ความเข้าใจผิด
พ่อกาแม่กาทะเลาะกันซธแล้วสิ! แล้วแม่กาก็กำลังจะย้ายโรงเรียน!!?[haikyuu fanfiction]
ผู้เข้าชมรวม
612
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ความเข้าใจผิด
Fic : ความเข้าใจผิด
Paring : ป๊าม๊า
Rate : PG
Genre : Yaoi
Writer : อะโคร
บางครั้งการมีคนรักมักจะมีการทะเลาะกันเสมอๆ ไม่เว้นคู่ใดเลยแม้แต่คู่เดียว แม้กระทั่งคู่ของเหล่ากาคาราสุโนะปีสามคู่นี้….
“เอ่อ…” ฮินาตะมองซ้ายมองขวาสลับกันไปมาระหว่างกัปตันทีมกับรุ่นพี่ปีสามผมขาวสั้นที่อยู่กันคนละฝั่งของเน็ตฝึกซ้อมให้รุ่นน้องในทีมอีกหลายๆคน แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศอึดอัดทั้งสองจากแต่ละฝั่งก็ชนกันจนทุกคนสามารถเห็นเป็นภาพมโนสายฟ้าแลบดังเปรี๊ยะๆ
“นี่ สองคนนั้นมันเป็นอะไรของมัน?”โค้ชคุไอ เคชินหันไปถามผู้จัดการสาวที่ยืนจดบางอย่างขยุกขยิกอยู่ข้างๆตนเอง
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ น่าจะทะเลาะกันมั้งคะ?”ชิมิสุตอบกลับใบหน้านิ่งตามฉบับของเจ้าตัว
“ห๊ะ!?”โค้ชอุไคหันขวับมาแทบจะทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ “ไอสองคนนั้นอะนะ?!!”
“ค่ะ”สาวเจ้าพยักหน้าแล้วเลิกสนใจโค้ชของตัวเองไป
“มะรืนนี้ไซโคลนรึไต้ฝุ่นลงรึยังไงกันนะ…….เอ๊ะ หรือสึนามิกัน...”เคชินงึมงำกับตัวเองพลางคิดไปมาว่าควรจะหาเครื่องรางมาไว้กันโชคร้ายทั้งหลายทั้งปวงจะดีหรือไม่ ส่วนตัวต้นเหตุทั้งสองคนก็ยังคงปล่อยรังสีอำมหิตปะทะกันต่อโดยไม่เกรงใจคนรอบข้างอีกหลายชีวิตที่ต้องคอยรับแรงกดดันจนเหงื่อแตกพลั่กๆหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“คือ สึกาวาระซังครับ…”คาเงยามะเรียกรุ่นพี่เซ็ตเตอร์ปีสามที่ยืนอยู่คนละด้านของเน็ตด้วยอาการกล้าๆกลัวๆ
“หืม มีอะไรเหรอคาเงยามะ?”สึกะวาระหันมามองรุ่นน้องอัจฉริยะของตัวเองด้วยรอยยิ้มปกติที่ทำให้คาเงยามะถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะอะไรเวลาเงียบๆรุ่นพี่ปีสามคนนี้ถึงได้ปล่อยรังสีอำมหิตซะหนักแน่น แต่พอคุยกับคนอื่นๆแล้วดันกลับสู่โหมดปกติซะได้
“คือ เอ่อ...อ่า...คือว่า ทำไมวันนี้ถึงได้ดู….เอ่อ เอ.. ดูแปลกๆไปล่ะครับ?!”คาเงยามะกลั้นหายใจถามโพล่งออกไป
สึกาวาระเบิกตาน้อยๆแล้วเงียบไปนานพอที่จะทำให้คาเงยามะเหงื่อแตกเพราะกลัวว่าตนจะไปเหยียบสวิตช์ต้องห้ามอย่างที่ผู้หญิงหลายๆคนมี เขาเคยได้ยินมาจากโนยะและทานากะว่าถ้าเกิดเดินคำพูดหรือการกระทำพลาดไปเหยียบสวิตช์นี้เข้าให้เรื่องร้ายๆจะตามมาแน่ๆ ไม่ว่าจะโดนตบหน้าหรือโดนด่าทอ อาจจะถึงขั้นส่งตำรวจ(?)เลยก็ได้ ซึ่งดูเหมือนสองคนที่นำเอาเรื่องนี้มาเล่าจะเคยพิสูจน์ไปแล้วหลายผลกระทบที่ตามมา ส่วนใหญ่ก็จากผู้จัดการสาวของทีมนั่นล่ะ
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่…”สึกาวาระกล่าวด้วยใบหน้านิ่งไร้รอยยิ้มของปกติ ออกแนวจะเหมือนโกรธใครมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แววตาที่เคยสดใสกลับเจือจางด้วยความเศร้าความโกรธความน้อยเนื้อต่ำใจที่คาเงยามะเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
“ถ้างั้น ถ้ามีอะไร….. เล่าให้ผมฟังได้นะครับ เมื่อก่อนสึกะวาระซังเป็นคนที่คอยให้ผมได้ปรึกษาหลายๆเรื่องเกี่ยวกับผมและฮินาตะ ตอนนี้ผมเองก็อยากจะตอบแทนนะครับ!”คาเงยามะพูดอย่างซื่อตรงจนทำให้สึกาวาระอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะคิกคักออก พลางนึกกับตัวเองว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนรุ่นน้องจอมเอาแต่ใจคนนี้จะพูดอย่างนี้ออกมารึเปล่านะ
“มันไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องห่วงนะ คาเงยามะ”สึกาวาระยิ้มแย้มออกมาส่งผลให้คาเงยามะหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะโค้งแล้วรีบหนีไปซ้อมต่อ
โดยที่ไม่รู้ว่ามีสายตาอำมหิตมาจากอีกฝั่งของเน็ต…
ซาวามูระ ไดจิกำลังบีบลูกวอลเล่ย์ในมืออย่างรุนแรง สายตาจ้องเขม็งไปที่เซ็ตเตอร์ปีสามผมขาวที่กำลังยิ้มระรื่นพลางซ้อมให้รุ่นน้องคนอื่นๆไปด้วย
ทำไมเวลาที่เขาพยายามจะคุยด้วยอีกฝ่ายกลับเมินเฉยแล้วเดินหนีไปทั้งอย่างนั้นกันนะ ทำไมถึงไม่ยิ้มให้เขาแบบที่ยิ้มให้คนอื่นบ้างนะ เขาทำอะไรผิดกันนะ? ไดจิถามตัวเองแล้วย้อนกลับไปนึกถึงวันที่เกิดเหตุทะเลาะกันขึ้นมา
วันนั้นมันเป็นวันอาทิตย์ที่พวกเขาสองคนนัดกันไปเดท วันนั้นเขามาช้าไปเกือบสองชั่วโมงเพราะติดธุระด่วนของที่บ้าน เขาจำได้ว่าตัวเองเมล์บอกสึกาวาระแล้วว่าจะไปช้าให้กลับบ้านไปเลยเดี๋ยวจะไปรับที่บ้าน แต่พอไปรับเจ้าตัวที่บ้าน คุณแม่ของทางนั้นก็ปฏิเศะมาว่าเจ้าตัวบอกว่าจะออกไปเจอเขาแต่เช้าแล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับ
พอรู้อย่างนั้นเขาก็รีบฝ่าหิมะที่ตกหนักพอตัวไปที่ลานกว้างของเมือง สายตาก็สอดส่องไปทั่วลานจนพบร่างเล็กที่นั่งสั่นน้อยๆอยู่ที่ริมบ่อน้ำพุ ด้วยความเป็นห่วงและความโกรธที่คนตัวเล็กไม่ยอมทำตามที่เขาบอกทำให้ไดจิเดินไปกระชากข้อมือบางแล้วฉุดให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาพร้อมตะคอกใส่อีกฝ่ายอย่างเดือดดาล ทั้งๆที่เตือนทำไมถึงไม่ทำตามกัน ถ้าคนตรงหน้าล้มป่วยแล้วเขาจะทำยังไงกัน คิดไปก็ตะคอกใส่สึกาวาระอีก
“ทำไมถึงไม่ทำตาม!!บอกแล้วใช่มั้ยว่าฉันน่ะไม่ว่างน่ะ!!!” ไดจิตะคอกถาม สึกะวาระเบิกตากว้างอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ก็ฉัน….”สึกะวาระสั่นไปทั้งตัว หน้าเรียวรูปไข่ซีดลงเพราะอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวนานเกินไป จมูกได้รูปแดงจนเห็นได้ชัดเจน ไม่ต้องให้เดาว่าคนตรงหน้าไดจิจามไปแล้วกี่รอบกี่ครั้งภายใน3ชั่วโมงนี้ที่นั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา ข้อมือบางของตนโดนบีบแน่นจนเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ คนตรงหน้าทำหน้าตาดุดันจนน่ากลัว เขาไม่เข้าใจ แค่รอ3ชั่วโมงเพราะอยากรอผิดด้วยเหรอ?
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ย!”ไดจิตะคอกอย่างเหลืออดแล้วลากสึกาวาระให้ตรงกลับบ้านทันทีโดยไม่สนใจว่าจะมีกี่คนที่มองพวกเขาสักกี่คน ต่อให้ตอนนีมีคนเกือบล้านมอง เขาก็ไม่สน ทำไมสึกาวาระถึงไม่รู้ตัวว่าเค้ากำลังเป็นห่วงบ้างเลยนะ คิดแล้วก็น่าเจ็บใจที่ตัวเองทิ้งให้อีกคนอยู่ท่ามกลางหิมะอย่างนี้ มือแกร่งบีบมือของสึกะวาระแน่นขึ้น
เขาเดินกึ่งลากสึกาวาระมาจนถึงหน้าบ้านอีกคน เขาผลักอีกคนเข้าบ้านไปแล้วโค้งให้คุณแม่ของสึกาวาระกก่อนจะขอตัวกลับทันทีโดยไม่พูดไม่จากับคนตัวเล็กตรงนั้น เขาเห็น...เห็นว่าอีกฝ่ายมีน้ำตาคลอหน่วงที่เปลือกตามาตลอดทาง เขาอยากขอโทษแต่เหมือนคำนั้นมันติดอยู่ที่ริมฝีปากอย่างไรอย่างนั้น...
กลับมาสู่ปัจจุบัน หลังเลิกเรียน สุดท้ายไดจิก็ยังไม่ได้คุยกับสึกะวาระเลยตั้งแต่ตอนนั้นมา เรียกว่ามองหน้ากันไม่ติดเลย ถ้าไม่เกี่ยวกัยชมรมรึเรื่องจำเป็นพวกเขาจะไม่เดินเข้าไปชวนกันไปทำนู่นทำนี่เหมือนเมื่อก่อน หรือแม้แต่ช่วงพักเที่ยง คนที่ปกติจะเอาข้าวกล่องมาให้เขาคือชิมิสุ แทนที่จะเป็นสึกะวาระ พอจะบอกปฏิเสธเจ้าหล่อนดันรู้ว่าเขากินข้าวกล่องของสึกะวาระจนเคยตัวเลยลืมเอาข้าวกล่องมากินเอง พอรับมากิน รสชาติอาหารที่คุ้นเคยอย่างประหลาดทำให้ใจมันเจ็บแปล๊บ เพราะอะไรไม่รู้ เขารู้สึกว่าอาหารที่ชิมิสุทำ มันอร่อยเหมือนของสึกะวาระเลย....
ด้านสึกะวาระอาการหนักพอกัน เพราะปกติเขาจะทำข้าวกล่องมาสองกล่อง พอไม่ได้เอามาอีกกล่อง เป้ทมี่แบกมาโรงเรียนก็โหวงเหวงจนเจ็บปวดใจแปลกๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็เอาข้าวมาอีกกล่องแล้ว พอจะเอาไปทิ้งก็ทิ้งไม่ลง รู้สึกเสียดายข้าวของขึ้นมาซะอย่างนั้น พอจะกินอีกก็เกรงว่าจะไม่มีทางกินให้หมด ปล่อยทิ้งให้ก็จะเสียปล่าวๆ อยากจะเอาไปให้เจ้าของที่เคยกินข้าวกล่องนี้ทุกวันอยู่หรอก แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อวานมันก็พานทำให้หงุดหงิดและน้อยใจ ไม่นานเขาก็เห็นชิมิสุอยู่ตรงทางเดินข้างหน้า…
“กลับบ้านได้!” เสียงห้าวของกัปตันหนุ่มดังขึ้นบ่งบอกถึงเวลาการเดินทางกลับบ้านของทุกคนที่อยู่ในโรงยิม
ทุกคนเดินเฮฮาไปร้านขายของของโค้ชตัวเองเพื่อไปเอาซาลาเปาที่โค้ชลั่นวาจาแล้วว่าจะเลี้ยง ถึงอย่างนั้นบรรยากาศที่แลดูมาคุและส่งผลให้ทุกคนอึดอัดก็ยังไม่หายต่อให้ผ่านไปแล้วกว่า4วัน ลูกทีมชำเลืองมองเซตเตอร์ปีสามกับกัปตันของทีมที่เดินกันคนละฝั่งของถนน ไม่หันหน้ามาหากันเลยแม้แต่น้อย
“ไอสองคนนี้มันยังไม่คืนดีกันรึไง”อุไคกระซิบกระซาบกับชิมิสุซึงเธอก็พยักหน้าเป็นคำตอบ ฮินาตะเองก็เข้ามาร่วมวงคุยแบบเนียนๆพร้อมๆกับคาเงยามะ ต่อด้วยนิชิโนยะและอาซาฮิ ที่เหลือคอยคุยกันเหมือนปกติเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนที่ถูกพูดถึงผิดสังเกต ปล่อยให้ที่ประชุม(?)ลงมัติ(??)เรื่องสองปีสามนี้ไป
“แต่นี่มันเกือบจะครบอาทิตย์แล้วนะครับ”คาเงยามะว่าพร้อมกับฮินาตะที่พยักหน้าเสริม
“ฉันรู้น่า แล้วจะให้ทำยังไงเล่า เท่าที่ดู พวกนายก็พยายามลองให้ทั้งคู่คืนดีแล้วนี่น่า ทั้งพูดคุย ทั้งหลอกล่อให้คุยกันบ้าง แต่เจ้าสองตัวนั้นมันดันไม่หันหน้าหากันเลยน่ะสิ…”อุไคถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย การมาคุมทีมนี้มันส่งผลให้เขาแก่ลงเท่าตัวจริงๆเชียว ให้ตายเถอะ เดี๋ยวก็ปัญหานู้น ปัญหานี้ เข้ามากันอย่างกับกองทัพนับหมื่นแสนเชียว
“ลองดูพรุ่งนี้ละกัน เผื่อจะมีอะไรดีขึ้นมา”อุไคสรุปหลังคิดแล้วคิดอีก
“โอเคครับ” แล้วทุกคนก็สบายโต๋พากันกลับบ้านไป เหลือแค่รุ่นพี่ปีสามทั้งสามคนที่มีทางกลับบ้านใกล้กัน
“เอ่อ…”อาซาฮิลุกลี้ลุกลนตลอดทางเพราะไม่รู้จะพูดอะไรให้สึกะวาระกับไดจิคืนดีกัน
สุดท้ายทั้งสามคนก็แยกทางกันกลับบ้านโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว…….. อาซาฮิได้แต่ถอนหายใจให้กับความขี้กลัวของตัวเองเซ็งๆ
เช้าวันต่อมา สึกะวาระเหม่อลอยตลอดทั้งวัน ทั้งยังคุยกับโค้ชและอาจารย์ประจำชั้นตัวเองบ่อยกว่าปกติ ทำให้ลูกทีมคนอื่นๆถึงกับเป็นกังวลเกี่ยวกับเซ็ตเตอร์ปีสามคนนี้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าถามเพราะรังสีมาคุและรังสีห่อเหี่ยวที่แผ่ออกมาจนน่ากลัว
“เอาล่ะ ก่อนกลับบ้านวันนี้ ดูเหมือนสึกะวาระจะมีอะไรมาพูดกับพวกนายนะ”อุไคพูดขึ้นหลังเรียกรวมตัวเตรียมปล่อยนักกีฬาทุกคนกลับบ้าน
ทุกคนได้แต่ทำหน้าฉงนเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่เซ็ตเตอร์ปีสามที่ลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนข้างๆโค้ชของพวกเขาช้า สีหน้าที่ดูเจ็บปวดและห่อเหี่ยวคล้ายจะร้องไห้ทำให้หลายๆคนใจหายวาบ กลัวและสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับรุ่นพี่คนนี้หรือไม่ มีเพียงชิมิสุกับโค้ชที่ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าสึกะว่าระจะมาพูดอะไร ทั้งสองคนยืนขนาบข้างสึกะวาระ ชิมิสุตบหลังสึกะวาระกระตุ้นให้เขาพูดหลังเงียบไปเล็กน้อย มือบางของสึกะวาระกำแน่นก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงไม่ให้ใครเห็นใบหน้าของตัวเองแล้วพูดออกมาว่า
“ฉันจะต้อง…..”
“ลาออก...”
“!!!”ทุกคนในทีมไม่เว้นแม้แต่กัปตันเบิกตากว้างนิ่งอึ้งไปกับข่าวร้ายที่หลุดออกมากจากปากสึกะวาระ
ฮินาตะกับนิชิโนยะผุดลุกขึ้นทันทีแล้ววิ่งไปหาสึกะวาระใกล้ๆเพื่อขอคำตอบว่าพวกเขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ทุกคนต่างก็รอคำยืนยันจากปากเขา
“มันเป็นความจริง คุณแม่ของฉันมาบอกฉันเมื่อวานนี้ ฉันจะต้องไปเรียนต่อที่เมืองแถบยุโรป…”เสียงหวานสั่นเครือเมื่อเจ้าตัวพยายามควบคุมแล้วควบคุมเพื่อไม่ให้มันเป็นคำพูดอู้อี้ที่ฟังกันไม่รู้เรื่อง แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งฟังไม่รู้เรื่อง นิชิโนยะกับฮินาตะไร้คำพูดใดๆ
“ไม่ได้ฟังผิดนะครับ สึกะวาระซัง”สึกิชิมะถาม แม้หน้าจะนิ่งจนเป็นปกติ แต่ลึกๆแล้วเขาห่วงทุกคนโดยเฉพาะรุ่นพี่ปีสามที่ชอบยิ้มคนนี้
“ไม่ได้ฟังผิด ฮึก…”หยดน้ำตาร่วงเผาะลงบนพื้นไม้ในโรงยิมหยดแล้วหยดเล่า เจ้าตัวก็พยายามเช็ดแล้วเช็ดอีกแต่เหมือนมันจะไร้ความหมาย เพราะนิ่งเช็ดน้ำตาก็ยิ่งไหลราวเขื่อนแตก ลูกทีมหลายๆคนรีบลุกขึ้นมาปลอบใจสึกะวาระกันยก่ใหญ่ ยกเว้นก็แต่….
กัปตันทีมที่ยืนก้มหน้าเล็กน้อยไม่พูดไม่จา มือแกร่งกำแน่นแล้วเดินหนีออกไปโดยไม่ให้ใครรู้ แต่นั่นก็ไม่พ้นสายตาของโค้ชตัวเองกับผู้จัดการสาวปีสามที่ถอดถอนหายใจออกมาพร้อมกันแล้วชำเลืองเหลือบมองหน้ากันเองอย่างเหนื่อยหน่ายใจกับการทะเลาะครั้งนี้ที่ดูจะไม่จบง่ายๆซะแล้ว แถมถ้าการทะเลาะกันครั้งนี้ไม่จบเร็วๆนี้ คาดว่าจะไม่มีทางได้คืนดีกันอีกแน่ๆ เพราะทั้งคู่จะไม่ติดต่อกันเลย ดีไม่ดี จะเลิกเป็นแฟนกันไปซะด้วยซ้ำ คิดแล้วปวดหัวจริงๆ…
“กำหนดไปเมื่อไหร่เหรอครับสึกะซัง”นิชิโนยะถามสึกะที่หยุดร้องไห้ สึกะวาระหัวเราะแล้วตอบแบบฝืนๆร่าเริง
“วันอาทิตย์นี้แล้วล่าาาา เร็วมั้ยล่ะ? ฮะๆ”คำตอบของเจ้าตัวทำให้หลายๆคนสะเทือนใจ กำหนดการมันกระชั้นชิดซะจนน่ากลัว เพราะรู้ตัวอีกที พวกเขาก็มีเวลาอยู่ด้วยกันอีกแค่สามวันแล้ว… ทั้งที่เพิ่งรู้ข่าว การจากลากลับเข้ามาใกล้ซะจนน่ากลัว…
“สึกะวาระซํงจะกลับมาเมื่อไหร่ครับ…”สึกิชิมะถามมองคนอื่นๆในทีมคอยลูบหลังปลอบใจเซ็ตเตอร์ปีสาม
“ฉันก็ไม่รู้ ดีไม่ดี อาจจะจนกว่าจะจบมหาวิทยาลัยเลยก็ได้…”สึกะวาระหัวเราะแห้งๆ
“งั้นวันพรุ่งนี้หลังเลิกซ้อมไปฉลองกันเถอะครับ! ปาร์ตี้จากลาที่ร้านของโค้ชไงงง”ฮินาตะเสนอความคิดอย่างร่าเริงเพื่อไม่ให้มันบรรยากาศดูเศร้ามากกว่าเดิม ทานากะตบบ่าฮินาตะไปป้าบนึงอย่างเห็นด้วย
“เป็นความคิดที่ดีมากฮินาตะ!”ทานากะว่าแล้วยิ้มกว้างแล้วมองไปทั่วเป็นเชิงขอความเห็นจากทุกๆคน
“ก็โอเคนะ แต่ว่าโค้ช……..”เอ็นโนิตะกล่าวแล้วเอี้ยวตัวหันไปมองอุไคด้วยสายตาอ้อนวอน อุไคจะพูดว่าไม่ได้ คำนั้นก็ติดอยู่ที่คอหอยเพราะสายตาออดอ้อนจากลูกทีมนับสิบ สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจยาวๆให้กับรายจ่ายที่จะตามมาแล้วเอ่ยปากอนุญาต
“ก็ได้ แค่ครั้งนี้นะ เพราะเป็นปาร์ตี้จากลาหรอกนะ…”ว่าแล้วโค้ชหนุ่มก็เกาหัวแกรกๆเซ็งๆ
“โอ้วววว!!”ทุกคนในทีมร้องเฮออกมาอย่างดีใจกันยกใหญ่ สึกะวาระยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เขาไม่นึกว่าทุกคนจะทำอะไรอย่างนี้ให้เขาเลย ถึงแบบนั้น… ใจของเขาก็ยังพะวงเรื่องการทะเลาะกันของเขากับไดจิ เมื่อคิดได้ เขาก็หันไปมองหากัปตันทีมแต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่มีกัปตันทีมอยู่ในโรงยิมแห่งนั้นแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับไดจิรึเปล่านะ? สึกะวาระคิด
ทางด้านไดจิที่หนีออกมาจากโรงยิมก่อน เขาเดินออกจากโรงยิมมาได้ซักพักแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดของสึกะวาระก็ยังก้องอยู่ในหัว
ใจของไดจิสั่นไหวอย่างรุนแรง การที่จะไม่ได้คุยไม่ได้อยู่ใกล้กันเหมือนเมื่อก่อนทำเขาใจหาย เขาจะไม่เจ็บปวดตายหรืออย่างไร ลำพังแค่ปัญหาการทะเลาะกันตอนนี้เขาก็แทบจะบ้าตายมิแหล่แล้ว ถ้าต้องจากกันทั้งๆที่ปัญหานี้ยังไม่คลี่คลายเขาต้องนอนเป็นคนซึมเศร้าตลอดกาลแน่ๆเลยเชียว
เขามันงี่เง่าที่ห่วงอีกฝ่ายมากจนเกินไป งี่เง่าที่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย งี่เง่าที่ไม่ฟังคำพูดหรือคำอธิบายของอีกฝ่ายเลยแม้แต่คำเดียว คิดแล้วมันน่าเจ็บใจ ถ้าวันนั้นเขาแค่ทำเป็นโกรธเล็กน้อยไม่ถึงขั้นทำอย่างนั้น เรื่องทุกอย่างก็คงจะจบไปแล้ว…
ไดจิคิดแล้วก็หันเข้ากำแพงก่อนจะชกกำแพงดังปั่ก! แม้จะเจ็บแต่เขาก็ยังชกต่ออีกสองสามที…
“บ้าที่สุดเลย…”ไดจิพึมพำแล้วยืนหันหลังให้กำแพงก่อนจะถูตัวลงนั่งกับพื้นเงียบ เอามือปิดหน้าตัวเองอย่างเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดเพียงคนเดียวท่ามกลางหิมะที่เริ่มโปรยปรายอีกครา
เวลาล่วงเลยจนมาถึงช่วงของการจัดฉลองวันจากลาเซ็ตเตอร์ปีสาม…
“เอ้าาาา ซาลาเปาขนมของกินเอาอะไรว่ามาาาา”อุไคตะโกนในร้านของตัวเองที่แปรสภาพเป็นที่จัดปาร์ตี้เล็กๆไปแล้ว
“ซาลาเปาครีมคร้าบบบบ/ครับผม!”ฮินาตะกับคาเงยามะพูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะหันมาจ้องหน้าแต่กันเองอย่างกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะเถียงกันว่าใครพูดก่อนและใครควรจะได้ก่อน จนอุไคต้องเอาซาลาเปาร้อนๆปาใส่หน้าพร้อมกันทั้งคู่ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในงานได้เป็นอย่างดี สมแล้วที่เป็นคู่หูคู่ฮาแห่งคาราสุโนะ
“สึกะซัง เอาอะไรมั้ยครับ”นิชิโนยะถามพร้อมถาดขนมหลากหลายชิ้นที่หน้าตาแต่ละชิ้นน่ากินมาก สึกะยิ้มกว้างแล้วผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะหยิบขนมสองสามชิ้นมาไว้ในจานตัวเองที่อุไคเตรียมไว้ให้ทุกๆคนในงาน
พอหยิบมาเขากลับไม่ได้แตะมันแม้สักชิ้นเดียวเลย… พูดตามตรงแล้วเขาอยู่ในสภาวะที่กินอะไรไม่ลงเลย ถึงงานตรงหน้าจะสนุกเพราะมีเกือบทุกคนในทีม แต่กลับไม่มีคนสำคัญคนนึงในงาน…
“ทำไมไม่กินล่ะ?”รู้สึกตัวอีกที ชิมิสุก็เดินมานั่งข้างๆเขาซะแล้ว
“ไม่รู้สิ ไม่หิวอ่ะนะ แหะๆ”สึกะวาระเกาแก้มพลางหัวเราะแห้งๆเป็นคำตอบ ชิมิสุทำหน้านิ่งๆแล้วถอนหายใจก่อนจะพูดจี้ใจดำสึกะวาระไปประโยคนึง
“คิดถึงไดจิอยู่เหรอ…”สึกะวาระได้แต่สะอึกแล้วก้มหน้าลงไม่พูดอะไร เขาพยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบ
“เจ้านั่นกลับบ้านไปแล้วล่ะ”ชิมิสุกล่าวก่อนจะดื่มน้ำในแก้วให้พร่องลงไปบ้างหลังจากที่ได้รับมาจากนิชิโนยะและทานากะสองคู่หูคู่เกลอที่คอยปกป้องเธอโดยที่ไม่ได้เอ่ยปากขอซักคำ
“งั้นเหรอ ไม่อยากเจอฉันขนาดนั้นเชียว...”สึกะพึมพำเบาๆแล้วยิ้มเศร้าๆก่อนจะก้มหน้ามองแก้วน้ำในมือที่สั่นไหว เขาเม้มปากอย่างเจ็บปวด รอบข้างล้อมรอบไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่ทำไมเขากลับหัวเราะอย่างร่าเริงแบบปกติไม่ออกล่ะ?
ชิมิสุมองปฏิกริยาของสึกะวาระเงียบๆแล้วตีหัวเขาไปทีนึงอย่างหมั่นไส้
“โอ้ย”สึกะวาระหน้าทิ่มเกือบจะโดนแก้วตรงหน้า ดีที่หยุดตัวเองทันก่อนหน้าจะชนแก้วแตกเข้าโรงพยาบาลพอดี
“ทำอะไรเนี่ยยยย”เขาหันไปมองชิมิสุทันที ซึ่งเธอก็ถอนหายใจใส่หน้าเขาเบาๆ
“บางทีอะไรๆก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นายคิด อย่าคิดเองเออเองก่อนสิ”ชิมิสุกล่าวเชิงสั่งสอนน้อยๆทำให้สึกะวาระได้แต่งงอยู่อย่าง เจ้าหล่อนลุกหนีไปก่อนที่เขาจะได้ถามอะมากกว่านั้น สุดท้ายเขาก็ไม่ได้คำตอบแม้กระทั่งหลังงานฉลองจบแล้วก็ตาม…
วันเสาร์ที่เขาได้แต่ก้มหน้าก้มตาพับเสื้อพับผ้าเก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวไปต่างประเทศ บอกตามตรงแล้ววันนั้นเขาเหม่อลอยจนชนข้าวของล้มไปทั้งทางในบ้าน คุณแม่ของเขาถึงกับรีบอาสาเก็บเสื้อผ้าและข้าวของให้อย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่เขาก็ปฏิเสธเพราะเขาเป็นผู้ชาย เหตุใดจึงควรที่จะให้ผู้หญิงมาจัดเสื้อจัดผ้าให้ล่ะ เขาโตเป็นผู้ใหญ่มากเกินไปแล้วล่ะนะ!
“เฮ้อ…”เขาสาบานได้ว่านี่น่าจะครบร้อยรอบแล้วที่เขาถอนหายใจมาครึ่งวันนี้ เดินไปไหนมาไหนในบ้านเขาก็ต้องถอนหายใจตลอด โดยมีสายตา่ห่วงใยจากคุณแม่มองตามทุกครั้งเช่นกัน
“โควชิคุง ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยจ้ะ”คุณแม่เอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับคุณแม่ ไม่ต้องห่วง”สึกะวาระตอบแล้วยิ้มกว้างตามนิสัยเดิมๆของเขา หากแต่รอยยิ้มนั้นดูฝืนธรรมชาติของเขาชอบกล
สุดท้ายคุณแม่ก็ยอมเลิกราไปไม่ซํกไซ้ถามอะไรต่ออีก เขาเลยเดินขึ้นห้องไปจัดของต่อในห้องตัวเองที่ชั้น2 พับเสื้อไปนั่งคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่เรื่อยๆ
เสื้อตัวที่1…. วันที่เขาเจอกันไดจิเป็นครั้งแรก
ถุงเท้าคู่ที่2…. วันที่เขาเข้าชมรมพร้อมกัน
เสว็ตเตอร์ตัวที่3…. วันที่พวกเขาไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก
หมวกชิ้นที่4…. วันที่มานอนข้างบ้านเพราะโครงงานที่ทำด้วยกัน
ผ้าเช็ดตัวผืนที่5…. วันที่พวกเขาเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักกันเข้าแล้ว
เสื้อยืดชิ้นที่6…. วันที่พวกเขาสารภาพรักซึ่งกันและกัน
กางเกงขาสั้นตัวที่7….วันที่เขาสารภาพรักซึ่งกันและกัน
กางเกงขายาวตัวที่8…. วันที่พวกเขาเดทกันครั้งแรก
ผ้าผันคอผืนที่9…. วันเกิดของไดจิที่พวกเขาฉลองด้วยกันเงียบๆ
เสื้อกล้ามตัวที่10…. วันที่พวกเขาทะเลาะกันครั้งแรกและเป็นการทะเลาะกันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้…..
พอเขาจะพับเสื้อตัวต่อมา เขากลับพบว่าเสื้อตัวนั้นคือเสื้อที่ไดจิซื้อเป็นของขวัญให้ในการเดทกันครั้งแรกของพวกเขา มือบางทั้งสองข้างกำเสื้อนั้นแน่น ไม่นานดวงตาก็เบลอขึ้นเพราะเขากำลังมองผ่านม่านน้ำตาที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาช้าๆ
และแล้วน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาใส่เสื้อนั้นอีกครั้ง หยดแล้วหยดเล่ากับความทรงจำที่ค่อยๆไหลย้อนกลับมาให้คิดถึงและเจ็บปวด สึกะวาระอยากคืนดีกับไดจิก่อนที่ตัวเขาจะต้องไปต่างประเทศ แต่ทว่าจะให้ทำอย่างไรเล่า เขาทั้งสองคนต่างมองหน้ากันไม่ติดแล้ว และถ้าพรุุ่งนี้อีกฝ่ายไม่มาส่งเขาที่สนามบิน เขาจะไม่มีทางได้เจอไดจิอีกนานแน่ๆ จะจบอย่างนี้แล้วเหรอ? สึกะวาระถามตัวเองทั้งน้ำตา ปากคร่ำครวญเบาๆอย่างเจ็บปวด
เวลาล่วงเลยข้ามมาถึงวันอาทิตย์ วันที่เขาจะต้องไปต่างประเทศ ทุกคนต่างพากันถ่อมาเพื่อบอกลาเขา ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เห็นคนสำคัญของเขาเลย สึกะวาระได้แต่กำมือแน่นฝืนยิ้มให้ทุกคนที่มาส่งก่อนจะขึ้นเครื่องคุณแม่เขาก็บอกให้ไปห้องน้ำให้เรียบร้อย เขาเลยลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำของสนามบินด้วยสภาพเหม่อลอย
สึกะวาระเดินผ่านห้องมืดๆห้องหนึ่งที่อยู่ก่อนหัวมุมที่เลี้ยวแล้วจะเจอห้องน้ำ ทันใดนั้นก็มีมือยื่นมาจับข้อมือบางก่อนจะดึงให้สึกะวาระหลุดเข้าไปในห้องมืดๆนั่น
“จะทำอะไรน่-----”ไม่ทันที่สึกะวาระจะได้ตะโกนอะไรปากของเขาก็ถูกมือแกร่งปิดไว้ก่อน แสงสลัวๆทำให้เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด เขาไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นใครและต้องการอะไรกันแน่ แต่พออีกฝ่ายเอ่ยคำพูดออก ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
“ฉันเอง อย่าเสียงดังนะสึกะ”ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่ดึงเขาเข้ามากอดเอาไว้คือไดจินั่นเอง สึกะแข็งไปทั้งตัว การที่คนๆนึงที่เขามองหาตลอดเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาเป็นอะไรที่เกินคาดแต่ก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจและดีใจมากที่สุด เขานึกว่าจะต้องไปจากที่นี่โดยไม่ได้เห็นหน้าไดจิซะแล้ว
“....ฉันขอโทษ”ไดจิเอ่ยหลังปล่อยให้ความเงียบคลอบคลุมมายาวนาน เขาเอ่ยทั้งๆที่กอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมอก มือแกร่งกระชับตัวอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้กว่าเดิม หน้าของกัปตันทีมที่ดูดันอยู่เสมออ่อนลงและค่อยๆซบลงบนไหลของรองกัปตันทีมช้าๆ สึกะวาระหลับตาลงช้าพร้อมรอยยิ้มบาง มือบางค่อยๆกอดกลับ
“ฉันเองก็ขอโทษ คืนดีกันนะไดจิ….”สึกะวาระกล่าว มือของเขาเลื่อนไปวางลงบนหัวกัปตันทีมที่กอดเขาแน่นเหมือนพยายามที่จะบอกว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยสึกะแน่ๆ
ทั้งคู่เงยหน้ามองกันและกันด้วยสายตา ก่อนจะยิ้มให้กันแล้วหัวเราะออกมา
“ฉันนึกว่าเราจะไม่ได้คุยกันอีกแล้วซะอีก”สึกะวาระว่าด้วยรอยยิ้ม
“แค่สองสามวันนี่ฉันยังแทบตาย ฉันคงไม่อยากจะลงแดงตายหรอกนะ”ไดจิหัวเราะในลำคอแล้วจ้องมองสึกะด้วยรอยยิ้ม
ไม่นานริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบเข้าหากันเป็น เป็นจูบที่หอมหวานและนุ่มนวล
“กลับกันเถอะ ไม่งั้นทุกคนจะรอนะ”สึกะวาระผละออกมาจากจูบที่หอมหวานนั้นก่อนจะเอามือแตะริมฝีปากไดจิยิ้มๆ
“ขอนานกว่านี้สิ”ไดจิที่ดูเหมือนจะกลับเข้าสู้โหมดขี้อ้อนกล่าวด้วยสายตาอ้อนวอนแต่ก็โดนสึกะวาระค้อนใส่ทีนึง สุดท้ายเขาก็ปล่อยสึกาวาระให้ออกจากอ้อมอกของเขา แต่ไม่วายจับมือไว้ไม่ห่าง ทำเอาสึกะวาระรู้สึกเขินขึ้นมาทันที
“ฉันไปเรียนต่างประเทศนายต้องคอยโทรหาฉันตลอดๆนะ”สึกะว่าพลางเดินกลับไปหาคุณแม่และทุกๆคนที่มาส่ง
“ครับผม”ไดจิกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างแถมทำท่าตะเบ๊ะล้อเลียน
“อ้าว กัปตัน!”ฮินาตะหันไปมองไดจิกับสึกะวาระ ตามด้วยสายตาทุกคู่จากทุกคนในทีมรวมถึงคุณแม่ของสึกะวาระที่เห็นพวกเขาแว้บแรกแล้วหัวเราะเบาๆ
สึกะวาระรู้สึกว่าหน้าเขาร้อนขึ้นมาเมื่อทุกคนจ้องมองมือที่จับกันของเขาและไดจิ ถึงอย่างนั้นเขามั่นใจว่าหลายคนในทีมสามารถเดาความสัมพันธุ์ระหว่างเขากับไดจิได้แล้ว อาจจะเว้นบางคนที่ยังซื่ออยู่นิดหน่อย
“พอดีมาช้าไปหน่อยน่ะนะ”ไดจิหัวเราะแล้วยิ้มกว้าง
“โควชิคุง เดี๋ยวจะถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้วนะ ต้องไปตรงนู้นแล้วแหน่ะ”คุณแม่ของสึกะวาระว่าพลางชี้ไปที่รอเครื่องบินของสนามบิน สึกะวาระพยักหน้า
“สึกะ”ไดจิเรียกสึกะวาระเบาๆ เมื่อเขาหันมา ผ้าพันคอสีดำก็ผันเข้าที่คอของเขาอย่างแผ่วเบา ไดจิจัดการจับผ้าพันคอให้เข้าที่เข้าทางท่ามกลางสายตางงงวยจากสึกะวาระ
“เป็นของขวัญการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกไง ฉันถักเอง ไม่รู้นายชอบรึเปล่านะ”ว่าแล้วเขาก็จุมพิตหน้าผากมนเบาๆด้วยเป็นของแถมแบบไม่เกรงสายตาใครหลายๆคนแถวนั้น
“ทำอะไรตรงนี้เล่า!”สึกะวาระส่งสายตาค้อนขวับแก้มขาวขึ้นสีแดงชัดเจนเรียกเสียงหัวเราะจากไดจิได้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นคนที่เป็นต้นเหตุไม่สำนึกผิด เขาก็ตีแจนอีกคนเบาๆเป็นการลงโทษเสียเลย ถึงแม้มันจะดูไม่ระแคะระคายผิวอีกคนก็เถอะ
“อะไรกัน ก็วันสุดท้ายจนกว่าจะเรียนจบนายถึงจะกลับมา มันก็ต้องเอาให้เยอะเท่าที่ทำได้สิ”ไดจิว่าด้วยเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก
“อ้าว โควชิคุง เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าจ้ะ?”คุณแม่ของสึกะวาระแทรกขึ้นมา
“เอ๊ะ?”สึกะวาระกับคนๆอื่นหันไปมองคุณแม่ยังสาวด้วยสายตางงๆ ก่อนที่คุณเธอจะเฉลยความจริงทั้งหมด
“เอ คุณพ่อบอกแล้วนี่จ้ะ ว่าแค่ไปเที่ยว1อาทิตย์น่ะ”พูดจบแม่นางก็เดินละลิ่วหนีไปทิ้งให้บรรยากาศเงียบกริบดำเนินไปสองสามนาที ไม่มีใครพูดอะไร มีแต่สายตาที่เบนหันมามองสึกะวาระเพียงคนเดียว ซึ่งเจ้าตัวก็ร้อนๆหนาวๆกับสายตาพวกนั้น
“อะ แหะๆ เหมือนจะฟังผิดอ่ะนะ”สึกะวาระพูดแล้วเกาหัวแก้เก้อเล็กน้อยแล้วรีบถอยออกมาจากดงคนที่มองเขา
“สึกะ….”ไดจิกับอาซาฮิเรียกพร้อมกัน แต่ไม่ทันทีทั้งสองคนจะพูดอะไรต่อ ตัวปัญหาก็วิ่งลิ่วๆหนีไปหาแม่ตัวเองซะแล้ว ทำเอาลูกทีมอีกหลายๆคนวิ่งตามแท[ไม่ทัน และแล้วความโกลาหลก็ตามมาตามแบบฉบับคาราสุโนะทั้งหลาย
“สึกะเนี่ยน้า ฉันใจหายน้าาา”อาซาฮิคร่ำครวญใส่สึกะวาระยกใหญ่
“สึกะวาระซังอย่าทำอย่างนี้อีกนะครับ พวกผมเสียใจแทบแย่”ตามด้วยฮินาตะกับนิชิโนยะที่น้ำตาคลอเบ้ากันเป็นแถบ
“แต่ว่าก็ดีแล้วล่ะที่สึกะซังไม่ต้องไปไหน”เอ็นโนชิตะกล่าวด้วยเสียงหัวเราะอย่างโล่งใจ
“คราวหน้าถามให้ดีๆก่อนนะครับสึกะวาระซัง”สึกิชิมะว่าผสมด้วยด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆจากยามากุจิที่อยู่ข้างกายเป็นปกติ
“แค่อาทิตย์เดียวก็ดีแล้วล่ะครับ นึกว่าจะไมได้ดูสึกะซังจบการศึกษาจากคาราสุโนะซะแล้ว”โนยะกล่าว
สึกะวาระได้แต่หัวเราะแห้งๆแล้วขอโทษขอโพยทุกคนยกใหญ่ แต่เขาก็ดีใจนะที่เขาเข้าใจผิด ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางได้คืนดีและรับของขวัญจากไดจิแน่ๆ อย่างน้อยการเข้าใจผิดครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายซักเท่าไหร่หรอกนะ
“สึกะ คราวหน้าอย่าทำอย่างนี้อีกนะ”ไดจิกล่าวแล้วถอนหายใจพรืด
“รู้แล้วน่า ก็แค่เข้าใจผิดก็เท่านั้นเองน่าไดจิ” สึกะวาระพูดงึมงำหน้างอก่อนจะรีบลากกระเป๋าไปหาคุณแม่เมื่อได้ยินเสียงประกาศจากลำโพงทั่วสนามบินว่าเครื่องบินเที่ยวที่เขาจะนั่งมาถึงแล้ว
“เอาเป็นว่า อีกอาทิตย์เจอกันนะทุกคน”สึกะวาระโบกมือลาด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
“โชคดีน้าาาา”ทุกคนโบกมือให้กับเครื่องบินที่บินขึ้นฟ้าไปแล้วท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม ไดจิเหม่อมองท้องฟ้าแล้วยิ้มออกมา
ต่อให้ห่างกันแค่ไหน ขอแค่พวกเขาอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?...
End
Writer talk zone
สวัสดีค่ะ หลังจากที่ทิ้งนิยายในนี้ให้ร้างไปนานมากแล้ว ตอนนี้ก็ดันตัวเองให้กลับมาอัพแล้วล่ะค่ะ มีหลายเรื่องที่จะแจ้งเลยล่ะค่ะ แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันก่อนล่ะนะคะ เพราะตัวอะโครเองก็พูดไม่ได้ว่ามีคนคอยติดตามการอัพนิยายอยู่ แต่ว่าพอเข้ามาก็ชื่นใจมากที่มีคนเข้ามาคอมเม้นท์ให้อัพนิยาย แม้จะคนเดียว แต่กำลังใจในการอัพนิยายมันเพิ่มมากขึ้นจริงๆค่ะ
หลังจากนี้คงต้องขอความกรุณาอีกมากๆด้วยนะคะ!^0^!@
ปล.นิยายเรื่องอื่นจะทยอยอัพนะค้าาาาา
ปลล.เปลี่ยนนามปากกาเป็นอะโครแล้วค่ะ หน้าidช่างมันเตอะ 55555
ผลงานอื่นๆ ของ Yuki_Snow ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Yuki_Snow
ความคิดเห็น