮาวน์จึงเป็นฝ่ายกางเสื้อโค้ทยาวตัวใหญ่นั้นลงคลุมร่างตรงหน้าให้เอง

                    อีกครั้งที่ริสฮาวน์ยื่นมือไปเบื้องหน้าใบหน้างดงามนั้น

                    “มาสิ ลุกขึ้นเถอะ ที่นี่อากาศหนาวมาก อย่าอยู่ที่นี่นานๆ ดีกว่านะ นายใส่เสื้อผ้ามาแค่นี้จะไม่สบายเอาได้ บ้านนายอยู่ที่ไหนล่ะ?”

                    ริสฮาวน์พูดพลางลุกขึ้นยืนก่อน โดยที่มือยังคงยื่นค้างไว้ รอให้อีกฝ่ายตอบรับ

                    “ริสฮาวน์....ชื่อของนาย....ริสฮาวน์”

                    มือยื่นออกไปวางไว้ในอุ้มมือหนา ร่างถูกดึงให้ลุกขึ้นยืนอย่างง่ายดาย ในที่สุดใบหน้าขาวใสนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มแรกออกมาจนได้ รอยยิ้มบางเบาที่แย้มออกมาเพียงน้อยนิด แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ามองจริงๆ

                    “ฮะฮ่าฮ่า นายยิ้มได้สวยมากเลยเคย์ ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่านายต้องเหมาะกับรอยยิ้ม”

                    “จริงเหรอ?”

                    สายตาส่งคำถามออกไป

                    เคย์เอียงคอมองชายหนุ่มผมสีทรายตรงหน้า ตาสีอเมทิสต์ไร้ความขุ่นมัวใดๆ มีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่บนใบหน้าแสดงความเป็นมิตร  ในอกอุ่นวาบขึ้นน้อยๆ มีเสียงจังหวะเต้นของหัวใจดังขึ้นช้าๆ และแผ่วเบาจนเจ้าของร่างรู้สึกได้ถึงจังหวะนั้น

                    “ให้ฉันเดินไปเป็นเพื่อนไหม? ฉันเดินไปส่งนายที่บ้านได้นะ อืม...ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วซะด้วยสิ”

                    ริสฮาวน์มองไปรอบด้าน บนถนนแทบร้างไร้ผู้คนในเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้วอย่างในเวลานี้ ความมืดปกคลุมไปทั่ว มีเพียงแสงไฟส่องทางจากเสาโคมไฟเท่านั้น ที่พอจะทำให้ทั่วบริเวณไม่มีแค่ความมืด และอีกอย่างคือหิมะที่โปรยปรายไม่หยุดราวกับจะช่วยขับเน้นเป็นแบล็กกราวน์ให้กับโลเกชั่นของคืนนี้

                    ไม่รู้เป็นเพราะอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่า จะปล่อยอีกฝ่ายไว้เฉยๆ ไม่ได้ มันไม่ใช่เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าตัวเท่านั้น ที่ทำให้เขาปล่อยวางแล้วโบกมือลาไปเสียเฉยๆ ได้

                    เขารู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์....สีขาวสะอาดคงสามารถใช้บรรยายคนคนนี้ได้ทั้งหมด เด็กหนุ่มที่เหมือนกับตุ๊กตาตัวนั้น....

                    “ฉันจะไปกับนาย....ริสฮาวน์”

                    นิ้วมือเรียวยาวเกาะกุมแขนเสื้อริสฮาวน์ไว้แน่น เปลือกตาบางไม่เคยกระพริบลงสักครั้ง คำพูดไม่เคยหลุดลอดริมฝีปากออกมา ทั้งๆ ที่พยายามจะสื่อสาร

                    “มีอะไรรึเปล่าเคย์? ที่นายไม่พูด เพราะนายพูดไม่ได้สินะ อืม จะทำไงดีนะ ฉันต้องทำไงถึงจะเข้าใจนายได้ล่ะ?”

                    ประโยคในตอนท้ายๆ เขาพึมพำเอากับตัวเอง คล้ายต้องการหาทางออกที่ดีมาช่วยในเวลาแบบนี้

                    ปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ จากเคย์ ทำให้ริสฮาวน์สนใจได้ทุกอย่าง เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองเท่าที่ควร ตั้งแต่พบกันจนได้พูดคุยกัน ก็มีแต่เขาคนเดียวที่เป็นฝ่ายพูด แต่เขาก็สังเกตเห็น แม้ว่าเคย์จะไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าไร้การตอบสนอง เคย์พยายามสื่อสารกับเขาในรูปแบบของตัวเอง

                    น่าแปลกที่เขารู้สึกถึงบางอย่างจากแววตานั้น โดยไม่ต้องเอ่ยคำใด ไร้ซึ่งคำพูด ความมุ่งมั่นแรงกล้าทอประกายอยู่ภายใต้นัยน์ตาสีน้ำตาลใส

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น