Difference [Fic : Cluster Edge]
มนุษย์สร้างพวกเขาขึ้นมา พวกเขาคือร่างโคลนนิ่งที่มีต้นแบบมาจากมนุษย์คนหนึ่ง แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ถูกเรียกว่า "มนุษย์" แต่เป็น "เครื่องจักรทำสงคราม"
ผู้เข้าชมรวม
780
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Fanfiction
Project : Cluster Edge
Difference
ราตรียามค่ำคืนนั้นเงียบสงบและเต็มไปด้วยดวงดาวที่เรียงรายอยู่เต็มท้องฟ้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นปัดผมสั้นประบ่าสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกลมพัดแล้วทัดเอาไว้หลังหู ก่อนที่ร่างในชุดแนบเนื้อสีดำใต้ชุดเกราะสีเงินและผ้าคลุมผืนยาวจะหันไปมองทางหน้าต่างที่อยู่ข้าง ๆ
“มานั่งทำอะไรอยู่บนหลังคาน่ะ Chrome นี่มันเวลานอนนะ อย่าบอกนะว่า ทหารเทียมไม่จำเป็นต้องนอนน่ะ”
เด็กหนุ่มที่มีผมสั้นหยักศกสีบลอนด์สวมเสื้อสีขาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาลเรียกพร้อมกับรอยยิ้ม ใช่ เขาคือ Fon Aina Sulfur เด็กหนุ่มจากโรงเรียน Cluster E.A. ที่ไม่กลัวเครื่องจักรสังหารอย่างเขาตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
“จริง ๆ เลยน้า ชั้นไม่รู้หรอกนะว่านายไปทำอะไรมา แต่คงเกี่ยวกับพวกทหารเกรียนใช่มั้ยล่ะ ถ้าพวกเขารู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่ต้องตามมาฆ่าแน่ ดีนะที่ Beryl ไปเจอนายเข้า ไม่งั้นคงได้เลือดไหลหมดตัวตายอยู่กลางป่ากันพอดี” Fon ยังคงพูดไปเรื่อยๆ ขณะท้าวคางบนขอบหน้าต่างมองท้องฟ้า
“งั้นก็ปล่อยชั้นไว้อย่างนั้นสิ แบบนี้นายกับ Beryl จะเดือดร้อนนะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่จะปล่อยนายเอาไว้แบบนั้นก็ไม่ได้นี่นา”
“ทำไมล่ะ ?”
คำถามสั้น ๆ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายไอ้ความรู้สึกที่ไม่เห็นเป็นรูปธรรมให้กับทหารเทียมที่มีอัตราความรู้ในการใช้ชีวิตประจำวันต่ำเข้าใจแบบสั้นๆ ได้ยังไง ขนาดเรื่องของ ‘พี่สาว’ ก่อนหน้านี้ยังต้องอธิบายกันเป็นชั่วโมง ๆ
“อืม....ก็เพราะชั้นกับ Beryl เป็นห่วงนาย ไม่อยากให้นายตายน่ะสิ”
“แล้วทำไมถึงไม่อยากให้ตายละ? ถึงชั้นจะตายก็โคลนนิ่งขึ้นมาใหม่ได้อยู่ดี ถึงตอนนี้จะมีการสั่งห้ามไม่ให้ผลิตทหารเทียมแล้วก็เถอะ”
แล้วเด็กนักเรียนหัวดีของ Cluster E.A. ก็ต้องถอนหายใจและชักจะเริ่มปวดหัวอีกครั้งกับคำตอบแบบตรงๆ ซื่อๆ ที่พอจะเดาออกว่าเพื่อนทหารเทียมคนนี้จะพูด
“ก็จริงอยู่ แต่--” แต่ความพยายามก็ถูกขัดจังหวะด้วยเจ้าของบ้านที่เปิดประตูเดินเข้ามา
“กลับไปนอนได้แล้ว Chrome แล้วทำไมไม่เปลี่ยนชุด ? บาดแผลหายดีแล้วเหรอ ?” เขาถาม แต่อีกฝ่ายที่ยังคงอยู่ในเครื่องแบบของทหารเทียมกลับมองด้วยใบหน้าใสซื่อที่ฉายแววความสงสัย “ คงจะลืมสินะ...” แล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจกับคำตอบที่เดาได้จากสีหน้านั้น
“อ๊ะ ขอโทษนะครับ ทำให้คุณ Beryl ตื่นซะแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ มาเร็ว Chrome” Fon หันไปขอโทษเจ้าของบ้านแล้วฉุดแขนเพื่อนให้ลุกขึ้น
“พวกนายนี่ทำอะไรแปลกๆ ”
“สำหรับทหารเทียมอย่างนาย อะไรที่มนุษย์อย่างพวกเราทำก็แปลกไปหมดนั่นแหละ”
Chrome เพียงแค่ยักไหล่แล้วยิ้มก่อนจะเดินตามเพื่อนทั้งสองไปอย่างว่าง่าย แต่หลังจากเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็กลับฉุดให้เพื่อนทั้งสองคนล้มลงกับพื้นก่อนที่จะถูกยิง
ไม่ทันที่ Fon จะตะโกนถามด้วยความตกใจ คำตอบก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า เครื่องบินรบของทหาร 2 ลำบินโฉบขึ้นมาจากด้านล่างและฉายไฟมายังพวกเขา
“ขอโทษนะ....”
Chrome เอ่ยสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มก่อนจะใช้ฝ่ามืออัดแรงดันอากาศกระแทกเข้าที่ท้องของ Fon แล้วส่งเจ้าตัวลงไปนอนแผ่หมดสติอยู่กับพื้น
“Fon!! นาย--!!!”
Beryl เรียกด้วยความตกใจ แต่ก็นิ่งเงียบไปทันทีที่คอถูกแขนล๊อกเอาไว้ด้านหลังในขณะที่คอถูกจ่อเอาไว้ด้วยคมดาบ เขาเหลือบมองใบหน้าของทหารเทียมที่อยู่ด้านหลังอย่างลุกลี้ลุกลน และหันกลับไปมองทหารบนเครื่องบินถือปืนเล็งมาที่พวกเขา
“อย่าเข้ามานะ ถ้าพวกนายไม่อยากให้คนของตระกูล Jasper เป็นอะไรไปล่ะก็ ถอยออกไปซะ!!”
ที่แท้ก็เอาเขาเป็นตัวประกันเพื่อใช้ข่มขู่ในการหลบหนีนี่เอง เด็กหนุ่มตระกูลชนชั้นผู้ดีไม่รู้สึกแปลกใจ และไม่คิดแม้แต่จะร้อง เพราะเขาไม่เคยคาดหวังว่าใครจะมาช่วย มันเป็นเรื่องธรรมดาในโลกของเขาที่จะมีการทรยศหักหลังเพื่อเอาตัวรอด แต่ท่ามกลางเสียงของห่ากระสุนที่ไร้ความรู้สึกของทหารนั้นกลับได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของสิ่งมีชีวิตที่ไม่เรียกว่า มนุษย์
“ไอ้พวกมนุษย์ มันก็เหมือนๆ กันหมดแบบนี้แหละ โง่เง่า ไร้ศีลธรรม ป่าเถื่อน เห็นแก่ตัว แล้วทำไมนายถึงยังอยากจะปกป้องคนอย่างพวกมันอีกเล่า !! ตอบชั้นมาสิ Chalce !!!”
คมดาบปะทะลูกกระสุนด้วยความโกรธแค้น ภาพของคนที่เคยรักและดูแลเขาเหมือนกับพี่ชายก้าวขึ้นเครื่องบินจากไปเพียงลำพังผุดขึ้นมาในหัว เด็กหนุ่มที่ได้แต่ยืนมองอยู่เบื้องหลังนั้นไม่เข้าใจ และไม่อยากจะเห็นการกระทำที่โหดร้ายป่าเถื่อนแบบนี้อีกต่อไปแล้ว
Beryl ได้ยินเสียงคมดาบปะทะกับลูกกระสุนอีกครั้งก่อนจะถูกอุ้มขึ้นพาดบ่า เพียงพริบตาเดียวตนเองได้แต่มองบ้านของตนที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ จนลับสายตาไป แต่แทนที่จะรู้สึกวิตกกังวลหรือหวาดกลัวตัว เขากลับรู้สึกโล่งใจและไม่นึกที่จะขัดขืนหรือหาทางหนีเลยแม้แต่น้อย ทั้งใบหน้าและสายตาเก็บซ่อนทั้งอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าจะมีหรือไม่เอาไว้เป็นอย่างดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสียงปืน เสียงกระสุน เสียงระเบิด และเสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่ดังกระหึ่มอยู่บนท้องฟ้าค่อยๆ เงียบหายไปพร้อม ๆ กับความโกรธของทหารเทียมคนหนึ่งที่วิ่งเข้าไปในป่าลึก
ฟ้ายามค่ำคืนกลับยิ่งมืดมิดด้วยกลุ่มเมฆหนาทึบที่รวมตัวกันแล้วกลั่นน้ำฝนลงมาอย่างหนัก แต่ฝีเท้าของเด็กหนุ่มในชุดเกราะสีเงินและผ้าคลุมสีม่วงยาวกลับไม่ช้าลงเลยแม้แต่นิดเดียว
“แบบนี้ดูท่าจะไม่ไหว สงสัยคงต้องหลบฝนซะก่อนล่ะมั้ง Beryl ? ” เด็กหนุ่มในชุดเสื้อเกราะและผ้าคลุมถามคนบนหลังที่พยักหน้าเห็นด้วย
“Chrome
” Beryl เรียกเบา ๆ เมื่อเห็นแสงไฟแวบอยู่ข้างหลังหลายครั้ง
“ตามมาแล้วสินะ ตื้อชะมัด....”
ทหารโคลนนิ่งพูดอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะผิวปากและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เด็กหนุ่มชนชั้นผู้ดีไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่ออะไร หรือเรียกอะไรมา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรและมองร่างเงา 6 ร่างที่พุ่งผ่านพวกเขาไปทางด้านหลังและหายไปพร้อมกับแสงไฟ
“ไม่ต้องห่วง พวกนั้นจัดการได้สบายอยู่แล้ว” Chrome พูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากวิ่งมาอีก 2-3 กิโลเมตรก็มาเจอถ้ำหนึ่งที่ภายในกว้างพอที่จะจุคนได้ประมาณ 10 กว่าคน เขาจึงค่อยๆ คลำทางเดินเข้าไปจนสุดแล้วค่อยๆ วางเพื่อนลงนั่งกับพื้น แท่งเหล็กทรงกระบอกเล็กๆ ถูกควักออกมา พอหมุนด้านบนไฟก็ติดขึ้นมาให้ความสว่างรอบตัวพวกเขา
“นายรออยู่นี่นะ ชั้นจะไปหาอะไรมาก่อกองไฟ”
Beryl พยักหน้าแล้วรับแท่งเหล็กติดไฟมาถืออย่างว่าง่ายและนั่งรออยู่เฉย ๆ ตามที่บอก ในใจนึกถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะคำพูดที่อีกฝ่ายเพิ่งจะพูดไปเมื่อสักครู่ มันไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้เหตุผลว่าทำไม แต่มันเพราะอะไรต่างหาก ในเมื่อเป็นเครื่องจักรสังหารไร้หัวใจที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด แล้วทำไมถึงกลับมาทำดี ห่วงใยดูแลกันแบบนี้
‘ทหารเทียมไม่รู้สึกหนาวหรือไม่สบายเพราะอากาศแบบนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นทำไมถึง......’ เขาคิดถึงความจริงที่เคยอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกอยู่น้อยนิดในช่วงสงคราม ‘ถ้าเขาเหมือนกับ Agate ก็คงจะไม่มีอะไรต้องกังวลล่ะมั้ง ถึงจะค่อนข้างต่างกันก็เถอะ?’
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“นี่ ทำไมต้องเอาเจ้านั่นมาด้วยล่ะ ? เรียกพวกชั้นมาก็ได้นิ เครื่องบินรบแค่ 2 ลำเอง”
เด็กหนุ่มที่มีผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม สวมชุดเกราะเครื่องแบบทหารเทียมและผ้าปิดตาสีดำข้างขวาถามด้วยความสงสัย ในขณะที่กำลังฟันทำลายรถของกองทัพอยู่
“มันกระทันหันน่ะสิ เลยต้องใช้วิธีจับตัวประกัน แต่พวกมันก็ยังสาดกระสุนใส่ทั้ง ๆ ที่เจ้านั่นเป็นคนของตระกูล Jasper” เด็กหนุ่มผู้เปรียบเสมือนเป็นหัวหน้าทีมที่มัดผมยาวประบ่าสีน้ำตาลอ่อนเอาไว้ด้านหลังบอกด้วยความหงุดหงิด “ชั้นละไม่เข้าใจจริงๆ ว่า Chalce ยังอยากจะปกป้องมนุษย์อย่างพวกมันไปทำไม”
“อย่ามาถามชั้นสิ ถ้านายที่เป็นน้องชายไม่รู้แล้วใครจะรู้ล่ะ”
เด็กหนุ่มสวมผ้าปิดตาตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจเหมือนกับคนอื่น ๆ ในกลุ่ม เพราะพวกเขาเพียงแค่รู้สึกยินดีกับการที่ได้เดินตามและทำตามคำบอกของหัวหน้าทีมคนนี้ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนที่ชื่อ Chalcedony Renierite มากมายนัก
“เฮ้ ! ก็บอกว่าไม่ใช่ไงล่ะ นั่นมันพระจันทร์ทรงกรด เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไม่ใช่อาวุธสงคราม”
เด็กหนุ่มแฝดสามที่มีผมตั้งสีน้ำตาล และสวมหน้ากากปิดหน้าครึ่งล่าง จึงหยุดยิงพระจันทร์ที่ว่าตามที่เด็กหนุ่มผมสีดำยาวบอก แล้วกระโดดลงมาจับ ๆ จิ้ม ๆ ตัวหัวหน้าของพวกเขา ทำให้เจ้าตัวเกือบร้องเสียงหลงเมื่อนิ้วมาโดนแผลถูกกระสุนยิงที่สีข้างข้างขวา
“เฮ้ ! หยุดนะ !!”
Chrome ร้องพลางปัดมือซน ๆ พวกนั้นออก แล้วทำสายตาดุใส่พวกเขา ทำให้ทั้งสามพากันทำหน้าหงอยๆ แล้วเดินไปหลบอยู่หลังเด็กหนุ่มสวมผ้าปิดตา
“น่า ๆ Chrome เขาไม่ได้โกรธหรอก แค่ไม่อยากให้ไปจับแผลเขาเท่านั้นเอง”
คนเป็นโล่ห์อดหันมาปลอบด้วยรอยยิ้มไม่ได้ แฝดสามจึงพยักหน้าแล้วออกมายืนอยู่ข้างๆ เขา นัยน์ตาที่มีสีเหมือนกันสามคู่จับจ้องมาที่หัวหน้าเหมือนกับจะขอและถามอะไรบางอย่างด้วยท่ายืนที่ค่อนข้างแสดงความกระตือรือร้นพอสมควร และมันทำให้หัวหน้าทีมฉีกยิ้มเย็นๆ แฝงความโหด
“แน่นอนอยู่แล้ว โทษฐานที่พวกมันทำให้ฉันบาดเจ็บ แถมยังเกี่ยวข้องกับเจ้าคนที่ฆ่า Chalce อีก ต้องเอาคืนให้สาสม ไว้เสร็จเรื่องตรงนี้เมื่อไหร่ เราจะไปทำลายที่นั่นให้ราบเลย”
แฝดสามรีบพยักหน้าพร้อมกับตาลุกวาวด้วยความดีใจ ก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดหัวหน้าที่แทบจะร้องไม่เป็นภาษา เพราะไปโดนแผลเขาอีกแล้ว แต่เจ้าตัวกลับโกรธไม่ลงเมื่อดวงตาสามคู่ที่แสนจะใสซื่อมองเขาด้วยความเป็นห่วง
“ชั้นไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้แผลก็ปิดสนิทแล้ว ยังไงชั้นก็เป็นทหารเทียม แผลแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก”
“นายนี่ก็แปลกนะ ถึงจะได้รับการโปรแกรมเรื่องความรู้สึกมา แต่ก็ไม่เห็นต้องแสดงท่าทีเหมือนอย่างมนุษย์ก็ได้นี่ จริง ๆ นายก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเหมือนพวกนั้นซะหน่อย” เด็กหนุ่มผมยาวสีดำถามด้วยความสงสัย
“ก็ Chalce บอกว่าทำแล้วจะเป็นมนุษย์นี่นา เพราะความเจ็บปวดคือสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเรายังมีชีวิตอยู่”
ถึงจะตอบคำถามออกมาได้อย่างน่าฟังน่าคิด แต่คนฟังและคนพูดเองกลับไม่ค่อยสนใจที่จะเข้าใจคำพูดนั้นมากนัก พวกเขาเพียงแต่รู้ว่าถ้าทำแล้วเป็นเรื่องดีเท่านั้น
“พี่นายเนี่ยเข้าใจยากจริงๆ แต่ก็ช่างเหอะ มันก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มสวมผ้าปิดตายักไหล่แล้วก็ไม่สนใจที่จะคุยเรื่องนี้อีก
“รอบรัศมีที่พวกเราอยู่ไปจนถึงแถวชานเมืองไม่มีพวกทหารอยู่เลย ดูเหมือนพวกเราจะฆ่าพวกมันได้ก่อนที่จะส่งข่าวไปหาหน่วยอื่นได้ แบบนี้คงปลอดภัยไม่มีใครมายุ่งซักพัก”
เด็กหนุ่มที่มีผมสั้นสีน้ำตาล และสวมหมวกโทนสีเดียวกันเดินเข้ามาพร้อมกับรายงานหลังจากที่ได้ออกไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ เมื่อหลายนาทีก่อน ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้แฝดสามก็รีบเข้าไปต้อนรับด้วยวิธีเดียวกับที่ทำกับหัวหน้า ทำให้เจ้าตัวงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“เฮ้ มีอะไรน่ะ ? เจ้าพวกนี้ไปได้ความคิดแปลก ๆ อะไรมาอีกล่ะ?”
“ก็แค่สงสัยว่านายได้รับบาดเจ็บเหมือนกับ Chrome รึเปล่าน่ะ” เด็กหนุ่มผมยาวสีดำบอก
“โอเค ๆ ชั้นปลอดภัย ไม่โดนยิงหรืออะไรทั้งนั้นแหละ” แฝดสามพยักหน้าแล้วกลับไปยืนที่เดิม
“คืนนี้เราจะพักในป่านี่ ในระหว่างนั้นให้สองคนออกไปสำรวจฐานทัพ ส่วนคนที่เหลือก็ผลัดเวรกันเฝ้ารอบที่พัก พรุ่งนี้จะออกเดินทางไปทำลายที่นั่นหลังเอา Beryl ไปส่งแล้ว”
“แล้วนายจะเอาเขาไปส่งยังไง อาจจะมีพวกทหารมาคอยเฝ้าอีกก็ได้” เด็กหนุ่มผมสั้นสวมหมวกถาม เขารู้สึกอยากพูดต่อขึ้นมาว่า แล้วจะลำบากไปส่งทำไม ให้เดินกลับไปเองก็ได้นี่
“ชั้นมีวิธีก็แล้วกัน นายสองคนไปสำรวจฐานทัพ กลับมาก่อนรุ่งสาง ส่วนคนที่เหลือตามชั้นมา”
หัวหน้าทีมก้มลงหยิบกองเศษไม้แล้วเดินนำเข้าไปในป่า โดยมีแฝดสามและเด็กหนุ่มผ้าปิดตาเดินตามมา ส่วนสองคนที่เหลือนั้นเดินแยกออกไปอีกทางหนึ่ง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาท่ามกลางความมืดทำให้เด็กหนุ่มผมบลอนด์เงยหน้าขึ้นมองทางต้นเสียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และซ่อนแท่งไฟเอาไว้ที่ด้านหลัง แต่เมื่อเห็นผ้าคลุมและเกราะสีเงินลาง ๆ ก็ถอนหายใจ
“ดูท่านายจะระแวงชั้นน่าดูเลยนะ แต่ก็น่าอยู่หรอก ไม่รู้ว่าจะเชื่อรึเปล่าแต่ชั้นทำเพื่อช่วยนายนะ”
“แต่ที่ชั้นเห็น มันเหมือนกับนายช่วยตัวเองมากกว่า”
“นายไม่เชื่อสินะว่าชั้นจะช่วยนายจริง ๆ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อเพราะถูกลักพาตัวน่ะ เฮ้--”
ก่อนที่เขาจะหันไปบอกให้แฝดสามช่วยก่อกองไฟ เจ้าตัวก็เดินเข้ามาด้อม ๆ มอง ๆ เด็กหนุ่มชนชั้นผู้ดีที่เขยิบถอยจนติดผนังถ้ำและมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอยู่เงียบ ๆ Chrome อดถอนหายใจกับความอยากรู้อยากเห็นแบบเด็ก ๆ ของคนในทีมไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงหรอก พวกนั้นแค่สงสัยน่ะ” เขาว่าพลางเอากิ่งไม้มากองรวมกัน “นี่อย่าไปจ้องเขาแบบนั้นสิ คนๆ นี้ก็เหมือนเด็กผมสั้นสีบลอนด์ที่เราช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำตอนนั้นไงล่ะ เอาไฟมาหน่อยสิ”
เมื่อ Beryl ได้ยินแบบนั้นก็ยื่นแท่งไฟให้หนึ่งในแฝดสาม อีกฝ่ายรับมันมาโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินมายื่นให้กับ คนขอ ส่วนแฝดอีกสองคนนั้นเดินมานั่งลงข้าง ๆ กองไฟที่ให้ความสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ
“นายควรจะถอดเสื้อผ้ามาผิงไฟนะ จะได้แห้ง”
คนฟังรู้สึกตกใจกับคำแนะนำอยู่พอสมควร แต่เขาก็เพียงแค่เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างสงสัยในขณะที่มือข้างหนึ่งรวบปิดคอเสื้อเอาไว้ Chrome ที่เห็นท่าทีแบบนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้
“นายนี่เหมือนอย่างที่ Agate เล่าให้ฟังเลยแฮะ เอาเหอะ ถ้าไม่อยากก็มานั่งใกล้ ๆ ไฟแล้วกัน อย่างน้อยจะได้ไม่หนาว”
เด็กหนุ่มตระกูลผู้ดีชั่งใจอยู่ซักพักก่อนจะเดินมานั่งข้าง ๆ คนแนะนำ เขาอดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ว่า ในที่สุดก็ได้หนีจากความหนาวที่น่ารำคาญมาได้ซะที แต่กับฝ่ายทหารเทียมเขากลับรู้สึกกังวลใจและอึดอัดไม่หาย เมื่อสายตาของเด็กหนุ่มแฝดสามยังคงจ้องมาที่เขา
“พวกเขาสงสัยว่านั่นคืออะไรน่ะ” Chrome ช่วยแปลความหมายให้ เมื่อจับสังเกตอาการที่ไม่แสดงออกของเขาได้
Beryl มองตามนิ้วมือที่ชี้มาที่กระเป๋ากางเกงสีดำของเขา เขาจึงหยิบสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาแล้วมองแฝดสามอย่างงง ๆ ว่าทำไมถึงสนใจนาฬิกาพกธรรมดา ๆ ที่ทำจากเงินในเมื่อมันเป็นของที่ใคร ๆ ก็มีกัน
“นั่นมันสำคัญรึเปล่า ?”
“ก็แค่นาฬิกาธรรมดาที่ชั้นใช้ดูเวลาเท่านั้น”
“งั้นให้เจ้าพวกนี้ดูได้รึเปล่า ? ไม่เคยเห็นกันน่ะ”
Beryl ยื่นนาฬิกาให้แฝดสามที่รับมาสุมหัวดูกันอย่างสนอกสนใจ เขามองเด็กหนุ่มสามคนที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ ด้วยความสงสัย และหันไปมอง Chrome ด้วยความรู้สึกเดียวกันกับคำพูดของอีกฝ่าย
“อะไร ? ก็นั่นมันไม่ใช่อาวุธสงครามนี่ นายคิดว่าทหารเทียมอย่างพวกเราจะพกมันลงไปในสนามรบด้วยรึไง” กลายเป็นว่าเครื่องจักรสังหารหันมาถามเด็กหนุ่มด้วยความสงสัยแทน เพราะตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่านาฬิกามันเป็นของที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ตรงไหน แต่ถ้ามีไว้เพื่อกำหนดเวลาการปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจต่างๆ ล่ะก็เขาพอจะเข้าใจ
“แต่นายรู้จักมัน แล้ว......” เขาถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจขณะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “
.ทำไม.....พวกเขาไม่เหมือนกับนาย?”
“อืม....จะว่าเหมือนก็เหมือน จะว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือนนั่นแหละ”
“หมายความว่าไง ?”
“ชั้นน่ะได้รับการสอนให้พูดแล้วก็ได้รับความทรงจำของมนุษย์มาในขณะที่พวกนี้ไม่ แต่ถึงพวกนี้จะยังไม่ได้รับการสอนให้พูด แต่ก็อยู่ในระดับหัวหน้าเหมือนชั้นนะ” อีกฝ่ายมองเหมือนกับจะไม่เชื่อ “แล้วเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับตอนทำสงครามตรงไหนล่ะ แค่เรื่องเกี่ยวกับทางทหาร กลยุทธ แล้วก็อาวุธยุทโธปกรณ์ก็พอแล้ว”
“นั่นสินะ.....แต่นายยังไม่ตอบคำถามเลยนี่ว่าเหมือนหรือต่างกันตรงไหน นอกจากเรื่องของการพูดนั่น”
“ก็เหมือนตรงที่ว่าไม่เข้าใจมนุษย์ไง แต่ต่างตรงที่ว่า ชั้นกับคนอื่นๆ ในกลุ่มไม่ได้ขี้สงสัยแล้วสนใจที่จะหาคำตอบเรื่องยิบย่อยอย่างนาฬิกาของนายเหมือนกับเจ้าพวกนี้หรอกนะ พวกมนุษย์น่ะเข้าใจยาก” รอยยิ้มหายไปก่อนที่เขาจะพูดต่อ “......ในเมื่อพวกมนุษย์สร้างเรา เห็นเราเป็นแค่อาวุธสงคราม ไม่เคยพยายามที่จะเข้าใจและยอมรับพวกเราเหมือนกับChalce แล้วทำไมพวกเราถึงต้องสนใจที่จะเข้าใจมนุษย์ด้วยล่ะ เราก็แค่รู้ว่าถ้าเราทำอย่างที่ Chalce บอกแล้วเราก็จะได้เป็นมนุษย์แค่นั้นเอง”
“ทำไมนายถึงทำแบบนั้นล่ะ?” Beryl ที่เห็นแววตาเศร้าสร้อยของทหารโคลนนิ่งก็รู้สึกเห็นใจ แต่ก็เผลอหลุดปากถามเรื่องเครียดที่สงสัยมานาน
อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะตอบโดยที่ยังคงจ้องเปลวไฟกับแฝดสามที่ยังคงสุมหัวกันเล่นวิเคราะห์รูปพรรณสัณฐานและการทำงานของนาฬิกาอย่างไม่รู้เบื่อ
“ก็เพื่อช่วยพวกนายสองคนอย่างที่บอก สำหรับ Fon น่ะเหมือนถูกชั้นทำร้ายจนสลบไปใช่มั้ยล่ะ แล้วนายก็ดูเหมือนถูกชั้นลักพาตัว....”
“นั่นสินะ.....” ‘ แบบนี้พวกทหารก็จะเห็นว่าพวกเราเป็นแค่ผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกกบฏ ถึงจะโดนสอบสวนทีหลังก็จะไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหาอะไรด้วย ’ “ ถ้าอย่างนั้นชั้นก็ควรกลับไปโดยไม่ให้ใครรู้สินะ ”
“จริง ๆ แล้ว.....ชั้นก็มีแผนอยู่นะ ถึงนายจะไม่เห็นด้วยแต่มันก็เป็นวิธีที่เหมาะสม” เจ้าของแผนว่าด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ ถึงตอนนี้แฝดสามก็หันมาฟังด้วยความสนใจ
“ลองว่ามาสิ....”
“นายบาดเจ็บที่คอ แล้วก็ไปล้มพับอยู่ตรงชายป่า เมื่อพวกทหารมาเจอก็จะได้เข้าใจว่านายหมดประโยชน์ และถูกเอามาทิ้งในขณะที่พวกชั้นหนีไปก่อนหน้านั้น ฟังดูโง่ๆ มั้งอย่างที่พวกมนุษย์เรียก แต่เปอร์เซนต์ความสำเร็จสูง”
“ทำไมต้องที่คอ ? ” ‘ มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ?’
“ก็ชั้นขู่นายด้วยการเอาดาบจ่อคอนี่ เพราะงั้นถ้ามันจะพลั้งมือเฉือนคอนายไปก็ไม่แปลกใช่ไหมล่ะ นี่เป็นแผนขั้นต้นที่ง่ายแล้วก็กระจอกสุดในคู่มือแผนทางการทหารที่ว่าด้วยบทของกลยุทธการล่อหลอกศัตรูเพื่อหนีเอาตัวรอดในภาวะเสียเปรียบ ภายใต้ข้อบังคับที่ห้ามมิให้ผู้ใดตาย” คำตอบที่ทหารเทียมพูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสุด ๆ ทำให้คนฟังรู้สึกว่าไม่น่าถามออกไปเลย
“ชั้นแนะนำให้ทำตามนะ เพราะ Chrome ไม่เคยพลาด อีกอย่างเขาก็เป็นคนๆ เดียวในกลุ่มพวกเราที่อยากช่วยนาย”
เสียงของเด็กหนุ่มที่ Beryl ไม่รู้จักดังขึ้น ทหารเทียมที่สวมผ้าปิดตาข้างซ้ายมองประธานนักเรียนอยู่สองสามวินาทีก่อนจะหันไปคุยกับหัวหน้า การปรากฏตัวของเขาทำให้นักเรียนดีเด่นของ Cluster E.A. อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘กลุ่ม’ ที่ว่านั้นมีทั้งหมดกี่คนกันแน่
“ทุกอย่างปกติเรียบร้อยดี” เด็กหนุ่มรายงานหัวหน้าก่อนจะหันไปหาแฝดสาม “ มาเร็ว ได้เวลาเปลี่ยนเวรแล้ว” แต่พอทั้งสามคนลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน เขาก็ห้ามเอาไว้ก่อน “เดี๋ยว แค่ 2 คนก็พอแล้ว จะไปทำไมตั้งสาม”
คำพูดง่าย ๆ แทบทำให้แฝดสามแทบร้องไห้ แล้วหันไปทั้งเขย่าทั้งดึงผ้าคลุมของหัวหน้าทีมเบาๆ เหมือนกับจะขอร้องเป็นนัย ๆ ว่า ได้โปรดให้พวกเขาออกไปลาดตระเวนด้วยกันทั้งสามคน
“อย่างอแงน่า ใช่ว่าพวกนายไม่เคยแยกกันซะหน่อย”
เด็กหนุ่มผ้าปิดตาเลิกคิ้วข้างหนึ่งถามด้วยความสงสัย แต่แฝดสามก็ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธแล้วหันไปดึงท่านหัวหน้าแรงขึ้นพลางส่งสายตาขอร้องที่มองออกยากเหลือเกิน
“รู้แล้วๆ ไปทั้งสามคนนั่นแหละ เลิกดึงเลิกเขย่าได้แล้ว”
แฝดสามยิ้มแล้วเข้าไปสวมกอดเขาแน่นทันที ก่อนที่จะวิ่งออกนอกถ้ำไป เด็กหนุ่มผ้าปิดตาได้แต่มองคนอนุญาตงง ๆ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงให้เด็กหนุ่มตระกูลชนชั้นผู้ดีเขยิบออกไป แล้วตัวเองก็นั่งลงตรงนั้นแทน เด็กหนุ่มที่ถูกไล่จึงขยับมานั่งตรงฝั่งตรงข้ามและฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่เงียบ ๆ
“ทำไมถึงให้ไปง่าย ๆ ยังงั้นล่ะ? แล้วเป็นอะไรไปอีกล่ะ ? เมื่อก่อนไม่เห็นจะว่าอะไร ” เด็กหนุ่มผ้าปิดตาถาม
“ก็คราวนี้ไม่เหมือนกันนี่”
“ไม่เหมือนยังไง ?”
“ก็คนหนึ่งอยู่ในถ้ำไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งเล่นนาฬิกา ในขณะที่อีกสองคนออกไปทำงาน”
“มิน่าล่ะ จะว่าไปพวกนั้นก็ไม่เคยถูกสั่งให้ไปทำอะไรที่แตกต่างกันเลยนี่นะ ก็ไม่แปลกหรอกที่จะรู้สึกเหมือนถูกแยกจากกันน่ะ”
มนุษย์หนึ่งเดียวในกลุ่มที่ถูกทิ้งอยู่นอกวงกลับไม่คิดจะถามแม้จะไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้นก็ตาม และยังคงนั่งมองทหารเทียมสองคนคุยกันไปเรื่อย ๆ ในขณะที่อดรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อ Chrome ขอผ้าคลุมจากเพื่อน แล้วเอามันมาพันเสื้อเกราะสีเงินของเขา ก่อนจะยื่นมาให้พร้อมกับผ้าคลุมของตัวเอง
“ขอบใจ.....”
สายตามองของใช้แทนหมอนและผ้าห่มเป็นเชิงถามแต่ก็ยังคงไม่ถามอะไรแล้วเอนตัวลงนอนอย่างว่าง่าย เพราะถ้ามัวแต่ยึกยักปฏิเสธ เขาอาจจะสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายด้วยการเป็นหวัดไม่สบาย
“ขอดูแผลหน่อยสิ” เด็กหนุ่มผ้าปิดตาพูดขึ้นเมื่อเห็นว่ามนุษย์หลับไปแล้ว “นายไม่น่าบ้ารับกระสุนแทนเจ้านี่เลยนะ มนุษย์น่ะถึงจะโดนยิงก็ใช่ว่าจะตายซะหน่อย” นิ้วมือค่อยๆ ไล่สัมผัสบนบาดแผลใต้ผ้าสีดำ พลางจดจำลักษณะสัมผัสแล้ววิเคราะห์ว่าบาดแผลปิดสนิทดีหรือยัง เลือดยังคงไหลอยู่หรือไม่
“แต่ก็ใช่ว่าจะรักษาได้ทุกอย่างนี่ ถ้าโดนยิงด้วยอาวุธหนักที่มีวิสัยทัศน์การยิงระยะไกลอย่างสไนเปอร์ก็ไม่รอดเหมือนกัน”
“นั่นสินะ....ดูเหมือนพรุ่งนี้คงจะปิดสนิท แต่ทำให้หายเร็วที่สุดจะดีกว่า นายจะออกไปพรุ่งนี้แล้วนี่”
“เพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดงั้นสินะ” เด็กหนุ่มว่าด้วยรอยยิ้มพลางมองเพื่อนเอาเกราะส่วนไหล่ซ้ายของตัวเองไปอังไฟจนแดง แล้วเอามาแนบกับแผลของตน
“รู้แล้วน่า ไม่แกล้งร้องหรอก ไม่งั้นเจ้านั่นก็ตื่นกันพอดี”
Chrome พูดดักเอาไว้ก่อน อีกฝ่ายจึงได้แต่หัวเราะเบาๆ แล้วทำซ้ำๆ อย่างนั้นสองสามที โดยแต่ละครั้งก็เพิ่มความร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะลองสัมผัสที่แผลอีกครั้ง นิ้วมือรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของผิวหนังที่ค่อย ๆ สมานกันอย่างช้า ๆ หลังจากเชื้อโรคถูกความร้อนทำลายไปหมดแล้ว
“เฮ้อ ให้ผ้าคลุมไปแล้วสงสัยคงต้องนอนบนพื้นเปล่าๆ ทั้งๆ ยังงี้สินะ” Chrome ว่าพลางเอนตัวลงนอนโดยใช้เกราะไหล่ข้างหนึ่งเป็นหมอนหนุน ส่วนอีกข้างนั้นให้เพื่อนไปใช้
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ เต็มใจให้แล้วอย่ามาบ่นหน่อยเลยน่า ทำตัวขัดแย้งเหมือนพวกมนุษย์ไปได้” เด็กหนุ่มผ้าปิดตาตอบกลับอย่างขำๆ
“ก็ Chalce บอกว่ามนุษย์น่ะมีความขัดแย้งในตัวเองเยอะ ชั้นก็แค่อยากลองทำดูบ้างแค่นั้นแหละ”
แล้วทั้งสองก็นอนคุยกันไปเรื่อยๆ ถึงเรื่องที่พวกเขารู้ดีที่สุดอย่าง การต่อสู้ การใช้ดาบ กลยุทธทางทหาร จนกระทั่งหลับไปโดยไม่รู้ตัว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ใกล้ทางออกของป่า
“เฮ้ ! พวกทหารจะมาถึงนี่ในอีกประมาณยี่สิบนาทีนะ” เด็กหนุ่มสวมหมวกวิ่งเข้ามาบอกหลังจากไปดูลาดเลาแถวๆ ชานเมืองเมื่อหลายนาทีก่อน
“แน่ใจนะว่าวิธีนี้จะได้ผลน่ะ?”
เด็กหนุ่มผมสีดำยาวถามเด็กหนุ่มผ้าปิดตาด้วยความไม่แน่ใจ เขาไม่สงสัยในสิ่งที่หัวหน้าของเขาตัดสินใจ แต่ห่วงว่ามนุษย์ที่อยู่ในกลุ่มจะทำเสียเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่จะหลุดปากบอกเรื่องของพวกเขากับทหาร
“แล้วจะไว้ใจได้แน่เหรอ ถ้าเกิดเขาบอกเรื่องพวกเราล่ะ?”
“ก็ Chrome บอกว่าได้ นั่นก็หมายความว่าได้ ส่วนเรื่องบอกหรือไม่บอกน่ะ Chrome บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง นั่นก็หมายความว่าไม่ต้องห่วง” คนอื่นในกลุ่มก็พยักหน้าเห็นด้วย เด็กหนุ่มจึงไม่ถามอะไรอีกแล้วรอเงียบๆ เหมือนกับคนอื่น
“ชั้นจะเฉือนตรงนี้ลึกเข้าไปประมาณ 3 มิลนะ เพราะงั้นอย่าเผอลหันไปทางด้านนี้บ่อยล่ะ ไม่งั้นเลือดจะหยุดยาก” นิ้วไล้สัมผัสผิวขาวเนียนตรงบริเวณกลางลำคอทางด้านซ้ายเป็นการบอกตำแหน่ง “ชั้นจะเลี่ยงไม่ให้โดนเส้นเลือดใหญ่ เพราะงั้นไม่ต้องห่วง”
Beryl พยักหน้าและกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา เมื่อคมดาบค่อย ๆ เฉือนผิวหนังลึกลงไป หลังจากดาบเลื่อนออกไป เขาจึงค่อยลืมตาขึ้น
“ปล่อยให้มันไหลลงมาเปื้อนเสื้อสักพักก่อนแล้วค่อยใช้มือกดเอาไว้ พอพวกชั้นออกไปซักหนึ่งนาทีก็ลงนอนแล้วกลิ้งผ่านพุ่มไม้นั่นออกไป จากนั้นก็นอนอยู่เฉยๆ ตรงนั้นจนกว่าพวกทหารจะมาเห็นเข้า ระหว่างที่พวกนั้นพานายไป ชั้นจะสะกดรอยตามเพื่อให้แน่ใจว่านายกลับถึงคฤหาสน์แล้วค่อยแยกตัวออกมา โอเคนะ”
Chrome ชี้ไปที่พุ่มไม้และบริเวณที่ว่าพลางบอกขั้นตอนให้อย่างละเอียด ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนในทีมให้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วค่อยเจอกันก่อนค่ำที่จุดนัดหมาย แต่ก่อนที่เขาจะขึ้นไปหลบบนต้นไม้ก็ถูกคว้าข้อมือเอาไว้ก่อน
“อะไร? มีตรงไหนไม่เข้าใจรึไง?” ทหารเทียมหันมาถามด้วยความสงสัย และเข้าไปเงี่ยหูฟังคำพูดที่เบาจนแทบไม่ได้ยินของอีกฝ่าย
“ขะ....ขอบใจนะ”
“ก็นายเป็นเพื่อนของ Agate นี่” เขาตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะขึ้นไปซ่อนตัว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การสอบสวนของทหารผ่านไปอย่างรวดเร็ว และคนที่รอเด็กหนุ่มที่เดินออกมาพร้อมกับผ้าพันแผลสีขาวรอบคอก็คือ เด็กหนุ่มผมสั้นหยักศกสีบลอนด์ ทั้งสองคนต่างไม่พูดอะไรในขณะที่เดินออกมาจากตึกทหารแห่งหนึ่ง เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรเก็บเงียบเอาไว้ หากพลาดพลั้งพูดอะไรออกไปแล้วล่ะก็ จะไม่มีวันได้เจอกลุ่มทหารเทียมที่ถือว่าเป็นเพื่อนของ Agate อีกเป็นครั้งที่สอง
เด็กหนุ่มตระกูล Jasper พยักหน้าเป็นการบอกลาเพื่อนที่ลงจากรถส่วนตัวของเขา ก่อนที่จะเลี้ยวรถกลับไปยังบ้านของตัวเอง
เมื่อถึงบ้าน เขาไม่รู้สึกแปลกใจที่ภายในนั้นเงียบแล้วก็มืด เพราะมันคงจะมีงานเลี้ยงแสนหรูเริศที่คฤหาสน์หลังใดหลังหนึ่งของตระกูลชนชั้นผู้ดี เขาคิดแล้วหันไปกล่าวขอบคุณพ่อบ้านส่วนตัวก่อนจะเดินขึ้นห้องของตัวเองไป
เนคไทและเสื้อนอกสีขาวที่เป็นเครื่องแบบของ Cluster E.A. ถูกถอดแล้วโยนเอาไว้บนเตียง ก่อนที่ร่างผอมสูงจะเดินไปนั่งพิงโซฟาที่อยู่ติดกับหน้าต่างแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นัยน์ตามองพระจันทร์สีขาวนวลบนท้องฟ้ายามราตรีพลางนึกถึงทหารเทียมและคำพูดที่ได้ยินในตอนนั้น
เขายอมรับลูกกระสุนแทนเขายังงั้นเหรอ ? ได้รับบาดเจ็บแต่กลับไม่พูดถึงอะไรและไม่ยอมให้รู้ว่าได้รับบาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ ทำไมกัน ทำไมจะต้องทำเพื่อเขาขนาดนั้นด้วย เพราะถือว่าเป็นเพื่อนของ Agate หรือเพราะเห็นว่าเขาเป็น.....เพื่อนของตัวเอง
ถ้าเช่นนั้นมันจะเป็นไปได้มั้ยที่หากวันหนึ่งเขาจะขอให้คมดาบนั้นทิ่มแทงลงมาที่กลางหัวใจ และปลดปล่อยให้เขาได้เป็นอิสระจากครอบครัวที่ไร้เกียรตินี่ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำก็เพื่อตระกูลผู้ดีจอมปลอม แล้วเมื่อไหร่กันที่เขาจะได้ทำเพื่อตนเอง
สักวันหนึ่ง เขาอาจจะอยากให้ทหารโคลนนิ่งคนนั้นลักพาตัวเขาไปและทำให้ไม่มีโอกาสได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยก็ได้ แม้มันจะเป็นคำขอที่แปลก แต่ในใจก็แอบหวังเอาไว้แบบนั้นจริงๆ และมันทำให้เขารู้สึกอยากที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง เพื่อที่สักวันเขาจะได้พบกับพวกเขาและเพื่อนคนแรกที่มีพลังลึกลับอันมหาศาลที่จะมาช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
เขายินดีที่จะเฝ้ารอคอยและเก็บเรื่องราวของพวกเขาเอาไว้ในความเงียบตลอดกาล
เพราะฉะนั้นมาสัญญากันเถอะ ว่าพวกนายและชั้นจะมีชีวิตรอดจากความวุ่นวายและสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น จนกว่าจะถึงวันที่พวกเราได้พบและอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
. END -
.
ผลงานอื่นๆ ของ Hitomisure ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Hitomisure
ความคิดเห็น