ราตรีตระกาล - ราตรีตระกาล นิยาย ราตรีตระกาล : Dek-D.com - Writer

    ราตรีตระกาล

    เด็กสาวนั่งพิงหลังพักสายตาจากภาพตรงหน้า.... ปล่อยใจหลุดลอยเข้าสู้ภวังค์แห่งความฝัน..หญิงสาวคนหนึ่งเดินเรื่อยไปตามริมสระน้ำ...เด็กสาวที่เฝ้ามองตะลึงถึงความงามของหล่อน

    ผู้เข้าชมรวม

    224

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    224

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  สืบสวน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 ก.ค. 52 / 20:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ทุกๆสถานที่ล้วนแล้วแต่มีความทรงจำของผู้คนไหลเวียนอยู่ แต่ทว่าสถานที่ที่ครั้งหนึ่งได้เก็บรวบรวมทั้งสุขและทุกข์เอาไว้มายาวนาน ได้ปิดตัวลง ความรู้สึกและความทรงจำต่างๆจึงไหลเวียนออกมา ราวกับเป็นการกู่ร้องเรียกความสนใจครั้งสุดท้าย
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ราตรีตระการ

      ยามเย็นแสงแดดเริ่มลาลับขอบฟ้า ทอแสงสีแดงอมส้มอ่อนๆออกมาแผ่ขยาย สะท้อนความเงียบสงบและความอ้างว้างบนผิวน้ำของสระกว้าง เด็กสาวนั่งพิงหลังพักสายตาจากภาพตรงหน้าวางหนังสือลงบนหญ้าเขียวขจี ปล่อยใจหลุดลอยเข้าสู้ภวังค์แห่งความฝัน
      หญิงสาวคนหนึ่งเดินเรื่อยไปตามริมสระน้ำ ค่อยๆห่างไปจากสายตาของเด็กสาว ผมของหล่อนถูกดัดเข้าทรงยาวเคียงบ่า ปลิวไปมาเล็กน้อยเมื่อสายลมเข้าปะทะ มือเรียวยกขึ้นกระชับผ้าคลุมไหล่และหมวกปีกกว้างเอาไว้ แต่ทว่าก็ไม่ทันเมื่อผ้าผืนสวยปลิวหลุดลอยออกมาตกลงตรงหน้าของเด็กสาวที่เฝ้ามองตะลึงถึงความงามของหล่อนที่ถึงแม้การแต่งตัวจะย้อนกลับไปในสมัยเก่าก็ตาม
      “กำปั่น กำปั่น” เด็กหนุ่มร้องเรียกพลางเขย่าร่างเพื่อนที่นอนหลับนิ่งสนิทเสียจนน่ากลัว
      “อะไรของแก” เด็กสาวถึงจะตื่นอย่างงัวเงียแต่ก็ไม่วายส่งเสียงแสดงความรำคาญเพื่อน
      “กลับเถอะเย็นมากแล้ว ฉันกลัวว่ะ แถวนี้รุ่นพี่บอกว่าผีเหี้ยนด้วย” ยกทัพแสดงอาการหวาดกลัวออกมาอย่างไม่สมกับชื่อ
      “ผีที่ไหนกันไอ้แมลงทับนี่”
      “เอาเหอะน่ากลับเถอะ”
      “เออๆ ตาขาวจริง” กำปั่นลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ก่อนเผลอมองไปยังทางเดินริมสระที่ทอดไปยังบริเวณที่มีรั้วกั้นแสดงอาณาเขตว่าห้ามเข้า
      เด็กสาวมองเหม่อไปยังสิ่งก่อสร้างรกร้างที่ซ่อนตัวอยู่หลังความหนาทึบของต้นไม้ก่อนคิ้วขมวดเข้าหากัน ....ก็แค่โรงละครเก่าๆจะหวงทำไมนะ...
      “ฉันอยากเข้าไปที่ในนั่น” เด็กสาวหันไปมองเพื่อนสนิท “แกจะไปกับฉันไหม”
      “ไม่มีทาง อยู่ดีๆจะเข้าไปให้ผีหรอกทำไม”
      “แกเรียนสถาปัตย์แกไม่อยากไปดูโรงละครเก่าใกล้ๆบ้างหรือไง”
      “ไม่ละตัวอย่างดีๆสวยๆที่ไม่มีผีมีเยอะแยะ กลับเถอะ” ยกทัพรีบจ้ำอ้าวออกหน้ากำปั่น เขาไม่อยากฟังความต้องการความอยากรู้อยากเห็นของกำปั่น เพราะถ้าฟังมากไปเขาอาจจะใจอ่อนยอมเข้าไปในนั่นกับกำปั่นก็เป็นได้ ทางที่ดีเขาต้องรีบเดินออกมาให้ไกลโรงละครให้มากที่สุด เผื่อบางทีกำปั่นอาจจะลืมความคิดเพี้ยนๆนั่นไปบ้าง
      ...เธอเป็นใครกันนะ... กำปั่นมองกลับไปยังที่ริมสระน้ำก่อนรีบจ้ำอ้าวตามเพื่อนที่เดินหลิ่วไปข้างหน้าแบบไม่เห็นฝุ่น
      ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ยกทัพมาหากำปั่นที่หอพักหญิงตามความเคยชินเพราะเขากับเธอเป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนเรียนกันมาตั้งแต่อนุบาล ถึงแม้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตามทั้งคู่กลับสอบได้ที่เดียวกันถึงแม้จะคนละคณะก็ตาม
      “อ้าว มาหากำปั่นเหรอ” เพื่อนร่วมห้องของกำปั่นร้องถามยกทัพเมื่อเห็นว่าเขามารออยู่ที่หน้าหอ
      “อืม มันจะลงมากินข้าวหรือยัง หิวจะแย่แล้ว”
      “เอ ไม่โทรหากันก่อนเหรอ กำปั่นยังไม่กลับมานะ”
      “อ้าวแล้วมันไปไหน” ยกทัพมองหน้าเพื่อนกำปั่นอย่างสงสัย เจ้าหล่อนเพียงแค่หยักไหล่บอกไม่รู้ไม่เห็นกลับมา เด็กหนุ่มเลยต้องโทรหาเพื่อนซี้ที่ไปไหนเองโดยไม่บอกไม่กล่าว “อยู่ไหนของแก ฉันหิวข้าวแล้วนะ”
      “อยู่ห้องสมุด” กำปั่นตอบนิ่งๆ พลางไร่สายตาอ่านหนังสือตรงหน้าอย่างสนใจ
      “ไปทำอะไรนะ”
      “ราตรีตระการ” กำปั่นพูดลอยๆออกมา
      “หะ อะไรนะ”
      “ราตรีตระการ โรงละครร้างตรงนั่น ชื่อว่า ราตรีตระการ”
      “นี่แกยังไม่เลิกสนมันอีกเหรอ พอๆเลยกินข้าวเถอะ เดี๋ยวจะปั่นจักรยานไปรับ”
      “เออๆ”
      โรงอาหารหอพัก บรรยากาศการกินอาหารของทั่งสองเงียบเฉียบเมื่อกำปั่นกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองและยกทัพได้แต่เฝ้ามองอย่างเป็นห่วง
      “อยู่ดีๆมันก็ปิดตัวลง เรื่องสุดท้ายที่เล่นคือ เรื่องราตรีตระการ ชื่อเหมือนโรงละครเลย น่าสนใจไหมล่ะ” กำปั่นพูดแบบยิ้มๆ ออกมาในแบบที่ยกทัพไม่ชอบมากนัก เด็กหนุ่มรู้สึกถึงอารมณ์ที่ปั่นป่วนของเพื่อนสนิท ความเหงา เศร้าและเพรียกหามันร้องดังออกมาทางสายตาของกำปั่นโดยที่ตัวเธอเองไม่รู้ตัว
      “ทำไมถึงปิดได้นะ แค่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้นเหรอ” กำปั่นแสดงความคิดเห็น
      “นั่นก็มากพอแล้วล่ะ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ค่านิยมก็เปลี่ยนไปด้วย พอความนิยมลดลง รายได้ก็น้อยตาม ไม่ว่าโรงละครหรือธุรกิจแบบไหนที่ทานพิษการเงินไม่ไหว ก็ต้องยุบไปทั้งนั้น”
      “แต่ว่าที่นั่นเคยเกิดไฟไหม้แล้วมีคนตายด้วยนะ”
      “นั่นก็คงเป็นปัจจัยที่กระตุ้นทำให้โรงละครปิดด้วย ในสภาวะสภาพคล่องการเงินแย่ลงแถมยังมาเกิดเรื่องอีก คงยากละที่จะทนเปิดต่อไปได้” ยกทัพมองเพื่อนอย่างครุ่นคิด “แกนะ คงไม่คิดว่ามันจะเหมือนในละครผีหลังข่าวใช่ไหม ที่ว่ามีคดีฆาตกรรมสับซ้อน ซ่อนเงื่อนอยู่เบื้องหลังการปิดโรงละคร”
      “แต่ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในนั่นด้วย สวยมากๆเลย แถมยังแต่งตัวแบบสมัยก่อนอีก”
      “ขอร้องเถอะเลิกคิดวุ้นวายกับมันสักที แกจะเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องเปล่าๆ”
      หลายวันผ่านไป กำปั่นพยายามทำตามที่เพื่อนสนิทบอกพยายามเลิกสนใจกับโรงละครร้าง แต่ทว่ากลับไม่มีวันไหนที่เธอไม่คิดถึงมัน ภาพของหญิงสาวและโรงละครเริ่มเด่นชัด แม้กระทั่งเสียงที่ไม่คุ่นหูก็ยังดังแว่วมากับลม
      ...ในที่สุดก็มาถึงจนได้... เด็กสาวหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ทางเข้าด้านในโรงละคร เธอมองไปรอบๆ พลางจิตนาการย้อนกลับไปสมัยที่โรงละครยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
      ...รถที่วิ่งเข้ามาจะจอดตรงนี้ ส่งคนลงและวิ่งออกไปจอดที่ลานจอดรถ... เด็กสาวเดินเข้าหาประตูใช้มือทั้งสองข้างผลักประตูไม้บานใหญ่ที่ไม่ได้ลงกุญแจเอาไว้ให้เปิดออก เสียงของมันดังเอี๊ยดอาดสมกับอายุอันนานของมัน
      ..ห้องนี้ พอคนเดิมเข้ามา คงแวะทักทายกันตรงนี้ก่อนเข้าไปยังโรงละครส่วนที่เป็นที่นั่งและเวที...  เด็กสาวเดินเข้าไปผลักประตูต่อไปให้เปิด
      ..ถึงแล้ว ที่นั่งเรียงรายไล่ระดับ ด้านหน้าสุดมีเวทีละคร กว้างจัง... กำปั่นเดินไปตามทางเดินเข้าหาเวทีละครที่มีผ้าม่านเก่าๆทอดกายแขวนตัวอย่างเงียบสงบและดูโศกเศร้า
      ทันใดเสียงผู้คนร้องอย่างตกใจก็ดังขึ้น พร้อมกับกลิ่นเหม็นไหม้จากที่ไหนสักแห่ง กำปั่นมองไปทั่ว พลันหันไปเห็นคนที่กำลังวิ่งหนีไฟที่กำลังลุกไหม้กันอย่างอลหม่าน
      ...เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้ยังไม่มีอะไรเลยนี่น่า... กำปั่นรู้สึกหัวใจเบาหวิว เสียงผู้คนที่ร้องอย่างตกใจและหวาดกลัวทำให้ความกลัวของเธอพลุ่งพล่านจนขาทั้งสองข้างแข็งไม่สามารถก้าวไปได้ หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงที่พื้น มองดูเปลวไฟที่กำลังลามเลียออกมาจากหลังเวทีละคร
      ...ช่วยด้วย ช่วยด้วย.. ร้องลั่นภายในใจของตัวเองด้วยกลัวจนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ น้ำตาทั้งสองข้างไหลออกมาเป็นสาย
      “กำปั่น” เสียงหนึ่งตะโกนดังขึ้นอย่างตกใจ ทำให้หญิงสาวฟื้นคืนสติมองไปทางต้นเสียง ยกทัพกำลังยืนอยู่ตรงประตูส่องไปฉายมายังเธอก่อนรีบวิ่งเข้ามาหา
      “ทำไมมาที่นี้ พวกฉันตามหาแกซะทั่วเลยรู้ไหม” เด็กหนุ่มพูดอย่างเป็นห่วงเขาสังเกตเห็นน้ำตาที่กำลังไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างของเพื่อนสนิท “กลัวเหรอ”
      เด็กสาวพยักหน้า
      “มืดมากแล้วกลับเธอ” เด็กหนุ่มย่อตัวลงไปพยุงเพื่อนให้ลุกขึ้น
      “ตอนที่เข้ามายังสว่างอยู่เลย แล้วเมื่อกี่ไฟก็กำลังไหม้โรงละครอยู่ด้วย” กำปั่นพยายามจะบอกเพื่อนแต่เธอก็กลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ เพราะว่าตอนนี้เธอมองไปรอบๆในความมืดเธอไม่เห็นอะไรหรือเปลวไฟแม้สักนิด
      “กลับเถอะเดี๋ยวค่อยเล่า” เด็กหนุ่มพยุงเพื่อนจะพาออกไปแต่ทว่าโรงละครที่มืดมิดกับสว่างขึ้นด้วยโคมไฟหลายดวงที่ประดับประดาภายในโรงละคร ทั้งสองมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง วินาทีนั่นราวกับว่าโรงละครได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
      เสียงเพลงเบาๆเริ่มดังขึ้น ผนังห้องและส่วนต่างๆของโรงละครไม่ได้แสดงถึงความรกร้างและถูกทอดทิ้งเหมือนที่มันเป็น ผ้าม่านกลางเวทีสวยสดเหมือนเพิ่งถูกแขวนไว้เมื่อไม่นานพรมสีแดงที่ปูลาดยังคงความสดของมันไว้ ประตูเปิดออกช้าๆ มองเห็นผู้คนมากมายกำลังยืนคุยกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเหล่านั้นต่างอยู่ในชุดราตรีที่สวยงาม คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินก้าวเข้ามาที่ประตูด้านหน้าสุดหลังจากที่ลงจากรถ และเริ่มทักทายคนที่เข้ามาก่อน ก่อนชักชวนกันเดินเข้ามานั่งข้างในเพื่อรอชมละครที่จวนจะถึงเวลา
      “พวกเขามองไม่เห็นเรา” ยกทัพกระซิบขึ้นเมื่อเห็นหลายๆคนเดินผ่านเขาไปราวกับเขาและกำปั่นเป็นเพียงแค่อากาศ
       “ละครเริ่มแล้ว” กำปั่นพูดขึ้นเธอมองไปยังบนเวที ก่อนเดินไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนกับผู้ชมคนอื่นๆ
       “กำปั่น” ยกทัพร้องเรียกเบาๆ กำปั่นกำลังจะเข้าสู่ภวังค์อีกครั้ง เขาเองถึงแม้จะตกใจและตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็นและดำเนินต่อไปอยู่ แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นความรู้สึกของกำปั่นที่ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนในโรงละครแห่งนี้
       เด็กหนุ่มนั่งลงข้างๆ เพื่อนมองไปยังบนเวที
       “ผู้หญิงคนนี้ไงที่ฉันเล่าให้ฟัง” กำปั่นยิ้มอย่างมีความสุข
       “อืม” ยกทัพคว้ามือกำปั่นมากุมเอาไว้ “จบแล้วกลับกันนะ”
       “อืม”
       วันต่อมา โรงละครร้างทรุดตัวพังลงมากลายเป็นแค่เพียงซากปรักหักพังไม่หลงเหลือเค้าความสวยงามของยุคสมัยที่มันเคยรุ่งโรจน์อยู่
       “พังลงมาแล้วซินะ” ยกทัพพูดออกมานิ่งๆ
       “พูดยังกับว่าแกรู้ว่ามันจะพังลงมาอย่างนั้นล่ะ” กำปั่นที่กลับมาเป็นคนเดิมที่ยกทัพคุ่นเคยพูดเหน็บขึ้น
       “เออ เด็กประถมยังรู้เลย โทรมขนาดนั่นยังไงก็พังลงมาแน่ๆ ฉันถึงไม่อยากให้แกเข้าไปไงล่ะ”
       “แต่ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นนะ”
       “บางทีโรงละครคงจะอยากเปิดการแสดงครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะพังลงไป”
       “และเราก็โชคดีที่ได้ดูรอบสุดท้ายซินะ”
       “อืม มันสวยมากๆ โชคดีจริงๆ”
       “แบบนี้เขาไม่เรียกว่าผีหลอกใช้ไหม”
       “อย่าพูดแบบนั้นซิ คิดดูอีกทีแล้วอยากจะเป็นลม” ยกทัพทรุดลงไปนั่งที่พื้น
       “เอา เฮ้ย ไอ้แมลงทับ”
      ..................................................................................................................เหมันต์มายา...............17/01/52

       


       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×