คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Track01: ข้อความลับจากวาโทเนีย
Track01: ข้อความลับจากวาโทเนีย
ชายชุดดำผู้บุกรุกวิ่งหนีการไล่ล่าไปตามทางแคบ ๆ ภายในชั้นใต้ดินของตึกสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่ง ขณะที่ขาอันแข็งแรงก้าวสับอย่างรวดเร็วนั้น สายตาก็พยายามสอดส่องไปโดยรอบเพื่อหาที่ซ่อนตัว ถึงแม้ว่าสองข้างทางที่ผ่านมาจะมีประตูห้องต่าง ๆ เรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ชายผู้นี้กลับเปิดมันไม่ได้เลยแม้แต่บานเดียว เนื่องจากบนประตูเหล่านั้นมีเครื่องสแกนม่านตาและลายนิ้วมือติดตั้งอยู่ แน่นอนว่าผู้บุกรุกเช่นเขาไม่สามารถผ่านการสแกนนั้นได้
แต่แล้ว...ราวกับสวรรค์เข้าข้างให้บุรุษลึกลับได้พบกับประตูบานหนึ่งซึ่งเปิดแง้มอยู่ เขาไม่รอช้ารีบผลักเปิดเข้าไปข้างในทันทีโดยไม่สนใจว่าด้านหลังประตูจะมีใครหรืออะไรรอคอยเขาอยู่บ้างหรือเปล่า เมื่อเข้าไปได้แล้วชายชุดดำก็รีบปิดประตูลงก่อนที่ผู้ไล่ล่าจะมาเห็นที่ซ่อนของเขาเข้า โชคดีที่ในห้องนั้นไม่มีอะไรอื่นนอกจากชั้นมากมายใช้สำหรับวางขวดบรรจุสารเคมีหลากชนิด เขาเงี่ยหูฟังเสียงจากรอบทิศ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าผู้ไล่ล่าไม่ต่ำกว่าสามคนผ่านหน้าห้องนั้นไป ผู้บุกรุกถอนหายใจเบา ๆ แล้วหยิบคอมพิวเตอร์ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ลงมือเชื่อมต่อวงจรเพื่อการสื่อสารผ่านดาวเทียม โดยไขรหัสลับแล้วปรับความถี่คลื่นสัญญาณเพื่อลอบส่งข้อมูลอะไรบางอย่างให้กับประเทศเจ้าของดาวเทียมนั้นอย่างเร่งรีบ
ทว่า ยังไม่ทันที่ข้อมูลจะถูกส่งได้ครบถ้วน สวรรค์ก็เลิกเข้าข้างเขาเสียแล้ว หันมากลั่นแกล้งแทน เมื่อเสียงฝีเท้าที่ผ่านไปเมื่อครู่ย้อนกลับมาหยุดอยู่หน้าห้อง ฉับพลันประตูถูกเปิด ชายชุดดำถูกพบตัว ผู้ไล่ล่าจำนวนมากเข้ามารุมทึ้งร่างของเขา คนหนึ่งจับแขนพลิกให้มือคว่ำลง คนที่สองเข้ามาถอดถุงมือสีดำที่เขาใส่อยู่ออก คนที่สามซึ่งถือเข็มฉีดยาอยู่ในมือได้นำเข็มแทงเข้าไปที่หลอดเลือดดำหลังมือของผู้บุกรุกที่แม้จะพยายามขัดขืนเพียงใด แต่กำลังของชายเพียงหนึ่งคนก็ไม่อาจต้านแรงของคนเป็นฝูงได้ ยาสลบถูกถ่ายทอดจากกระบอกฉีดยาเข้าสู่กระแสเลือด เพียงหนึ่งวินาทีชายชุดดำก็สิ้นฤทธิ์ เขาถูกลากถูลู่ถูกังเข้าไปในห้องกระจกฝ้าห้องหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากห้องเก็บสารเคมีมากนัก
ณ บ้านของพ่อลูกตระกูลไรเซน ที่ยังคงความรกรุงรังได้อย่างไม่เสื่อมคลายแม้เวลาจะผ่านจากวันที่ถูกโจรขโมยชิพไปถึงหกปีแล้วก็ตาม ก่อนหน้านี้เอียมุสผู้เป็นพ่อใช้เวลาสองเดือนในการทำใจข่มความเสียดายสิ่งประดิษฐ์ชิ้นเอกของเขาด้วยการนั่งซังกะตายอยู่เฉย ๆ ไม่ยอมทำอะไร แต่หลังจากได้รับกำลังใจและแรงสนับสนุนจากหลาย ๆ ฝ่าย ก็ทำให้เอียมุสฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เขามุมานะประดิษฐ์คิดค้นชิพรักษาโรคพาร์กินสันชิ้นใหม่จนสำเร็จ และผลงานชิ้นนี้ก็ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนอาเลียสนั้น เขาได้เติบโตเป็นหนุ่มอายุยี่สิบสี่ปี และจบการศึกษาด้านพันธุวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอาร์มาดาเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้เขาทำงานให้กับบริษัทผลิตยารายใหญ่ของประเทศ มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง มีรถเป็นของตัวเอง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขายังไม่มีเป็นของตัวเองเสียทีนั่นก็คือ...แฟน
“น่าแปลกเนอะพ่อ ประเทศวาโทเนียรวยเอ๊ารวยเอา แต่คาราห์นเพื่อนบ้านผู้แสนดีกลับจนลง” หนุ่มโสดสนิทกล่าวกับพ่อทั้ง ๆ ที่ตายังจ้องอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับวันพุธที่เพิ่งเก็บมาจากหน้าประตูบ้านเมื่อครู่
“อย่าสนใจไปเล้ย” เอียมุสขึ้นเสียงสูงอย่างไม่ใส่ใจ เขากำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้าสำหรับเสิร์ฟสองที่ “ฝั่งตะวันตกมันปิดทวีปไม่ยอมให้เราเข้าไปด้วยซ้ำ นี่ดีนะที่ยังยอมขายข่าวให้หนังสือพิมพ์ต่างทวีปเอามาลงบ้างน่ะ...แต่ก็ไม่รู้เท็จจริงแค่ไหน”
“นั่นสิพ่อ...ไม่รู้กลัวอะไรกันนักหนาแทนที่จะเปิดประเทศ เผื่อจะได้รับเงินจากการท่องเที่ยวมั่ง”
“แกนี่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เขาปิดประเทศเพื่อพัฒนาตัวเองเฟ้ย อีกหน่อยพอเริ่มรวยเขาก็จะเปิดประเทศ ทีนี้พวกนายทุนฝั่งตะวันออกก็จะได้มีแหล่งลงทุนเพิ่มขึ้นอีกนอกจากขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ แล้วก็ทวีปคาเมริน” เอียมุสลูบคางที่เต็มไปด้วยเคราสั้น ๆ แข็ง ๆ พร้อมพูดวิเคราะห์อย่างมีหลักการ
“เขาคงกลัวคนที่มีความคิดเหมือนพ่อด้วยล่ะมั้ง...ขืนพวกเราเข้าไปลงทุนที่นั่นกันเยอะ มีหวังผู้ประกอบการภายในประเทศของพวกเขาก็จนตายกันพอดี กำลังทรัพย์มันต่างกัน” อาเลียสเหน็บแนม
ขณะนี้เป็นเวลาสายโด่งของวันพุธซึ่งเป็นวันหยุดราชการเนื่องจากตรงกับวันคล้ายวันประสูติของพระราชาคาโอประมุขของประเทศ จึงไม่มีใครออกจากบ้านไปทำงานกันเลยสักคน โดยพ่อลูกกำลังสนทนากันอย่างสบาย ๆ เอียมุสตักซุปสีครีมจากหม้อต้มใส่ชามสองใบ วางมันลงบนถาดก่อนจะยกมาที่โต๊ะอาหารในบริเวณห้องครัวนั้นด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างเขาใช้กวาดกระดาษที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะซึ่งทุกแผ่นล้วนแต่เป็นงานของเขาทั้งสิ้น เพื่อจัดให้มีพื้นที่สำหรับวางชามอาหาร อาเลียสชะโงกหน้ามองของเหลวข้นสีครีมในชามที่พ่อถืออยู่อย่างพินิจพิจารณา
“พ่อ...อ” เขาลากเสียงยาว เมื่อสามารถหาคำจำกัดความให้กับอาหารตรงหน้าได้ว่าเป็นซุปเห็ด ไก่ ไข่ ข้าวโพด และอื่น ๆ อีกมากมายที่มีเหลืออยู่ในตู้เย็น “ร้อนก็ร้อน ยังจะทำซุปอีกเหรอ แถมยังเป็นซุปล้างบางตู้เย็นอีกต่างหาก จะท้องเสียมั้ยนี่...ทำไมไม่ทำอย่างอื่นมั่ง...เบื่อซุปร้อนควันขโมงแบบนี้เต็มที นี่มันหน้าร้อนแล้วนะพ่อ ยังจะให้กินแต่ของร้อน ๆ อีก ถ้าลูกชายสุดที่รักร้อนตายไปจะทำไง”
“ร้อนก็เอาไปแช่ตู้เย็นสิเจ้าโง่...” พ่อตัดบทด้วยความรำคาญ พลางใช้ช้อนตักซุปสีครีมมาเป่า
ขณะที่อาเลียสบ่นพึมพำไม่เลิกอยู่นั้น เสียงเพลงสุดกวนจากกริ่งหน้าบ้านที่เขาเป็นผู้ประดิษฐ์ก็ดังขึ้น
“อาเลียส จงไปเปิดประตูบ้าน” นี่คือเสียงเพลงดังกล่าว และมันทำให้ชายหนุ่มอย่างเขาต้องหยุดบ่นเพื่อไปเปิดประตูต้อนรับแขกตามคำสั่งของพ่อ
“มาแล้ว ๆ”
ชายหนุ่มเปิดประตูบ้านออกมา มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ก่อนจะปิดประตูบ้านลง แล้วหันมาหาพ่อซึ่งนั่งมองอยู่ที่หัวโต๊ะอาหาร
“ใครรึ” เอียมุสเลิกคิ้วถาม
“ตำรวจ...หลายคน...มาทำไมไม่รู้” อาเลียสบอกด้วยหน้าตาตื่น ๆ
“แล้วแกปิดประตูทำไม ก็ให้เขาเข้ามาสิจะได้รู้ว่ามาทำไม”
“ก็มันตกใจนี่พ่อ จู่ ๆ แขกผู้มีเกียรติก็มาเยือนถึงบ้าน” อาเลียสจำเป็นต้องหันกลับไปเปิดประตูอีกครั้ง โดยผู้ที่ยืนอยู่หลังประตูก็คือเหล่าตำรวจสี่นาย ในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีน้ำตาลเข้ม บนหน้าอกขวามีดาวสีทองดวงเล็ก ๆ ติดอยู่ แต่ละนายมีจำนวนดาวไม่เท่ากันมากน้อยไปตามลำดับยศ ใต้ดาวลงมาเป็นป้ายชื่อพื้นสีดำตัวหนังสือสลักสีทอง ส่วนที่อกซ้ายเป็นตราโลหะสลักเป็นสัญลักษณ์ของกรมตำรวจ
“สวัสดีครับ” นายตำรวจผู้ที่ดูมียศสูงที่สุดในกลุ่มเอ่ยปากทักทายขึ้น “ผม มิโด คินเดน หัวหน้าหน่วยสอบสวนพิเศษจากกรมตำรวจครับ”
“เชิญครับ” อาเลียสผายมือเชื้อเชิญตามมารยาท ชายหนุ่มมองดูที่ป้ายชื่อของเขา อ่านได้ความว่า พันตำรวจเอก มิโด คินเดน เขาเป็นตำรวจหนุ่มอายุคงจะราว ๆ สามสิบห้าปี ร่างกายสูงใหญ่ ดูแข็งแรงน่าเกรงขามสมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ตำรวจทั้งสี่นายเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะรับประทานอาหาร โดยที่เอียมุสยังคงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่หัวโต๊ะไม่ได้ลุกไปไหน
“คุณเอียมุสครับ” พันตำรวจเอก มิโด ผู้สูงยศเรียก เขานั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากเอียมุส
“มีเรื่องอะไรเหรอครับถึงได้มาที่นี่” เอียมุสถามสบาย ๆ พลางยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ และมันก็หยดเลอะหน้าหนังสือพิมพ์เป็นวงเล็ก ๆ ด้วย
“เรามีเรื่องอยากจะปรึกษาคุณ” ตำรวจยศสูงบอก เอียมุสลดระดับหนังสือพิมพ์ลงแล้วมองนายตำรวจที่อยู่ตรงหน้า
“เรื่องอะไรรึ” เขาถาม
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขออนุญาตเข้าเรื่องเลยนะครับ เมื่อวานนี้องค์การสื่อสารผ่านดาวเทียมแจ้งมาว่า พวกเขาได้รับข้อมูลจากหน่วยสืบราชการลับของประเทศคาราห์น”
“คาราห์น?” เรื่องนี้เรียกความสนใจจากพ่อลูกคู่นี้ได้เป็นอย่างมาก เอียมุสพับหนังสือพิมพ์เก็บไปทันที ส่วนอาเลียสที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปดูโทรทัศน์บนห้องนอนก็กลับลากเก้าอี้พลาสติกจากข้างตู้เย็นมานั่งฟังด้วยความสงสัยว่า ประเทศที่ปิดตัวเองอย่างนั้นทำไมถึงติดต่อมาได้
“ครับ ตอนแรกทางเราก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานได้ตรวจสอบข้อมูลนั้นดูแล้ว พบว่าข้อมูลดังกล่าวถูกส่งมาโดยการลักลอบใช้สัญญาณดาวเทียม พาราโต ของประเทศเราเอง เพราะว่าดาวเทียม อลาเบล ของทวีปตะวันตกถูกล็อคเครือข่ายให้ใช้ได้แค่ภายในทวีปเท่านั้น”
“ตกลงมันเป็นของจริงใช่มั้ย” เอียมุสถามเพื่อความแน่ใจ “ไม่ใช่เป็นการส่งสัญญาณปลอมมาแกล้งพวกเรานะ”
“ครับ...เป็นของจริงแท้แน่นอน ได้รับการยืนยันจากกองพิสูจน์หลักฐานมาแล้ว”
“แล้วข้อมูลเขาว่ายังไงบ้างล่ะ”
“ท่านเอียมุสก็ทราบดีว่าปัจจุบันนี้ ประเทศคาราห์นยากจนลงอย่างผิดสังเกต ประชาชนของคาราห์นเดือดร้อนกันถ้วนหน้าเพราะปัญหาการขาดทุนและการเป็นหนี้ของประเทศ” หัวหน้านายตำรวจเท้าความมายืดยาว
“ขนาดนั้นเชียว?” อาเลียสแทรกขึ้นมา เขาไม่เคยนึกเลยว่าสถานการณ์ของประเทศคาราห์นผู้ร่ำรวยเชื้อเพลิงจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนั้น
“ใช่ครับ และด้วยความข้องใจของประชาชนจำนวนมากทำให้อดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับแห่งคาราห์นคนหนึ่งตามสืบเรื่องนี้มาเป็นเวลานานหลายปี”
“ช่างกล้าหาญจริง ๆ” อาเลียสชื่นชม ตอนเด็ก ๆ เขาก็เคยคิดอยากเป็นหน่วยสืบราชการลับอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาหน่วยก้านของตัวเองแล้วก็มีอันต้องล้มเลิกความฝันนั้นไป
“ในที่สุดเขาก็สืบทราบจนได้ความว่าที่สถานการณ์มันเลวร้ายแบบนั้น เป็นเพราะการแทรกแซง และรุกราน ของรัฐบาลแห่งประเทศวาโทเนีย ”
“วาโทเนีย?” พ่อลูกแสดงความสนใจอย่างออกนอกหน้าเป็นครั้งที่สอง
“รุกรานประเภทไหนกันถึงทำให้ คาราห์นจนลงได้รวดเร็วขนาดนี้ ประเทศคาราห์นมีแหล่งเชื้อเพลิง และพลังงานมากมาย ใช้ไม่รู้จักหมด น่าจะรวยขึ้นสิถึงจะถูก” เอียมุสสงสัย
“ที่จนลงรวดเร็วขนาดนี้ก็เพราะว่า วาโทเนีย แทรกแซง คาราห์น โดยใช้ ชิพควบคุมสมอง”
“เฮ้ย!...มันเป็นไปได้แฮะ” เอียมุสร้องตะโกนขึ้นอย่างแปลกใจ และแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ชิพควบคุมสมอง เป็นชิพขนาดเล็กที่ถูกฝังเข้าไปในร่างกาย เพื่อส่งสัญญาณไปที่สมองให้ได้รับข้อมูลที่ผู้สั่งการต้องการให้ผู้รับคำสั่งปฏิบัติตาม คล้ายกับการสะกดจิต แต่มีความถาวรมากกว่าคือสามารถควบคุมสมองได้นานจนกว่าชิพจะถูกถอดออก
“มันคิดได้ยังไงกันล่ะนี่” อาเลียสไม่อยากจะเชื่อว่าประเทศวาโทเนียจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีไปถึงขั้นที่ควบคุมมนุษย์ด้วยกันเองได้แล้ว
“แล้วข้อมูลยังบอกอีกว่า ขณะนี้รัฐบาลแห่งคาราห์นทุกคนรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทางด้าน เชื้อเพลิงและพลังงาน ถูกลักลอบฝังชิพหมดทุกคนแล้ว จึงทำให้รัฐบาลวาโทเนียสามารถบังคับให้ประเทศคาราห์นขายเชื้อเพลิงเหล่านั้นให้ประเทศของตนในราคาที่ต่ำมากจนประเทศคาราห์นขาดทุน”
“ไม่มีใครตรวจสอบหรือต่อต้านเลยเหรอครับ ฝังชิพมันไม่ได้ทำกันง่าย ๆ เหมือนยิงลูกดอกยาสลบนะ” อาเลียสสงสัย
“เรื่องนี้ทางเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ฝังเข้าไปได้อย่างไร” พันตำรวจเอกมิโดกล่าว
“นี่มันแย่มากเลยนะ ทำกันถึงขนาดนี้ได้มันก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว” เอียมุสแสดงความไม่พอใจกับการใช้ชิพเพื่อควบคุมสมองเป็นอย่างมาก เขาเห็นว่ามันเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม
“แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีนะครับว่า ทำไมต้องเจาะจงรายงานมาที่ประเทศของเราด้วย หรือว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากประเทศนอกทวีปตะวันตก แล้วเรามีดาวเทียมพอดี” อาเลียสก็ยังสงสัยอยู่เรื่อย ๆ
“เจ้าโง่ มีประเทศที่ใช้เครือข่ายสัญญาณเพื่อการสื่อสารของดาวเทียมพาราโตตั้งสิบเอ็ดประเทศ นี่แสดงว่าเขาเจาะจงที่จะรายงานข้อมูลให้กับประเทศของเรา ถึงได้จูนคลื่นความถี่ให้ตรงกับประเทศเราไง” เอียมุสอธิบายให้ลูกชายได้เข้าใจว่าแม้จะมีถึงสิบเอ็ดประเทศที่ใช้ดาวเทียมดวงเดียวกัน ทว่าในแต่ละประเทศก็ต่างมีคลื่นความถี่จำเพาะของตนเพื่อไม่ให้เกิดการสับสนและซ้อนทับกันของสัญญาณสื่อสาร
“ถูกต้องแล้วครับท่านเอียมุส ที่เขาต้องทำแบบนั้นก็เพราะว่า ก่อนเขาจะถูกจับและตัดสัญญาณไป ข้อความสุดท้ายที่เราได้รับมาเป็นวลีที่ถูกพิมพ์ว่า...พาร์กินสันจากโรว์แลนด์ครับ” ตำรวจผู้สูงยศกล่าวถึงข้อมูลที่ยังเป็นปริศนา ไม่ทราบว่าผู้ส่งต้องการสื่อถึงอะไร
“จากโรว์แลนด์?” สองพ่อลูกกล่าวพร้อมกัน
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องครัวอันแสนรกอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดนายตำรวจก็ตัดสินใจทำลายมันลง เพื่อขยายความเรื่องข้อมูลที่องค์การสื่อสารผ่านดาวเทียมได้รับให้กระจ่างมากขึ้น
"เขาบอกเราว่าชิพตัวที่ใช้ควบคุมสมองถูกดัดแปลงมาจาก...แล้วข้อมูลก็ขาดหายไปคาดว่าเขาคงถูกพบตัวจึงเหลือเวลาไม่มากนักที่จะส่งข้อมูล เขาจึงส่งเฉพาะข้อมูลที่เป็นกุญแจสำคัญมาด้วยข้อความสั้น ๆ นั่นก็คือ พาร์กินสัน จาก โรว์แลนด์ ซึ่งทางเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับว่ามันหมายถึงอะไร ในฐานะที่ท่านเอียมุสเป็นยอดนักประดิษฐ์ท่านน่าจะรู้จักชิพดีที่สุดในประเทศ ท่านพอจะตีความคำพูดปริศนานี้ได้มั้ยครับ"
"เขาบอกว่าถูกดัดแปลง" เอียมุสเริ่มวิเคราะห์ "ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า วลี 'พาร์กินสันจากโรว์แลนด์' ที่เป็นปริศนานี้จะต้องหมายถึงชิพแน่ ๆ เพราะการดัดแปลงชิพจะทำสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อใช้ต้นแบบเป็นชิพลักษณะที่คล้ายกัน" เอียมุสอธิบายให้ฟัง โดยอ้างอิงจากประสบการณ์ที่มีของตนเองซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการสิ่งประดิษฐ์ทางการแพทย์
หลังจากนั้นบรรยากาศในโต๊ะอาหารซึ่งกลายเป็นโต๊ะประชุมไปเสียแล้ว ก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเอียมุสนั่งเอามือทั้งสองข้างกุมขมับ ใช้สมองคิดอย่างหนัก เขานึกไปถึงเรื่องชิพ แล้ววกกลับมาคิดถึงเรื่องโรคพาร์กินสัน คิดสลับไปสลับมาอยู่อย่างนี้ จนเวลาผ่านไปหลายนาที โดยผู้ร่วมโต๊ะคนอื่น ๆ ไม่กล้าส่งเสียงใด ๆ ขึ้นมา เนื่องจากเกรงว่าเสียงนั้นจะไปทำลายสมาธิอันแรงกล้าของเอียมุส และแล้วในที่สุดภาพของเหตุการณ์หนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาในความคิด มันคือเหตุการณ์เลวร้ายที่เขาได้ลบออกจากความทรงจำไปนานแล้ว แต่ถึงอย่างไรภาพเหตุการณ์นั้นกลับยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของเขา...เหตุการณ์ที่เขาถูกโจรกรรมผลงานชิ้นเอกไปเมื่อ 6 ปีก่อน
"ผมเคยถูกโจรขโมยชิพตัวหนึ่งไป" ในที่สุดเขาก็พูดออกมา
"พ่อหมายถึง..." อาเลียสเพิ่งนึกออกเพราะเหตุการณ์นั้นมันผ่านไปนานมากแล้ว
"ใช่ ชิพที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน มันเป็นชิพตัวแรกที่ผมคิดค้นขึ้นมาเพื่อรักษาโรคพาร์กินสันให้หายขาด มันเยี่ยมมาก แต่ในเมื่อมันถูกขโมยผมจึงต้องคิดค้นชิพตัวใหม่ที่แตกต่างจากเดิมออกมา ซึ่งก็เป็นชิพที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสันอยู่ในปัจจุบันนี้" เอียมุสเปิดเผยกับตำรวจ
"ชิพที่รักษาโรคพาร์กินสันได้ ต้องเป็นชิพที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งสารเคมีในสมองใช่มั้ยครับ" ตำรวจที่นั่งข้าง ๆ หัวหน้าของเขาถามขึ้นมา
"ถูกต้อง" เอียมุสตอบปัญหานั้น ก่อนจะอธิบายต่อไปว่า
"กลไกการทำงานของชิพตัวนี้จะอาศัยเส้นประสาทสมองเป็นทางผ่านนำคลื่นความถี่ระดับสูงเข้าสู่ก้านสมองก่อนจะเดินทางต่อไปยังสมองใหญ่โดยอาศัยทางเดินในระบบประสาทส่วนกลาง แล้วคลื่นนั้นก็จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอในสมองส่วนที่ใช้สร้างสารโดปามีนที่เรียกว่าสับสแทนเชีย ไนกร้า (Substantia nigra) ของผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจากเดิมที่สร้างสารโดปามีนไม่ได้ให้สามารถสร้างได้ และตลอดเวลาที่ชิพฝังอยู่ในร่างกายผู้ป่วยคนนั้นจะไม่มีอาการของโรคพากินสันเกิดขึ้นอีกเลย" เอียมุสพูดถึงกลไกโดยคร่าว ๆ แต่ก็ทำให้หลายคนมึนตึ้บ เพราะคิดตามไม่ทัน
"จากข้อมูลและหลักฐานทั้งหมด มีความเป็นไปได้สูงมากที่โจรที่ขโมยชิพของท่านเอียมุสไป จะเป็นคนของวาโทเนีย" ตำรวจยศสูงเอ่ยขึ้นและนั่นเกือบจะเป็นข้อสรุป
"ถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องยอมรับว่า ชิพควบคุมสมองนั่นถูกดัดแปลงมาจากชิพรักษาโรคพาร์กินสันจริง ๆ นั่นแหละ หลักฐาน ข้อมูลขนาดนี้แล้ว จะให้คิดเป็นอย่างอื่นคงไม่ได้" เอียมุสสรุปผลการวิเคราะห์ในที่สุด
และแล้วพวกเขาก็สามารถไขปริศนาของอดีตหน่วยสืบราชการลับได้ว่า พาร์กินสันจากโรว์แลนด์ ก็คือชิพของเอียมุสที่หายไปเมื่อหกปีก่อน
"ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว เราก็อยากให้ท่านร่วมมือกับเราเพื่อหาวิธีป้องกันการถูกฝังชิพและช่วยเหลือผู้ที่ถูกฝังชิพควบคุมสมอง" พันตำรวจเอกมิโดขอร้อง
"ด้วยความยินดี" เอียมุสรับปาก
"แต่ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกท่าน"
"เรื่องอะไรรึ" นักประดิษฐ์ผู้ปราดเปรื่องนึกว่าเรื่องที่นายตำรวจร้องขอความช่วยเหลือจะจบลงแต่เพียงเท่านี้ ทว่ากลับไม่เป็นดังที่เขาคิด และเมื่อเขาเหลือบสายตาไปทางนายตำรวจ พบว่าชายร่างกำยำในชุดสีน้ำตาลเข้มก็กำลังทำท่าครุ่นคิดอยู่ ราวกับสิ่งที่เขากำลังจะพูดเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจอย่างยิ่ง
"ขณะนี้ รัฐบาลของประเทศวาโทเนียคงจะรู้ตัวแล้วว่า เราได้รับรายงานเรื่องชิพควบคุมสมองจากอดีตหน่วยสืบราชการลับของคาราห์นที่ถูกจับได้" หัวหน้านายตำรวจเอ่ยปากกล่าวเรื่องสำคัญ
"ท่านแน่ใจได้ยังไง ว่าพวกวาโทเนียรู้ตัว" อาเลียสผู้ปฏิบัติตนเป็นผู้ฟังที่ดีมาตลอดสงสัย
"นั่นเพราะเขาถูกจับได้พร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขนาดเท่าฝ่ามือของเขา หน่วยพิสูจน์หลักฐานของทางวาโทเนียต้องตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นแน่" นายตำรวจหันมาตอบคำถามให้กับอาเลียส
"ถ้าพวกวาโทเนียรู้ตัว แล้วเขาจะทำอะไรต่อไปพอจะเดาได้มั้ย" เอียมุสถามขึ้นมาบ้าง
"พวกวาโทเนียไม่อยู่เฉยแน่ ๆ ไม่ช้าก็เร็วประเทศของเราต้องตกเป็นเป้าโจมตีของวาโทเนีย และคนที่จะอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายที่สุดก็คือท่านนั่นแหละ ท่านเอียมุส" หัวหน้าตำรวจผายมือมาทางเอียมุส สีหน้าของเขาเคร่งเครียดและจริงจัง "เพราะท่านเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เป็นตัวอันตรายที่ต้องกำจัด หากปล่อยไว้นักประดิษฐ์อัจฉริยะอาจค้นพบกลไกการทำงานของชิพควบคุมสมองและสามารถหยุดยั้งมันได้ในที่สุด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทางวาโทเนียย่อมไม่ต้องการให้เกิดขึ้น"
"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องมันจะลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ มันก็แค่ชิพรักษาโรคตัวเดียวที่โดนขโมยไป นี่กลายเป็นชิพล้างสมองไปซะแล้ว" อาเลียสชักจะปวดหัวกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาได้รับฟังมาตั้งแต่เช้า "นึกว่าจะแค่ขโมยไปก๊อปขายดันเอาไปดัดแปลงซะเสียหายหมด"
ระหว่างที่อาเลียสกำลังบ่นอย่างหงุดหงิดนั้น นายตำรวจผู้สูงยศกลับไม่ได้สนใจฟัง แต่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดกระเป๋าเอกสารสีเขียวซึ่งตำรวจผู้น้อยที่นั่งข้าง ๆ ได้ส่งมาให้ เขาหยิบเอกสารฉบับหนึ่งขึ้นมาพินิจพิจารณาดูว่าใช่แผ่นที่เขาต้องการหรือไม่ ก่อนจะยื่นให้แก่เอียมุส
"นี่คือสาส์นจากราชวัง” พันตำรวจเอกเริ่มอธิบาย “ซึ่งมีใจความอยู่ว่า ระหว่างที่ท่านเอียมุสคิดค้นวิธีหยุดยั้งชิพควบคุมสมองนี้ พระราชาคาโอต้องการให้ท่านไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถาบันวิจัยของรัฐบาล เนื่องด้วยที่นั่นมีนักวิทยาศาสตร์มากมายหลายสาขาที่สามารถช่วยงานท่านได้อย่างเพียบพร้อม และนอกจากนี้ท่านยังจะได้อยู่ในความดูแลของกองกำลังทหารอารักขา เพื่อความปลอดภัยที่สุดของท่าน"
เมื่อนักประดิษฐ์วัยกลางคนได้ฟังจนจบคิ้วหนา ๆ ก็ขยับเข้าหากัน "ถ้าผมไปอยู่กับพวกคุณ แล้วเจ้านี่จะอยู่กับใครล่ะ" เขาพูดพร้อม ๆ กับหันไปมองทางลูกชายวัยทำงานซึ่งนั่งโยกเก้าอี้พลาสติกเล่นอยู่อีกมุมหนึ่งของโต๊ะ เมื่อได้ยินดังนั้นฝ่ายลูกชายก็หยุดโยกเก้าอี้ทันที เขามีสีหน้าอาการที่ไม่ค่อยจะพอใจต่ำคำกล่าวของบิดาสักเท่าใดนัก
"ไม่ต้องห่วงน่าพ่อ ผมอายุยี่สิบสี่แล้วนะ โตจนจะเป็นพ่อคนได้อยู่แล้ว เห็นเป็นเด็กอยู่นั่นแหละ"
"เอ่อ...เราขอเชิญทั้งสองท่านครับ" นายตำรวจชี้แจงแทรกขึ้นมาก่อนจะเกิดศึกสายเลือดขึ้นกลางบ้านรก ๆ แห่งนี้ เพื่อให้เอียมุสได้เข้าใจว่าอาเลียสต้องไปอยู่กับเขาที่สถาบันวิจัยด้วยอย่างแน่นอน
"แต่ว่าถ้าผมไม่อยู่บ้าน แล้วใครจะเฝ้าบ้านให้พ่อล่ะ" อาเลียสไม่เห็นด้วย
"ทางการจะจัดเวรทหารมาดูแลบ้านให้ท่านเป็นอย่างดี ขอให้ท่านวางใจ" หัวหน้าตำรวจแจ้งให้สองพ่อลูกที่ดูเหมือนจะห่วงบ้านที่ทั้งรกทั้งแคบหลังนี้เป็นพิเศษทราบเพื่อความสบายใจ
หลังจากนั้นก็มีข้อซักถามต่าง ๆ อีกมากมายเกินจะบรรยายจากพ่อลูกระกูลไรเซนเกิดขึ้น ส่งผลให้นายตำรวจทั้งหลายต้องช่วยกันตอบคำถามและพยายามเกลี้ยกล่อมในเวลาเดียวกันอย่างใจเย็น จนในที่สุดความพยายามของเหล่าตำรวจก็เป็นผล หลังจากใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมง ทั้งสองยอมตกลงย้ายที่อยู่ชั่วคราวไปยังสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลเพื่อความปลอดภัยของตนเอง
ความคิดเห็น