~~++AbOuT LoVe++~~
เรื่องหวานแหววที่น่าติดตามเชิญชม
ผู้เข้าชมรวม
102
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตื่นได้แล้ว อีตาบ้า คนนอนกินบ้านกินเมือง”
เสียงใสๆ ของออม เพื่อนสนิทของผมดังขึ้น..
“เมธ เธอจะนอนไปถึงไหนเนี่ย??”
เสียงเจ้ากี้เจ้าการยังคงดังต่อไปอย่างไม่มีท่าทีจะหยุดนิ่ง..
พร้อมกับใช้แรงที่มี กระชากผ้าห่มของผมออก
ผมยังคงมุดตัวอยู่กับหมอนใบนุ่ม อากาศแบบนี้น่านอนจะตายไป..
“ก้อจะนอนจนกว่าจะหายง่วงน่ะสิ ยัยบ้า” ผมตอบแบบไม่ใส่ใจนัก..
ผมกับออม เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยประถม
แล้วก้อเป็นเพื่อนกันมาตลอด ออมเป็นสาวสวย เรียนดี
เป็นที่หมายปองของหนุ่มๆเกือบครึ่งค่อนมหาวิทยาลัย
ทั้งๆที่ผมไม่เคยจะมองว่ายัยคนนี้สวยสักที..
สู้น้องเก๋ ดาวคณะนิเทศก้อไม่ได้ ทำไมถึงมีคนชอบเธอเยอะจริง..ผมไม่เข้าใจ
“เมธ ตื่น!!!!” เธอยังคงใช้เสียงแสบแก้วหูของเธอปลุกผมเช่นเดิม น่ารำคาญจริงๆ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าที่ผมตื่นเช้าทันไปเรียน
ติดต่อกันมา สามปีแล้ว ก้อเพราะเสียงแปร๋นๆ แสบแก้วหูของยัยออมนี่แหละ
บิดตัวสองสามครั้ง ผมจึงลุกออกมาจากที่นอนอันแสนสุขได้..
ผมใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำแปรงฟัน และแต่งตัว
แต่ก้อยังไม่วายโดนยัยออมค่อนแคะเอาว่า
“วิ่งผ่านน้ำมาหรือไง ขี้ไคลสงสัยจะปั้นช้างได้ซักสองสามตัวละมั๊ง”
อะไรกันนะ เร็วก้อไม่ดี ช้าก้อหาว่าสำอางค์
ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป
เพราะรู้ ว่ายัยออมก้อบ่นไปอย่างนั้น
แต่ยัยนี่บ่นเก่งจริงๆ จู้จี้กับผมจนบางทีเพื่อนๆ แอบไปนินทากันว่า
ยัยออมนี่แหละ แฟนผม
แต่จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อผมก็ไม่เคยสนใจจะมองยัยคนนี้แบบแฟนสักที..
“วันนี้ออมมีสอบนะเมธ รอด้วย เดี๋ยวไปซื้อของกัน”
“ไม่ได้อะ วันนี้เมธมีซ้อมบาส ออมไปคนเดียวไม่ได้เหรอ?”
“ใจร้ายจัง งั้นออมไปคนเดียวก็ได้ เมธไม่ไปก้อไม่เป็นไร”
เสียงเธอดูเหมือนสลดลงวูบหนึ่ง.. แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
“พี่เมธคะ ทำไมวันนี้มาสายจัง เก๋รอตั้งนาน”
เสียงใสคุ้นหูที่ผมปรารถนาจะได้ยิน ดังขึ้นแล้ว..
ผมรีบสาวเท้าเดินไปให้ถึงต้นเสียงโดยเร็วที่สุด ดูเหมือนออมจะไม่ค่อยพอใจนัก..
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะผมบอกแล้ว ออมเป็นได้แค่เพื่อนของผมเท่านั้นเอง
ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจเราสักที..
ฉันกับเขาคบกันมาตั้งแต่สมัยประถม
เมธเป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียวที่ฉันห่วงใย
และรู้สึกผ่อนคลายที่สุดเท่าที่ฉันเคยมีเพื่อนมา..
ฉันแค่รู้ ว่าหัวใจตัวเองต้องการอะไร..
เหมือนกับที่เมธเองก็คงรู้ .. ว่าเขาชอบน้องเก๋มากแค่ไหน
ถึงฉันจะอยากพูดออกไปมากแค่ไหน
เขาคงไม่รับฟัง .. สู้ฉันเก็บทุกอย่างไว้อย่างนี้ดีกว่า..
“ออม ทำอะไรมา หน้ามุ่ยๆ อกหักรึไงกันจ๊ะ” เสียงยัยจุ๊บ
เพื่อนสนิทอีกคนของฉันทักขึ้นอย่างทะเล้น
ฉันไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ส่งยิ้มแกนๆ กลับไปให้เพื่อนสาวเท่านั้น..
“นายเมธอีกแล้วล่ะสิ ทำหน้าแบบนี้มา หนีไม่พ้นนายนี่ซักที..” ยัยจุ๊บพูดต่อ
“พอเถอะน่าจุ๊บ เมธเค้าไม่ได้ทำอะไรเราหรอก”
“เราผิดเองแหละ สงสัยพักนี้วุ่นวายเกินไป”
ฉันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย
“วันนี้พี่เมธไปชอปปิ้งกับเก๋นะคะ นะคะ นะ”
น้องเก๋ขอร้องขนาดนี้ มีหรือผมจะไม่ไป รีบตอบไปทันทีว่า
“ได้สิครับ เดี๋ยววันนี้น้องเก๋เลิกเรียนแล้วพี่ไปรับแล้วกันนะครับ”
ผมลืมไปสนิท ว่าวันนี้ผมมีซ้อมบาสตอนเย็น และลืมไปสนิท
ว่ายัยออมก้อชวนผมไปซื้อของด้วยเหมือนกัน ..
แต่ผมเลือกที่จะไปกับน้องเก๋ มากกว่าที่จะไปเป็นลูกกระจ๊อกยัยออมถือของ
ก็นะครับ แหม น้องเก๋เธอออกจะน่ารักขนาดนี้
ผมไม่กระตือรือร้นก้อแปลก ตอบรับไป ผมก็ได้แต่ยิ้มกริ่ม
แทบจะรอให้ถึงเวลาเย็นไม่ไหวเลยครับ
“วันนี้น้องออมไปไหนรึเปล่า ตอนเย็นไปทานข้าวกับพี่ไม๊ครับ?”
พี่ต้น พี่รหัสของฉัน เอ่ยชวนเหมือนกับทุกๆ วัน
พี่ต้นชวนฉันกินข้าวเย็นแบบนี้มาสองปีแล้ว
เป็นสองปีที่พี่ต้นเสมอต้นเสมอปลายในการชวน
และฉันก็เสมอต้นเสมอปลาย ในการปฏิเสธเช่นกัน..
“เอ่อ..” ฉันอึกอัก
“น้องออมไม่ว่าง พี่รู้แล้วคับ” พี่ต้นตอบแทนคำตอบในทุกๆ วันของฉัน
พร้อมยิ้ม หัวเราะอย่างอารมณ์ดีเหมือนกับทุกครั้ง
“ออมว่างค่ะพี่” อะไรทำให้ฉันตอบออกไปแบบนั้นนะ..
"เสื้อตัวนั้นสวยจังเลยค่ะพี่เมธ" เสียงใสๆ ของน้องเก๋ดังขึ้น
แต่ประโยคที่พูด ผมชักจะเป็นทางออกของเงินในกระเป๋าแล้ว
แต่เอาเถอะ ผมว่า เรื่องแค่นี้ คนรักกันให้กันได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา
"เท่าไหร่นั่นน่ะครับน้องเก๋ ชอบจริงๆ เหรอคับ?"
ผมแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะหากเธอชอบขึ้นมาจริงๆ ผมจะแย่
ร้านแบบนี้ ราคาเสื้อสวยตัวนั้นต้องปาเข้าไปสักครึ่งหนึ่ง
ของเงินเบี้ยเลี้ยงของผมเดือนนี้แน่นอน
"สามพันห้าเองค่ะพี่เมธ สวยจัง เก๋ชอบที่สุดเลย"
น้องเก๋ตอบพร้อมปรายตามามองหน้าผมวูบหนึ่ง ผมรู้ดีว่าหมายถึงอะไร..
"เอาสิครับ เดี๋ยวพี่ซื้อให้" ผมตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
ก็ผมบอกแล้วไงครับ เรื่องแค่นี้เอง..คนรักกันให้กันได้อยู่แล้ว
ไม่มีปัญหา..
แอร์เย็นฉ่ำของร้านอาหารเล็กๆ ไม่ไกลนักจากมหาวิทยาลัย เย็นกระทบผิวกาย
จนฉันต้องกระชับเสื้อแขนยาวตัวบางให้กระชับขึ้นอีกนิด
อากาศเย็นขึ้นมาก เพราะสายฝนที่โปรยปรายอยู่ภายนอก
ดูเหมือนพี่ต้นจะดีใจมากที่ฉันมาทานข้าวเย็นกับเค้าในวันนี้..
"ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด.." ฉันรู้สึกได้ถึงวัตถุเล็กๆ ที่สั่นไหวอยู่ภายในกระเป๋า
ใครโทรมานะ .. เมื่อมองดูเบอร์ที่เรียกเข้า ฉันก็ยิ้มออกได้อย่างไม่ยากเย็น
สงสัยอิตาเมธ จะโทรมาบอกว่าเปลี่ยนใจไปซื้อของกับเราแน่ๆ..
"ฮัลโหล .. ออมเหรอ เมธนะ" เสียงเมธา เพื่อนสนิทของฉันดังขึ้น
"ว่าไงจ๊ะ โทรมามีอะไรให้รับใช้" ฉันถามด้วยเสียงร่าเริง พร้อมยิ้มให้กับโทรศัพท์
ถ้าใครมาเห็นจะว่าฉันบ้ารึเปล่านะ..
"ออม มีเงินให้เมธยืมไม๊อะ เพื่อนในทีมข้อเท้าแพลง"
"อยู่โรงพยาบาล ไม่มีใครมีเงินซักบาทเลย โอนมาให้สำรองซักสามพันได้ไม๊อะ"
เสียงเมธร้อนรนมาก สงสัยว่าเพื่อนเขาจะแย่จริงๆ ฉันจะทนอยู่เฉยได้อย่างไร..
"ได้สิ เดี๋ยวออมเดินไปโอนให้เลยนะ สามพันใช่ไม๊ จ้ะๆๆ"
"พี่ต้นคะ .. เดี๋ยวออมมานะคะ ไปธุระทางโน้นแป๊ปนึง"
คนที่รอต่อแถวตู้ ATM ต้นดือนแบบนี้ มีมากเสียจนฉันต้องรอคิวเป็นนานสองนาน
ทำธุระให้เมธเสร็จ ฉันจึงเดินกลับไปที่ร้านเดิม พี่ต้นรออยู่ก่อนแล้ว..
"ทานอะไรดีน้องออม ที่นี่อร่อยทุกอย่าง พี่รับประกันเลยเนี่ย"
พี่ต้นถามฉันด้วยน้ำเสียงร่าเริง
"อะไรก้อได้ค่ะ ออมทานได้หมด" ฉันตอบไปตามมารยาท
ในใจล่องลอยคิดถึงเพื่อนที่กำลังเดือดร้อน
"งั้นเดี๋ยวพี่สั่งให้นะครับ น้องออมไม่ทานอะไรก้อบอกพี่นะ"
"ค่ะ.."
"พี่เมธใจดีจังเลยค่ะ เก๋รักพี่เมธที่สุดในโลกเลย"
เสียงน้องเก๋สดใสขึ้นมาทันทีเลยครับ แหม ถ้าต้องแลกเงินเดือนทั้งเดือนของผม
กับสีหน้าแล้วก็น้ำเสียงแบบนี้ของน้องเก๋ ผมก็ยอมครับ
นี่ผมก็ยืมเงินยัยออมมาสามพันแล้ว เดือนนี้ผมคงพอมีเงินใช้อยู่ ไม่ขัดสนเท่าไหร่
"น้องเก๋ชอบพี่ก็ดีใจแล้วจ้ะ ใส่บ่อยๆ นะ พี่ว่าน้องเก๋ใส่แล้วสวยที่สุดเลย"
เธอฟังประโยคนี้แล้วยิ้มหวานๆ ให้ผมหนึ่งที
แหม โลกนี้มันเป็นสีชมพูเลยครับ..
"ออม เธอนี่ใจดีไม่เข้าเรื่องเลยนะ เพื่อนอยู่โรงพยาบาล จริงรึเปล่าก้อไม่รู้"
จุ๊บพูดแบบไม่ค่อยพอใจนักเมื่อรู้เรื่อง .. แต่ฉันเชื่อเมธา
เพราะเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกฉันซักนิด..
"ก็ต้องจริงสิจุ๊บ เอาน่าจุ๊บ อย่าอารมณ์เสียเลย มาทำรายงานกันต่อดีกว่า"
"แล้วเธอก็ไม่ค่อยสบาย เงินจากทางบ้านก็ไม่มาก จะเอาเงินที่ไหนไปหาหมอ"
ยัยจุ๊บซักต่อ ดูไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม ฉันไม่น่าเล่าให้จุ๊บฟังเลย
แค่นี้จุ๊บก็ไม่ค่อยชอบเมธาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว..
"แค่ปวดหัวนิดหน่อยเอง พาราสักสองเม็ดก็หายแล้ว อย่าคิดมากเลยน่า"
ฉันตอบไป แล้วก้มหน้าก้มตาทำรายงานชิ้นโตต่อไป..
เช้าวันนี้ยัยออมไปไหนนะ ไม่มาจิกผมลุกจากที่นอนเหมือนเคย
แต่ก็ดีแฮะ ผมจะได้มีเวลานอนอีกหน่อย
"กริ๊งงงงงงงงงง .. กริ๊งงงงงงงงงง" เสียงแสบแก้วหูนี่มาจากไหนกันนะ
ผมว่าผมไม่เคยตั้งนาฬิกาปลุกนะ แต่นี่มันเสียงนาฬิกาปลุกชัดๆ
ผมงัวเงียนิดหนึ่ง ก่อนจะลุกมาตามหาต้นเสียงที่แสนจะน่ารำคาญ
เจอแล้ว นาฬิกาปลุกเจ้าปัญหา..
ผมไม่รู้ว่าใครมาตั้งแล้ววางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของผมตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่พอผมยกนาฬิกาปลุกเจ้าปัญหาออก
ผมก็เจอกับโน้ตใบเล็กๆ ที่แนบอยู่ระหว่างนาฬิกาปลุกกับโต๊ะเขียนหนังสือของผม..
โน้ตสั้นๆ มีลายมือโย้เย้
ผมจำได้ดีว่า นี่เป็นลายมือของยัยออมแน่ๆ “ตื่นได้แล้วตาบื้อ สายโด่งแล้วนะยะ”
ยัยออมนี่จอมวางยาจริงๆ ผมจะนอนฝันหวานถึงน้องเก๋อีกสักหน่อยก็ไม่ได้ทีเดียว
เป็นก้างขวางคออยู่นั่น ขนาดเจ้าตัวไม่มาปลุกเอง ก็ยังอุตส่าห์วางยาไว้อีก แสบจริงๆ..
ฉันเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ดูเหมือนแสงอาทิตย์เวลานี้มันจะดูเจิดจ้าเกินไปสำหรับฉัน..
กี่โมงแล้วนะ จะมีใครปลุกเมธาไปเรียนไหม? นาฬิกาปลุกที่ฉันตั้งไว้ทุกวัน มันใช้งานได้หรือเปล่า..
รู้สึกร้อนผ่าวตั้งแต่ดวงตาถึงลำคอ คอแห้ง รู้สึกกระหายน้ำอย่างมาก
ฉันพยายามลุก เอาแขนยันตัว ลุกขึ้นนั่งได้อย่างไม่ยากเย็น
สิบเอ็ดโมงแล้ว นี่ฉันขาดเรียนไปหนึ่งวิชา .. ดูเหมือนจะเป็นไข้ นอนพักสักหน่อยฉันคงดีขึ้น
"ติ่ด ติด ติด ติ่ด ติ๊ดติ่ด ติ้ด.." เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือจากการ์ตูนอมตะสุดฮิตดังขึ้น
ใครกันนะ .. ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ข้างเตียง
"ฮัลโหล ออม เป็นไรรึเปล่า ทำไมไม่มาเรียน?" เสียงใสที่คุ้นเคยทางปลายสายไต่ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
"มีไข้นิดหน่อยน่ะจุ๊บ กินยาแล้ว นอนพักสักหน่อยคงหาย วันนี้มีงานรึเปล่า?" ฉันยังคงเป็นห่วงเรื่องการเรียนอยู่นิดหน่อย
"ไม่มีๆ เดี๋ยววันนี้ชั้นไปซีร็อกส์เลกเชอร์ของวันนี้ให้นะ เดี๋ยวไปหาที่หอ แล้วเจอกัน"
"จ้ะ ขอบใจมากนะ" ฉันตอบกลับไปอย่างซาบซึ้งใจกับเพื่อนที่แสนดี..
"ติ่ด ติด ติด ติ่ด ติ๊ดติ่ด ติ้ด.." เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์เพลงเดิมดังขึ้น ..
สายเรียกเข้าเบอร์เดิม พร้อมเสียงที่ไต่ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยเช่นเดิม..
"ออม เอาข้าวต้มปลานะ เดี๋ยวชั้นซื้อขนมปังเล็กๆ น้อยๆ เข้าไปด้วย กินข้าวแล้วจะได้กินยา"
"จ้ะ แล้วนี่อยู่ไหนแล้ว?" ฉันถามเพื่อนสนิทอย่างแคลงใจ เพราะเสียงรอบกายเธอมันดูเบา และเงียบผิดปกติ
"อยู่ในรถพี่ต้น จะไปเยี่ยมเธอกันไงยัยบื้อ แต่งตัวให้เรียบร้อยหน่อยล่ะ"
"อือ" ฉันได้แต่ตอบไปอย่างมึนๆ
คำว่า "อยู่ในรถพี่ต้น" ดูเหมือนจะเป็นแรงกระตุ้นให้ฉันลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย
เพราะฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับการใส่ชุดนอนอยู่กับคมที่ไม่คุ้นเคยเท่าไรนัก
"เฮ้ยไอ้เมธ วันนี้แฟนเอ็งไม่มาหรือวะ ทำไมเดินคนเดียว ฮ่าๆๆ" เสียงไอ้เอ็ม เพื่อนร่วมชั้นปีของผม ตะโกนแซวเหมือนทุกๆ วัน
"ใครวะ แฟนข้า น้องเก๋อะเหรอ กำลังจะไปรับว่ะ" ผมเฉไฉไปตามเรื่อง ทั้งๆที่รู้อยู่ ว่าพวกมันถามถึงใคร
"ยายออมคนสวยไงวะ แหมทำเป็นไม่รู้เรื่อง ปกติเห็นยังกะเงาตามตัว วันนี้หายหัวไปไหนวะ"
"ไม่รู้ ข้าไม่ใช่แฟนเค้าโว้ย" ผมได้แต่ปฏิเสธไปเหมือนเดิม
จะว่าไปผมก็ปฏิเสธอยู่ทุกวันนะ ทำไมไอ้พวกนี้ถึงได้แซวนักแซวหนาก็ไม่รู้
ว่าแต่ ยัยออมตัววุ่นไปไหนนะวันนี้.. ผมยังไม่เจอเธอตั้งแต่เช้า แต่ก็ช่างเถอะ วันนี้ผมต้องรับน้องเก๋ไปทานข้าว
เห็นคนสวยของผม เธอบอกว่าอยากทานอาหารญี่ปุ่น
ดูสิครับ สวยก็สวย รสนิยมก็ดี แบบนี้ใครไม่ชอบก็บ้าแล้ว
"ทั้งหมด หนึ่งพันสามร้อยสี่สิบบาทค่ะ" เสียงหวานๆ ของบริกรสาวที่ร้านอาหารญี่ปุ่นยอดนิยมดังขึ้น
"ครับ" ผมได้แต่ตอบรับแล้วยื่นธนบัตรใบสีเทาหนึ่งใบ สีม่วงหนึ่งใบให้บริกรสาวอย่างเสียไม่ได้
"ไปดูหนังกันต่อนะคะพี่เมธ" น้องเก๋อ้อนผม เสียงหวานแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ ใครไม่ยอมก็บ้าแล้วครับ
จมูกโด่งเล็กๆ ผิวขาวอมชมพู ดวงตากลมโตรับกับใบหน้ารูปไข่ แก้มชมพูระเรื่อ ปากอวบอิ่ม แต่งแต้มไปด้วยลิปกลอสใสสีชมพูอ่อน
ยังรวมไปถึงเอวเล็กๆ กับสัดส่วนที่ผมคิดว่า พระเจ้าสร้างเธอมาเป็นนางฟ้าบนโลกใบนี้จริงๆ..
แต่ทำไมวันนี้ผมถึงคิดถึงยัยออมขึ้นมาวูบหนึ่งนะ..
"ดูสภาพซิเนี่ย ดูได้ที่ไหน ตาโหลแถมยังหน้าซีดเป็นไก่ต้มอีก" เสียงยัยจุ๊บตวาดฉันแว้ดๆ แต่ฉันก็อดยิ้มในสีหน้าของเพื่อนสาวไม่ได้
"ยิ้มอะไร ดูซิ ไม่รู้จักดูแลตัวเอง บ้าจริงๆ เลยเธอเนี่ย" เพื่อนสาวของฉันยังคงบ่นต่อไป
แต่อย่างน้อยฉันก็ดีใจ ที่มีจุ๊บคอยบ่น เพราะตอนนี้ดูเหมือนเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลยทีเดียว
"ข้าวต้มมาแล้วครับผม ร้อนร้อน หอมฉุยคร้าบ" เสียงพี่ต้นยังคงทะเล้น อารมณ์ดีเหมือนเคย
"สงสัยเป็นเพราะว่ายัยออมไปกินข้าวกับพี่ต้นเมื่อวานแน่ๆ เลย ร้อยวันพันปีไม่เคยไป พอไปเลยไม่สบายเลย ดูซิ"
"เกี่ยวด้วยเหรอจุ๊บ พี่ว่าไม่เกี่ยวนา" พี่ต้นตอบยัยจุ๊บ พร้อมยิ้มแห้งๆ ตลกจริงคู่นี้ หยอกล้อกันเหมือนแฟนกันเลย
ฉันเหม่อลอยพร้อมกับทิ้งบรรยากาศหยอกล้อสนุกสนานของสองหนุ่มสาวไว้เบื้องหลัง..
"ทำไมวันนี้ไม่เข้าเรียนวะไอ้เมธ" เสียงไอ้เอ็ม เพื่อนคนเดิมของผมถามขึ้น
"ตื่นสายว่ะ" ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
"ยัยออมคนสวยขาประจำไม่ปลุกรึไงวะ ฮ่าๆๆๆ" ไอ้เอ็มยังคงคะนองปากต่อไม่หยุด
"เออ.." ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดมากกว่าเดิม
ผมเดินตรงไปที่โต๊ะม้าหินริมน้ำ โต๊ะประจำของออมกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงของเธอ
นั่นหมายความว่า วันนี้ผมต้องโดนปากคมๆ ของยัยจุ๊บกระแนะกระแหนเอาอีกแน่ๆ
ผมเร่งเดินให้เร็วขึ้น ออมหายไปสองวันแล้ว ผมก็ไม่ได้โทรหาเธอเสียด้วย
แต่เมื่อผมไปถึงโต๊ะประจำของออม ก็ผิดคาด ยัยจุ๊บปากปลาร้าไม่อยู่
แต่โชคยังดี ยังมีเพื่อนของออมคนอื่นนั่งอยู่อีกสองสามคน..
ผมเดินตรงไป แล้วถามถึงออม ว่าทำไมเธอถึงไม่มาเรียน และหายไปแบบนี้
ได้คำตอบจากเพื่อนๆ ออมว่า ออมไม่สบาย เป็นไข้หนัก
ผมรีบรุดไปที่หอพักของออมทันที แต่ก็ยังไม่ลืมซื้อก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ไม่ใส่ผักร้านที่เธอชอบมาด้วย
โตจนจะเรียนจบปริญญาอยู่แล้ว ไม่ว่าเด็กหรือโต ยัยนี่ก็ยังไม่ยอมกินผักสักที..ผมคิดในใจพลางอมยิ้ม
แต่ .. ตอนที่ซื้อก๋วยเตี๋ยวของฝาก ผมรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกไม่อยากให้ยัยออมเป็นอะไรไป
ทั้งๆก่อนหน้านี้ผมยังรำคาญเธออยู่เลย
ทำไมนะ..
ฉันนั่งมองโทรศัพท์มือถือทุก 3 นาที..
ฉันลืมเปิดเสียงรึเปล่านะ ตั้งสั่นไว้รึเปล่า แบตหมดไหมนะ ทำไมเค้าไม่โทรมาเลย..
"ก๊อกๆๆๆ" เสียงเคาะประตูรัวอย่างคนร้อนรน ใครกันนะ มาหาฉันตอนนี้ ยัยจุ๊บก็เพิ่งจะกลับไปเมื่อกี๊
ฉันลุกขึ้นยืน เอาผ้าเช็ดตัวผืนบางคลุมไหล่ แล้วเดินไปเปิดประตู
"ใกล้ตายรึยัง?" น้ำเสียงที่ฉันคุ้นเคยดังขึ้น สีหน้าของคนถามดูเหมือนกับว่า เขากำลังเป็นห่วงฉัน..
เพราะท่าทีแบบนั้น ทำให้ฉันรู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้า แถมยังไม่รู้จะเอามือไม้วางไว้ที่ไหนดีอีก..
"ยัง ยังไม่ตายสมใจเมธหรอก" ฉันตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจเล็กน้อย
"ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝากด้วย กินสิจะได้กินยา" เมธาพูดพร้อมอมยิ้มเล็กๆ เขาคงขำในท่าทางเก้ๆ กังๆ ของฉัน
แต่จะว่าไป เวลายัยออมไม่สบายก็ดูน่ารักเหมือนกันนะ..ผมว่าดูน่ารักมากกว่าตอนที่คอยตวาดผมแว้ดๆ ซะอีก
แม้แต่กลิ่นแป้งเด็กที่หอมอ่อนๆ ออกมาจากตัวเธอเวลาที่เดิมผ่านผม มันก็ดูหอมนุ่มนวลกว่าที่เคย
ผมที่ไม่ได้จัดเป็นทรงเหมือนทุกวัน ดูกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย มันทำให้แก้มใสๆ ของเธอดูน่าจับมากกว่าเวลาแต่งหน้า
แม้แต่ชุดนอนลายการ์ตูนสีชมพูซีดๆ ที่ผมเคยค่อนแคะเอาว่าเปื่อยแล้วยังไม่ทิ้ง มันก็ดูน่ารักเวลาเธอใส่..
อะไรทำให้ผมอมยิ้มอยู่ตลอดเวลานะ บ้าจริงๆ..
"เส้นหมี่ไม่ใส่ผักหรือเปล่า?" ฉันถามขึ้นพร้อมอมยิ้มน้อยๆ วันนี้รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก
"ก็ไม่กินผักไม่ใช่หรือไงยัยบื้อ" เค้าตอบแล้วยิ้มทะเล้นๆ ให้ฉัน
วันนี้เมธาดูอบอุ่นมากกว่าทุกวัน เอาใจใส่ฉัน แล้วก็พูดกับฉันดีๆตลอดเวลา
ฉันชักอยากป่วยแบบนี้ไปตลอดแล้วสิ..
"ร้อนนะ มาเดี๋ยวเป่าให้" เมธาพูดพร้อมแย่งชามก๋วยเตี๋ยวไปจากมือฉัน
มืออีกข้างจับช้อนส้อม ตักเส้นหมี่สีขาวควันฉุยขึ้นมา
เป่าเบาๆ สามสี่ครั้งแล้วม้วนเป็นคำลงบนช้อน ก่อนจะยื่นให้ฉัน..
"กินดิ่ อ้าปาก" เมธาออกคำสั่ง ..
ฉันแทบอยากหยุดโลกไว้ทั้งใบ..
"ไม่ได้หรอกออม อย่ากินนะ เป่ามาได้พรู่ดๆ น้ำลายลงไปบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้" ยัยจุ๊บตัวแสบมาข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
รู้แต่ผมหงุดหงิดทันทีที่ได้ยินเสียงยัยเพื่อนปากจัดคนนี้
"กินจนจะหมดแล้ว ถ้าน้ำลายจะลงไป ก้อเพราะฉันถุยตอนเธอมานี่แหละยัยปากมอม" ผมเถียงอย่างไม่ลดละ
"เหรอยะ แหม ไม่บอกไม่รู้เลยนะ ว่าจะมาแพร่เชื้อกระหังใส่เพื่อนชั้นน่ะ" ทำไมยัยนี่ถึงได้ปากจัดนักนะ .. ผมคิดในใจ
"ไม่อยากเถียงด้วยแล้ว ออม อิ่มรึยัง กินยาซะนะ เมธไปซ้อมบาสละ" ผมตัดบทอย่างรวดเร็ว
ก็ นะครับ ผมเขินที่อยู่ดีๆ ยัยจุ๊บปากปลาร้าก็เดินเข้ามาเห็นผมป้อนข้าวออม
แล้วมันยังเถียงกับผมอีก รำคาญครับ ผมหาทางออกทางอื่นดีกว่า
"เย็นนี้เมธจะซื้อโจ๊กมาฝาก นอนซะล่ะ" ผมพูดกับออมก่อนที่จะรีบคว้ากระเป๋าใส่ของส่วนตัวเดินออกไปจากห้อง
"ไหนบอกกลับบ้านไปแล้วไงจุ๊บ" ฉันถามอย่างสงสัยเพราะก่อนหน้านี้เพื่อนสาวบอกว่าจะกลับบ้านไปทำรายงาน..
"ฉันลืมเอายาไว้ให้เธอน่ะสิ เลยย้อนกลับมา ทำไมยะ ฉันมาเป็นก้างขวางคอหรือไง" ยัยจุ๊บถามกลับพร้อมทำหน้าทะเล้นใส่ฉัน
"หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเลยนะ โดนกระหังเมธาแพร่เชื้อรึไงยะ" จุ๊บพูดพร้อมอมยิ้ม เอาไหล่ดันไหล่ฉันเบาๆ
"หน้าแดงเถือกแบบเนี้ย สงสัยไข้จะขึ้นสูงจนปรอทแตก ฮ่าๆๆ" จุ๊บพูดพร้อมยื่นยาเม็ดต่างสีสามสี่เม็ดให้ฉัน
ทำไมฉันได้แต่ยิ้มแก้มแทบปริ โดยที่ไม่ตอบอะไรเพื่อนไปนะ..
ฉันพูดไม่ออกจริงๆ ความสุขมันอัดอั้นอยู่ในอกฉันนี่..
"กินยาซะ แล้วนอนพัก ฉันกลับบ้านละนะยะ ทีนี้รับรอง ไม่ย้อนกลับมาเป็นก้างขวางคอแน่ๆ" จุ๊บพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป..
"วันนี้พี่เมธไปชอปปิ้งกับเก๋นะคะ" เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักที่ผมเคยหลงไหลนักหนาเอ่ยขึ้น
"วันนี้พี่ไปไม่ได้เลยเก๋ มีธุระน่ะครับ" ผมบอกปัดออกไป เพราะเย็นนี้ผมต้องไปที่หอของออม..
"ใจร้ายที่สุดเลย เก๋ไปกะคนอื่นก้อได้" หน้าใสค้อนใส่ผมวงใหญ่ ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าเดินออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก..
ผมไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ผมยังรู้สึกเฉยๆ กับออมอยู่เลย
ถ้าเป็นวันก่อน ผมคงไม่ปฏิเสธน้องเก๋ไปแบบนี้แน่นอน
ผมคงไปชอปปิ้งละลายเงินในกระเป๋า (ผม) กับน้องเก๋อย่างสบายใจไปแล้ว
แต่วันนี้ แค่ผมคิดว่าต้องปล่อยออมเป็นไข้ นอนอยู่ที่ห้องคนเดียว ผมก็ไม่สบายใจเอามากๆ..
นี่ผมเป็นอะไรไป..
"ยัยออมมันโดนฝนเย็นวันก่อน เลยไม่สบาย พี่ต้นบอกว่า วิ่งออกไปทำอะไรก้อไม่รู้ บอกว่าไปทำธุระ กลับมาตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ"
ยัยจุ๊บตัวแสบ เวลาที่ตอบคำถามผมดีๆ ก็ดูไม่กวนประสาทเท่าไหร่..
จากคำตอบนั้น มันทำให้ผมรู้ว่า การที่ออมเป็นไข้ ไม่สบายไปตอนนี้
มันเป็นเพราะผม..มันเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของผม..และผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก..
หกโมงเย็นแล้ว.. ฉันยังคงมองนาฬิกา ทุกๆ 15 นาที
ในใจกระวนกระวาย แถมท้องเจ้ากรรมก็ยังร้องจ๊อกๆ..
แต่หากชั่งน้ำหนักในใจของฉันแล้ว .. โจ๊กถุงนั้นเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความกระวนกระวายในใจของฉันเท่านั้นเอง..
หากแค่เสียงอันอบอุ่น กับสายตาที่ห่วงใยเพียงนิด ของเมธา
เป็นสิ่งที่ฉันต้องการที่สุดในตอนนี้..
ฉันอมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับคิดว่า ฉันควรจะแต่งตัวให้ดูดีกว่านี้สักหน่อย..
ฉันเดินไปหน้ากระจก .. หยิบหวี หวีผมที่กระเซอะกระเซิงให้เข้ารูปกว่าเดิม
หยิบผ้าขนหนูผืนนุ่ม ชุบน้ำเย็น บิดแล้วเช็ดตามเนื้อตัวเบาๆ..
มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก
ทาแป้งเด็กที่ชอบ ผิวลื่น และเปลี่ยนใส่ชุดนอนตัวใหม่ที่แห้งสบาย
และนั่งรอเวลา..
"โจ๊กหมูใส่ไข่ใส่ขิงกับต้นหอมเยอะๆ ครับ" ผมสั่งอาแปะร้านโจ๊กหน้าหอพักอย่างคุ้นเคย
สงสัยใช่ไม๊ครับ ว่าทำไมผมถึงซื้อโจ๊กใส่ผัก แถมยังสั่งว่าเยอะๆ อีก
ทั้งๆที่ถ้ายัยออมเปิดถุงโจ๊กออกมา ต้องหน้างอเป็นม้าหมากรุกแน่ๆ..
แล้วหนีไม่พ้นผมอีก ที่ต้องบังคับม้าหมากรุกแก้มใสๆ ให้กินโจ๊กถุงนี้ให้หมด แค่คิดผมก็ว่า มันคงลำบากน่าดู..
ก็นะครับ เวลาผมเป็นหวัด แม่ผมก้อชอบบังคับให้กินขิง กินต้นหอมเยอะๆ บอกผมว่า จะได้หายไวๆ
ผมไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงนี้ จริงเท็จแค่ไหน แต่แม่รักผม แม่ผมต้องไม่โกหกผมแน่
แล้วผมรู้สึกยังไงกับยัยออมกันแน่ ทำไมผมถึงรู้สึกว่า
ผมเป็นห่วงเธอมากเป็นพิเศษ..
"ล่ายเลี้ยว ยี่สิกห้าบัก" เสียงอาแปะขายโจ๊กดังขึ้น ทำให้ผมรู้สึกตัว
และรู้สึกว่า ผมยืนอมยิ้มขณะรอโจ๊กเหมือนคนบ้า..สังเกตุได้จากหน้าอาหมวย ลูกสาวคนเล็กของแปะ ที่หัวเราะผมคิกคัก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก .. เสียงเคาะประตูที่ฉันนั่งรอคอยมาตั้งแต่ยัยจุ๊บกลับบ้านดังขึ้นแล้ว
ยังไม่ทันรู้ ว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นใคร ฉันก้อใจเต้นไม่เป็นส่ำ พร้อมยิ้มแก้มปริ
ในใจคิดถึงใบหน้ารูปไข่ กับรอยยิ้มทะเล้นๆ แล้วก้อคำพูดยียวนกวนประสาทของเมธา
"ไหนโจ๊กของออม รอตั้งนาน.." ฉันเอ่ยทวงทันทีที่เปิดประตู
"มีแต่ข้าวต้มรวมมิตรคับผม ไม่ใส่ผัก" ฉันรู้ทันทีว่าต้นเสียงไม่ใช่คนที่รอคอย
เงยหน้ามองขึ้นไปถึงต้นเสียง ก็เจอพี่ต้น พี่รหัสเจ้าเก่า ของฉัน..
ฉันจึงได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ แล้วรับถุงข้าวต้มมาอย่างเสียไม่ได้..
"ขอบคุณค่ะพี่ต้น แต่ออมอิ่มแล้ว ขอนอนพักก่อนนะคะ" ฉันนี่เสียมารยาทจริงๆ
แต่แค่ฉันคิดว่า ถ้าเมธามาเห็นฉันกับพี่ต้นเข้าตอนนี้ ต้องรู้สึกไม่ดีแน่ๆ
ถึงแม้ฉันจะรู้ว่า ตอนนี้ .. ฉันคิดทึกทักไปเองฝ่ายเดียว แต่ฉันก้อยังอยากรักษาความรู้สึกดีๆ ของเมธาไว้นานๆ..
"ครับ งั้นพี่กลับก่อนนะ" สีหน้าพี่ต้นสลดลงเล็กน้อย ก่อนที่จะยื่นถึงข้าวต้มให้ฉันช้าๆ แล้วหันหลังเดินกลับไป..
ผมมองรถสปอร์ตคันหรูที่ขับผ่านหน้าออกไปอย่างพินิจพิเคราะห์..
นั่นรถเจ้าพี่รหัสตัวยุ่งของยัยออม ที่ตามจีบ ตามจิกยัยออมมาตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย
"มันมาหาใครวะ?" ผมคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร .. หอพักนี้มีเด็กมหาวิทยาลัยเดียวกับผมตั้งมาก เช่าพักอยู่..
ประตูลิฟท์เปิดช้าๆ..ผมเอื้อมมือไปกดหมายเลข 5 อย่างคุ้นเคย
แสงไฟสีส้ม ติดอยู่ที่หมายเลข 5 ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเสียง "กิ๊ง" แสดงให้ผมรู้ว่า ผมถึงที่หมายแล้ว
เดินไปไม่ถึงอึดใจ ผมก็หยุดอยู่ที่หน้าบานประตูสีน้ำตาลที่คุ้นเคย แต่ทำไมวันนี้ผมถึงรู้สึกไม่คุ้นเคย
ผมตื่นเต้น ใจเต้นแรง ทั้งๆที่แค่เอาโจ๊กถึงนึงมาให้ยัยออม ผมไม่น่าตื่นเต้นมากขนาดนี้..
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก" เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
ฉันลุกขึ้นช้าๆ เปิดประตูช้าๆ ราวกับว่า จะลังเล ลังเลว่า คนที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ใช่คนที่กำลังคิด..
แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายกับฉันมากจนเกินไปนัก
เจ้าของใบน้ารูปไข่ รอยยิ้มทะเล้น กับหนวดสีเข้มที่เพิ่งขึ้นมาหรอมแหรม มันดูน่ารักในสายตาฉัน..
"ไหนโจ๊กออม?" ฉันเอ่ยทวงของฝากตามคำสัญญาทันที
"นี่ไง" เมธายื่นถึงพลาสติกสีขาวขุ่นให้ฉัน พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ระบายทั้งใบหน้า
"อื้อ ขอบใจย่ะ มาช้ากว่านี้หิวไส้ขาดแน่ๆเลย" ฉันตอบพร้อมกับยิ้มปรายลงตามคำพูด..
"อี๋ มีแต่ผัก เมธแกล้งออมเหรอ" ประโยคที่ผมคิดเอาไว้ มันไม่ผิดจากที่ผมคิดไว้มากนัก
"กินไปเถอะ จะได้หายไวๆไง" ผมตอบไป พร้อมยิ้มขบขันเล็กน้อย
ผมนั่งมองมือขาวๆ ที่เขี่ยผักในชามอย่างตั้งอกตั้งใจ หน้าเธอเบ้อยู่ตลอดเวลา
อย่างที่ผมบอกน่ะครับ ไม่ว่าจะโตแค่ไหนยัยคนนี้ก็ยังไม่เริ่มกินผักซักที
หนักเข้า เธอเขี่ยแล้วกินเอาแต่เนื้อโจ๊ก เหลือไว้แต่ขิงกับต้นหอมเล็กน้อย
ผมคิดเอาเองว่าต้นหอมมันคงเขี่ยยาก เธอเลยกินเข้าไปมากโขอยู่
พอเห็นเธอเขี่ยจนหมดชาม ผมก็อดยิ้มไม่ได้
ไม่ว่าที่เธอกินเข้าไป จะเป็นเพราะเธอหิว หรือเหตุผลอื่น
แต่มันทำให้ผมรู้สึกดี ที่เห็นเธอยิ้ม แก้มของเธอดูมีเลือดฝาดมากกว่าที่เคย
แก้มใสๆ อมโจ๊กตุ่ยๆ มันดูน่ารักอย่าบอกใคร..
ผมไม่รู้ว่าใครจะมองว่าเธอน่ารักไหม? แต่ตอนนี้ผมว่า เธอดูน่ารักมาก มากกว่าหลายๆ วันที่ผ่านมา..
"อิ่มจังเลย..เดินไม่ไหวแล้ววว" ฉันพูดขึ้นมาเพราะความอิ่มจริงๆ..
"แต่มีแต่ผัก ไม่อร่อยเลยอะ เมธแกล้งออม" ฉันกำลังจะหันไปต่อว่า
แต่เมื่อฉันหันกลับไปก็เจอมือใหญ่ๆ ถือยาหลากสี อีกมือก็ถือแก้วน้ำใสๆ ยื่นตรงหน้า
"กินยาได้แล้ว อย่าบ่นมาก ยัยแก่" เมธาพูดพร้อมทำหน้าขรึมใส่ฉัน
"กินยาแล้วนอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องโดดเรียนไงยัยบ้า" สำทับมาได้อีกประโยคก็ยิ้มให้ฉันหวั่นไหวได้อีกรอบ..
"อื้ม" ฉันได้แต่ตอบรับแล้วก้มหน้า ซ่อนความเขินอายที่มี ฟ้องอยู่เต็มใบหน้า..
"ไปแปรงฟันแล้วนอนเหอะ เมธเก็บจานให้เอง"
ทำไมวันนี้เมธาถึงดีกับฉันมากมายขนาดนี้นะ และทำไม ทำไมฉันถึงได้ไม่กล้าขัดใจเค้า
ทำไมถึงได้ยอมทำตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง..
"เมธกลับก่อนนะ" ผมไม่อยากพูดคำนี้เลย แต่ผมต้องพูดออกมาจนได้..
ส่งออมเข้านอนเสร็จ ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องอยู่ต่อ
หัวใจที่พองโตของผมวันนี้ มันทำให้ผมแทบมองอะไรไม่เห็น
ผมได้แต่ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม และ ยิ้ม
ผมกดลิฟท์ ทางออกเดียวที่จะพาร่างกายผมกลับไปที่หอ
กลับไปเพ้อฝันต่อที่ห้องนอนรกๆ ของผม..
อากาศเย็นอีกแล้ว สายฝนก็เริ่มตกพรำๆ มองไฟบนถนนที่ส่องสะท้อนพื้นถนนสีดำสนิท
ขณะที่ผมกำลังก้าวขาข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง
"ปื๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน " เสียงแตรยาวดังแสบแก้วหู
สติผมก็ดับวูบลง..
"เมธ .." เสียงใสๆ เรียกชื่อผมเบาๆ ดังมาจากที่ไกลๆ
เมื่อผมลืมตาตื่น ผมก็เจอกับใบหน้าสวยใส เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา..
นี่ผมหลับไปนานเท่าไหร่กันนี่
ผมรู้สึกถึงมือขาวๆ กุมมือผมไว้แน่น น้ำตาใสร่วงพรูจากดวงตากลมโต
"เมธอย่าเป็นอะไรไปนะ แล้วออมจะอยู่ยังไง" เสียงออมนี่ครับ ผมชักจำอะไรได้ชัดเจนขึ้นมาแล้ว..
"นี่ เมธ เธอโดนรถชน สลบไปตั้งสามวัน ยังรอดมาได้อีก อึดดีนี่เธอ เห็นทีแรกนึกว่าจะตายตามไอ้ด่างข้างมหาวิทยาลัยไปแล้ว" เสียงแหลมๆ น่ารำคาญแบบนี้ .. มีคนเดียว
ยัยจุ๊บตัวแสบแน่นอนครับ แต่เพราะคำพูดของเธอ มันทำให้ผมรู้ถึงเรื่องราวชัดเจน
แล้วผมก็รู้ว่า มือยัยออมนี่ นิ่มชะมัด..
คำแรกที่ฉันได้ยินจากปากเขา คือ
"หายไข้รึยังยัยบ้า" พร้อมยิ้มทะเล้นที่ส่งมาเหมือนเคย
ฉันรู้สึกเหนื่อยพิกล เพราะว่าสามสี่วันที่ผ่านมานี่ฉันไม่ได้พักผ่อนเลย
แต่เมื่อได้ยินคำพูดแรกจากปากเมธา มันทำให้ฉันอดยิ้มไม่ได้..
"อื้ม" ได้แต่ตอบไปอย่างอ้อมแอ้ม ..
"สวีทกันต่อนะ ชั้นจะไปเรียนละ" เสียงจุ๊บดังขึ้น
เราสองคนพูดพร้อมกันว่า
"เปล่านะ ไม่ได้สวีทซักหน่อย" และหันมามองหน้ากันอย่างประหลาดใจ..
"อ๋อเหรอออออ ใจตรงกันจังเลยนะ ปฏิเสธพร้อมกันเลย ฮ่าๆๆ" จุ๊บพูดพร้อมกับเดินหันหลังออกจากห้องไป..
"เมธเจ็บตรงไหนไม๊? ออมจะตามหมอมาให้" ฉันเลี่ยงถามไปถึงอาการของเขา
เพราะคาดว่าถ้าเขาตื่นมาต้องเจ็บปวดที่ไหนสักแห่งแน่นอน แต่ได้ยินคำตอบแล้ว มันก็ทำให้ฉันชะงักลงวูบหนึ่ง
"อย่าเพิ่งไปตามคนอื่นมาได้ไหม? มานั่งคุยกันดีกว่า"
ฉันยิ้มร่าเริง ใบหน้าร้อนผ่าว .. และคิดเพียงว่า
จะมีใครคนไหนในโลกนี้มีความสุขได้เท่าฉันอีกไหม..
"กินน้ำไม๊ ออมเทให้" ยัยออมถามผมตามปกติ
แต่ทำไมผมถึงรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่มีมากผิดปกติในน้ำเสียงของเธอนะ..
ผมพยักหน้าเบาๆ ออมหันหลังจะเทน้ำจากเหยือกใสหัวเตียง
"ปล่อยมือก่อนสิ .. ไม่งั้นจะเทได้ยังไง" เธอพูดพร้อมเบนหน้าไปทางอื่น
"งั้นไม่กินแล้ว ไม่อยากปล่อยมือ.." ผมตอบออกไปแบบไม่อาย
หน้าด้านจริงๆ เลยเรา..
สองสามวันมานี้ ออมมาเฝ้าผมที่โรงพยาบาลตลอด
เธอมาทุกเย็น หลังเลิกเรียน และถ้าวันไหนเธอมีวิชาเรียนแค่ตอนบ่าย
นั่นคือ ผมจะได้เจอหน้าเธอวันละ 2 ครั้ง
แต่ช่วงเวลาแห่งความสุข (ปนทุกข์จากร่างกาย) กำลังจะหมดไป
เมื่อคุณหมอคนเก่งพูดกับผมว่า
"พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วนะ"
พอฟังแล้ว .. ผมเนี่ยอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ป่วยต่อจริงๆ เลยครับ..
"กลับหอแล้วเมธก็ไม่มีคนป้อนข้าวแล้วสิออม" เมธาพูดขึ้น
ตอนที่ฉันกำลังตักข้าวต้มคำต่อไปเพื่อป้อนคนป่วยจอมทะเล้น
"ก็กินเองสิ ออมมาป้อนแค่ตอนเย็นเอง แล้วอีกสองมื้อใครป้อน"
"พยาบาลที่นี่น่ารักทุกคนเลย เมธหมายถึงว่า เมธอยากอยู่ให้พยาบาลน่ารักๆ ป้อนข้าว"
ดูคำตอบจากอีตานี่นะ ใครได้ยินแล้วไม่โมโหก็บ้าแล้ว
ฉันไม่ได้บ้านะ เพราะแบบนี้ ฉันโมโห จึงไม่แปลก
"งั้นกินเองเลย" ฉันพูดพร้อมวางช้อนลงตรงหน้า
ดูเหมือนเมธาจะยิ้มอย่างพอใจ แถมยังคว้าข้อมือฉันไว้แล้วพูดต่อ
"หึงเหรอ?" เขาถามด้วยสายตาเอาจริงเอาจัง
ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย..
"ใครจะไปหึงเธอยะ" เสียงยัยออมตอนนี้ ใครมาฟังก็รู้ว่า โกหกชัดๆ
ผมว่า ความรักของผมครั้งนี้คงมีลุ้น..
"หิวน้ำ" ผมพูดขึ้นอย่างเอาแต่ใจ
ในใจคิดว่า นี่ถ้าชีวิตผมเป็นละคร ผมจะต้องเป็นพระเอกที่ไม่โรแมนติกที่สุด
ได้รับรางวัลพระเอกจอมทื่อแห่งปีแน่ๆ..
แต่หลังจากประโยคนั้น ไม่ถึงอึดใจ ก็มีแก้วน้ำใสๆ มาวางตรงหน้า
ผมว่า .. นางเอกผู้แสนดีแห่งปี ก็คงหนีไม่พ้นยัยออมแน่ๆ
ผมคิดถูกไม๊ครับ?..
มือสั่นเทาของชายชรา ปิดสมุดรวมภาพถ่ายแห่งความทรงจำลงช้าๆ
เหม่อมองไปยังท้องฟ้าไกล เหมือนกับว่ากำลังคิดถึงอดีตที่หอมหวานในครั้งยังเยาว์
อมยิ้มน้อยๆ พร้อมขยับแว่นสายตาที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนคู่ใจมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี..
"พ่อ ทำอะไรอยู่น่ะ นั่งยิ้มอยู่ได้?" เสียงหญิงชราคุ้นหูดังขึ้น
"ดูรูปสมัยยังเป็นนิสิตน่ะสิ ตอนสาวๆ แม่สวยมากเลยนะเนี่ย เพิ่งสังเกตุ"
"ตอนนั้นยัยจุ๊บจับพลัดจับผลูไปเป็นแฟนพี่ต้นได้ยังไง พ่อจำได้ไม๊"
"จำได้สิ ก็แม่นั่นแหละเป็นแม่สื่อ พ่อยังกลัวแทบตายว่าจะเป็นวัวพันหลัก"
ชายชราตอบกลับพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"จะไปพันได้ยังไง พันอยู่กับใครไม่รู้มาตั้งแต่แรกแล้วนะตาแก่"
หญิงชราตอบกลับพร้อมยิ้มอย่างอารมณ์ดีเช่นกัน
เมธาและออม ในวัย 65 ปี
กำลังซึมซับประสบการณ์หลายอย่างจากวัยเยาว์
พร้อมยิ้ม และหัวเราะไปกับวันวานที่ผ่านเลย..
สองคนนี้ได้ค้นพบอีกครึ่งของชีวิตกันและกัน
แล้วคุณล่ะ..
พบรึยัง?
ผลงานอื่นๆ ของ writen_girl ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ writen_girl
ความคิดเห็น