คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Track02: โครงการวิจัยชิพควบคุมสมอง
Track02: โครงการวิจัยชิพควบคุมสมอง
สิ่งก่อสร้างลักษณะเป็นอาคารรูปทรงกลมห้าหลังมีทางเดินเชื่อมต่อกันหักมุมไปมา มองจากพื้นราบแบบมนุษย์ปกติอาจไม่ทราบว่าสิ่งก่อสร้างกลม ๆ ขาว ๆ นี้มันสวยตรงไหน แต่เมื่อพิจารณาจากมุมมองของนกกระจอกหรือพิราบที่บินอยู่เหนืออาคารหลังนี้และมักช่วยแต่งแต้มรอยด่างตามหลังคาด้วยผลิตผลจากร่างกายแล้ว จะสามารถเห็นภาพโดยรวมของอาคารเป็นรูปดาว หากเพียงสัตว์ปีกเหล่านั้นจะรู้สักนิดว่าดาวคืออะไร ด้วยเหตุนี้เองทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่าอาคารไซน์สตาร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลโรว์แลนด์
ณ ห้องพักสุดหรูห้องหนึ่งของอาคารซึ่งถูกนำมาใช้เป็นที่พำนักของสองพ่อลูกตระกูลไรเซน ภายในตกแต่งด้วยวอลล์เปเปอร์ลายใบไม้สีเขียวอ่อนดูสบายตารับกับทิวทัศน์สีฟ้าครามของอ่าวอาร์มาดาที่ปรากฏอยู่ในหน้าต่างกระจกบานกว้างหลังห้องซึ่งมีแนวโค้งไปตามทรงอาคาร พื้นห้องปูด้วยกระเบื้องสีขาวแผ่นใหญ่โดยมีกระเบื้องสีเขียวแผ่นเล็กแทรกอยู่ประปราย
“โอ้โห” นี่เป็นคำอุทานของอาเลียสแทบจะในทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามา
ห้องผ่านการจัดเรียงอย่างเป็นสัดส่วน โดยมีโต๊ะกระจกใสเตี้ย ๆ และโซฟาเบาะผ้าตั้งอยู่ใกล้ประตูทางเข้าเพื่อใช้ในการรับแขก ติดผนังด้านซ้ายมีเคาน์เตอร์รูปตัวแอลตั้งเพื่อแบ่งพื้นที่เล็ก ๆ เป็นห้องครัว ด้านหลังเคาน์เตอร์มีโต๊ะประกอบอาหาร อ่างล้างมือ เตาไฟฟ้าและเตาไมโครเวฟ โดยมีโต๊ะรับประทานอาหารเล็ก ๆ และเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ไม่ห่าง ส่วนฝั่งขวามีฉากโปร่งแสงกั้นเป็นห้องทำงานซึ่งประกอบด้วยโต๊ะไม้และเก้าอี้ล้อเลื่อนดีไซน์หรู บนผนังถัดจากห้องทำงานไปมีประตูไม้สีขาวบานหนึ่ง และพบประตูลักษณะเดียวกันที่ผนังข้างจากห้องครัว หากเปิดประตูทั้งสองบานเข้าไปจะพบว่าเป็นห้องนอนส่วนตัว ซึ่งแต่ละห้องมีห้องน้ำอยู่ภายใน และยังมีอ่างน้ำวนให้นอนแช่เล่นในห้องน้ำอีกด้วย
“เป็นไง เห็นบ้านสะอาด ๆ แล้วรู้สึกขัดหูขัดตารึไง” นักประดิษฐ์วัยกลางคนชกไหล่ลูกชายเบา ๆ เป็นการแหย่เล่น
“ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย ก็แค่มันหรูกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ"
แม้วันนี้จะเป็นเพียงวันแรกที่เอียมุสได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลโรว์แลนด์ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน นักประดิษฐ์ทางการแพทย์ชื่อดังเริ่มทำงานทันทีภายใต้ชื่อโครงการวิจัยชิพควบคุมสมอง โดยเรียกประชุมผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนี้จากหลายสาขาทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่ห้องประชุมห้องหนึ่งในอาคารวิจัยซึ่งเป็นอาคารหนึ่งในห้าของตึกไซน์สตาร์ ซึ่งนอกจากอาคารวิจัยแล้ว ไซน์สตาร์แห่งนี้ยังประกอบไปด้วย อาคารอำนวยการ อาคารทดลอง อาคารอุปกรณ์และวัตถุดิบ และอาคารพักอาศัย ยิ่งไปกว่านั้นภายในบริเวณรั้วเดียวกันยังเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลอาร์มาดา โรงพยาบาลขนาดใหญ่ของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยอาร์มาดา ที่ซึ่งมีแผนกทดลองยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยอาสาสมัครเพื่อรองรับผลผลิตจากสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งนี้
"เราจะสามารถหยุดยั้งการเข้าควบคุมสมองของชิพร้ายตัวนี้ได้ก็ต่อเมื่อ รู้ขั้นตอนการดัดแปลงจากชิพรักษาโรคพาร์กินสันเป็นชิพควบคุมสมอง เข้าใจใช่มั้ยครับ" เอียมุสเริ่มประชุม
ภายในห้องประชุมมีโต๊ะไม้ขัดเงารูปวงรีขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยเก้าอี้หนังสิบสองตัว ในขณะนี้มีนักวิทยาศาสตร์จากหลายสาขาเข้าร่วมประชุมจนไม่มีเก้าอี้เหลือว่าง ด้านหน้าของพวกเขาแต่ละคนมีไมโครโฟนและจอคอมพิวเตอร์ระบบสัมผัสที่ถูกฝังให้แบนราบไปกับผิวโต๊ะ บริเวณผนังหลังหัวโต๊ะด้านหนึ่งมีจอมอนิเตอร์เพื่อใช้ในการนำเสนองาน ซึ่งเอียมุสก็กำลังทำหน้าที่นั้นอยู่
"ผมอยากให้ทุกท่านลองวิเคราะห์ดูว่า ทำอย่างไรชิพรักษาโรคพาร์กินสันจึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นชิพควบคุมสมองได้"
เอียมุสสอดการ์ดแผ่นเล็กเข้าไปในช่องรับของคอมพิวเตอร์ตัวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของเขา หลังจากนั้นไม่นานบนจอคอมพิวเตอร์บริเวณที่นั่งของนักวิทยาศาสตร์แต่ละคนก็ปรากฎภาพสามมิติขึ้น โดยเป็นภาพที่แตกต่างกันไปในแต่ละหน้าจอ
“ที่ปรากฏอยู่ในจอคอมพิวเตอร์ขณะนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับชิพควบคุมสมองตัวปัญหาที่ผมได้ประดิษฐ์ขึ้น แต่ไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมด ใครเชี่ยวชาญในสาขาไหนก็จะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการทำงานในสาขานั้น เพราะฉะนั้นภาพบนหน้าจอของพวกคุณจึงแตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการถูกดัดแปลงไปในทางที่ไม่ดีอีก เนื่องจากเพราะผมไม่อาจทราบได้ว่าในหมู่ทีมงานของเรามีใครเป็นผู้มีเจตนาร้ายแฝงตัวอยู่รึเปล่า หรือถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือ ตอนนี้ผมไม่สามารถไว้ใจใครได้ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ชิพควบคุมสมองนั้นยั่วยวนกิเลสและส่งผลกระทบได้มากเหลือเกิน สามารถบงการให้ผู้ถูกควบคุมทำในสิ่งที่ตนต้องการได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องขออนุญาตไม่ให้ข้อมูลทุกอย่างของชิพ ดังนั้นพวกคุณจะมีทั้งส่วนที่รู้และไม่รู้เกี่ยวกับชิพตัวนี้ ทั้งหมดก็เพื่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจในความจำเป็นนี้"
เอียมุสเกริ่นถึงความจำเป็นที่เขาไม่อาจให้ข้อมูลทั้งหมดของชิพที่เขามีได้ บทเรียนที่เคยได้รับมาสอนให้เขาวางใจคนได้ยากขึ้น หลังจากทุกคนได้พิจารณาข้อมูลที่ตนเองได้ไปแล้วนักประดิษฐ์ผมยุ่งเหยิงสีดอกเลาก็เริ่มแจกจ่ายงาน
"ผมขอให้แต่ละฝ่ายนำข้อมูลที่ได้รับไปวิเคราะห์ดูว่ามีกลไกใดบ้างที่จะสามารถดัดแปลงเป็นชิพควบคุมสมองได้ และดัดแปลงได้อย่างไร จงวิเคราะห์ให้เป็นอิสระ ใส่ใจแต่เฉพาะหนทางที่พอจะเป็นไปได้ในหัวข้อที่ตนเองรับผิดชอบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่จำเป็นต้องนำข้อมูลของคนอื่นมาช่วยวิเคราะห์ เพราะผมไม่ได้ต้องการให้ช่วยวิเคราะห์กลไกทั้งหมด เพียงแต่หวังให้พวกคุณทำหน้าที่ในส่วนที่คุณรับผิดชอบมาให้ดีที่สุด แล้วผมจะจัดการเรียบเรียงระบบกลไกทั้งหมดด้วยตัวเอง เรื่องการเชื่อมโยงระบบกลไกแต่ละส่วนของชิพเป็นเรื่องที่ผมเข้าใจดีที่สุด และผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลไกก็มีแต่ผมเท่านั้น เพราะฉะนั้นปล่อยเป็นหน้าที่ของผมเอง" นักวิทยาศาสตร์พยักหน้ารับแสดงท่าทีว่าเข้าใจในสิ่งที่เอียมุสกล่าว เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับดังนั้น เอียมุสก็ได้พูดต่อไปซึ่งเป็นการทิ้งท้ายก่อนปิดประชุมว่า "แล้วเมื่อเราวิเคราะห์ขั้นตอนการดัดแปลงชิพได้แล้ว การจะหยุดยั้งมันก็ทำได้ไม่ยาก ถึงตอนนั้นผมจะเลือกทีมงานที่ไว้ใจได้อีกที”
การทำงานบนรากฐานของความระแวงนี้ ส่งผลให้งานหนักตกอยู่กับเอียมุสคนเดียว ขั้นตอนการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของแต่ละรายงานการวิเคราะห์จากนักวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ที่เขาทำอยู่เป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากและสิ้นเปลืองพลังงานสมองมากที่สุด แม้การประชุมจะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งและรายงานผลการวิเคราะห์วิธีการดัดแปลงชิพจะถูกเสนอเข้ามาจากหลาย ๆ ฝ่าย แต่เอียมุสก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ให้เกิดเป็นกลไกในการเปลี่ยนชิพรักษาโรคพาร์กินสันให้เป็นชิพควบคุมสมองที่รัฐบาลวาโทเนียนำไปใช้ควบคุมรัฐบาลประเทศคาราห์นเพื่อกดราคานำเข้าเชื้อเพลิงและพลังงานได้ ด้วยเหตุนี้วิธีป้องกันการถูกฝังชิพและวิธีรักษาผู้ถูกฝังชิพจึงยังคงว่างเปล่าอยู่
ผู้มีสมองระดับอัจฉริยะเช่นเอียมุสไม่เคยประสบปัญหาในการทำงาน ดังนั้นเมื่อผลการวิเคราะห์ไม่ลงตัวและไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ก็จะออกอาการหงุดหงิดตัวเองและพยายามทำงานต่อเพื่อแสวงหาความสำเร็จไม่ว่าเวลาจะผ่านไปดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม คืนนี้ก็เช่นกันเมื่ออาเลียสที่นอนหลับไปนานแล้วตื่นขึ้นและลุกเดินออกจากห้องนอนด้วยความกระหายน้ำ อาจเป็นเพราะฝันตื่นเต้นไปนิดหน่อย เขายังคงเห็นแสงไฟสว่างมาจากห้องทำงานของพ่อ จึงเบนทิศทางจากห้องครัวเข้าไปดูในห้องฝั่งตรงข้าม พบเอียมุสนั่งขีดเขียนตัวอักษรและตัวเลขขยุกขยุยจนเขาอ่านไม่ออกอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“พ่อ...พักมั่งเหอะ เครียดติดต่อกันมาหลายวันแล้วนะ” เสียงของอาเลียสทำให้เอียมุสที่ง่วนอยู่กับงานจนไม่ได้สนใจว่าลูกชายมายืนเท้าฉากกั้นห้องโปร่งแสงอยู่ตรงหน้าได้เงยหน้าขึ้นมามอง
“งานมันรีบน่ะ” ผู้เป็นพ่อตอบสั้น ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาลงไปจ้องแผ่นกระดาษบนโต๊ะอีกครั้ง
“ไม่พักเดี๋ยวก็แฮงค์หรอก คนนะไม่ใช่เครื่องจักรจะได้ไม่ต้องนอน” อาเลียสยังไม่เลิกกวนใจพ่อ และไม่ยอมปล่อยให้เอียมุสทำงานอย่างสงบ
“แกมันไม่รู้อะไร งานนี้มันไม่ธรรมดาเฟ้ย” ดูเหมือนสิ่งที่อาเลียสทำจะประสบผลสำเร็จเสียยิ่งกว่างานของเอียมุส เมื่อเอียมุสละความสนใจจากงานบนโต๊ะมาสนทนากับลูกชาย
“ไม่รู้อะไร...ไม่รู้อะไร ก็เห็นพูดงี้ทุกที” อาเลียสเลียนเสียงพ่อของเขา ก่อนจะเดินเข้ามานั่งในเก้าอี้เลื่อนฝั่งตรงข้ามกับนักประดิษฐ์ผู้บ้างาน “ก็บอกกันมั่งสิจะได้รู้กับชาวบ้านเค้ามั่งว่าชิพ แช้พ อะไรของพ่อเนี่ยมันเป็นยังไง แก้ไขไปถึงไหนแล้ว ผมก็อยากรู้นะ”
“บอกแกไม่ได้หรอก มันอันตราย” จู่ ๆ ผู้เป็นพ่อก็ตัดบท แล้วหันกลับไปทำงานของตนต่อ สร้างความหงุดหงิดให้กับลูกพอสมควร
“อันตรายยังไง” อาเลียสไม่เลิกตอแย เขาขยับตัวเข้าใกล้แผ่นกระดาษบนโต๊ะของเอียมุสมากขึ้น ทำให้เอียมุสต้องดึงกระดาษหลบ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วต่อให้ยื่นกระดาษแผ่นนั้นมาให้อาเลียสอ่านเขาก็ ไม่อาจเข้าใจตัวอักษรจากต่างดาวที่พ่อของเขาเขียนได้เลยสักนิด
“แกมันจอมแฉ เก็บความลับไม่เคยอยู่” นักประดิษฐ์กล่าวขณะที่ตามองแผ่นกระดาษในมือที่เขาดึงหลบออกไปด้านข้าง
“ก็ผมอยากช่วยมั่งนี่ ผมมาอยู่ที่นี่ตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง นอกจากตื่นเช้ามีรถไปส่งที่บริษัทยาทำงานเสร็จบ่ายสามมีรถรับกลับศูนย์วิจัยมานั่งเฉย ๆ น่าเบื่อจะตาย งานพิเศษก็ไม่ได้ทำ ไปเที่ยวกับเพื่อนก็ไม่ได้ไป ไม่กลัวผมเป็นง่อยเหรอ ที่จริงผมช่วยงานพ่อได้นะ” จอมตื๊อก็ยังคงระรานพ่ออยู่ไม่เลิก ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหาร ไม่ให้ออกจากสถาบันวิจัยโดยไม่จำเป็นเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัยมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสิ้นดี
“ไม่ได้หรอกอาเลียส” พ่อหันมามองลูกชายแล้วเริ่มกล่าวด้วยเสียงเครียด “งานนี้มันอันตรายมาก ที่ไม่ให้แกช่วยไม่ใช่เพราะว่าพ่อไม่เห็นความสำคัญของแกนะ แต่พ่อไม่อยากให้แกเสี่ยง ถ้าแกมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แกจะตกอยู่ในอันตรายทันทีโดยที่แกไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำ แกไม่รู้เรื่องอะไรอย่างนี้แหละแล้ว”
“พ่อ...แต่ผมเป็นลูกพ่อนะ” เขาทำเสียงอ้อนก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงกวนประสาท “ถ้าพวกประเทศวาโทเนียบ้าอะไรนั่นมันคิดจะจับตัวประกันซักคนเพื่อขู่พ่อ มันคงไม่โง่ไปจับแพะ จับแกะ จับวัว จับควายตามทุ่งหรอก เห็นมั้ยล่ะว่าผมไม่ได้ปลอดภัยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“มันไม่เหมือนกันอาเลียส” เอียมุสอธิบาย “ถ้าแกถูกจับเป็นตัวประกันอย่างที่แกว่าจริง แกจะถูกฝังชิพควบคุมสมอง ถึงตอนนั้นแกจะบอกทุกอย่างที่มันอยากรู้”
“อ๋อ...กลัวความลับรั่วว่างั้นเถอะ”
“ก็ใช่ แต่ก็มีเรื่องที่กลัวมากกว่านั้น”
“เรื่องอะไรเหรอพ่อ” อาเลียสถามไปเรื่อย อาจจะไม่ได้ใส่ใจในคำตอบที่จะได้รับมากนักเพราะตอนนี้เขากำลังใส่ใจกับการยกเท้าขึ้นมาวางบนเก้าอี้แล้วเอานิ้วแกะผิวหนังที่หลุดลอกข้างเล็บให้หลุดออก
“หลังจากมันล้วงความลับที่ต้องการจากแกหมดแล้ว เมื่อตัวประกันหมดความหมายมันก็จะฆ่าแกทิ้ง พ่อกลัวเรื่องนี้มากกว่า สำหรับพ่อแล้วชีวิตของแกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็เรามีกันอยู่แค่สองคนนี่” เอียมุสกล่าว นั่นทำให้อาเลียสปล่อยวางจากเล็บเท้าของตัวเองทันทีถึงแม้ตาจะยังคงมองอยู่ที่เล็บแต่หูก็ตั้งใจฟังสิ่งที่บิดาพูด “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของพ่อตั้งแต่พ่อดันสะเพร่าเก็บชิพพาร์กินสันไว้ในตู้เซฟขนาดเล็กเกินไปจนมันขโมยไปได้ทั้งตู้”
“คิดมากน่าพ่อ” อาเลียสพูดทั้ง ๆ ที่ยังก้มหน้ามองเล็บเท้าบนเก้าอี้อยู่ แต่ในใจก็คิดถึงเรื่องที่พ่อบอก ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รู้ว่าชายบ้างานคนนี้รักเขามากขนาดไหน
“แล้วที่น่าเจ็บใจก็คือ” เอียมุสพูดขึ้นมาอีก “มันเอาตัวแทนความรักที่พ่อตั้งใจทำเพื่อแม่แกมาทำร้ายคน แบบนี้มันยิ่งให้อภัยไม่ได้”
ขณะที่ทางประเทศโรว์แลนด์กำลังวุ่นวายอยู่กับการค้นคว้าวิจัยเพื่อเตรียมรับมือกับชิพควบคุมสมองอยู่นั้น ห่างออกไปบนผืนแผ่นดินอันไกลโพ้นในอีกซีกโลกหนึ่ง มีปราสาทหินอ่อนที่หรูหรา ใหญ่โตและสวยงาม ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางตึกสูงในไคบาซิตี้ หรือนครหลวงแห่งประเทศวาโทเนีย แต่เดิมที่แห่งนี้เคยเป็นสถานพำนักของพระราชาซาน ประมุขแห่งอดีตราชอาณาจักรวาโทเนีย โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าปราสาทแพนดอรา ต่อมาเมื่อประเทศวาโทเนียเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นเผด็จการหลังจากที่พระราชาซานเสด็จสวรรคต ปราสาทงามหลังนี้ก็ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายหน้าที่ไปเป็นสภาสูงของรัฐบาลทหารและฐานบัญชาการของผู้นำประเทศ
ภายในปราสาทหลังงามมีห้องประชุมรูปวงกลมขนาดใหญ่โตมโหฬาร มีที่นั่งสำหรับผู้เข้าประชุมเรียงกันเป็นวงโค้งรับกับรูปร่างของห้อง วงโค้งดังกล่าวเรียงตัวกันสูงขึ้นไปในลักษณะขั้นบันไดอีกหกชั้น แต่ละชั้นประกอบไปด้วยที่นั่งเรียงกันอยู่จำนวนมาก ซึ่งมีลักษณะเป็นเก้าอี้มีพนักนั่งสบายหลังสามารถปรับเอนได้ตามความต้องการ ด้านหน้าเก้าอี้เป็นโต๊ะกระจกโค้งยาวต่อเนื่องไปรอบห้อง บนโต๊ะมีไมโครโฟนสำหรับผู้เข้าประชุมที่ต้องการแสดงความคิดเห็น โดยก่อนใช้ต้องกดปุ่มที่ตัวไมโครโฟนเสียก่อนเสียงจึงจะสามารถผ่านไปยังเครื่องขยายเสียงรอบห้องประชุมได้ และเวลานี้ห้องประชุมแห่งนี้ได้ถูกใช้เพื่อประชุมรัฐสภาของรัฐบาลเผด็จการแห่งวาโทเนีย
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วสิ” ประธานของที่ประชุมพูดขึ้นมา
“ถ้าพวกโรว์มันรู้เรื่องเข้าแล้ว เราน่าจะทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้มันมายุ่งวุ่นวายกับคนของเรา” สมาชิกทหารในแถวที่หนึ่งเสนอ หากดูจากเครื่องหมายยศบนเสื้อสมาชิกท่านนี้ ระดับพลโทเลยทีเดียว
“คนของเรางั้นเหรอครับ” ผู้เข้าร่วมประชุมอีกท่านในแถวที่สามรายนี้มียศพันโทยกมือขึ้นถามเนื่องจากไม่เข้าใจในนิยามของคำว่า ‘คนของเรา’
“คนของเราก็หมายถึงรัฐบาลของคาราห์นที่พวกเราชักใยอยู่เบื้องหลังไงครับ” พลโทคนแรกหันไปชี้แจงรายละเอียดให้แก่พันโทผู้สงสัย
“แต่ผมคิดว่าโรว์แลนด์อาจจะไม่ยุ่งก็ได้นะครับ เรื่องของทวีปตะวันตกไม่เกี่ยวข้องกับพวกนั้นอยู่แล้ว” เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาจากฝั่งซ้ายสุดของแถวสองเขาคือทหารยศพันตรีหนึ่งในสมาชิกสภาสูงแห่งรัฐบาลทหาร
“เราคาดเดาไม่ได้หรอก” มีเสียงค้านขึ้นมาหลายเสียง
“แล้วอีกอย่างถ้าคิดในแง่เศรษฐกิจ ถ้าหากพวกโรว์ช่วยเหลือพวกคาราห์นได้ ในที่นี้คงเป็นเรื่องการถอดชิพนะ พวกคาราห์นคงนึกขอบคุณพวกโรว์อย่างมากถึงตอนนั้นกำแพงภาษีของการซื้อขายเชื้อเพลิงและพลังงาน จะย้ายจากฝั่งตะวันออกมากั้นหน้าประเทศเรานี่แหละ” เหตุผลของพลเอกท่านหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดได้รับการยอมรับจากสมาชิกสภาท่านอื่น ๆ เป็นอย่างมาก พวกเขาต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เราจะมีวิธีรับมือกับเรื่องนี้ยังไงครับ มีคำตอบกันรึยัง” ทหารยศพันเอกจากแถวที่สามถามขึ้น
นอกจากนี้ที่ฝั่งตรงข้ามกับแถวโค้งของสมาชิกรัฐสภาทั่วไป ยังมีโต๊ะและเก้าอี้แถวสั้น ๆ อยู่ในระดับความสูงเท่ากับแถวโค้งชั้นที่สามเป็นที่ของประธานสภา ขนาบข้างด้วยโต๊ะลักษณะเดียวกันแต่ลดระดับลงมาเล็กน้อยซึ่งเป็นโต๊ะของรองประธานสภาสองท่าน และบัดนี้ท่านประธานได้เอ่ยวาจาขึ้นมาด้วยเสียงเบาแต่แฝงไปด้วยพลังอำนาจว่า “กับพวกโรว์น่ะเหรอ” สมาชิกรัฐสภาทุกคนตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง “เรื่องนี้คิดไม่ยากหรอกนะ...แก้ที่ต้นเหตุสิ ขอแค่มีแผนเท่านั้นแหละ”
เช้าวันต่อมาที่อาคารไซน์สตาร์ เกิดเสียงรบกวนความสงบสุขของมนุษย์โลกขึ้น “โอ๊ย! วันนี้วันหยุด แต่อึดอัดชะมัด อยู่แต่ในสถาบันวิจัย ไม่ได้ออกไปเจอเพื่อนเจอฝูง เซ็งสุด ๆ” อาเลียสนั่นเองที่แหกปากระบายความเซ็งออกมาอย่างสุดจะทน เมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากสถาบันวิจัยไปตั้งแค้มป์บนภูเขากับเพื่อน ๆ ทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันชาติโรว์แลนด์ ชายหนุ่มที่เกาศีรษะจนหัวกระเซิงเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ “พ่อไม่เบื่อมั่งเหรอ” ลูกชายเผื่อแผ่ความเซ็งไปให้คุณพ่อนักประดิษฐ์ที่นั่งเท้าแขนอยู่กับโต๊ะทำงานโดยไม่มีเสียงตอบกลับมา
“พ่อ...อ” อาเลียสลากเสียงยาวแล้วเดินสาวเท้าเข้าไปยืนข้าง ๆ เก้าอี้ของพ่อ “พ่อ! เรียกไม่ได้ยินรึไง” คราวนี้ชายหนุ่มก้มตัวลงไปตะโกนใกล้ ๆ หูเอียมุส ก่อนรีบกระโดดเหยงหนีออกมาในฉับพลันเพราะเกรงว่าบิดาจะหันมาเขกหัวเข้าให้ ทว่านักประดิษฐ์ผู้ปราดเปรื่องกลับนั่งนิ่งไม่มีมะเหงก ไม่มีการตอบโต้ใด ๆ กลับมา พาลทำให้อาเลียสคิดไปว่า พ่อของเขาอาจจะแอบหลับอยู่ จึงเกิดความคิดที่จะเล่นพิเรนทร์ “พ่อๆๆๆๆๆๆๆๆ” อาเลียสจับไหล่ของเอียมุสเขย่า เป็นการแกล้งเพื่อให้ตกใจตื่น
แต่นั่นกลับทำให้เขาได้รู้ตัวว่าเอียมุสที่นั่งนิ่งอยู่นั้น ไม่ได้มีสติอยู่กับร่างอีกแล้ว หลังถูกอาเลียสเขย่าตัวเอียมุสก็ฟุบลงไปกับโต๊ะ เปลือกตาปิดสนิทไร้ซึ่งการตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น ใบหน้าของอาเลียสซีดเผือดลงไปทันที เขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ มือและขาสั่นเทาอย่างไร้การควบคุม นึกอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใดก่อน
“ใครก็ได้!” อาเลียสวิ่งออกไปนอกห้อง แล้วตะโกนสุดเสียง “ช่วยพ่อผมที พ่อผมเป็นอะไรก็ไม่รู้!”
สิ้นเสียงตะโกนอาเลียสได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารอารักขานับสิบนายตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขายืนแข็งทื่อมองทหารเหล่านั้นสำรวจร่างกายของเอียมุส ไม่นานนักทหารอีกสองนายวิ่งตามมาพร้อมกับเปลสนาม พวกเขาช่วยกันนำร่างไร้สติของนักประดิษฐ์วัยกลางคนลงไปนอนบนเปล แล้วรีบหามลงลิฟต์ไปขึ้นรถฉุกเฉินที่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตพร้อมสรรพ นำส่งโรงพยาบาลทันที
รถตู้สีขาวซึ่งเพนท์ข้างรถด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่ว่า “สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” ได้เข้ามาจอดหน้าอาคารสูงสิบเจ็ดชั้นหลังหนึ่ง หากมีเวลาพอจะสังเกตป้ายชื่อตึกที่ตั้งอยู่บนสนามหญ้ากว้างจะพบว่ามีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแต่ตัดด้านบนให้โค้งเฉียงจากมุมมนขวาไปซ้ายลงมาเป็นรูปตัวเอสอย่างสวยงามและเป็นศิลปะ ป้ายทำด้วยโลหะมันเงาพื้นสีเงิน รายละเอียดในป้ายประกอบไปด้วยเครื่องหมายบวกสีเขียวเข้มที่ฝั่งซ้ายและตัวหนังสือสีเดียวกันอีกสองบรรทัดถัดไปทางขวาเว้นระยะห่างอย่างพอดี บรรทัดบนมีขนาดใหญ่โตอ่านได้ชัดเจนจากระยะไกลได้ใจความว่า “โรงพยาบาลอาร์มาดา” ส่วนบรรทัดล่างต้องขยับเข้าใกล้มาอีกสักหน่อยจึงจะอ่านคำว่า “วิทยาลัยแพทยศาสตร์” ได้
รถตู้จอดเทียบตรงหน้าประตูทางเข้า เตียงพยาบาลถูกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเข็นมารอที่ท้ายรถทันที ทีมแพทย์จากหน่วยแพทย์ฉุกเฉินของสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งปฏิบัติงานช่วยชีวิตเบื้องต้นบนรถพยาบาลรีบนำร่างไร้สติไปยังห้องฉุกเฉิน ผู้ป่วยผ่านการสอดเครื่องมือประเภทท่อเพื่อป้องกันการอุดกั้นของทางเดินหายใจซึ่งอาจเกิดจากลิ้นที่ตกไปบังส่วนคอหอยของผู้ป่วยเอง หรือเกิดจากระบบประสาทป้องกันการไหลย้อนกลับของอาหารไม่ทำงานซึ่งอาจทำให้อาหารในกระเพาะพร้อมน้ำย่อยไหลย้อนกลับขึ้นมาทำให้ผู้ป่วยสำลักได้
ชายหนุ่มที่มีผมสีน้ำตาลชุ่มเหงื่อระต้นคอเดินลงจากรถมาเป็นคนสุดท้าย เขาวิ่งตามหน่วยแพทย์เข้าไปในห้องฉุกเฉินด้วย ในช่วงเวลาที่เช้าแบบนี้แพทย์ที่ประจำอยู่อีอาร์จะเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยอาร์มาดาผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ฝึกหัดก่อนจบออกไปชดใช้ทุนการศึกษาที่รัฐบาลได้ส่งเสียให้เรียน
“ความดันโลหิต สองร้อย ร้อยสิบ ชีพจรเจ็ดสิบสี่ค่ะ” พยาบาลสาวในชุดเครื่องแบบกางเกงสีขาววัดความดัน และชีพจรให้ผู้ป่วย
“ครับ” นักศึกษาแพทย์ฝึกหัดผู้รับเคสหันมามองสีหน้าวิตกกังวลของอาเลียสครู่หนึ่ง ก่อนตอบรับพยาบาลด้วยน้ำเสียงปกติแม้จะทราบดีว่าค่าความดันโลหิตนั้นสูงมาก
“อัตราการหายใจสิบครั้งต่อนาทีค่ะ”
“ครับ” น้ำเสียงยังคงปกติ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผู้ป่วยหายใจช้ามาก
“อุณหภูมิสามสิบเจ็ดองศาค่ะ”
การรายงานของพยาบาลและการตอบรับของนักศึกษาแพทย์หนุ่มหน้าตาดีในชุดกาวน์สั้นที่มีชื่อปักอยู่บนหน้าอกขวาว่า “นศพ. เร อาราวิส” นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาที อาเลียสอยากทราบอาการของพ่อจึงขยับเข้าใกล้ปลายเตียงมากขึ้น เขาสังเกตเห็นนักศึกษาแพทย์กำลังเปิดหนังตาพ่อของเขาแล้วส่องไฟเข้าไปทีละข้าง ก่อนจะหันมาจดอะไรบางอย่างลงในชาร์ตโลหะสีเงินที่ถืออยู่ในมือ
“ส่งผู้ป่วยไปทำซีทีสแกนด่วนเลยครับ อาจต้องผ่าตัดฉุกเฉิน” เอ็กซ์เทิร์นหันมากล่าวกับพยาบาลพร้อมยื่นชาร์ตให้ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาเข็นเตียงผู้ป่วยไปทันที อาเลียสทำได้แค่มองตามหลังพยาบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เร่งรีบเหล่านั้น เอ็กซ์เทิร์นคนดังกล่าวเดินมาจับไหล่อาเลียสก่อนจะเดินไปตรวจผู้ป่วยเด็กที่เพิ่งถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินมาเมื่อครู่ อาเลียสเดินออกไปนั่งรออย่างกระวนกระวายที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน จนบัดนี้ยังไม่มีใครพูดอะไรกับเขาเลย เขาอยากรู้อาการของพ่อ
ความคิดเห็น