คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4
บุรุษหนุ่มที่ยืนกอดอกนิ่งไม่ไหวติงอยู่
ณ ที่นั้น มีรูปร่างสูงสง่า นัยน์ตาดำคมถือได้ว่าเป็นส่วนที่สวยที่สุดบนใบหน้า เพราะแก้วตาเป็นประกายดำขลับดุจนิลเนื้อดี
จมูกโด่งเป็นสันตรงรับกับริมฝีปากหยักได้รูปสวยราวแกะสลักด้วยช่างฝีมือ
แม้เจ้าตัวจะวางหน้าเฉยไม่บอกอารมณ์ใดๆ เสน่ห์ก็ยังแผ่กระจายออกมาจากเรือนร่าง
พัสตราภรณ์ที่สวมอยู่คือผ้าสีขาวผืนยาวเลื่อมลายพริบพราวอยู่ในเนื้อ
พาดพันจนกลายเป็นชุดที่แนบกระชับเข้ากับรูปทรงสูงตระหง่านราวนักรบโบราณ
“ท่านพี่
ยืนมองอะไรอีกแล้ว” เสียงใสฟังไพเราะเหมือนดนตรีดังขึ้นจากด้านหลัง
ผู้ถูกเรียกว่า ‘ท่านพี่’ เพียงแต่ปรายตามอง
สีหน้ายังขรึมเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้าเห็นท่านยืนมองแบบนี้อยู่หลายเพลาแล้ว
คิดสิ่งใดในใจรึ”
บุรุษนั้นถอนใจลึก
“พี่กำลังสงสัย...”
คำพูดสะดุดลงคล้ายคนกำลังชั่งใจว่าควรพูดหรือไม่
ทว่าเมื่อสบตาดำขลับใสกระจ่าง ก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา “ความรักของมนุษย์เป็นเช่นไรกันแน่”
อีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจ
วงหน้างามผุดผาดปรากฏรอยครุ่นคิด นางสวมพัสตราภรณ์ลักษณะเดียวกับบุรุษหนุ่ม
เพียงแต่พาดพันให้กลายเป็นกระโปรงยาว ทิ้งชายลงกรอมปลายเท้า ชายกระโปรงปักวัสดุบางอย่างสุกสว่างเหมือนทองคำบริสุทธิ์
รูปร่างหน้าตาของทั้งคู่คล้ายกันมาก ทั้งดวงตางาม จมูกและริมฝีปากได้ส่วน
ล้วนถอดแบบกันมาไม่ผิดเพี้ยน ต่างเพียงนางมีความละมุนละไมแบบสตรี ในขณะอีกฝ่ายแข็งแกร่งอย่างบุรุษ
“ท่านพี่เมเดซเซ่”
นางเรียก น้ำเสียงบอกความกังวลไม่ปิดบัง “ข้าไม่คิดว่าสิ่งที่ท่านคิดอยู่จะเหมาะสม”
สีหน้าของผู้ถูกขานนามว่า ‘เมเดซเซ่’ ไม่สื่ออารมณ์ใดๆ ร่างสูงสง่ายืนนิ่งไม่ไหวติง
ทว่าประกายในดวงตากลับเข้มลึก
ท่าทางนั้นทำให้คนมองกระสับกระส่ายมากขึ้น
“ท่านพี่ ข้าพูดจริงนะ อย่าทำเลย ท่านพ่อทราบเข้า จะพิโรธเปล่าๆ”
“มารีซ่า” เสียงเรียกนั้นหนักแน่น “น้องไม่เคยอยากรู้บ้างหรือ
ความรักที่แท้จริงเป็นฉันใด รักที่เข้มข้นถึงเลือดเนื้อและจิตใจ
ไม่ใช่รักบริสุทธิ์อย่างที่เราสัมผัส”
คำว่า ‘รักบริสุทธิ์’ เมื่อเปล่งจากปากเจ้าตัว...ชวนให้นึกถึงบางสิ่งที่สูงค่า งดงาม
ไม่บังควรไปแตะต้อง
หลังนิ่งคิดอยู่อึดใจ
บุรุษหนุ่มก็พูดต่อ น้ำเสียงแผ่วเบาแฝงรอยครุ่นคิด
“ตั้งแต่เริ่มรับงานนี้
พี่มุมานะตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด น้องเองก็เห็น แต่...ให้ตั้งใจอย่างไร
ก็ยังมีช่องว่างในใจของพี่ เพราะพี่ไม่เคยเข้าใจงานที่ทำอยู่ หากจะเข้าใจให้ได้
พี่ก็ต้องทำความรู้จักในรักแบบมนุษย์ ไม่ใช่รักในแบบที่เราสัมผัสอยู่”
มารีซ่าถอนใจหนักๆ นางไม่ออกความเห็นอะไรเพิ่ม
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายตัดสินใจแล้ว แต่ไหนแต่ไรพี่ชายเป็นคนชัดเจนและเฉียบขาด ซึ่งท่านแม่ใช้คำว่า
‘ดื้อเงียบ’ หากว่าเขาออกปาก ก็ย่อมเป็นไปตามนั้น
แม้นางจะไม่เห็นด้วยเพราะเป็นการขัดใจท่านพ่ออย่างรุนแรง
แต่ในฐานะน้อง นางไม่อาจปล่อยให้พี่ชายต้องลำบาก ถ้าแบ่งเบาอะไรได้
นางก็ยินดี
“ท่านพี่ต้องการให้ข้าช่วยอะไรบ้าง”
“น้องอย่าห่วง” คนเป็นพี่หันมาบอก “ในเมื่อพี่ตัดสินใจ
พี่จะรับผิดชอบการกระทำของพี่เอง เรื่องนี้น้องไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง
พี่ไม่อยากให้ท่านพ่อไม่พอใจน้องไปด้วย”
“แต่ท่านพี่...”
มือแข็งแรงเรียวได้รูปยกขึ้น
เพียงแค่นั้น น้ำเสียงของมารีซ่าก็กลืนหายไปในลำคอ
“พี่ไปที่ ‘วิหารปรารถนา’ มาแล้ว”
“ท่านพี่” มารีซ่าอุทานซ้ำ “ไม่ควรทำแบบนี้นะ”
“พี่ทำไปแล้ว และไม่คิดเสียใจ
เอาละ มารีซ่า พี่ของเจ้าคงต้องลาไปก่อน จนกว่าเราจะพบกันอีก”
เมเดซเซ่พริ้มตาลง
ริมฝีปากหยักได้รูปงามขยับเพียงนิด ยินเพียงเสียงแผ่วๆทุ้มลึก
ทว่าก้องกังวานในใจคนฟังเพียงคนเดียว ณ ที่นั้น
“ข้า...เทพเมเดซเซ่
บุตรชายแห่งเทพสุรมา ขอตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยผลบุญทั้งหมดที่ข้าได้ทำมาตลอดอายุขัย
ขอให้ข้าได้ถือกำเนิดบนโลกเป็นเวลาหนึ่งวันสวรรค์หรือหนึ่งร้อยปีมนุษย์
มูลเหตุของการถือกำเนิดนี้ ข้าต้องการพบความรักในแบบของมนุษย์
มิใช่รักบริสุทธิ์ที่เกิดจากการบริกรรมดังเทพยดาเรา ข้าอยากเข้าใจความรัก
อยากรู้ว่ายามมนุษย์หลงรัก พวกเขาเป็นเช่นไร ส่วนสิ่งตอบแทน ขอแลกกับพันธะที่ข้าได้กระทำไว้
ณ วิหารปรารถนา หากข้าทำไม่สำเร็จ ขอท่านลงโทษได้ดังที่ระบุไว้ในข้อตกลงระหว่างเรา”
จบคำกล่าว สถานที่นั้นกลับเงียบสนิท
แต่...เพียงครู่ เสียงหนึ่งก็ดังแว่วลอยลมมา
คล้ายการเคลื่อนไหวของวัตถุผ่านอากาศดังที่ตินพลได้ยินก่อนหน้า
เสียงนั้นดังเพียงแผ่วเบา ทว่ากลับทำให้สีหน้าของสองพี่น้องเปลี่ยนไป
คนพี่มีสีหน้าคล้ายสาสมใจ ในขณะคนน้องหน้าซีดขาว
“ท่านพี่...ข้าว่า...” มารีซ่าเรียกซ้ำ แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าถนัด
ร่างสูงสง่าของเมเดซเซ่เรืองแสงวูบวาบราวกับมีลำแสงบางอย่างกระจายจากร่างของเขา
แสงนั้นสว่างวูบในตอนแรก แล้วค่อยๆจางลงดุจภาพเขียนจางสี ร่างของเขาค่อยๆเลือนรางลง...จางลง...และจางลง
จนเหลือแต่เพียงกรอบเค้าโครงของเรือนร่าง
มารีซ่าผวาราวกับจะวอนขอให้อีกฝ่ายหยุดยั้งการกระทำนั้น
แต่แล้วกลับหยุดชะงักในท่าเดิม เมื่อประสานสายตากับผู้เป็นพี่ ยิ้มน้อยๆปรากฏที่มุมปากหยักได้รูป
เป็นยิ้มที่บอกความสมหวังและความตั้งใจอย่างสูงสุด
“แล้วพบกัน มารีซ่า” น้ำเสียงนั้นคล้ายถ้อยคำสัญญา
แสงขาวพร่างพราวทอประกายรอบร่างสง่า
เพียงพริบตา ร่างนั้นก็ลับไปจากสายตา...ราวกับไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้นมาก่อนเลย!
ห่างออกไป ไกลแสนไกล เสียงแผ่วๆดังลอยลมมา
เป็นเสียงที่บอกถึงความโศกศัลย์และอาดูร
“เมเดซเซ่ อย่าไป...อย่า...”
เสียงนั้นกังวานอยู่ในหูของตินพล
แผ่วเบาแล้วกลับสลับเป็นดังก้อง ดังจนเกินรับไหว...แก้วหูของเขาลั่นเปรี๊ยะ
แล้วทุกอย่างรอบตัวก็เหมือนจะแตกกระจาย
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง
รู้สึกราวกับเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นจากฝัน ภาพที่ปรากฏในตอนแรกนั้นเลือนราง...ไม่ชัดเจน
แต่แล้วจึงค่อยๆรวมตัวเข้าหากันในที่สุด
สิ่งแรกที่รับรู้คือรอบตัวขาวโพลนจนตาพร่า
แสงสว่างก็เจิดจ้า เป็นประกายระยิบระยับ และที่น่าแปลกคือ...เขารู้สึกเหมือนลอยอยู่ในอากาศ
สัมผัสถึงความเวิ้งว้าง ไร้สสารหรือมวลวัตถุใดๆ ราวกับว่า ณ ที่นั้นไร้ซึ่งน้ำหนัก...ไร้ซึ่งกาลเวลา
ที่นี่ที่ไหน...
ตินพลเขม้นมองรอบตัวอีกครั้ง
แล้วต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงแผ่วพลิ้ว
ฟังนุ่มนวลเหมือนเสียงดนตรีของใครคนหนึ่งดังกังวานขึ้นในความเงียบ
“เมเดซเซ่...”
เมเดซเซ่...ชื่อนั้นเจนใจ
ทั้งยังคุ้นหูราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ใครคนหนึ่งเคยเรียกเขาด้วยชื่อนี้
ใครกัน...
“เมเดซเซ่
คำอธิษฐานของเจ้านั้นผิดกฎของสวรรค์” น้ำเสียงไพเราะ จังหวะสูงต่ำราวดนตรีดังแผ่วพลิ้วต่อเนื่อง
ตินพลชะงักอยู่อึดใจ ก่อนเบิกตาโตกับความจริงที่ได้รับรู้ ภาษาที่ได้ยินไม่ใช่ภาษามนุษย์!
ชายหนุ่มเองก็อธิบายไม่ได้ว่าสรรพสำเนียงที่ได้ยินคืออะไร
รู้เพียงว่ามันฟังสูงต่ำราวจังหวะของดนตรี เป็นเสียงที่ไพเราะน่าฟังอย่างประหลาด
แต่...น่าแปลกที่สุดคือ เพราะอะไรเขาถึงเข้าใจทุกความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นได้
เสียงหัวเราะแผ่วๆดังมาจากสตรีโสภาเบื้องหน้า
ตินพลสบตาคู่นั้น ก็เห็นยิ้มละไมปรากฏบนเรียวปากหยักสวย ที่เขาเพิ่งสังเกตว่า...งามได้ส่วนเหมือนริมฝีปากของเขาไม่ผิดเพี้ยน!
“อย่าแปลกใจไป
เรากำหนดให้เจ้าเข้าใจภาษาของเราได้ ทุกภาษามีพื้นฐานจากความเข้าใจ
ถ้าเจ้าเข้าใจเรา เจ้าก็จะรู้ว่าเราพูดถึงอะไร” คำอธิบายนั้น จะว่าสับสนก็ใช่
แต่มองอีกที จะว่าเข้าใจง่ายก็ใช่อีก เพราะคนพูดเรียบเรียงประโยคให้กระชับ
น้ำเสียงใสเสนาะบ่งความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งๆจะว่าไปแล้ว
ความหมายนั้น ‘ลึกซึ้ง’ มากทีเดียว
ตินพลพบว่าเขาได้แต่มองสตรีตรงหน้าเขม็ง
ไม่อาจละสายตาจากนางได้เลย
สตรีผู้นี้งามยิ่งกว่าสตรีไหนๆที่เขาเคยพบ
จุดเด่นของดวงหน้าอยู่ที่ดวงตาเรียวยาว สะดุดตายิ่งกว่าดวงตาคู่ไหนๆที่เคยพบมา ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนงามลออหาที่ติมิได้
ผิวพรรณนั้นเล่าก็ผ่องใสมีสง่า พัสตราภรณ์ที่นางสวมอยู่แปลกตาอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
สีของผืนผ้าออกขาวก็จริง ทว่าเลื่อมพรรณรายด้วยหลากสีสันที่แฝงอยู่ภายใน
ดุจแท่งแก้วที่สะท้อนเงาแห่งสีอันหลากหลายสะดุดตา
ช่างเป็นอาภรณ์ที่แปลกและงามสมตัวเสียนี่กระไร
ทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของนาง
ลึกลับและมากล้นด้วยเสน่ห์ ราวกับนางคือสตรีที่เกิดมาเพื่อรับความรักและการบูชาอันสูงสุด
“คุณเป็น...”
“ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะได้รู้”
คำตอบสวนกลับมาเนิบๆ “คำอธิษฐานของเจ้าผิดมาตั้งแต่แรก
ผลกระทบที่ตามมาจึงยิ่งใหญ่นัก และในเมื่อเจ้าเป็นผู้ขอ เจ้าก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ”
รอบตัวเงียบสงัด
มันเงียบจนตินพลอยากจะคิดว่าทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว
เพื่อรอสดับฟังประโยคต่อไปของนางผู้งดงาม
เสียงถอนใจแผ่วลึก
บอกถึงความหนักอกหนักใจของผู้พูด
“เทพสุรมา พ่อของเจ้า
รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว...”
หลังจบประโยคนั้น รอบตัวก็สงบลง...เป็นความเงียบอย่างที่ตินพลไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แม้แต่แสงสว่างจ้าบาดตาเมื่อครู่ก็จางลง จนดูหม่นมัวชั่วคราว
เทพสุรมา...ชายหนุ่มเบิกตากว้าง พ่อของเขา...อย่างนั้นหรือ
ภาพของบุรุษหนุ่มหน้าใสนัยน์ตาดำคม
เค้าโครงของใบหน้าและรูปร่างราวถอดพิมพ์จากเขาไม่ผิดเพี้ยน ยืนเคียงข้างบุรุษผู้หนึ่ง
ร่างสูงสง่า ไหล่กว้างได้ส่วนสัดแลเห็นได้ถนัดภายใต้พัสตราภรณ์ขาวพาดพันรอบเรือนร่าง
วงหน้านั้นงามสะดุดตาดุจรูปปั้นที่ถูกสลักขึ้น ทว่าแม้หน้าตาจะละม้ายคล้ายคลึงกัน
กลับมีบางอย่างในบุคลิกที่บอกให้รู้ว่าทั้งคู่อยู่คนละวัยกัน หนึ่งนั้นคือบิดา
ส่วนอีกหนึ่งคือบุตรชาย
“ท่านพ่อ...” ผู้อ่อนวัยกว่าเอ่ยขึ้นก่อน สีหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิด “ข้ามีคำถาม”
ดวงตาคมกริบยาวได้รูปงามไม่ต่างจากผู้เป็นลูก
ปรายมองเพียงแว่บเดียว “ว่ามา...”
อีกฝ่ายโต้ตอบทันทีราวกับรอจังหวะอยู่ก่อนแล้ว
“ข้าอยากรู้...ความรักแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร”
“เจ้าเองก็เกิดจากความรัก
ควรจะเข้าใจคำนี้ดีอยู่แล้ว”
คำตอบนั้นไม่ตรงกับคำถาม
คนฟังจึงนิ่วหน้า
“ข้าเกิดจากการบริกรรม...เกิดจากผลบุญแห่งท่านและท่านแม่
ไม่ได้เกิดจากความรัก”
คราวนี้ผู้เป็นพ่อเหลียวขวับมามองเขม็ง
นัยน์ตาคมกริบเป็นประกายปราม “เมเดซเซ่”
“ท่านพ่อ” ผู้ถูกเรียกสวนคำ “ท่านไว้ใจมอบหน้าที่เทพผู้จับคู่ให้ข้า
ข้าก็ยินดีรับภาระนั้น และซาบซึ้งที่ท่านไว้วางใจ
แต่ท่านควรให้โอกาสข้าได้ทำความรู้จักงานที่ข้าทำอยู่ด้วย ความรักคือหัวใจในงานของข้า
หากไม่เข้าใจความรัก ข้าก็ไม่อาจทำงานได้โดยสมบูรณ์”
กระแสความรู้สึกเข้มข้นอยู่ในดวงตางามล้ำ
ราวกับว่าคนฟังเองก็หวั่นไหวกับคำพูดเหล่านั้น ทว่าเพียงอึดใจ ทุกอย่างก็สงบลง
“ข้าไม่อนุญาต” คำตอบสั้น แต่ว่าเฉียบขาด “เจ้าถือกำเนิดบนสวรรค์
ที่นี่คือที่ของเจ้า ไม่ใช่โลกมนุษย์”
“แต่ข้า...”
“สักวันเจ้าจะได้จุติแน่
แต่ไม่ใช่วันนี้ ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า” จบคำพูดนั้น
เงาร่างสูงๆก็ก้าวจากไป ลับหายไปในสายตา
ทิ้งให้คนเป็นลูกได้แต่ยืนอัดอั้นตันใจอยู่เพียงลำพัง
ภาพค่อยๆจางลงแล้วเลือนหาย
ตินพลกะพริบตาช้าๆราวกับจะให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป
“นั่นแหละ พ่อของเจ้า”
น้ำเสียงใสเสนาะชี้แจง “เทพสุรมา องค์เทพแห่งความรัก
ผู้ได้ชื่อว่ารูปงามที่สุด”
ตินพลมองสตรีตรงหน้า และได้เห็นแววอารีในดวงตาคู่งาม
อาการที่นางทอดสายตามองเขาด้วยแววตานุ่มนวลช่างเจนตาเจนใจ เหมือนเคยเห็นจากที่ไหนสักแห่ง
เพียงแต่เขาจำไม่ได้ ความทรงจำนั้นรางและเลือนเหลือเกิน
“ผม...เคยพบคุณมาก่อนใช่ไหมครับ
คุณเป็นใคร”
แววตาคนฟังละมุนลง
ตินพลรู้สึกราวสายลมบางเบาพัดผ่านร่าง เหมือนมือนุ่มๆลูบเบาๆบนศีรษะ สัมผัสนั้นช่าง...คล้ายสัมผัสของแม่
“โทษของเจ้าครั้งนี้ไม่เบาเลย
เมเดซเซ่ ข้าเองก็อยากจะช่วย แต่กรรมของใครก็ของคนนั้น
ข้าไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่านี้ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้กระทำ เจ้าก็ต้องรับผลของมัน
ดังองค์ศากยมุนีตรัสไว้ ทุกผู้ทุกนามต่างมีกรรมเป็นของตน บัดนี้
แรงปรารถนาของเจ้าได้สร้างพันธะขึ้นมาเสียแล้ว และในเมื่อเจ้าเป็นผู้ผูก เจ้าก็ต้องเป็นผู้แก้”
น้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าชัดเจนทุกถ้อยคำ ความหมายของมันทำให้คนฟังถึงกับขนลุกซู่
สตรีงดงามมีทีท่าว่าเข้าใจ
นางยิ้มอ่อนโยน
“อย่ากลัวไปเลย
เจ้าตั้งจิตอธิษฐานด้วยเจตนาดี เพียงแต่เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าชะตากรรมดีพอ
ในเมื่อเจ้าเลือกฝืนชะตาด้วยแรงปรารถนาที่มี เจ้าก็ต้องรับโทษของเจ้า ก่อนอธิษฐาน
เจ้าเองก็ตระหนักถึงข้อนี้ดีมิใช่หรือ”
เสียงวัตถุบางอย่างแล่นผ่านอากาศ
แผ่วเบา หวีดหวิวราวสัญญาณอันตราย ตินพลถึงกับสะดุ้ง เหลียวขวับไปมองอย่างตกใจ
สตรีผู้นั้นถอนใจแผ่วเบา
นัยน์ตาดำงามสลดลงวูบหนึ่ง
“หมดเวลาของข้าแล้ว
ข้าจะต้องกลับไปยังที่จากมา ส่วนเจ้า...” ท้ายประโยค นางลงเสียงหนัก ชัดทุกถ้อยคำ
“จงกลับไปทำหน้าที่ของเจ้า ข้าขอมอบเวลาให้เจ้าสองเดือนมนุษย์
ก่อนถึงวันเกิดของเจ้า เจ้าต้องทำ ‘พันธะสีเพลิง’ ให้สำเร็จ...แล้วจะเป็นอิสระ
จำไว้ อย่าทำพลาดเป็นอันขาด มิฉะนั้นชีวิตของมนุษย์ผู้นี้จะหาไม่”
ตินพลหันขวับ เขาอ้าปากจะค้าน
ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ร่างขาวค่อยๆเลือนรางแล้วจางหาย...รอบตัวหมุนติ้ว
แสงสว่างที่ขาวอยู่แล้วยิ่งขาวเจิดจ้า บาดตาจนต้องหลับตาลง
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนลอยสูงขึ้นไปในอากาศ
ถูกจับโยนตัวไปตามสถานที่ต่างๆที่ไม่รู้จัก...ท้ายที่สุด เสียงของใครคนหนึ่งลอยลมมาจากสถานที่หนึ่ง
ไกลแสนไกล...
“พันธะสีเพลิง ทำให้สำเร็จ...พันธะสีเพลิง...เมเดซเซ่”
เสียงนั้นดังกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น
ก่อนระเบิดออก และแตกกระจาย
ตินพลเบิกตาค้าง
หายใจหอบถี่ราวกับไปวิ่งมาจากไหนสักแห่ง หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงตุบๆในความเงียบ
เขายืนนิ่งอยู่เป็นครู่ กว่าจะปรับสายตาเข้ากับบรรยากาศรอบตัวได้
ไฟมาแล้ว แสงสว่างเจิดจ้าก็จริง
แต่ไม่แสบตาเหมือนแสงขาวพร่างพราวเมื่อครู่ ภาพต่างๆค่อยๆรวมตัวเข้าหากัน
และสายตาก็เริ่มคุ้นชินจนเห็นทุกอย่างได้ถนัด
ชายหนุ่มกวาดตาไปรอบๆ ห้องโล่งกว้างยังคงสว่างสดใสด้วยผนังสีทองแดงที่รายล้อม
ตู้กระจกสะท้อนเงาแสงไฟวับๆในสายตา
ทว่าพลังคุกคามที่สัมผัสในตอนแรกจางลงไปจนไม่เหลือเค้า
เมื่อเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆอีกต่อไป รอบตัวเงียบกริบ เงียบสงัดจนดูประหลาด
ราวกับมีเขาอยู่เพียงลำพังในสถานที่นั้น
ความคิดนี้ทำให้ตินพลหันรีหันขวางอย่างตกใจ
เพื่อจะพบว่า...ผู้หญิงคนนั้นหายตัวไปแล้ว!
ทันทีที่นึกถึง
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในความทรงจำ ชัดเจนจนชวนขนลุก
‘เจ้าต้องทำพันธะสีเพลิงให้สำเร็จ
อย่าทำพลาด มิฉะนั้นชีวิตของมนุษย์ผู้นี้จะหาไม่’
ตินพลสะบัดศีรษะแรงๆอย่างว้าวุ่นใจ
คำทำนายของสตรีผู้นั้นฟังยิ่งใหญ่และอันตรายอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่ที่เขาจำติดใจก็คือคำแปลกๆอย่าง ‘พันธะสีเพลิง’ ที่นางพูดถึง มันหมายความถึงอะไรกันเล่า
ชายหนุ่มก้าวสวบๆตรงไปที่ตู้กระจก
ไฟสว่างจ้าเรียกความกล้าให้กลับคืนมาได้บ้าง
ปลายนิ้วเรียวแข็งแรงแตะไล้สัมผัสทั่วทุกส่วนของผนังเพื่อจะหาดูว่ามีประตูกลแอบซ่อนอยู่ที่ไหนหรือไม่
บางทีสตรีผู้นั้นอาจเป็นคนของสวนสนุกปลอมตัวมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ใช้บริการ
นางอาจเป็นนักแสดงที่สวมบทหมอดูประจำห้องแห่งนี้ และจงใจทำนายอะไรแปลกๆเพื่อให้เขารู้สึกหวาดกลัวและตื่นเต้นก็เป็นได้
ทว่าแม้จะพยายามคิดเช่นนั้น
บางอย่างในใจกลับบอกว่าสมมติฐานดังกล่าวไม่น่าเป็นไปได้
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นการเล่นละคร
ทั้งภาพแต่ละภาพที่นางเนรมิตให้เขาสัมผัส
และเรื่องเล่าแปลกประหลาดราวกับตำนานโบราณ
ฟังยังไงก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อสร้างความบันเทิงให้ผู้ใช้บริการสวนสนุกสักนิด
แล้วยัง ‘ภาพนิมิต’ของบุรุษหนุ่มรูปงามยิ่งกว่าผู้ใดในโลกหล้า
รูปร่างผึ่งผายสูงสง่า ดวงหน้าคมคายขึงขังเปี่ยมเสน่ห์...ที่ละม้ายคล้ายคลึงใบหน้าของเขาราวพิมพ์เดียวกันนั่นอีกเล่า
บุรุษผู้มีนามว่า สุรมา
องค์เทพแห่งความรัก!
แต่...ตินพลนึกกระอักกระอ่วนใจที่จะคิดว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง
เพราะจะว่าไปแล้ว เรื่องเล่านั้นก็ช่างพิลึกพิลั่นและช่างเป็นไปไม่ได้ เขาน่ะหรือ
เทพผู้ขอจุติลงมาบนโลกมนุษย์เพื่อค้นหาความหมายของรักแท้
ฟังยังไงก็ไม่เหมือนเรื่องจริง น่าจะเป็นเรื่องเล่าในนิยายขายดีสักเรื่องมากกว่า
ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรมากไปกว่านั้น
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในความเงียบ เป็นเสียงคล้ายคนกำลังเปิดประตู
ตินพลเหลียวขวับไปมองทันที
ทันเหลือบเห็นชายผ้าขาวไวๆก่อนประตูจะปิดเข้าหากัน เขาเบิกตาโตกระโจนพรวดไปที่นั่น
แล้วกระชากประตูเปิดออก
“โอ๊ย” ตินพลตะโกนลั่น เมื่อประตูดีดสะท้อนกลับมาเต็มแรงจนแทบล้มก้นจ้ำเบ้า
ท่าทางผู้หญิงเมื่อครู่คงจะใส่สลักไว้ที่ด้านนอกหรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่าง
ชายหนุ่มสบถเบาๆ ทั้งโมโหและไม่เข้าใจไปพร้อมๆกัน
เมื่อครู่เขายืนอยู่คนเดียวชัดๆ แล้วผู้หญิงคนนั้นเล็ดลอดสายตาไปได้อย่างไร
ห้องก็เล็กแค่นี้ ไม่น่าเป็นไปได้เลยจริงๆ
ตินพลยกกำปั้นทุบประตูแรงๆ เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามขมับและหน้าผาก
รู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว วันนี้มันกรรมอะไรยังงี้ ต้องมาเจอเรื่องบ้าๆชวนปวดหัว
แล้วยังมาถูกขังในที่บ้าๆ
นึกขึ้นมาได้
เจ้าตัวก็ล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู ตั้งใจจะโทร.เรียกน้ำหนึ่ง
แต่พบว่าไม่มีสัญญาณเสียอีก ซวยที่สุด!
หลังจากเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ
ในที่สุด ด้วยนิสัยไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆก็ทำให้ตินพลทนไม่ไหว
มือแข็งแรงเอื้อมไปจับด้ามประตูอีกครั้ง
เอาวะ ลองดูอีกสักตั้ง เจ้าตัวประกาศกร้าวในใจ
ก่อนออกแรงกดลงบนด้ามจับสีดำสนิทนั้น
น่าแปลก
เพราะครั้งนี้เพียงแตะแผ่วเบา บานประตูกลับเปิดออกอย่างง่ายดาย!
เพื่อนๆจับกลุ่มรวมกันอยู่ตรงกลางห้องโถง
แสงนวลสว่างจับร่างแต่ละคนให้ดูเป็นประกายระยิบระยับประหลาด
ราวกับมีรัศมีบางอย่างล้อมรอบเรือนร่างของทุกคนไว้ ทว่าเพียงกะพริบตา
แสงนั้นก็จางหายไป
ตินพลสะบัดศีรษะแรงๆ ท่าทางเขาจะมึนกับแสงสีขาวมากเกินไปเสียแล้ว
ถึงกับจดจำติดตามาจนถึงบัดนี้
ชายหนุ่มเหลียวหาน้ำหนึ่งเป็นคนแรก
ก็เห็นเธอกำลังยืนคุยกับนพคุณ สีหน้าของทั้งคู่ขรึมและครุ่นคิด
ส่วนมาลุตาและเหมือนฝันแยกกันยืนคนละมุม ต่างมีสีหน้าไม่สบายใจจนเห็นได้ชัด
ที่แปลกกว่าใครเพื่อนก็คืออติวัจน์ เพราะเดินกลับไปกลับมาไม่อยู่กับที่
ท่าทางเหมือนอยากรู้อยากเห็นเต็มที
ตินพลก้าวเข้าไปรวมกลุ่มเงียบๆ น้ำหนึ่งหันมาหาเขาก่อนใครพลางส่งยิ้มให้
เป็นรอยยิ้มที่ฝืดและฝืน
“ตังเต หายไปไหนมา ฉันเป็นห่วงแทบแย่
โทร.มือถือก็ไม่ติด ไม่มีสัญญาณ”
ตินพลยักไหล่ “ฉันอยู่ในห้องแห่งไฟ”
น้ำหนึ่งเบิกตาโต
ริมฝีปากขยับคล้ายจะพูดบางอย่าง แต่ไม่ทันนพคุณที่ชิงแซงขึ้นเสียก่อน
“หายไปซะนาน เขาออกมากันตั้งนานแล้ว
แอบเป็นลมหรือยังไงฮะ พ่อดาราใหญ่”
ตินพลไม่ตอบ
แต่มองข้ามหัวอีกฝ่ายเหมือนอากาศธาตุ นึกฉุนตัวเองที่ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากหมอนี่ตอนไฟดับเมื่อครู่
ดีที่มันไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นคงวางท่ากร่างใส่เขายิ่งกว่านี้แน่
“เธอยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วใช่ไหม
ยายเพชร เมื่อกี้เห็นผู้หญิงออกจากมาห้องแห่งไฟหรือเปล่า”
น้ำหนึ่งย่นคิ้วเข้าหากัน
“ผู้หญิงที่ไหน” ฝ่ายนั้นทวนคำ “ไม่มีใครนะ
มีแต่พวกเรานี่แหละ ยืนอยู่ตั้งนานแล้ว ขาดนายแค่คนเดียว
อติกับพี่เก้าเดินดูตั้งหลายรอบ แต่ก็ไม่เห็น”
สีหน้าของตินพลขรึมลง
เขาทบทวนภาพเมื่อครู่ในใจ น่าเจ็บใจที่เขาตาไม่ไวพอ จึงเก็บรายละเอียดหญิงสาวที่พุ่งออกจากห้องได้เพียงชายผ้าสีขาว
นอกจากนี้เขาไม่เห็นสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา รูปร่าง หรืออาภรณ์ประดับกาย
น่าแปลกที่พบว่าเขาไม่ได้นึกถึงสตรีโสภาผู้นั้นแม้แต่น้อย
มีอะไรบางอย่างที่บอกว่าทั้งคู่เป็นคนละคนกัน
อาจจะพลังแรงกล้าที่เขาได้สัมผัสยามพบสตรีผู้นั้น...พลังที่แฝงด้วยความละมุนละไม แต่กลับแข็งแกร่งอยู่ในที
พลังอย่างที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มี...
พลังขององค์เทพสตรี หรือองค์เทวี...
‘เทวีเมลาสตี’
ทันทีที่ชื่อนั้นแว่บผ่านเข้ามาในหัว
ตินพลถึงกับสะดุ้งสุดตัว เหลียวขวับไปมาอย่างตกใจ เสียง...มาอีกแล้ว
ริมฝีปากของนพคุณโค้งเป็นรอยยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของเขา
แววตาคู่นั้นปรากฏรอยขัน
“เป็นอะไรอีกล่ะ
ท่าทางใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อย่าบอกนะว่านายเจอของดี!”
ตินพลจ้องหน้าอีกฝ่ายตาขวางๆ แต่เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย
จึงหันไปพูดกับน้ำหนึ่งแทน
“แล้วเธอไปทำอะไรที่ไหนมา
ทำไมหน้าซีดปากซีดอย่างกับแช่น้ำมาสักชั่วโมงสองชั่วโมงงั้นแหละ”
มือบอบบางของคนฟังยกขึ้นแตะใบหน้าแผ่วเบา
“ไม่ได้ทำอะไร สงสัยอากาศจะเย็นน่ะ
กลับกันเลยดีกว่าไหม นี่ก็...”
ประโยคท้ายๆดังอยู่แว่วๆ ตินพลไม่ทันฟัง
เพราะสายตาไปสะดุดอยู่ที่ร่างเล็กๆของใครคนหนึ่งยืนลับๆล่อๆอยู่ข้างต้นก้ามปูใหญ่
ผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง
เจ้าหล่อนยืนกระวนกระวายเหมือนทำอะไรไม่ถูก นัยน์ตาดำขลับจับจ้องอยู่ที่เขาเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไร
แต่สิ่งที่สะดุดใจตินพลมากที่สุดก็คือชุดที่เธอสวม
คือเสื้อเชิ้ตสีขาวปล่อยชายยาวคลุมกางเกงยีน!
โดยไม่สนใจใครอีก ตินพลก้าวสวบๆตรงไปยังทางออก
เขาต้องพูดกับผู้หญิงคนนี้ให้รู้เรื่อง อยากรู้ว่าเธอมีเจตนาอะไรกันแน่
ในเมื่อเธอมาเตือนไม่ให้เขาเข้าบ้านปรารถนา ก็แปลว่าเธอน่าจะรู้อะไรดีๆอยู่ไม่น้อย
เผลอๆเมื่อสักครู่อาจเป็นเธอที่ล็อกประตูขังเขาไว้ในห้องนั้นก็ได้
เสียงเรียกของน้ำหนึ่งดังอยู่แว่วๆ แต่ตินพลไม่สนใจ
ในหูของเขามีแต่เสียงแว่วว่า ‘พันธะสีเพลิง ทำให้สำเร็จ พันธะสีเพลิง ไม่อย่างนั้น
ชีวิตมนุษย์ผู้นี้จะหาไม่...’ ดังกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น
หลังจากกระสับกระส่าย
กลัดกลุ้มอยู่เป็นนาน การรอคอยของเพลงฝนก็สิ้นสุดลง
เมื่อผู้ชายคนนั้นก้าวออกจากสถานที่ที่เรียกว่า “บ้านปรารถนา” ในที่สุด
เธอสังเกตว่าหน้าของเขาซีดมาก วงหน้าเครียดจนเกือบจะเป็นขรึม อย่างแรกที่เขาทำคือ
เดินตรงไปหาผู้หญิงหน้าหวาน ผมสีน้ำตาลเข้ม จากนั้น คนทั้งคู่ก็สนทนากันเสียงแผ่วๆแทบไม่ได้ยินความอยากรู้ทำให้เธออดใจไม่อยู่
ต้องชะเง้อคอจากหลังต้นก้ามปูที่แอบอยู่ สุดท้าย ก็ก้าวออกมาทั้งตัว
แต่ก็ยังยับยั้งตัวเองเอาไว้ ไม่กล้าเดินตรงเข้าไปหา เพราะกลัวอารมณ์ของเขา
ก่อนหน้านี้ เขาโวยใส่อย่างไร เธอยังจำได้ดี
อย่างไรก็ตาม ในที่สุด
เขาก็หันมาเห็นเธอจนได้
ตาต่อตาประสานกัน และผู้ชายคนนั้นก็ย่างสามขุมตรงเข้ามาหา
นัยน์ตาดำสนิทฉุนโกรธจนแทบจะเห็นไฟเรืองๆฉายออกมา
ริมฝีปากหยักบางเฉียบได้รูปสลักเสลาเม้มแน่นบ่งบอกอารมณ์ได้ชัดเจน
เขากำลังโมโห!
แต่ถึงอย่างนั้น
เพลงฝนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายตรงหน้าเธอ ‘หล่อ’ มาก
ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ร้ายกาจชวนให้หลงใหล
ราวกับว่าสวรรค์ลำเอียงเข้าข้างเขาให้ดูดีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ใด
ขืนเป็นผู้ชายอื่น มาทำหน้าถมึงทึงแบบนี้ คงดูไม่จืดกันละ
เจ้าของร่างสูงก้าวเข้ามาจนชิด
นัยน์ตาหรี่ลงน้อยๆเมื่อมองเธอ
“เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยแล้ว
คุณผู้ช่วยสไตลิสต์”
ความคิดเห็น